My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 641 สุนัขดำ (1+2)
มองหลอดเลือดสั่น ๆ ที่รอบ ๆ กรอบหน้าต่างและยังผ้าสีขาวที่เปื้อนเลือดที่ใกล้ ๆ แล้ว เฉินเกอก็รู้สึกว่านี่เป็นการลงมือเข่นฆ่าฝ่ายเดียว การกลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดที่โรงพยาบาลเมืองหลี่ว่านนี่หมายความว่าเด็กชายอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ารองเท้าส้นสูงสีแดง เขากลับทั้งบอบบางและอ่อนแอ เลือดที่บนขอบหน้าต่างและที่บนผ้าสีขาวนั้นเป็นเลือดของเด็กชาย
“ผมสงสัยอยู่ทีเดียวว่าทำไมโรงพยาบาลถึงเงียบขนาดนี้ เป็นเพราะมีคนจัดการกับสิ่งคุกคามใหญ่หลวงที่สุดก่อนพวกเรามาถึง” ใบหน้าของเฉินเกอเต็มไปด้วยความเสียดาย และนี่ก็ทำให้อีกสามคนที่ตามเขามาขมวดคิ้ว
“มันก็ดีแล้วที่พวกเขาสู้กันเอง! ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเราเจอผีเข้า คุณไม่กระทั่งถอนหายใจ แต่หลังจากพบว่าพวกเขาสู้กันเองไปแล้ว คุณที่เป็นคนนอกกลับดูไม่พอใจ” ชายขี้เมานั้นไม่เข้าใจความคิดของเฉินเกอเลย เขาไม่รู้เลยว่าเฉินเกอนั้นมองที่นี่เป็นทรัพย์สมบัติของเขาไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่หน้าหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนจะเต็ม เขาจะไม่ยอมให้ผีตนไหนหนีรอดไปได้
“ผีที่นี่ไม่ได้ชั่วร้ายโดยธรรมชาติ โชคร้าย พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้บงการชั่วร้าย มันก็แค่ผมรู้สึกว่าพวกเขาควรจะได้มีบ้านที่ดีกว่านี้” เฉินเกอมองไปรอบ ๆ อีกครั้งและแน่ใจแล้วว่าไม่มีดวงวิญญาณอื่นเหลืออยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลับออกมากับคนทั้งกลุ่ม
“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” ชายขี้เมา หมอ และมือกรรไกรตามหลังเฉินเกออยู่ติด ๆ พวกเขารู้แล้วว่าการแยกกันไปนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มไปก่อน
“ชายหน้ายิ้มนั้นครั้งหนึ่งเคยสังหารคนทั้งรถ และนั่นเป็นการทำลายแผนการของผู้บงการเบื้องหลัง ดังนั้นเขาน่าจะมีความสัมพันธ์กับผู้ควบคุมเมืองหลี่ว่านไม่ดีนัก รองเท้าส้นสูงสีแดงน่าจะแข็งแกร่งมาก อาจจะแข็งแกร่งกว่าชายหน้ายิ้ม ในเมื่อเธอทำร้ายคนที่เมืองหลี่ว่านนี่ไป ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้บงการนั่นเช่นกัน ทั้งสองคนนี้เป็นตัวตนที่น่าระคายเคืองที่เมืองจิ่วเจียงตะวันออกนี่ ในเมื่อพวกเขากำลังลงมือ พวกเขาก็น่าจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บงการไปจากพวกเราได้” เฉินเกอวิเคราะห์อย่างใจเย็น
ไม่สำคัญว่าสถานการณ์แท้จริงของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เขายังสามารถเปลี่ยนมันเป็นด้านดี ๆ ให้เหมือนกับตอนนี้พวกเขานั้นได้เปรียบอยู่ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ทำไมพวกเราไม่ไปดูที่บ้านสุนัขที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ล่ะ? ผมอยากจะเห็นเองกับตา สิ่งที่เรียกว่าหมาหน้ายิ้มน่ะ”
“คุณยังอยากไปเหรอ? ถ้าผมรู้อย่างนี้ ผมจะไม่เล่าเรื่องนั้นให้คุณฟัง” ชายขี้เมานำทางทั้งกลุ่มไปอย่างไม่เต็มใจนัก ‘บ้านสุนัข’ นั้นอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลมาก เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้กับตึกหลังนั้น สีหน้าของผู้โดยสารแต่ละคนก็ต่างกันไปโดยสิ้นเชิง ชายขี้เมานั้นกระวนกระวาย หมอระแวดระวัง และมือกรรไกรแสร้งเป็นใจเย็น เฉินเกอแกว่งค้อนในมือและเดินนำหน้าไป ดูเหมือนเด็กที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นเครื่องเล่นที่สวนสนุก
“ที่นี่หรือ?” เฉินเกอผลักเปิดประตูเข้าไป ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเท้าเข้าไป เจ้าแมวขาวก็ร้องออกมา มันทำท่ากระสับกระส่ายเหมือนมีบางอย่างที่มันเกลียดมาก ๆ อยู่ในตึกนั้น
“แมวกลัวหมางั้นเหรอ? แต่น่าจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ” เฉินเกอตบหัวเจ้าแมวเบา ๆ ปลอบให้มันสงบลง
“พี่ชาย คุณต้องระวังให้มาก ปิศาจนี่ดุร้ายมาก ผมเจอมันครั้งหนึ่ง มันเคลื่อนที่ด้วยขาทั้งสี่ข้างเหมือนสุนัขล่าเนื้อ” ชายขี้เมายังมีอย่างอื่นอยากพูดอีก แต่ว่าเมื่อเห็นเฉินเกอเดินเข้าไปในสวนแล้ว เขาก็หุบปากลงทันที ”เขากล้าเกินไปแล้ว”
อันที่จริงแล้วเฉินเกอนั้นระมัดระวังยิ่งกว่าที่คนทั้งกลุ่มคิด พวกเขาก็แค่ไม่เห็นวิธีการป้องกันตัวของเขาเท่านั้น มีการปกป้องจากซู่อินและการเตือนจากเจ้าแมวขาว เฉินเกอนั้นปลอดภัยเท่าที่เขาทำได้แล้ว
“มีบ้านสุนัขอยู่ที่นี่จริง ๆ และมันยังสร้างไว้อย่างดีด้วย แต่…” เฉินเกอสะพายกระเป๋าและยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของสวน เขามองบ้านสุนัขที่มีกลิ่นเหม็นเน่ากำจายออกมา “ขนาดของมันใหญ่พอสำหรับคนคนหนึ่งเลย งั้นก็มีโอกาสที่มันจะไม่ได้สร้างมาเพื่อสุนัข”
“ฉันยังรู้สึกอย่างนั้นนะตอนที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรก บ้านทั้งหลังนี้เต็มไปด้วยน้ำหอมปรับอากาศ มันเป็นที่สำหรับคน แต่ว่ามันตกแต่งเหมือนไว้ให้หมาสักตัว แต่ที่ที่น่าจะไว้ให้หมาอยู่น่ะ กลับสร้างซะใหญ่เท่าให้คนอยู่” ชายขี้เมาพูดเรื่อยเปื่อย แค่คิดถึงสิ่งที่เกิดกับเขาก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว จิตใจของเขาเหมือนจะพังทลายลงไปเมื่อไหร่ก็ได้
สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่ง ปฏิกริยาเช่นนี้นั้นถือว่ายอมรับได้ เห็นปฏิกริยานี้จากชายขี้เมาแล้วเฉินเกอก็พยักหน้านิด ๆ เขาไม่ได้เห็นด้วยกับชายขี้เมา แต่ว่าเขายืนยันแน่ใจแล้วว่าชายขี้เมาน่าจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
เฉินเกอจับสังเกตผู้โดยสารจากบนรถเมล์อยู่เงียบ ๆ และตัดคนออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยของเขา คนที่เขาแน่ใจว่าไม่มีปัญหาก็มีเพียงแค่ชายขี้เมาและมือกรรไกรเท่านั้น
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณกลัว ก็อยู่กับพวกเขาไว้” เฉินเกอเดินผ่านสวนไปและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทำให้เขาคันที่หลังคอ เขาเอื้อมมือไปเกาและพบว่าเขาดึงมือกลับมาพร้อมกับขนสุนัขสีดำอยู่ที่กลางฝ่ามือ มันทั้งแข็งและหยาบ
“มันมาจากไหนเนี่ย?” เขาเงยหน้าขึ้น เฉินเกอหรี่ตาและเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่หน้าต่างชั้นสอง ชายคนนั้นสวมหนังสุนัขและยังมีรอยยิ้มประหลาดบนหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเห็นรอยยิ้มแบบนั้นเหมือนกัน มันดูไม่เหมือนมนุษย์เลย กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยิ้มนั้นมีการดึงที่ต่างไปจากเวลาที่มนุษย์ทั่วไปยิ้ม มันทำให้ใบหน้ายื่นออกมาข้างหน้า ดูประหลาดเป็นที่สุด
มองใบหน้ามนุษย์ที่บนชั้นสอง ตอนที่มันปรากฏขึ้นครั้งแรก หัวใจของเฉินเกอนั้นเต้นรัวเร็วขึ้นครู่หนึ่ง แต่สองหรือสามวินาทีให้หลัง เขาก็กลับเป็นปกติ เขายกแขนขึ้น โบกมือให้หน้ายิ้มและยิ้มตอบกลับไป “อยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ผมจะขึ้นไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ”
ที่ยืนอยู่ที่ชั้นสองน่าจะเป็นคน แต่เฉินเกอกลับไม่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เป็น ๆ จากคนผู้นั้นเลย
“เมืองหลี่ว่านใหญ่ขนาดนี้ และฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะมีเวลาดูทุก ๆ อาคารทีละหลัง” เฉินเกอเข้าไปในตึกสองชั้น ตอนที่คนที่เหลือตามหลังเขามา เขาก็ยกมือขึ้นพูด “ทำไมพวกคุณที่เหลือไม่รอผมอยู่ที่ข้างนอกล่ะ?”
“พวกเราควรจะอยู่ติดกันเอาไว้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำตัวเป็นวีรบุรุษนะ!” ชายขี้เมารู้ว่าปิศาจนี่มีพลังหรือว่ามีความน่ากลัวแค่ไหน และเขาก็เป็นห่วงเฉินเกอ
“ผมคิดว่าคุณพูดถูก แต่ว่าที่ในบ้านมันดูคับแคบ ถ้าอยู่ใกล้กับผมเกินไป– ผมเกรงว่าจะบังเอิญทำอันตรายคุณเข้า” คำเตือนอันไม่คาดคิดจากชายขี้เมาทำให้เฉินเกอสบายใจขึ้น เขาดีใจที่ชายคนนี้พัฒนาขึ้นอย่างมาก และแอบสัญญาว่าจะพยายามช่วยให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่รอดไปได้
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะไม่ก่อปัญหาให้คุณ” ชายขี้เมามองไปยังค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่เฉินเกอถือเอาไว้ และเขาก็ถอนหายใจ– ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้นั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตนเองน้อยกว่าที่ควรแล้ว ทั้งกลุ่มเข้าไปในห้อง พวกเขาเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ และกำลังจะมุ่งหน้าขึ้นบันไดตอนที่ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังเข้าหู และประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ก็กระแทกปิดด้วยตัวมันเอง
“บ้าชะมัด!” ชายขี้เมาและหมอมองกลับไปด้านหลังพวกเขาพร้อมกัน ทางออกของพวกเขาถูกปิดไปแล้ว พวกเขาชะงักอยู่กับที่
ใบหน้าของมือกรรไกรนั้นซีดขาวอย่างไม่เป็นธรรมชาติขณะที่เขากระซิบขึ้นมาอย่างมืดมน “นี่เป็นฉากปกติที่สุดในหนังสยองขวัญ ประตูปิดเองได้ และไม่นานหลังจากนั้น ผีก็จะออกมา อันที่จริง พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งจับตามองพวกเราอย่างใกล้ชิดอยู่แต่แรกแล้ว”
“นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่าพวกเราไม่ควรเป็นฝ่ายเข้าไปหาสิ่งนั้น!” ชายขี้เมาตื่นตระหนก “พวกเราควรจะไปหลบอยู่ในห้องสักห้องก่อน ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ผีก็น่าจะไม่โจมตีพวกเราสี่คน”
“คุณพูดมีเหตุผล” หมอพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากปรึกษากันแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หันไปหาเฉินเกอ อยากให้เขาช่วยรับรอง
“พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ทำไมพวกเราต้องไปซ่อนด้วย? ถ้าประตูปิด อย่างนั้นทำไมพวกเราไม่เปิดมันออก?” เฉินเกอส่ายหน้านิด ๆ เขามีปัญหากับการไล่ตามความคิดของผู้โดยสารพวกนี้จริง ๆ
ได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ชายขี้เมาก็อยากจะพูดอย่างอื่น แต่ว่าเฉินเกอนั้นไม่ให้โอกาสเขา เขาพุ่งไปที่ประตูและยกค้อนขึ้นทุบประตู นั่นก่อให้เกิดเสียงกระแทกดังก้องไปทั่วทั้งตึก หลังจากประตูถูกทุบเปิดแล้ว เฉินเกอก็ไม่หยุด เขาเล็งค้อนไปที่บานพับประตูจนกระทั่งเขาถอดประตูออกจากกรอบได้สำเร็จ
“ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถปิดประตูได้แล้วต่อให้อยากจะปิดก็ตาม” เขาเตะประตูที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปที่ด้านข้าง เดินลากค้อนกลับมาที่กลุ่ม “อย่าเอาแต่หนีหรือซ่อน– คุณต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สถานการณ์”
เฉินเกอคิดว่ามือกรรไกรนั้นค่อนข้างมีศักยภาพทีเดียว ดังนั้นจึงตัดสินใจถ่ายทอดความรู้บางอย่างให้เขา “ผู้ชายที่ผมเห็นก่อนหน้านั้นอยู่ที่ชั้นสอง แต่ในเมื่อประตูชั้นหนึ่งปิดได้ด้วยตัวเอง มันก็น่าจะหมายความว่ามีผีอยู่ในบ้านนี้มากกว่าหนึ่งตน ฉากที่มักจะพบในหนังสยองขวัญฉากนี้นั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับผีที่เราต้องรับมือมากมาย พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้เรื่องพวกนั้นมาวิเคราะห์ นั่นจะเป็นประโยชน์กับพวกเรา”
ได้ยินเสียงกระดิ่งลมยังดังอยู่เหมือนมีบางคนเดินไปมาในทางเดิน เฉินเกอก็มองมันแล้วพูด “บางครั้ง ผีก็พยายามจะเพิ่มความกลัวในหัวใจของเราผ่านเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ตัวอย่างเช่น กระดิ่งลมนั่น แต่ทางแก้ปัญหานั้นอันที่จริงก็ง่ายมาก ๆ
เฉินเกอเดินไปที่ประตูและถอดกระดิ่งลมออกและเก็บมันลงไปในกระเป๋าของเขา หลังจากกระดิ่งลมถูกถอดออก เสียงประหลาดก็หายไปหมด
“มันง่ายแบบนี้แหละ” พอเฉินเกอพูดอย่างนั้น ใบหน้าของทั้งหมดและชายขี้เมาก็แข็งทื่ออย่างหวาดกลัว พวกเขาทั้งคู่ชี้นิ้วไปที่ที่ว่างด้านหลังเฉินเกอ
“พี่ชาย! ด้านหลังคุณ! มันออกมาจากในกระดิ่งลม!”
“มีผี! มีผี!”
เฉินเกอหันกลับไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ น่าสนใจตรงที่ ใบหน้าของผู้ชายคนนี้นั้นคล้ายกับใบหน้าที่เขาเห็นบนชั้นสอง ตอนนี้ ร่างกายท่อนล่างของชายคนนี้นั้นติดอยู่ในกระเป๋าของเฉินเกอ ร่างกายท่อนบนพยายามคลานออกมา แต่มือจำนวนนับไม่ถ้วนก็เอื้อมออกมาจากในกระเป๋าของเฉินเกอ ตรึงเขาให้อยู่กับที่ก่อนที่จะดึงชายคนนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าของเฉินเกอด้วยกำลังแรง
หลังจากวิญญาณทุกข์ของชายคนนั้นหายไป เฉินเกอก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม บอกผู้โดยสารที่เหลือว่า “นั่นก็เป็นแค่ภาพมายา นี่คือจุดที่สองที่ผมอยากจะบอกพวกคุณ ผีมักจะใช้การเล่นกลกับสายตาของพวกเราเพื่อทำให้พวกเราสงสัยตัวเอง”
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เงียบ พูดกันโดยสัตย์จริง ตอนที่ผีผู้ชายโผล่ออกมา พวกเขากลัว แต่เมื่อเขาเห็นผีตนนั้นดิ้นรนและกรีดร้องก่อนที่จะหายไปด้านหลังเฉินเกอ พวกเขาก็ขนลุกซู่ และกระทั่งเลือดในหลอดเลือดก็ยังแทบจะจับตัวเป็นก้อน
“ถ้าพวกคุณกลัวจริง ๆ อย่างนั้นก็อยู่ที่ชั้นแรกนี่” เห็นน้ำยาปรับอากาศที่เกลื่อนอยู่บนพื้น เฉินเกอก็ไม่ให้เวลาคนอื่นได้คิด เขามุ่งหน้าขึ้นบันไดไปคนเดียว ผู้ชายที่ด้านในกระดิ่งลมนั้นดูเหมือนกับผู้ชายที่ชั้นสองราวกับคนเดียวกัน เฉินเกอสงสัยว่าผีผู้ชายน่าจะเป็นเจ้าของเดิมของร่าง แต่เพราะเหตุผลประหลาดบางอย่าง วิญญาณของผู้ชายและสุนัขสลับกัน และตอนนี้ก็เป็นสุนัขที่ครอบครองร่างของผู้ชายคนนั้นอยู่
“นี่ต้องเป็นเรื่องผีที่น่าสนใจแน่ ๆ” ในฐานะประธานสมาคมเล่าเรื่องผี เฉินเกอรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องรวบรวมเรื่องผีที่เขาเคยได้ยิน หลังจากไปถึงชั้นสองแล้ว เขาก็เรียกซู่อินมาอยู่ข้างกาย เขาพร้อมสู้แล้ว แต่ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาประหลาดใจ
ชายประหลาดที่ยิ้มให้เขาจากชั้นสองก่อนหน้านี้นั้นตอนนี้ยืนอยู่กลางทางเดินชั้นที่สอง เขายังสวมหนังสุนัขและมีรอยยิ้มประหลาดบนหน้า น่าแปลก เฉินเกอไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากเขา– มันเหมือนเฉินเกอเคยพบชายคนนี้มาก่อน และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นเพื่อนเก่ากัน
“เขาเลือกเผยตัวก่อนหน้านี้เพราะว่าเห็นฉันเดินมาจากข้างนอก?” ความตื่นตัวของเฉินเกอเพิ่มสูงขึ้นเพราะเรื่องมันผิดจากธรรมดาไป เฉินเกอให้ซู่อินทดสอบชายคนนั้น แต่ว่าชายคนนั้นไม่ขัดขืนเลยสักนิด อันที่จริง เขายังมองเฉินเกอด้วยสายตาสงสัยเหมือนกำลังถามว่า ‘ทำไมนายถึงโจมตีฉันล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?’
“ผู้ชายคนนี้เคยรู้จักฉัน? นั่นเป็นไปไม่ได้! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพบเขา หรือว่ามันเป็นผลจากฉายา ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ?” เฉินเกอเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากขึ้น และฝ่ายหลังก็ไม่พยายามหลบ เขาดูเชื่อฟังมากเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ
“นี่น่าสงสัยจริง ๆ” เฉินเกอนั้นเป็นคนที่คล้อยตามการโน้มน้าวได้แต่ไม่ใช่การบังคับ การที่ชายคนนี้นั้นว่าง่ายและยังไม่ขัดขืนการโจมตีจากเฉินเกอทำให้เฉินเกอสับสนมาก เขาพยายามใช้หนังสือการ์ตูนกับผู้ชายคนนั้นแต่ว่าไม่ได้ผล ชายคนนั้นมีร่างของคนเป็น ดังนั้น เขาย่อมไม่สามารถถูกดึงเข้าไปในหนังสือการ์ตูนได้
หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ชายคนนี้อันที่จริงยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเขามีชีวิตด้วยวิญญาณของสุนัข เฉินเกอพยายามสื่อสารกับเขา แต่โชคร้าย ไม่มีการสื่อสารใดได้ผล
“ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร?” เฉินเกอให้ซู่อินจับตาดูชายคนนี้เอาไว้ขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องข้าง ๆ เพื่อเริ่มการสำรวจ เขาพบบางอย่างในห้องที่ชายคนนี้เคยอยู่ก่อนหน้านี้ ผนังด้านหนึ่งของห้องนั้นเต็มไปด้วยรูปภาพ มันบันทึกเรื่องราวชีวิตของชายคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็น สุนัขตัวหนึ่ง
รูปแรกนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งทรมานสัตว์หลายชนิด เขาใช้วิธีการเหี้ยมโหดทุกวิธี และรูปภาพนั้นก็เป็นหลักฐานถึงบาปที่ลบล้างไม่ได้ของเขา มันดำเนินต่อเนื่องไปจนกระทั่งวันหนึ่ง เขากลับมาพร้อมกับลูกสุนัขสีดำตัวหนึ่ง ลูกสุนัขตัวนั้นทรหดมาก ไม่ว่าจะถูกทรมานแค่ไหน ลูกสุนัขก็ยังรอดชีวิตมาได้
ชายคนนั้นมองลูกสุนัขเป็นเครื่องระบายความเครียดถาวรของเขา ดังนั้นจึงเก็บมันเอาไว้กับตัว เมื่อทรมานลูกสุนัขตัวนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้หยุดทำร้ายสัตว์อื่น ๆ
ลูกสุนัขเห็นเจ้านายของมันทรมานสัตว์อื่น ๆ ต่อเนื่องด้วยตาของมันเองจนกระทั่งมันเติบโตขึ้น ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชายคนนั้นทรมานมันอย่างเหี้ยมโหดอีกครั้ง เขาก็คิดว่าในที่สุดเขาก็จัดการฆ่าสุนัขตัวนี้ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ล่ามมันเอาไว้กับบ้านสุนัขของมันอีก
คืนนั้น สุนัขสีดำที่กำลังจะตายคลานสี่ขาลอบเข้าไปในห้องนอนของชายหนุ่มคนนั้นผ่านหน้าต่าง
เฉินเกอมองรูปสุดท้าย สุนัขสีดำนั้นใช้แรงที่เหลือแค่นิดเดียวฆ่าผู้ชายคนนั้น และในที่สุด ทั้งคนและหมาก็นอนจมกองเลือด จากนั้น สุนัขสีดำก็ล้มลงไปจริง ๆ แล้ว แต่ว่า ตอนที่ชายคนนั้นลุกขึ้นจากกองเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นของสุนัขตัวนั้น
เห็นรูปพวกนี้แล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นถึงมีท่าทางเช่นนั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ทำไมสุนัขถึงได้ดูเป็นมิตรกับเขา?
ดูรูปทั้งหมดอีกครั้ง เฉินเกอก็เชื่อว่าเขาพบคำตอบแล้ว ตอนที่ลูกสุนัขสีดำปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกนั้น นอกจากชายหนุ่มและลูกสุนัขแล้ว ยังมีเงาร่างหนึ่งที่ดูเหมือนตัวเขาอย่างน่าสงสัย เขาเริ่มตรวจดูรูปที่เหลือ และเกือบทุกรูปก็จะมีตัวตนของเงานั่นอยู่ตรงไหนสักที่
เหตุผลที่สุนัขสีดำนั้นรอดชีวิตมาได้จากการทรมานมากมายนั้นก็เป็นเพราะว่าเงานั่นปกป้องมันเอาไว้? เงานั่นดูคล้ายกับฉัน ดังนั้นนี่จึงสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดสุนัขสีดำจึงไม่ได้ดูเป็นศัตรูกับฉัน– มันจำคนผิดแล้ว! มันจำฉันเป็นเงานั่น!
จากนั้นความสงสัยแรงกล้าหนึ่งก็เข้ามาในใจเฉินเกอ เงานั่นเป็นตัวฉันตอนอายุน้อยกว่านี้จริง ๆ น่ะหรือ? เขาเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ด้วยนิสัยที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง?
คนนอกเข้าใจผิดนั้นยังสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่กระทั่งคนของเมืองหลี่ว่านเองยังเข้าใจผิด นี่ทำให้เฉินเกอตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา เงานั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน!
บางทีเขาอาจจะดูเหมือนฉันจริง ๆ แต่ก็แค่ในด้านรูปร่างหน้าตา
มองรูปที่บนกำแพงแล้วเฉินเกอก็เห็นความคล้ายคลึง ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยสัตว์ที่ถูกทรมานมาก่อน– เจ้าแมวขาวที่บนไหล่ของเขานั้นเป็นตัวอย่างอันดี จากมุมนี้ เขาก็คล้ายกับเงานั่นจริง ๆ แต่ที่นิสัยของพวกเขาต่างกันก็สามารถมองเห็นได้จากวิธีการที่พวกเขาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ
หลังจากช่วยเจ้าแมวขาวแล้ว เฉินเกอก็ให้มันมีบ้านคือที่บ้านผีสิง แต่หลังจากช่วยลูกสุนัขสีดำแล้ว เงานั่นกลับไม่ได้แค่ไม่ช่วยมันให้พ้นไแต่กลับปล่อยให้มันถูกทรมานต่อเนื่องจนกระทั่งมันสังหารเจ้านายของมัน
ความเกลียดชัง ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และความมุ่งร้าย จากวิธีที่เงานั่นช่วยลูกสุนัขสีดำ นั้นก็สามารถบอกนิสัยของเขาได้
เจ้าสิ่งนี้อันตรายเกินไป
เฉินเกอวางรูปทั้งหมดกลับไปและเดินออกมาจากห้อง ชายคนนั้นยังนั่งอยู่กับพื้น เขาเอียงหัวไปด้านหนึ่งเหมือนกำลังพิจารณาเฉินเกอ มันเหมือนกับว่าในที่สุดเขาก็รู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ฉันควรจะเก็บดวงวิญญาณอันน่าสงสารนี้ไว้กับตัวเอง เงานั่นสามารถเปลี่ยนไปอยู่ในร่างอื่น ๆ และปลอมแปลงตัวเองได้ บางทีฉันอาจจะสามารถใช้สุนัขสีดำนี่ช่วยฉันหาตัวตนแท้จริงของเงานั่นได้ ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับเงานั่นอย่างจริงจังสักครั้ง”
เฉินเกอเดินไปหยุดตรงหน้าชายคนนั้น ใช้ดวงตาหยินหยาง เขามองเข้าไปในดวงตาของชายคนนั้น จับดวงวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่างมนุษย์เอาไว้
“ได้เวลาออกมาแล้ว แกต้องมีบ้านใหม่”
หลังจากการโน้มน้าวยืดยาวของเฉินเกอ สีหน้าของชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป หลายนาทีให้หลัง สุนัขสีดำที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คืบคลานออกจากร่างของชายคนนั้น
เฉินเกอเก็บสุนัขสีดำเข้าไปด้วยหนังสือการ์ตูน ทันใดนั้น โทรศัพท์เครื่องดำในกระเป๋าของเขาก็สั่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมาดู มีทั้งหมดห้าข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน