My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 99
เจ้าหน้าที่ทหารกล้าทั้งหลายและเหล่าผู้ฝึกยุทธกำลังยืนเรียงรายกัน นอกเหนือจากพลังความกล้าหาญที่มี ทหารเหล่านี้ยังคงมีวินัยที่แข็งขัน
ลู่โจวและหยวนเอ๋อเดินตามจนออกมาจากโกดังได้
พวกเขาทั้งสองคนถึงกับผงะเมื่อเห็นทหารกว่าหลายพันคนรวมไปถึงเหล่าผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนรออยู่ต่อหน้า
เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ล้วนเป็นกับดักทั้งหมด ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “นี่มันกับดัก” ดูเหมือนว่าเรื่องในครั้งนี้จะถูกวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่พวกเขาไม่สามารถหาของที่ต้องการในโกดังได้ง่ายๆ สิ่งของที่กำลังตามหาจะต้องถูกซ่อนอยู่หรือไม่ก็ยังคงอยู่ในแม่น้ำต่อไป
หยวนเอ๋อได้ถามออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงดีคะ? พวกเราควรไปช่วยเจ้าพวกนั้นไหม? “
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก” ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าพวกนั้นกำลังถูกจับตามองอยู่ ปล่อยให้เจ้าพวกนั้นรับมือไปจะดีกว่า”
หยวนเอ๋อที่ดูการต่อสู้อยู่ได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “พลังร่างอวตารทั้งสี่…ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย” หยวนเอ๋อเคยชินกับการดูการต่อสู้อันยิ่งใหญ่มามากมายหลายครั้งแล้ว และเพราะแบบนั้นพลังร่างอวตารที่เธอได้เห็นเลยถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหยวนเอ๋อไปแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นสำหรับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ พลังร่างอวตารดอกบัวทั้งสี่แห่งร้อยวิถีถือเป็นพลังชั้นสูงในหมู่ของเหล่ายอดฝีมืออีกชั้นหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธหลายคนที่กำลังลอยอยู่ท่ามกลางอากาศได้แต่กลืนน้ำลาย พวกเขาได้แต่ระวังตัวจากพลังร่างอวตารที่ทรงพลังที่อยู่ด้านหน้า ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าต่อกรกับผู้ฝึกยุทธมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้
ในตอนนั้นเองสาวกทั้งสามคนของฝานเชียวเองก็รู้สึกภาคภูมิใจ
สาวกหญิงผู้ที่เคยประมือกับหยวนเอ๋อได้จ้องมองไปที่เธอก่อนที่จะพูดอย่างเย้ยหยันออกมา “สาวน้อย เจ้าน่ะอย่าได้หยิ่งผยองให้มากนัก เป็นเพราะเจ้าโชคดีเท่านั้นแหละถึงได้เอาชนะข้าได้ ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ เจ้าน่ะไม่แม้แต่จะรับกระบวนท่าของท่านอาจารย์ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว”
หยวนอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นได้หันหน้าหนีก่อนที่จะพึมพำออกมา “เจ้าขี้แพ้”
“เจ้า…” สาวกหญิงต้องการที่จะตอบโต้กลับไป แต่ถึงแบบนั้นในตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันเอง เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปซะก่อน ถ้าหากยังฝืนที่จะต่อสู้ในตอนนี้ ทางตัวเธอเองก็มีแต่จะเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น ยังไงซะอาจารย์ของเธอก็ยังยุ่งอยู่กับการต่อสู้อยู่ ยังไงซะเขาก็คงกลับมาปกป้องผู้เป็นลูกศิษย์ไม่ทัน
คลื่นพลังได้โอบล้อมเข้าหาพลังร่างอวตารทั้งสี่ ในตอนนั้นเองมันก็ได้รวมตัวกันจนกลายเป็นคลื่นแสงพลังงาน ฝานเชียวไม่รอช้า เขาได้ปล่อยคลื่นพลังออกไป
ลู่โจวที่ดูการต่อสู้อยู่ได้พูดออกมา “กระบวนท่าเต๋า คลื่นมุทรา” ลู่โจวไม่คิดมาก่อนว่าฝานเชียวจะใช้กระบวนท่าเต๋า ฝ่ามือมุทราได้ [หมายเหตุ: มุทรา คือท่าทางของมือที่ส่งผลต่อการไหลเวียนพลังงานในร่างกายในระหว่างการทำสมาธิ]
กระบวนท่าเต๋าแตกต่างจากกระบวนท่าของวิถีพุทธ กระบวนท่ามุทราของวิถีพุทธจะใช้พลังอวตารกายาทองคำเป็นแหล่งพลังทำให้ผู้ใช้สามารถปล่อยลมปราณอันมหาศาลออกมาได้ แต่ในทางกลับกันกระบวนท่าเต๋า ฝ่ามือมุทรากลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง กระบวนท่านี้จะใช้พลังลมปราณที่มีอยู่รอบตัวเปลี่ยนให้กลายเป็นคลื่นพลังเพื่อโจมตีศัตรู กระบวนท่าทั้งสองนั้นถ้าหากไม่นับถึงเรื่องชื่อที่คล้ายกัน กระบวนท่าทั้งสองเป็นกระบวนท่าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พลังมุทราที่ถูกอัดแน่นได้พุ่งเข้าหาทหารรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธฝ่ายศัตรู
พั๊วะ! พั๊วะ! พั๊วะ!
ทหารเจ้าหน้าที่กระเด็นลอยไปหลังจากที่ถูกโจมตี มีเพียงผู้ฝึกยุทธบางคนเท่านั้นที่พอจะหนีเอาตัวรอดจากการโจมตีนี้ได้
“ถอยซะ! อย่าไปสู้กับเจ้านั่นตรงๆ “
“เตรียมพร้อมใช้เวทมนตร์คาถา! “
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธทั้งหลายพยายามแยกตัวกันออกไปเพื่อที่จะหลบคลื่นพลัง แต่ถึงแบบนั้นด้วยพลังวรยุทธที่ต่างกันมากเกินไปทำให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายไม่อาจที่จะป้องกันตัวจากคลื่นพลังได้ ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ถูกโจมตีจนล้มลง
ฝานเชียวควบคุมคลื่นพลังมุทราได้อย่างคล่องแคล่วราวกับสายน้ำที่พลิ้วไหว ในพริบตาเดียวเท่านั้นทหารกว่าหลายคนก็ถูกจัดการไป คลื่นพลังของฝานเชียวเปรียบเสมือนคลื่นทะเลยักษ์อันเกรี้ยวกราดที่ซัดเข้าใส่เหล่าศัตรูอย่างไม่ปรานี
เสียงผู้คนที่กำลังถูกโจมตีได้ดังขึ้น
ทหารที่หลุดรอดจากการโจมตีไปได้ถอยห่างออกไปมากขึ้น
ฝานเชียวพูดเสียงดังขึ้น “จะมีใครกล้าจะมาห้ามข้าอีกไหม? ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝานเชียวเดินทางมาที่นี่ ตัวเขารู้อยู่แล้วว่ามีกับดักเวทมนตร์คาถาอยู่ ถ้าหากการต่อสู้นี้ยืดเยื้อต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นยอดฝีมือจากพระราชวังก็จะมาถึง ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วการจะหนีเอาชีวิตรอดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
เสียงทุ้มของฝานเชียวได้ดังไปทั่วทุกทิศทาง เสียงของเขาดังไปทั่วทั้งโกดัง อาคารบ้านเรือน, สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงท่าเรือเองก็ได้ยินเสียงของเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ทหารทั้งหลายถอยกลับไปอีกครั้ง
“ถอยเร็วเข้า! ทุกคนถอย! “
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ทหารทั้งหลายถอยไปอย่างรวดเร็ว การถอยในตอนนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเอาชีวิตไปทิ้งแน่ ภารกิจของพวกทหารคือการปกป้องสถานที่แห่งนี้จนกว่าคนจากพระราชวังจะมาถึงเท่านั้น
สีหน้าของฝานเชียวดูโกรธมากกว่าเดิม ฝานเชียวที่เห็นท่าไม่ดีเริ่มใช้ขาของตัวเองกระแทกไปที่พื้นเพื่อที่จะลอยขึ้นไปกลางอากาศ ในตอนนั้นพลังร่างอวตารที่สูงกว่า 50 ฟุตก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
พลังร่างอวตารเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์น่ากลัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถอันห่างชั้นนี้เองทำให้เพียงแค่จ้องมองก็สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายอันน่ากลัว แน่นอนว่ายิ่งพลังร่างอวตารสูงมากแค่ไหน ความน่ากลัวของมันก็จะมีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
เมื่อฝานเชียวกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ในตอนนั้นพลังลมปราณก็ได้ไหลมารวมกันที่พลังร่างอวตารของเขา ฝานเชียวได้ปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงอีกครั้ง
คลื่นพลังมุทราได้กระจายตัวออกไปราวกับกลีบดอกไม้ที่ปลิวไสว
ลู่โจวลูบเคราตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะฝึกฝนคลื่นพลังมุทราจนสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้วนะ”
“สำเร็จเพียงส่วนหนึ่ง? “
สิ่งที่หยวนเอ๋อพอจะรู้จักมีเพียงเคล็ดวิชาหยกบริสุทธิ์เท่านั้น เธอไม่รู้จักหรือคุ้นเคยกับวรยุทธหรือกระบวนท่าอื่นๆ เลย
ลู่โจวพูดออกมาอย่างช้าๆ “กระบวนท่าเต๋า คลื่นพลังมุทราน่ะเป็นการควบคุมพลังลมปราณที่อยู่รอบๆ ตัวให้เป็นประโยชน์ คนที่ใช้กระบวนท่านี้มักจะควบคุมพลังลมปราณที่อยู่รอบตัวเพื่อกลั่นให้มันควบแน่นมากขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นคลื่นพลังเพื่อใช้สำหรับการโจมตี ส่วนกระบวนท่าฝ่ามือมุทราในแบบของวิถีพุทธจะเป็นการใช้พลังจากภายในร่างกายของตนเพื่อที่จะปลดปล่อยฝ่ามืออันทรงพลังออกไปแทน”
“แล้วกระบวนท่าแบบไหนกันที่ทรงพลังมากกว่ากันคะ ระหว่างทั้งสองกระบวนท่านี้? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาอย่างสงสัย
ลุ่โจวพยักหน้าก่อนที่จะใช้ความคิด ‘ดูเหมือนหยวนเอ๋อเองก็เป็นเด็กที่ใฝ่รู้ นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีเลย ในอนาคตเธอคนนี้จะต้องกลายเป็นคนดีได้อย่างแน่นอนถ้าหากฉันสั่งสอนเธอดีพอ’
“แต่ละกระบวนท่าน่ะมันก็มีข้อดีกันคนละแบบ การจะไปเปรียบเทียบตรงๆ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องหรอกนะ” ลู่โจวตอบกลับไป
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้า
“ติ้ง! สั่งสอนหยวนเอ๋อ ได้รับแต้มบุญ 100”
เมื่อสาวกทั้งสามของฝานเชียวได้ยินคำพูดของลู่โจว พวกเขาทั้งสามต่างก็รู้สึกตกใจขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็พอจะมีความรู้อยู่บ้างนิ ใช่แล้วท่านอาจารย์ของพวกเราได้ใช้กระบวนท่าเต๋าไป! ” สาวกหญิงได้พูดออกมาก่อนที่จะจ้องมองดูผู้เป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ “แต่ก็ไม่ใช่ว่ากระบวนท่าเต๋าจะไม่มีฝ่ามือมุทราหรอกนะ ฝ่ามือมุทราเต๋ามีทั้งหมด 12 ฝ่ามือด้วยกัน ยิ่งพลังวรยุทธของผู้ใช้มีมากเท่าไหร่ พลังฝ่ามือที่ปล่อยออกมาก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นพลังเต๋าไม่มีทางแพ้พลังวิถีพุทธง่ายๆ แน่”
ลู่โจวไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรมากนัก ‘เด็กหนอเด็ก ยังไงซะเด็กก็คงจะสู้ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนแบบตัวฉันไม่ได้หรอก’
ในเวลาเดียวกันเอง ผู้ฝึกยุทธและทหารทั้งหลายที่ไม่สามารถหลบการโจมตีได้ทันพวกเขาเหล่านั้นถูกสังหารตายไปในทันที เหล่าชาวยุทธและทหารในตอนนี้ไม่ต่างจากฝูงแมลงที่กำลังถูกไล่กำจัดอยู่ฝ่ายเดียว
ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังยุทธต่ำกว่าขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ล้วนแต่กระอักเลือดออกมาก่อนที่จะเสียชีวิตไป ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูเองก็ไม่สามารถต้านทานพลังโจมตีได้เช่นกัน พวกเขาเหล่านั้นได้ล้มลงกับพื้นก่อนที่จะดิ้นทุรนทุรายเจ็บปวดแสนสาหัส แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เองก็ถูกคลื่นพลังซัดจนกระเด็นไปไกล
ฝานเชียวรีบเรียกราชันย์ช้างด้วยมือเพียงข้างเดียว ในตอนนั้นเองเสียงเดินของมันก็ได้ดังกังวานไปทั่วพื้นที่
ราชันย์ช้างได้วิ่งออกมาจากป่า แม้ว่ามันจะไม่ได้วิ่งได้รวดเร็วอะไรมากมายนัก แต่ถึงแบบนั้นพลังทำลายในการเหยียบย่ำพื้นดินของมันก็ทรงพลังมากพอจนน่ากลัว
ทหารหลายคนไม่สามารถที่จะหลบราชันย์ช้างได้ทัน พวกเขาได้ตายทันทีหลังจากที่ถูกเหยียบ ทหารบางคนถูกงาราชันย์ช้างแทงก่อนที่จะถูกโยนไปไกล
“ไปกันได้แล้ว” ฝานเชียวได้หันมาพูดกับทุกคนก่อนที่จะหันกลับไป
ทหารและเหล่าผู้ฝึกยุทธไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ฝานเชียวอีกต่อไป ในตอนนี้พวกเขาทำได้แต่จ้องมองฝานเชียวอย่างหมดหวังเท่านั้น
“สาวน้อย เจ้าเองก็มากับข้าสิ” ฝานเชียวได้ลอยตัวลงมาอย่างช้าๆ พร้อมกับพลังร่างอวตารของเขา
ตู๊ม!
ทันทีที่ฝานเชียวลงมาถึงพื้น ในตอนนั้นแรงสั่นสะเทือนก็ได้กระจายไปทั่ว พลังนี้เองเปรียบเสมือนคำขู่ ทหารทั้งหลายรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธที่เหลืออยู่ไม่กล้าที่ขวางฝานเชียวอีกต่อไป
ฝานเชียวได้พยายามทอดสายตาไปมองจากระยะไกล ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “ดูเหมือนว่าคนของพระราชวังจะอยู่ที่นี่แล้วสินะ”
‘ฮืม? ทำไมสาวน้อยถึงไม่มากับข้าล่ะ? ‘ ฝานเชียวคิดเอาไว้ว่าหยวนเอ๋อจะต้องรีบมาหาตัวเขาด้วยความกลัว แต่สิ่งที่ฝานเชียวเห็นกลับผิดไปซะทุกอย่าง หยวนเอ๋อไม่แม้แต่จะกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอยังจ้องมองทุกอย่างอย่างอยากรู้อยากเห็น ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของเธอที่กำลังจ้องมองดูสถานการณ์ทุกอย่างกลับดูเรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างใจเย็น “ราชันย์ช้างน่ะหนีไม่ได้หรอก”
แม้ว่าราชันย์ช้างจะเป็นสัตว์ขี่ที่ทรงพลังมากแค่ไหน มันเปรียบได้เหมือนรถถังแนวหน้าดีๆ นี่เอง แต่ถึงแบบนั้นไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่สามารถที่จะบินได้อยู่ดี
ฝานเชียวจ้องไปที่หยวนเอ๋อก่อนที่จะรีบพูดชักชวนอีกครั้ง “สาวน้อย พวกเราจะต้องรีบไปก่อนที่จะสายเกินไป! “