My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 87
“เจ้าคิดว่าจะขังข้าไว้ในนี้ได้ยังงั้นหรอ? ” คำพูดของฝานซุยเหวินเต็มไปด้วยความมั่นใจ ท้ายที่สุดแล้วยอดฝีมือผู้มีวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งแปดแห่งร้อยวิถีย่อมมั่นใจในพลังของตัวเองอยู่แล้ว
กรงเหล็กทั้งสี่ด้านเริ่มหดตัวเล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ
ฝานซุยเหวินได้ถอยกลับหลังไปหลายกล้าว เขายกแขนขึ้นก่อนที่จะเริ่มใช้พลังฝ่ามืออีกครั้ง
ลู่โจวพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวชมเชยเขา “เคล็ดวิชาเต๋าล่องหนอย่างงั้นสินะ? ” นี่เป็นช่วงเวลาอันดีที่จะทดสอบความสามารถของกรงผนึกกักขัง กรงผนึกกักขังจะทนต่อพลังเคล็ดวิชาอันยิ่งใหญ่ได้ไหม?
ในพริบตานั้นเองฝานซุยเหวินก็ได้ปล่อยพลังฝ่ามือออกมา พลังฝ่ามือของเขาที่ซัดเข้าใส่กรงได้สะท้อนกลับมา
ตู๊ม!
กรงยังคงหดตัวต่อไป
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ภาพลวงตานับไม่ถ้วนได้หลุดออกมาอยู่ด้านในของกรงผนึก ภาพลวงตาทั้งหมดบ้าคลั่งราวกับว่ากำลังอาละวาดอยู่ในกรงในตอนนี้
สายตาของคนทั่วไปไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของภาพลวงตาที่ฝานซุยเหวินทิ้งเอาไว้ได้เลย ความเร็วของฝานซุยเหวินมันเร็วเกินกว่าที่จะตามได้ทัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฝานซุยเหวินได้เป็นอย่างดี
เสียงการต่อสู้ยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ แม้แต่เคล็ดวิชาสุดยอดที่ฝานซุยเหวินใช้ก็ยังไม่อาจทำให้ตัวเขาสามารถหลุดรอดออกมาจากผนึกกรงกักขังได้
ลู่โจวได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ‘เจ้านี่คงจะได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นแหละนะ โอกาสในการจับมีเพียง 30% แต่ถึงแบบนั้นก็ยังถูกจับได้แบบนี้’ หลังจากนั้นไม่นานเสียงการกระแทกก็ได้ดังขึ้น ผนึกกรงกักขังหดตัวอย่างรวดเร็ว มันหดตัวด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
แคล็ก!
ชุดเกราะและหน้ากากที่ฝานซุยเหวินใส่อยู่ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนนั้นเองใบหน้าที่แท้จริงของเขาก็เผยให้กับทุกคนได้เห็น ตอนนี้กรงหดเล็กจนผูกมัดร่างกายของเขาเอาไว้ได้
ลู่โจวมองไปที่ฝานซุยเหวินอย่างไม่แยแสก่อนที่จะมองผ่านเขาไปยังในที่ที่ไกลแสนไกล
ใบหน้าของฝานซุยเหวินได้เสียโฉมไป เพราะแบบนั้นเขาจึงดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ฝานซุยเหวินเคยก่อกรรมทำชั่วเมื่อนานมาแล้วกว่า 300 ปีก่อน เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจที่เขามีบาดแผลบนใบหน้าแบบนี้ได้ หลังจากนั้นเขาก็เลือกเส้นทางที่ต่างออกไปจากจีเทียนเด๋า เป็นเรื่องน่าขันสำหรับทุกคนที่ได้เห็นสารรูปอันน่าสมเพชของชายคนนี้
ลู่โจวได้เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “ตั้งแต่เริ่มจนจบ เจ้าน่ะประเมินตัวเองเอาไว้สูงเกินไป”
ในตอนนี้ฝานซุยเหวินเลิกที่จะดิ้นรนเอาตัวรอดอีกต่อไป ตัวเขารู้สึกได้ว่ากรงอันนี้ไม่เพียงแต่จะกักขังตัวเขาเอาไว้มันยังทำให้พลังยุทธของเขาหายไปอีกด้วย ฝานซุยเหวินพยายามที่จะเดินพลังลมปราณของเขาแต่ถึงแบบนั้นมันก็เปล่าประโยชน์ ตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้พยายามใช้ความคิดเพื่อที่จะหาทางหนีอีกต่อไป ตัวเขาได้เหลือบมองไปยังลู่โจว สายตาของเขาในตอนนี้ยังไม่อยากที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ที่มี
ลู่โจวเหมือนจะไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย เขายังมีท่าทีเฉยเมยราวกับว่าตัวเขาได้วางแผนเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว
“ทะ…ท่านผู้อาวุโส…ท่านต้องการอะไรกันแน่? ” ฝานซุยเหวินรู้สึกสับสน ความแข็งแกร่งของศาลาปีศาจลอยฟ้ามันแข็งแกร่งกว่าที่ตัวเขาได้คาดคิดเอาไว้มาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนแต่เกิดความคาดหมายของเขาไปทั้งหมด
ลู่โจวได้เอ่ยปากถามออกมาอย่างเยือกเย็น “ใครที่เป็นผู้บงการเบื้องหลังเหตุการณ์กวาดล้างหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์? “
ฝานซุยเหวินไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามหาปรมาจารย์วายร้ายคนนี้จะเอาชนะอัศวินดำทั้งหมดเพื่อเพียงศิษย์ทรยศคนเดียวเท่านั้น ฝานซุยเหวินได้ไอออกมาก่อนที่จะหันหน้านี้ไป
ลู่โจวไม่ได้รู้สึกใจร้อนขึ้นมาแต่อย่างใด “ข้าน่ะยังมีเวลาเหลืออีกมาก…เจ้าน่ะไม่ต้องรีบหรอก”
“เวลาอย่างงั้นหรอ? ” ฝานซุยเหวินหัวเราะออกมาเบาๆ “15 ปี…ข้าให้เวลาท่านแค่ 15 ปี เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะไม่มีใครจำท่านได้แล้วล่ะ”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ยกมือตอบกลับไปในทันที “ข้าไง ข้าน่ะจำท่านอาจารย์ได้เสมอ”
“…” ฝานซุยเหวินมองไปที่เด็กสาวตัวน้อยโดยไร้ซึ่งคำพูด
ลู่โจวได้พูดออกมาอีกครั้ง “นั่นมันไม่สำคัญหรอก”
“ท่านผู้อาวุโส ท่านน่ะไม่อยากที่จะฆ่าข้า อัศวินดำทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่เตรียมใจมาด้วยกันทั้งหมดแล้ว แม้ว่าท่านจะสังหารพวกเราทั้งหมดไป แต่ถึงแบบนั้นท่านก็จะไม่ได้จากพวกเราไปอยู่ดี”
“ดื้อรั้นซะจริง! ” ลู่โจวได้ส่ายหัวออกมาเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็เลิกจ้องมองฝานซุยเหวิน เขาคนนี้ได้ใช้เวลากว่า 300 ปีด้วยกันกับการที่เป็นอัศวินดำ มันเป็นเวลานานมากพอที่จะทำให้เขาปิดปากเงียบเรื่องทุกอย่างไม่ยอมขายความลับได้ คนอย่างฝานซุยเหวินนั้นไม่กลัวแม้ว่าจะถูกขู่เข็ญด้วยความตายก็ตาม
ลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้ดูรีบร้อนอะไร แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในยุทธภพจะคิดเอาไว้แล้วว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ยืนยาวได้อย่างมากก็สิบปีเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีวรยุทธมากมายขนาดไหนก็ไม่อาจที่จะฝืนกฎแห่งเวลาได้
…
ที่ด้านนอกศาลาปีศาจลอยฟ้า
ด้วนมู่เฉิงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากที่ผลิดอกบัวของร่างอวตารได้ พลังลมปราณของเขาไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย มันไหลเวียนอย่างรุนแรงและทรงพลัง ด้วยพลังที่อัดแน่นอยู่ภายในตัวทำให้เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของอัศวินดำทั้งสองคนก่อนที่จะมาถึงตัวเองอย่างง่ายดาย
การต่อสู้ของทั้งสามคนรุนแรงมากขึ้น แม้แต่พื้นหินหน้าศาลาปีศาจลอยฟ้าเองยังพังยับเยิน แต่ถึงแบบนั้นในเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องข้าวของทั่วไป
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะสังเกตการณ์ต่อสู้ต่อไปอย่างใจเย็น ทั้งสามคนได้ซัดพลังเข้าใส่กันอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ หลังจากที่เห็นแบบนั้นลู่โจวก็เริ่มเอ่ยปากพูดขึ้น “ช้าเกินไป” เสียงของเขาได้ถูกขยายผ่านพลังลมปราณไปถึงหูของด้วนมู่เฉิง
ด้วนมู่เฉิงเข้าใจคำพูดของผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ดี ในตอนนั้นเองเขาก็เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้มากขึ้น ในตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นหอกราชันที่อยู่บนมือของเขาได้อีกต่อไป ภาพเงาสะท้อนที่ถูกทิ้งไว้ได้อยู่ทั่วทั้งสนามการต่อสู้
อัศวินดำทั้งสองถึงกับผงะขึ้นมา หลังจากที่การต่อสู้เริ่มขึ้นจนมาถึงตอนนี้ การที่จะเก็บพลังเอาไว้เพื่อรักษาความเร็วและพละกำลังของตัวเองที่มีเป็นเรื่องยากมาก แต่ถึงแบบนั้นด้วนมู่เฉิงก็ยังเพิ่มทั้งความเร็วและพละกำลังได้ ดูเหมือนว่าพลังทั้งสองอย่างจะเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นไปอีก!
‘นี่มันสัตว์ประหลาด! ‘
ลู่โจวได้ชี้ไปยังที่การต่อสู้ที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดและพูดขึ้น “เล่วลั้วเจ้าน่ะไม่เพียงแต่จะประเมินพลังของตัวเองสูงเกินไป เจ้าน่ะก็ยังประเมินพลังของพวกเราศาลาปีศาจลอยฟ้าน้อยไปอีกด้วย”
เห็นได้ชัดว่าด้วนมู่เฉิงในตอนนี้เร็วขึ้นเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นอัศวินดำทั้งสองรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพเงาลวงตาที่ถูกทิ้งเอาไว้มีมากขึ้นทุกที ดูเหมือนว่าการโจมตีของพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ได้ผลอะไรกับด้วนมู่เฉิงเลย
ถ้าหากใช้พลังของหอกราชันได้อย่างเต็มที่ ด้วนมู่เฉิงจะสามารถทำลายพลังร่างอวตารของฝ่ายศัตรูได้แน่
อัศวินดำทั้งสองเริ่มถูกโจมตีจนถอยร่นไปเรื่อยๆ พร้อมกับพลังร่างอวตาร
“เป็นไปไม่ได้! ” ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งจะผลิกลีบดอกแรกจะเอาชนะผู้ที่มีพลังร่างอวตารกลีบดอกบัวสองดอกและกลีบดอกบัวสามดอกในเวลาเดียวกันแบบนี้ได้ เป็นไปได้ยังไง!
เมื่อด้วนมู่เฉิงพุ่งไปโจมตี ลู่โจวก็ได้พูดกับเขา “เจ้าน่ะจะใช้สุดยอดเคล็ดวิชาเมื่อไหร่กันถ้าไม่ใช่ตอนนี้? “
พลังที่แข็งแกร่งที่สุดมักจะถูกเรียกว่าเคล็ดวิชาสุดยอด เคล็ดวิชาสุดยอดมักจะกินพลังลมปราณของผู้ใช้จนแทบที่จะหมดหายไป ดังนั้นนี่เป็นเหมือนกับไม้ตายที่ไม่สามารถใช้อย่างประมาทได้
แต่ถึงแบบนั้นด้วนมู่เฉิงคนนี้กลับดูเหมือนกับเครื่องจักรที่มีพลังลมปราณอยู่ในตัวอย่างไม่จำกัด เขาไม่ได้แสดงความเหนื่อยล้าหรือชะลอตัวในการต่อสู้เลย และเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้เป็นอาจารย์แล้วตัวเขาก็มั่นใจมากขึ้น ด้วนมู่เฉิงที่ถือหอกเอาไว้ได้นึกถึงเคล็ดวิชาสุดยอดที่ตัวเขาเพิ่งจะฝึกฝนได้ เคล็ดวิชาที่ถูกสอนโดยลู่โจว หอกและดาบนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่เครื่องมือ มันไม่ใช่จุดสิ้นสุด ในตอนนั้นด้วนมู่เฉิงก็ได้กู่ร้องออกมา “เคล็ดวิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์! “
ในที่สุดเงาของหอกนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะลอยต่ำลง
“ถอยเร็ว! ” อัศวินดำคนหนึ่งได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่ถึงแบบนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เกราะป้องกันของอัศวินดำทั้งสองคนถูกทำลายไปโดยหอกราชัน ในตอนนั้นการโจมตีของหอกได้พุ่งใส่พวกเขาทั้งสองคนจากทั่วทุกทิศทาง ด้วยการแทงอย่างรวดเร็วทำให้อัศวินทั้งสองลอยกระเด็นถอยไป
ตู๊ม!
อัศวินดำทั้งสองกระเด็นลอยก่อนที่จะตกลงสู่พื้น เลือดได้ไหลออกจากปากรวมไปถึงบาดแผลที่อยู่บนไหล่ อัศวินดำทั้งสองพยายามที่จะใช้มือกดบาดแผลเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ พวกเขาทั้งสองจ้องมองด้วนมู่เฉิงด้วยความกลัว พวกเขาได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ด้วนมู่เฉิงไม่ได้ใช้ทั้งแผนการรับมือหรือแผนลอบโจมตี ด้วนมู่เฉิงได้เอาชนะพวกเขาทั้งสองคนได้อย่างใสสะอาด
สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม เขาลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ด้วนมู่เฉิงที่สามารถคว้าชัยชนะมาได้ได้ชูหอกราชันขึ้นสูงขึ้นฟ้าอย่างมั่นใจ เขารู้สึกภาคภูมิใจมาก หลังจากนั้นเขาก็ได้ย่อตัวลงก่อนที่จะคุกเข่า ด้วนมู่เฉิงได้หันมาคารวะลู่โจว “ขอบคุณสำหรับชี้แนะท่านอาจารย์! ศิษย์ดีใจจริงๆ ที่ไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังได้! ” หลังจากที่พูดขอบคุณเสร็จแล้วเขาก็ได้ใช้หอกราชันชี้ไปที่ยู่จงและด้วนฉานจง พวกเขาทั้งสองไม่สามารถที่จะขยับได้อีกต่อไป
ฝานซุยเหวินจับลูกกรง ดวงตาของเขาไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
“มีอีกอย่าง…” ลู่โจวพูดออกมาอย่างเย็นชา
ฝานซุยเหวินกลืนน้ำลายของตัวเอง ความมั่นใจและความองอาจในตอนแรกของเขาในตอนนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“ข้าคนนี้ช่างไร้ประโยชน์ซะจริง! “
“ข้าคนนี้ช่างไร้ประโยชน์ซะจริง! “
ยู่จงและด้วนฉานจงพูดออกมาพร้อมๆ กันด้วยความละอายใจ
เมื่อได้ยินแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ได้พูดขึ้น “ไม่จำเป็นจะต้องบอกว่าตัวเองไร้ประโยชน์หรอกนะพวกเจ้าน่ะพ่ายแพ้ให้กับท่านอาจารย์ ชายผู้แข็งแกร่งมากที่สุดในโลกยุทธภพเจ้าน่าจะได้เรื่องคุยโม้โอ้อวดไปอีกนานมากกว่านะ!”
ด้วนมู่เฉิงเกาหัวของตัวเองก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างในใจ ‘ข้าไม่ใช่คนที่เอาชนะเจ้าพวกนี้หรอกหรอ? ‘