My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 74
อำนาจของวิหารปีศาจแผ่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ยอดฝีมือหลายคนที่เห็นแบบนั้นจึงเลือกที่จะเข้าร่วมกับวิหารปีศาจ และเพราะเหตุนั้นเองปัจจุบันวิหารปีศาจจึงเป็นเหมือนกับเสือที่ติดปีกไป
ก่อนหน้านี้สีวู่หยาเคยได้ยินมาก่อนว่าเรนบู้ผิง เจ้าสำนักวิหารปีศาจได้เก็บตัวอย่างสันโดษเพื่อที่จะฝึกวรยุทธของตัวเอง ในบางครั้งสีวู่หยาเคยได้ยินข่าวมาว่าเจ้าสำนักคนนี้สามารถพัฒนาวรยุทธจนล้ำหน้ามากขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่เคยยืนยันข่าวได้เลย การเติบโตของวิหารปีศาจเองส่งผลกระทบโดยตรงกับลัทธิแห่งความมืด และยังสิ่งผลโดยตรงต่อสำนักทางใต้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองสีวู่หยาจึงส่งสายลับออกไปเพื่อจับตามองเรนบู้ผิงคนนี้เอาไว้ เมื่อเรนบู้ผิงคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่สีวู่หยาจะรู้ตัวตลอดเวลา
เรนบู๊ผิงไม่ใช่คนเดียวที่เก็บตัวฝึกฝนวรยุทธอย่างสันโดษ กงหยวนจากวิหารแห่งความว่างเปล่า, ลู่ซิงคง อดีตเจ้าสำนักดาบสวรรค์, ฉางเซี่ยน อัจฉริยะแห่งลัทธิขงจื๊อ ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่ได้พ่ายแพ้ให้กับภูเขาทอง พวกเขาทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันไปฝึกวรยุทธในทางของตัวเองเพื่อหวังว่าวันหนึ่งวรยุทธของพวกเขาจะพัฒนามากขึ้น แต่ถึงแบบนั้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีข่าวว่าพวกเขาสามารถพัฒนาฝีมือได้แม้แต่ข่าวเดียว
สีวู่หยาที่ได้ยินข่าวมาได้แต่ใช้ความคิดกับตัวเอง ‘ถ้าหากเรนบู้ผิงสามารถพัฒนาวรยุทธได้จริงๆ แล้วเจ้านั่นจะเลือกทำอะไรกัน? จะเลือกขยายอิทธิพลของวิหารปีศาจเพื่อหาทางแก้แค้นศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? ‘ หลังจากที่คิดได้แบบนั้นเขาก็หันไปหาซู่ฮ่องกงก่อนจะเอ่ยปากพูด “ศิษย์น้องแปด เจ้าคิดเห็นว่ายังไงกัน? “
ซู่ฮ่องกงกำลังครุ่นคิดความเป็นไปได้ที่พอจะคิดออกก่อนจะพูดขึ้น “ข้าคิดว่านักบวชผู้อาวุโสผู้ใช้ฝ่ามือวัชระคนนั้นอาจจะเป็นมิตรสหายกับท่านอาจารย์น่ะ”
“ท่านอาจารย์น่ะไม่ชอบเป็นพันธมิตรกับใครก็จริง แต่ในเวลานี้น่ะทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นก็ใช่ว่าเรื่องที่ข้าผู้จะเป็นไปได้เลยสักทีเดียว ถ้าหากข้าเป็นท่านอาจารย์ข้าก็คงจะต้องหาทางทำอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดแล้วศาลาปีศาจลอยฟ้าก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”
ดวงตาซู่ฮ่องกงเบิกกว้างขึ้น “หรือว่าท่านอาจารย์รับศิษย์คนใหม่กัน? “
“ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นใช่ศิษย์สาวกของท่านอาจารย์ บางทีก็เป็นไปได้ว่าคนคนนั้นอาจจะเป็นคนของท่านอาจารย์เฉยๆ ก็เป็นได้ นอกจากนี้ม่านพลังป้องกันภูเขาทองเองก็ยังได้รับการซ่อมแซมจนกลับคืนมาแล้วด้วย ถ้าหากพวกเราจะเคลื่อนไหวจริงข้าคิดว่ารอให้ท่านอาจารย์สิ้นอายุขัยไปก่อนจะดีกว่า”
“คนของท่านอาจารย์อย่างงั้นหรอ? ศิษย์พี่เจ็ดทำไมพวกเราไม่กลับไปยังศาลาปีศาจกันซะละ? ” ซู่ฮ่องกงเสนอคำแนะนำขึ้น
สีวู่หยาไม่ได้ตอบกลับอะไรมา เขาเพียงแค่จ้องมองซู่ฮ่องกงด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความเย็นชา ในตอนนั้นเองความเหน็บหนาวยะเยือกก็ได้ปกคลุมไปทั่วกระดูกสันหลังของซู่ฮ่องกง
ในห้องลับภายในศาลาปีศาจลอยฟ้าบนภูเขาทอง
ลู่โจวเหลือบมองไปที่แต้มบุญของเขาที่มีอยู่ เขามีแต้มบุญถึง 5,010 แต้มด้วยกัน ตัวเขาไม่ได้รับแต้มบุญมากมายอะไรนักจากแท่นทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ลู่โจวได้แต่ใช้ความคิดอยู่เงียบๆ ‘แต้มบุญ 5,000 เพียงพอแล้วที่จะซื้อพลังร่างอวตารสี่กายาได้ และถ้าหากซื้อพลังร่างอวตารมาพลังวรยุทธของฉันก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่มันจะดีแล้วจริงๆ หรอที่ใช้แต้มบุญทั้งหมดเพื่อซื้อพลังอวตาร? ‘ ลู่โจวได้ลังเลแล้วลังเลอีก
ลู่โจวไม่คิดว่ามันคุ้มค่าเท่าไหร่นักถ้าหากจะคำนวณกันที่ตัวเลขอย่างเดียว ครั้งหนึ่งตัวเขาเคยจับฉลากนำโชคจนได้ค่าความโชคดีทั้งหมด 66 แต้ม และค่าความโชคดีนั้นเองก็ทำให้ตัวเขาจับฉลากได้การ์ดพลังชีวิต แต่ถึงแบบนั้นกว่าที่จะสะสมค่าความโชคดีได้เยอะขนาดนั้นตัวเขาก็มีโอกาสที่จะลุ้นของรางวัลใหญ่ซะก่อน แต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ลู่โจวในตอนนี้มีเพียงแต้มบุญ 5,000 แต้มของเขาเท่านั้น ตัวเขาได้ใช้ค่าความโชคดีไปทั้งหมดแล้ว “หรือว่าฉันควรจะรอให้แต้มบุญมีมากกว่านี้กัน”
ยังไงซะบนภูเขาทองก็ยังเป็นที่ปลอดภัยสำหรับลู่โจว ตัวเขาคงมีเวลาที่จะสะสมแต้มบุญอีกครั้ง เมื่อคิดได้แบบนั้นตัวเขาจึงตัดสินใจที่จะเลือกเพิ่มวรยุทธของตัวเอง ยังไงของอย่างการ์ดพิเศษก็สามารถใช้ได้ผลกับศัตรูเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าหากเขาไม่โชคดีเหมือนกับในตอนที่อยู่ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรที่จะสามารถรับประกันได้เลยว่าตัวเขาจะสามารถประลองตัวต่อตัวกับศัตรูไปได้ตลอด
ลู่โจวพยายามควบคุมตัวเองให้ซื้อพลังร่างอวตารจตุกายาอีกครั้ง
“ติ้ง! คุณได้รับอวตารจตุกายา” เมื่อเสียงการแจ้งเตือนของระบบดังขึ้น พลังอวตารเดิมอย่างตรีบุปผาของลู่โจวก็ได้หายไป พลังร่างอวตารจตุกายาเข้ามาแทนที่พลังร่างอวตารเดิม ลู่โจวสามารถรู้สึกได้ว่าจุดควบคุมพลังลมปราณหลักกำลังปล่อยพลังอันเอ่อล้นออกมา ด้วยพลังร่างอวตารใหม่ตัวเขาจึงสามารถทะลวงจุดตันเถียน จุดศูนย์รวมพลังลมปราณของตัวเขาได้ จุดควบคุมพลังลมปราณหลักของเขาเติบโตพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วรยุทธระดับสังหรณ์หยั่งรู้เองจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ในที่สุดลู่โจวก็สามารถพัฒนาตัวเองจนมีวรยุทธสังหรณ์หยั่งรู้ขั้นสูงสุดได้ ลู่โจวได้ใช้พลังลมปราณที่เอ่อล้นออกมาเติมเต็มจุดพลังลมปราณหลักโดยใช้เวลาไม่นาน
ตอนนี้ลู่โจวเหมือนกับกำลังยืนอยู่บนเส้นด้ายที่แบ่งตัวเขาระหว่างฟากฟ้าและผืนพสุธาไว้ มีเพียงความอดทนของเขาเท่านั้นที่จะกำหนดเป้าหมายปลายทางในครั้งนี้ ถ้าหากจุดพลังลมปราณของลู่โจวสามารถดูดซับพลังลมปราณได้มากเท่าไหร่ ขนาดของเส้นลมปราณรวมไปถึงขนาดของจุดตันเถียนที่เป็นส่วนสำคัญในการใช้พลังยุทธก็จะขยายใหญ่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ลู่โจวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ เขาเคยเป็นถึงปรมาจารย์มหาวายร้ายผู้มีวรยุทธล้ำเลิศในยุทธภพมาก่อน จุดตันเถียนและเส้นพลังลมปราณของเขาเคยขยายใหญ่ แข็งแกร่งไร้เทียมทานเมื่อนานมาแล้ว!
เมื่อจุดพลังลมปราณหลักสามารถเก็บสะสมพลังลมปราณจนทะลวงขีดจำกัดออกมาได้แล้ว ในตอนนั้นราวกับว่าประตูระบายน้ำของแม่น้ำแยงซีได้ถูกเปิด ลู่โจวไม่สามารถหยุดตัวเองได้เลย พลังวรยุทธของเขากำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
ลู่โจวรีบนั่งสมาธิลง ตัวเขาพยายามทำสมาธิอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล้าที่จะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ลู่โจวพยายามมุ่งมั่นพัฒนาวรยุทธของตัวเองให้มากที่สุด
นอกเหนือจากนั้นลู่โจวยังสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ในตอนแรกที่ตัวเขาเปิดระบบได้ ตัวเขามีวรยุทธอยู่ที่ขั้นพักผ่อนร่างกายระดับ 9 เท่านั้น วรยุทธพักผ่อนร่างกายจะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธพัฒนากล้ามเนื้อ, กระดูก และผิวหนัง จีเทียนเด๋าเคยฝึกในขั้นตอนนี้มาแล้วดังนั้นลู่โจวที่ได้ใช้ร่างของจีเทียนเด๋าจึงไม่ต้องฝึกฝนในส่วนนี้อีก ส่วนวรยุทธทั้ง 5 ระดับในขั้นรู้แจ้งและวรยุทธในขั้นสังหรณ์หยั่งรู้เองตัวเขาก็เคยฝึกฝนมาแล้วเช่นกัน
ในตอนนี้วรยุทธที่ลู่โจวมีขึ้นอยู่กับพลังร่างอวตารที่มีและปริมาณพลังลมปราณที่จุดพลังลมปราณหลักเก็บสะสมได้ ด้วยเส้นพลังลมปราณทั้งแปดที่เชื่อมเข้าหากัน ถ้าหากเขามีพลังร่างอวตารที่สูงมากพอตัวเขาก็สามารถพัฒนาเส้นพลังลมปราณทั้งแปดอย่างพร้อมเพรียงกันได้
“เคล็ดอักษรสวรรค์” อยู่ดีๆ ลู่โจวก็นึกถึงเคล็ดอักษรสวรรค์ขึ้นมา เขารู้สึกว่าในตอนนี้ตัวเขาจะต้องเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้ง่ายขึ้นแน่ ตัวเขาทั้งสงบเยือกเย็นและมีสมาธิอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ลู่โจวจึงเลือกที่จะอ่านเคล็ดอักษรสวรรค์แทน ทันทีที่เปิดเคล็ดอักษรสวรรค์ขึ้นมา ลู่โจวก้ได้จ้องมองไปยังเนื้อหาที่ซับซ้อนในทันที
หมิงซี่หยินได้กักขังจ้าวยู่เอาไว้ในถ้ำแห่งเงาสะท้อน
เมื่อจ้าวยู่ได้เข้าไปในถ้ำแห่งเงาสะท้อน เธอก็พบกับยี่เทียนซิน ผิวหนัง, เส้นผมของเธอทั้งหมดซีดเซียวไปหมดแล้ว ยี่เทียนซินในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก
หมิงซี่หยินผู้ที่พาจ้าวยู่มาได้อธิบายขึ้น “วรยุทธของยี่เทียนซินน่ะถูกทำลายโดยท่านอาจารย์ไป…เธอในตอนนี้น่ะไม่มีวรยุทธอีกต่อไป และเพราะแบบนั้นการที่ร่างกายของเธอจะอ่อนแอลงจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะถ้าหากเธอจะอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีแบบนี้”
เมื่อจ้าวยู่ได้ยินแบบนั้นเธอก็รู้สึกตกตะลึงก่อนจะคิดอะไรบางอย่าง ‘ศิษย์น้องทำอะไรกันถึงได้รับโทษหนักแบบนี้? ‘ หลังจากที่รู้ความจริงจ้าวยู่ก็รู้สึกโชคดีที่ยังคงมีพลังยุทธอยู่ในตัว เธอไม่กล้าพอที่จะท้าทายอาจารย์เหมือนกับยี่เทียนซิน เธอรู้สึกว่าการไม่มีพลังวรยุทธก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ตายไปแล้ว หลังจากนั้นจ้าวยู่ก็ได้คิดกับตัวเองต่อไป ‘โชคดีที่ข้าไม่ได้ทำผิดร้ายแรงเหมือนกับศิษย์น้องยี่เทียนซินทำ’
“ศิษย์น้องจ้าวยู่ ครั้งนี่น่ะ…เจ้าโชคดีมากที่กลับมาได้โดยไม่ถูกท่านอาจารย์ลงโทษ ท่านอาจารย์บอกให้ขังเจ้าไว้กับศิษย์น้องเพื่อที่จะให้เจ้าไตร่ตรองตัวเอง ได้โปรดอย่าตำหนิศิษย์พี่คนนี้เลยนะ” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
จ้าวยู่ที่ได้ยินแบบนั้นได้พยักหน้าก่อนจะพูดออกมา “ข้ารู้สึกขอบคุณศิษย์พี่มากกว่า…ข้าไม่กล้าที่จะตำหนิท่านหรอก” เมื่อเทียบกับนิสัยอันประหลาดของท่านอาจารย์ จ้าวยู่รู้สึกชอบศิษย์พี่คนนี้มากกว่าเยอะ อย่างน้อยๆ เธอก็จะมีศิษย์พี่คนนี้คอยรับฟังปัญหาอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวยู่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีเหมือนกับในอดีต
ในตอนที่ยี่เทียนซินได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน เธอคนนี้ก็ได้เงยหน้าขึ้น เธอมองไปที่จ้าวยู่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของเธอ แววตาของเธอได้พบเข้ากับความประหลาดอะไรบางอย่าง “เวทมนตร์…คาถา…”
หมิงซี่หยินพยักหน้าก่อนที่จะตอบไป “ใช่ มันคือเวทมนตร์คาถา…ศิษย์น้องยี่เทียนซิน เจ้าน่ะได้ท่องโลกภายนอกมา เจ้าน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ”
ยี่เทียนซินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบกลับไป “การกำจัดเวทมนตร์คาถาได้…เหล่าผู้ฝึกยุทธน่ะไม่สามารถยกเลิกผลของมันได้ง่ายๆ หรอกนะ ในตอนนี้ศิษย์พี่ก็ไม่ต่างอะไรจากข้า…ศิษย์พี่น่ะเผชิญกับชะตากรรมแบบเดียวกันกับข้า ข้าน่ะสงสัยซะจริงว่าใครกันจะเป็นคนต่อไป? “
จ้าวยู่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ถามออกมาอย่างสับสน “ศิษย์น้องหญิง เจ้าน่ะแค้นเคืองอะไรท่านอาจารย์ขนาดนั้น? ” จ้าวยู่ได้จ้องมองไปยังใบหน้าของยี่เทียนซินที่ซีดเซียวราวกับสีของเศษกระดาษ
หมิงซี่หยินที่ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้องยี่ เจ้าน่ะอยากที่จะอยู่ในถ้ำนี่ไปตลอดชีวิตเลยอย่างงั้นหรอ? ” ถ้าหากเธอไม่เปลี่ยนวิธีคิดแล้วล่ะก็ เธอจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปแน่
“แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ? ในเมื่อข้าในตอนนี้ที่สูญเสียพลังยุทธไปหมดแล้วข้าก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว”
“เจ้าคนดื้อด้าน! ” หมิงซี่หยินส่ายหัว
ในตอนนั้นเองเสียงสะท้อนของพลังลมปราณก็ได้ดังเข้ามาถึงหูของหมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อไป “เจ้าทั้งสองคนควรที่จะคิดทบทวนการกระทำของพวกเจ้าที่นี่ซะ ข้าน่ะจะเป็นคนมาเยี่ยมพวกเจ้าทุกวันเอง”
“ขอบคุณมากศิษย์พี่” จ้าวยู่พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“ติ้ง! สั่งสอนจ้าวยู่สำเร็จ ได้รับแต้มบุญ 100 แต้ม ค่าความจงรักภักดีเพิ่ม 5%”
หมิงซี่หยินได้เดินออกมานอกถ้ำ เขามองไปยังทิศที่เสียงสะท้อนดังขึ้น ที่ที่เสียงดังขึ้นคือศาลาปีศาจลอยฟ้านั่นเอง แม้ว่าเสียงสะท้อนของพลังลมปราณจะละเอียดอ่อนมาก แต่ตัวเขาก็สามารถรับรู้ได้ “มีใครบางคนกำลังเดินพลังลมปราณในศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? มีผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูเข้ามาที่ภูเขาทองได้ยังไงกัน? ” หมิงซี่หยินรู้สึกสับสน ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้ามาก็เข้ามาได้ “เด็กหลงทางอย่างงั้นสินะ ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เอง! “