My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 618 ผู้ที่ขวางทาง
ตอนที่ 618 ผู้ที่ขวางทาง
มันเป็นภาพที่ชวนน่าขนลุกนิดหน่อย ถ้าหากยู่ฉางตงไม่ได้เตรียมใจมาตั้งแต่แรก ตัวเขาก็คงจะตกใจเช่นกันเมื่อได้เห็นภาพนี้
ยู่ฉางตงเฝ้ามองแขนข้างนั้น ที่นิ้วและผิวดูอ่อนเยาว์ มันดูไม่เหมือนกับแขนของผู้ฝึกกระบี่เลย
ยู่ฉางตงส่ายหัว “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้โชคดีที่สุดสินะ”
เมื่อชาวว่เฉียนให้กําเนิดใหม่ มีเพียงผู้โชคดีเท่านั้นที่จะฟื้นคืนชีพจนกลับกลายมามีสภาพร่างกายเดิม แต่ถ้าหากโชคร้าย คนคนนั้นจะต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ยังเป็นทารก ถ้าหากอายุขัยเหลือไม่มาก ทารกคนนั้นก็อาจจะตายก่อนที่จะได้ดื่มนมด้วยซ้ํา แต่ถ้าหากพิจารณาจากรูปร่างของแขนแล้ว ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ก็ยังไม่ได้แย่ไปหมดซะทีเดียว
พรึบ!
ในที่สุดในส่วนหนึ่งก็ถูกผลักออกจากตัว เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บนพื้นดิน ร่างกายของชายคนนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร
แม้ว่ายู่ฉางตงจะดูสงบเยือกเย็น แต่ภายในใจของตัวเขายังคงตื่นตระหนก ยู่ฉางตงตกใจที่ได้เห็นชาวอู่เฉียนคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่โคลนแห้งผากจึงเป็นธรรมดาที่ดินจะเกาะติดร่างกายของชายคนนั้น ดินที่เคยเกาะติดหลุดออกจากร่างกายที่ละนิด
ยู่ฉางตงเฝ้ามองรูปลักษณ์ของยู่เฉิงไห่ต่อไป ตัวเขาพบว่าความสูงของยู่เฉิงไห่ลดลงเป็นอย่างมาก ยู่เฉิงไห่ดูคล้ายกับชายหนุ่มมากขึ้น ทั้งใบหน้า ร่างกาย สีผม อะไรหลายอย่างยังคงถูกดินเกาะติด เพราะแบบนั้นยู่ฉางตงจึงเห็นรูปลักษณ์ของผู้เป็นศิษย์พี่อย่างคลุมเครือ สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือดวงตาของยู่เฉิงไห่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความ…สูญเสีย
ชายหนุ่มคนนั้นไม่คิดที่จะเคลื่อนไหวในทันที เขาเลือกที่จะเหลือบมองภูเขา แม่น้ํา รวมไปถึงแดนเถ้ากระดูกและป่าที่อยู่ใกล้เคียง และท้ายที่สุดเขาก็เหลือบมองมายังยู่ฉางตงที่ลอยอยู่ไม่ไกล
ยู่ฉางตงยิ้มให้อย่างเบาๆ “อืม อย่างน้อยท่านก็ยังไม่ตาย”
“ยังไม่ตาย?” ชายหนุ่มถามกลับมา
“ศิษย์พี่ใหญ่…จากนี้เป็นต้นไปท่านจะต้องช่วยเหลือตัวเอง” ยู่ฉางตงกล่าวอย่างเฉยเมย ข้าได้ทําอะไรมากมายหลายอย่างตลอดการเดินทางนี้ มันถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องทําหน้าที่ของท่าน
ยู่เฉิงไห่วัยหนุ่มถามกลับมาด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นใครกัน? ใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ แล้วเจ้าบินแบบนั้นได้ยังไง?”
“…” ยู่ฉางตงตกตะลึง ตัวเขาเฝ้ามองร่างกายที่เต็มไปด้วยเศษดินของยู่เฉิงไห่อีกครั้ง ตัวเขาไม่รอช้ารีบใช้พลังฝ่ามือควบคุมน้ําสะอาดที่อยู่ใกล้ก่อนที่จะซัดมันเข้าใส่ยู่เฉิงไห่
เมื่อยู่เฉิงไห่เห็นทุกอย่างตัวเขาก็ได้แต่ตกตะลึง ยู่เฉิงไห่เลือกที่จะวิ่งหนีแต่ไม่ว่าจะทําไงตัวเขาก็ถูกน้ําล้อมไว้หมดแล้ว น้ําได้เคลื่อนตัวผ่านยู่เฉิงไห่อย่างรวดเร็ว เมื่อยู่เฉิงไห่ถูกทําความสะอาดร่างกายก็เผยให้เห็นร่างกายของชายหนุ่มวัยเยาว์ ดวงตาของยู่เฉิงไห่ได้แต่เหลือบมองยู่ฉางตงอย่างตกตะลึง
ยู่ฉางตงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน “ท่านจําไม่ได้เหรอ?”
“จําอะไร?”
“ชื่อของท่าน”
ชายหนุ่มส่ายหัวปฏิเสธ
ยู่ฉางตงถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์น้องเจ็ดเคยพูดถึง ทําไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่กําเนิดใหม่?” ยู่ฉางตงที่คิดไปก็ไม่ได้คําตอบได้ใช้พลังฝ่ามือควบคุมเสื้อผ้าให้ลอยไปหาผู้เป็นศิษย์พี่ ยู่ฉางตงเตรียมเสื้อผ้าทั้งหมดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว “สวมมันซะ..”
ยู่เฉิงไห่สวมชุดให้กับตัวเอง มันเป็นชุดที่ดูใหญ่เกินไปสําหรับร่างกายของยู่เฉิงไห่ในตอนนี้
“ตามข้ามา
“ทําไม?”
“ทําไม? ทําไมที่ว่าหมายความว่าไงกัน?”
“ข้าไม่ไป
“?” ยู่ฉางตงบินลงมาก่อนที่จะลงสู่พื้นตรงหน้าของยู่เฉิงไห่ ในสายตาของยู่เฉิงไห่เต็มไปด้วยความกลัว นอกจากนี้ยู่ฉางตงยังสัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นที่แสนจะคุ้นเคย
“แล้วเจ้าเป็นใครกัน?” ยู่เฉิงไห่ถาม
ยู่ฉางตงจ้องมองผู้เป็นศิษย์พี่อีกครั้ง บางทีเวลากว่า 49 วันที่ผ่านมาอาจทําให้ยู่ฉางตงได้กลายเป็นคนที่มีความอดทนมากยิ่งขึ้น ตัวเขาตอบกลับไปตรงๆ “ข้าเป็นศิษย์พี่เจ้า”
“ศิษย์พี่?” ชายหนุ่มตรงหน้าเกาหัว เห็นได้ชัดว่าเขายังคงสับสน
ยู่ฉางตงหันกลับมาพูดอย่างใจเย็น “ถ้าจําอะไรไม่ได้ก็อย่าฝืนตัวเองเลย เวลาหมดแล้ว ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไป”
“ไปไหนกัน?”
“ดินแดนหยาน”
ถ้าหากเดินทางไปพร้อมกับจี้เหลียง คงจะใช้เวลาเดินทางจากบึงโคลนไปสู่คูสวรรค์โดยใช้เวลาราวๆ 10 วันได้ แต่ถ้าหากไม่มีจี้เหลียงคงจะต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือน มันเป็นเวลาที่ไม่คํานึงถึงเรื่องเวลาพักผ่อนในระหว่างการเดินทางซะด้วยซ้ํา
ยู่ฉางตงไม่แน่ใจว่ายู่เฉิงไห่ตอนนี้จะสามารถทนกับการบินอย่างต่อเนื่องได้นานแค่ไหน ยังไงซะตัวเขาก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับชาวอู่เฉียนมากนัก ถ้าหากยู่ฉางตงต้องปกป้องยู่เฉิงไห่จากพลังลมตลอดระยะทาง การทําแบบนั้นจะทําให้พลังลมปราณที่ตัวเขามีหมดลงอย่างรวดเร็ว มันเป็นอะไรที่มีผลเสียมากกว่าดี
ยู่เฉิงไห่ค่อยๆ เก็บรวบรวมเสื้อผ้าที่มีก่อนที่จะไล่ตามยู่ฉางตงไปอย่างช้าๆ
พรึบ!
ยู่ฉางตงได้เหวี่ยงดาบของตน คลื่นดาบที่ถูกสร้างขึ้นได้พุ่งผ่านเสื้อคลุมของยู่เฉิงไห่ไป และเพราะแบบนั้นเสื้อผ้าที่เคยใหญ่เกินตัวจึงถูกตัดให้พอดีตัว
ยู่เฉิงไห่ตกใจ ตัวเขาเหลือบมองไปยังดาบในมือยู่ฉางตง “วิชาดาบของท่าน…”
“ช่างน่าอัศจรรย์อย่างงั้นเหรอ?”
“อม”
ยู่ฉางตงยิ้มอย่างพอใจ ท่านไม่เคยยอมรับเรื่องนี้มาก่อนเลย…”
“ข้าขอเป็นศิษย์ท่านจะได้ไหม?” ยู่เฉิงไห่ที่ไล่ตามยู่ฉางตงพูดออกมา
“ข้าควรที่จะฉวยโอกาสตอนนี้เอาเปรียบศิษย์พี่จะดีไหม? แต่มันคงจะเป็นเรื่องยุ่งแน่ถ้าหากข้าเป็นอาจารย์ของเขา ฉางตงส่ายหัวปฏิเสธ “เจ้าน่ะมีอาจารย์ที่ดีกว่านี้”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหนอย่างงั้นเหรอ?” ยู่ฉางตงมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในการฝึกยุทธจากสายตาของยู่เฉิงไห้ได้ดี…ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับในตอนที่ยู่ฉางตงเดินทางมาเป็นเวล านานกว่าที่จะพบกับผู้เป็นอาจารย์ ในที่สุดยู่ฉางตงก็เข้าใจการฟื้นคืนชีพครั้งนี้ดูเหมือนจะทําให้ ยู่เฉิงไห่กลับไปมีช่วงเวลาเหมือนกับในตอนที่เสียชีวิตครั้งแรกในโลกอันกว้างใหญ่มักมีเรื่องอัน น่าประหลาดเกิดขึ้นเสมอ มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลได้
ยู่ฉางตงพยายามระงับความรู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะชี้ไปยังทิศทางที่ดินแดนหยานตั้งอยู่ “ทางนั้น ไปกันเถอะ”
ไม่นานนักพลังงานก็ได้ล้อมรอบร่างกายของทั้งสองคนเอาไว้ ในที่สุดทั้งคู่ได้บินออกจากแดนเถ้ากระดูก
ยู่เฉิงไห่ในวัยหนุ่มมีสายตาที่เต็มไปด้วยความร้อนรน…การบิน การฝึกยุทธ และอนาคต ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นปริศนา “ศิษย์พี่ แล้วพลังวรยุทธของท่านมันลึกล้ํามากแค่ไหน?”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
“ขั้นมหาราชคร?” ยู่เฉิงไห่ตอบออกมากด้วยท่าที่ชื่นชม “ข้าได้ยินมาว่าผู้มีพลังอันมหาราชครจะสามารถบินได้”
ยู่ฉางตงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “สูงกว่านั้น”
“ขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเหรอ?” ดวงตาของยู่เฉิงไห่เบิกกว้างกว่าเดิม
ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์มักจะมีสํานักและหน้าที่อันสําคัญที่จะต้องรับผิดชอบดูแล
“สูงกว่านั้น” ยู่ฉางตงส่ายหัวปฏิเสธ
“ศิษย์พี่…อย่าบอกว่า…ท่านมีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์?” ยู่เฉิงไห่พูดติดๆ ขัดๆน้ําเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความเคารพนับถือ ยู่เฉิงไห่ในวัยหนุ่มลืมไปแล้วว่า ตนฟื้นคืนชีพมาจากดิน ตัวตนในฐานะเจ้าสํานักอเวจี และตัวตนในฐานะศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า บางทีความหมกมุ่นทุกอย่างในชีวิตของยู่เฉิงไห่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขาเสียชีวิตครั้งแรกในดินแดนชาวลั่วหลานก็เป็นได้
ยู่ฉางตงในตอนแรกคิดที่จะอวดอ้างพลังของตน แต่เมื่อคิดให้ดีมันก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะน่าเบื่อ ในท้ายที่สุดยู่ฉางตงก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป “เจ้าเองก็มีพลังเหมือนข้า”
ยู่เฉิงไห้ในวัยหนุ่มยังคงรู้สึกตื่นเต้นกับคําพูดของยู่ฉางตง ในตอนนั้นเองหมอกควันสีม่วงก็ปรากฏขึ้น มันเป็นหมอกควันที่ปรากฏออกมาจากป่าด้านหน้า
ยู่ฉางตงส่ายหัว “ข้าว่าแล้วว่ามันจะไม่ราบรื่น” ยู่ฉางตงที่เห็นแบบนั้นพายู่เฉิงไห่บนไปทางเหนือแทน
จุดอ่อนร้ายแรงที่เวทมนตร์ของชาวลั่วหลานมีนั้นใหญ่หลวง..แม้ว่าเวทมนตร์คาถาจะทรงพลัง แต่มันต้องใช้เวลาในการเตรียมการรวมไปถึงเวลาในการเปิดใช้เวทมนตร์คาถา นอกจากนี้พื้นที่การใช้ยังมีจํากัด ศัตรูเพียงแค่หลีกเลี่ยงเส้นทาง หลีกเลี่ยงเขตแดนพลัง เมื่อทําแบบนั้นได้เวทมนตร์คาถาก็จะเปล่าประโยชน์ ยู่ฉางตงรู้เรื่องนั้นดี เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะบินไปทางตอนเหนือแทน
ยู่เฉิงไห้ในวัยหนุ่มไม่ได้เกรงกลัวการบินแต่อย่างใด อันที่จริงตัวเขากําลังสนุกสนานกับการบิน…ยู่เฉิงไห่ชอบความรู้สึกที่ได้มองลงมาจากที่สูง
ทั้งสองได้บินมาตลอดวัน หมอกควันสีม่วงที่เคยขวางทางไม่อาจสกัดกั้นยู่ฉางตงให้ฝ่าไปได้
ยู่ฉางตงได้เปลี่ยนเส้นทางก่อนจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออก
“เขตแดนของชาวรั่วหรี่”
ทั้งคู่ลงสู่พื้น
“พวกเราจะพักผ่อนกันสักหน่อย”
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นเขาก็มองไปรอบตัวอย่างอยากรู้อยากเห็น
น่าเสียดายที่ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่หยุดพักผ่อนชาวรั่วหรี่ก็ได้ล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้ ชาวรั่วหรี่ ต่างก็กวัดแกว่งหอก ดาบ รวมไปถึงใช้คันธนูเล็งล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้
ยู่ฉางตงยังคงดูสงบเยือกเย็น ดวงตาของยู่ฉางตงค่อยๆ ปิดในขณะที่ยืดหลังตรงขึ้น
สายลมที่พัดผ่านใบไม้ที่ร่วงหล่นพัดผ่านมา
ยู่เฉิงไห่ในวัยหนุ่มที่ได้เห็นชนเผ่าอื่นไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ยู่เฉิงไห่มองพวกเขาด้วย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังมากกว่า
ยู่ฉางตงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “อย่าได้อยู่ห่างจากข้าล่ะ”
“อม”
ในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น ชายคนนั้นปรากฏตัวออกมาพร้อมกับไม้เท้าในมือ “ศิษย์คนที่สองของศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ? ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สามารถหนีไปไหนได้แล้ว”
ยู่ฉางตงลืมตาขึ้น ในที่สุดดาบยืนยาวก็ถูกชักออกจากฝัก
แสงสว่างสีแดงจากดาบยืนยาวได้ส่องออกมาก่อนที่จะให้กําเนิดดาบพลังงานนับไม่ถ้วน! ดาบพลังงานทั้งหมดล้อมรอบปกป้องยู่เฉิงไห่เอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ