My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 594 จดหมายจากผู้ลึกลับ (2)
“ถ้าหากเจ้าไม่ใช่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคนแรก ข้าก็ขอแนะนำให้เจ้าลดพลังวรยุทธที่มีให้เหลือเพียงผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ แต่ถ้าหากเจ้าเป็นผู้มีพลังคนที่สองได้โปรดฆ่าผู้มีพลังคนแรกด้วย ข้าได้ทิ้งทั้งพู่กัน ดาบ และชุดเกราะเอาไว้แล้ว ด้วยพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบรวมไปถึงของทั้งหมดที่มีเจ้าจะต้องฆ่าเขาได้แน่ แต่ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้ ข้าต้องขอโทษด้วยแต่พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องพบกับหายนะครั้งใหญ่แล้ว”
หลังจากที่ลู่โจวอ่านย่อหน้านั้นจบ ตัวเขาก็พบกับอีกย่อหน้า ที่ตรงนั้นเขียนไว้ว่า: ยิ่งต้นไม้เติบโตมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งบดบังแสงแดดและเม็ดฝนได้มากขึ้นเท่านั้น ลำต้นที่หนามีไว้เพื่อรับอากาศอันแสนบริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุด รากที่ใหญ่ขึ้นจะขุดลึกเพื่อซึมซับทุกสิ่งอย่าง แต่จะมีต้นไม้สักกี่ต้นที่จะเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนั้น ต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งเหลือบมองไปยังต้นไม้ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าน่ะแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ทำไมเจ้าจะต้องขัดขวางการเติบโตของพวกเราด้วย” ต้นไม้ใหญ่เหลือบมองอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะตอบกลับมา “สำหรับข้า การเติบโตของเจ้าก็เป็นแค่เพียงภัยอันตรายสำหรับข้า”
ลู่โจวสับสนเล็กน้อย สิ่งที่ได้อ่านไปเกี่ยวข้องกับกฎของผืนป่าอย่างงั้นเหรอ? ทันใดนั้นเองตัวเขาก็นึกถึงอาวุธขั้นสรวงสวรรค์ระดับสุดยอดได้ ทั้งดาบแห่งความเงียบและพู่กันพิพากษา ของทั้งสองอย่างต่างก็ถูกครอบครองโดยหลิวกู่ ส่วนโลงศพสีแดงและบันทึกลึกลับเองมาจากยอดฝีมือผู้ลึกลับ
ลู่โจวอ่านจดหมายต่อ: มีคนมากมายหลายคนพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับโซ่ตรวนแห่งสวรรค์และขีดจำกัดทางด้านอายุขัย ต้องมีผู้เสียสติอีกมากมายที่กลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์ร้าย…ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใช่คนแบบนั้น ข้าชอบดินแดนหยานแห่งนี้…ที่นี่ทั้งเงียบสงบและสวยงาม อายุขัยถือเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยสวรรค์มาตั้งแต่แรกเริ่ม การที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะมีอายุขัยถึง 1,000 ปีได้มันก็มากเพียงพอแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่โลกนี้ไม่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบและไม่มีใครที่จะอยู่เกินพันปีได้…จงหยุดความอยากรู้อยากเห็น จงอย่างได้เกี่ยวข้องกับหายนะ! สิ่งที่ข้าทิ้งไว้ถือเป็นสิ่งที่พิสูจน์คำพูดของข้าได้ เจ้าอาจจะอยากรู้อยากเห็นและสับสน เจ้าคงจะสงสัยว่าหายนะที่ข้าพูดถึงหมายถึงอะไร แต่เชื่อข้าเถอะ ข้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ให้กับเจ้าได้ สหายข้า ถ้าหากเป็นไปได้ก็ช่วยมองหาใครสักคนแทนข้าด้วย นางคนนั้นแซ่หลัว นางเคยอยู่ที่นี่เมื่อ 300 ปีก่อน ถ้าหากหานางเจอก็จงมอบกล่องผ้าใบนั้นให้กับนาง ถ้าหากหาทางไม่พบ เจ้าก็จงเก็บกล่องใบนั้นเอาไว้
ลู่โจวตกใจมากที่ยอดฝีมือผู้ลึกลับคนนี้ตามหาแม่นางแซ่หลัวด้วย
ลู่โจวเหลือบมองไปที่จดหมายอีกครั้ง “ข้าหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
นั่นคือส่วนจบของจดหมาย
‘แค่นี้เองอย่างงั้นเหรอ?’
ผู้เขียนปฏิเสธที่จะพูดถึงหายนะอย่างชัดเจน เขาจงใจที่จะทิ้งคำเตือนให้เป็นลาง นี่คือทั้งหมดแล้วอย่างงั้นเหรอ?
ลู่โจวอ่านจดหมายซ้ำอีกครั้ง ตัวเขาตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่พบอะไร ลู่โจวแน่ใจว่าท่อนที่เขียนถึงต้นไม้ใหญ่เป็นท่อนที่เพิ่งจะถูกเขียนขึ้นในภายหลัง ตัวอักษรตรงนั้นมีขนาดเส้นที่ต่างจากส่วนอื่น
แม้ว่าผู้เขียนจะไม่เปิดเผยหายนะก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าหายนะที่พูดถึงนั้นมีอยู่จริง ลู่โจวนึกถึงประโยคสุดท้ายที่พบในบันทึกลึกลับและข้อความบนโลงศพสีแดง ลายมือและลักษณะการใช้คำดูคล้ายคลึงกัน เห็นได้ชัดว่าของทั้งหมดถูกเขียนโดยคนๆ เดียวกัน
ลู่โจวคงจะโกหกถ้าหากบอกว่าตัวเขาไม่อยากรู้ ตามเนื้อความในจดหมายพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะนำมาซึ่งหายนะ บางทีภัยพิบัติอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของต้นไม้ใหญ่
มนุษย์มักจะไม่สนใจมดที่คืบคลานอยู่บนใบหญ้า แต่ถ้าหากมดที่ว่าเป็นแมงมุมตัวใหญ่ล่ะ?
ลู่โจวส่ายหัว ‘ยังไงฉันก็ไม่ใช่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ …’
ผู้อาวุโสทั้งสี่แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็อยากรู้อยากเห็น ทุกคนอยากที่จะรู้ว่าจดหมายพูดถึงอะไร แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครมองเห็นเนื้อความในจดหมายได้ ลู่โจวได้เก็บจดหมายไป ในเวลาเดียวกันตัวเขาก็จำสิ่งที่สีวู่หยาเคยพูดไว้ได้ สีวู่หยาเป็นศิษย์ที่ชอบใช้ความคิดอยู่เสมอ บางทีสีวู่หยาอาจจะมีความคิดเห็นดีๆ ก็เป็นได้ เมื่อคิดทุกอย่างได้แล้วลู่โจวก็เหลือบมองไปยังไทเฮา “แล้วผู้ชี้แนะคนนี้ชื่ออะไรกัน?”
ไทเฮาส่ายหัว “เขาไม่เคยบอกชื่อกับพวกเราเลย”
“แล้วเขาทิ้งอะไรอีกรึเปล่า?”
“นี่คือทั้งหมดที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีแล้ว…ถ้าหากมันยังมีของเช่นนี้อีก มันก็คงจะอยู่ที่อื่น”
หลี่หยุนเฉาพูดต่อ “เขตแดนพลังทั้งสิบเองก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ชี้แนะ”
“…”
ทุกๆ คนต่างก็ตื่นตกใจ
ลู่โจวเข้าใจดีว่าสิ่งที่ผู้ชี้แนะทิ้งไว้ทั้งหมดเป็นเหมือนกับเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง ถ้าหากผู้ชี้แนะคนนั้นสามารถสร้างเขตแดนพลังทั้งสิบได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม มีความสามารถจนเหลือเชื่อแน่ คำพูดในจดหมายถูกทิ้งไว้อย่างหนักแน่น มันไม่มีแม้แต่ร่องรอยแห่งความลังเลใดๆ บางทีผู้ที่ทิ้งข้อความไว้อาจจะกลัวความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์จนตัดสินใจตัดขาดทางโลกก็ได้
“แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะ?” ลู่โจวยังคงถามต่อ
ไทเฮาถอนหายใจ “ผู้ชี้แนะได้จากไปโดยที่ไม่ทันได้ร่ำลา เขาไม่ได้บอกอะไรกับใครทั้งนั้น ตัวเขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ องค์จักรพรรดิพยายามค้นหาตัวเขาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…แม้แต่ป่าทมิฬที่อยู่ทางตะวันตกเองก็ยังถูกค้นหาด้วย แต่ทีมค้นหาก็ยังไม่สามารถข้ามผ่านผืนป่าไปได้”
ฝานลี่เทียนขมวดคิ้ว “ข้าก็เคยไปที่ป่าทมิฬมาก่อน ข้าได้พบกับขวดน้ำเต้าของข้าที่นั่น…ภายในป่าทมิฬมีสมบัติล้ำค่ามากมาย มีครั้งหนึ่งที่เหล่านักล่าขุมทรัพย์ทั้งหลายต่างก็ร่วมมือกัน ในการสำรวจครั้งนั้นมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เองก็คงจะเกิดขึ้นกับหน่วยสำรวจจากราชสำนักสินะ?”
ไทเฮาไม่ตอบกลับ นางดูเศร้าสร้อย
หลี่หยุนเฉาพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านสีวู่หยาศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้จุดไฟเผาพื้นที่กว่า 10,000 ไมล์ทางตะวันออกของป่าทมิฬไป และเพราะแบบนั้นพวกเราจึงไม่สามารถข้ามผ่านป่าไปได้”
“…”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็ต่างมองลู่โจว
สีหน้าของลู่โจวยังคงดูสงบเยือกเย็น ตัวเขายังคงนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยินอะไร ‘แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉันกัน?’
ลู่โจวเหลือบมองไปที่กล่องผ้าแทน ตัวเขาได้พลิกฝ่ามือก่อนที่จะดึงกล่องใบนั้นมาสู่มือ
การกระทำของเขาได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน ทุกคนไม่ได้สนใจเรื่องที่คุยกันหรือเรื่องในจดหมายอีกต่อไป ทุกคนต่างก็สงสัยกับสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง
“ท่านอาจารย์ ในกล่องนั่นมีอะไรกันแน่?”
กล่องผ้าที่เห็นมันดูงดงามมาก บนกล่องผ้าสี่เหลี่ยมมีเส้นและลวดลายสีแดงมากมายหลายแบบ มีลายดอกบัวสีแดงถูกถักเอาไว้ที่ด้านหนึ่งของกล่อง กล่องผ้าใบนี้ถูกออกแบบให้เลื่อนเพื่อเปิด มันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องใช้กุญแจหรือพลังในการปลดผนึก
ลู่โจวเปิดกล่อง
ภายในกล่องมีขิมสีแดงที่ไร้ซึ่งของประดับตกแต่ง แต่ถึงแบบนั้นมันกลับดูสง่างามและยังดูละเอียดอ่อนวางอยู่ภายในนั้น
“ติ้ง! ได้รับอาวุธ: ขิมเก้าสาย ระดับ: ยังไม่เปิดใช้งาน”
เมื่อได้ยินการแจ้งเตือนจากระบบ ลู่โจวก็นับสายของขิมในทันที ขิมที่เห็นเป็นเหมือนกับชื่อ มันมีเก้าสาย ลู่โจวได้หยิบขิมออกมาก่อนจะวางลงบนมือ
ขิมเก้าสายนั้นยาวพอๆ กับขลุ่ยหยกหลานเทียน แต่ถึงแบบนั้นมันกลับมีขนาดกว้างพอๆ กับฝ่ามือของลู่โจวเท่านั้น
“ขิมอย่างงั้นเหรอ?!”
ทุกๆ คนต่างก็ตกตะลึง
“มันคือขิม!”
“มันดูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” โจวจี้เฟิงมองดูขิมอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน…”
เมื่อลู่โจวสัมผัสกับสายทั้งเก้าเส้นของขิม ตัวเขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก ความรู้สึกที่ได้สัมผัสทำให้ตัวเขาได้รู้ถึงความงดงามที่น่าทึ่งมากขึ้น
สาวกของลู่โจวต่างก็สับสน ใครกันที่จะเล่นขิมเล็กๆ แบบนี้ได้? ขิมที่เห็นมีความกว้างเท่ากับฝ่ามือคนเท่านั้น หรือว่าจะต้องใช้ไม้จิ้มฟันในการเล่นขิมกัน? ไม่ว่าอะไรมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญกว่าวิธีการใช้นั่นก็คือเหตุผล ทำไมผู้ชี้แนะคนนั้นถึงได้ทิ้งขิมเอาไว้แบบนี้?