My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 279
ฉินจานอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ในตอนนั้นเองทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกพลังโอบล้อมเอาไว้ ฉินจานมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น ดังนั้นหยวนเอ๋อจึงสามารถจับตัวของฉินจานได้อย่างง่ายดาย
“ท่านอาจารย์…ข้าควรจะไล่ตามเจ้านั่นไปไหม? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาอย่างตื่นเต้น เมื่อนางเห็นผู้ฝึกยุทธทั้งหลายปรากฏตัวออกมา นางก็มีท่าทีที่ตื่นเต้นมากขึ้นมาก
ที่ตรงนี้ก็คือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นสถานที่ที่เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากมารวมตัวกัน
ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีทหารองค์รักรวมไปถึงสิบสุดยอดหัวกะทิเป็นแนวการป้องกันสูงสุด แนวการป้องกันนี้ได้รับการฝึกฝนมากว่าหลายปีแล้ว
ลู่โจวได้พูดออกมาเบาๆ แววตาของเขาได้จ้องมองไปที่พ่อบ้านเฒ่า “เตรียมรถม้าซะ”
“เร็วเข้า…เตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้! ” หงฟู่เข้าใจความหมายของลู่โจวดี ตัวเขาได้หันไปสั่งคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ให้รีบเตรียมรถม้า ภาพของผู้ฝึกยุทธที่กำลังปรากฏตัวขึ้นเป็นภาพที่แปลกประหลาดสำหรับพ่อบ้านคนนี้จริงๆ
เหล่าคนรับใช้ของคฤหาสน์แห่งพลังรีบเตรียมรถม้าในทันที ในตอนนี้รถม้าที่เคยเป็นของฉินจานได้ถูกนำไปใช้สำหรับคนนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคยังดีที่แห่งนี้ยังไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ถ้าหากมีคนนอกอยู่จริงๆ คฤหาสน์แห่งนี้จะต้องเสียหน้ามากแน่ หลังจากที่รถม้าได้จากไป ฉินโจและฉินรู่ปิงก็ได้แต่จ้องมองรถม้า ทายาทเจ้าของคฤหาสน์ทั้งสองคนยังไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “นายน้อย ไม่ต้องห่วงไป นายท่านแค่ต้องไปอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าชั่วคราวก็เท่านั้น ยังไงซะเขาจะต้องกลับมาแน่” หงฟู่ไม่มีวิธีการอื่นนอกซะจากต้องปลอบนายน้อยทั้งสอง
ฉินโจที่เห็นแบบนั้นตกใจมากจนพูดไม่ออก
ส่วนฉินรู่ปิงเองไม่ได้เป็นเหมือนกับพี่ชาย นางได้พึมพำออกมาเบาๆ แทน “ถ้าหากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าก็คงจะขอติดตามไปด้วยแล้ว”
ทั้งฉินโจและหงฟู่ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็งุนงง
ภายในรถม้า
หยวนเอ๋อเป็นฝ่ายถามออกมาอย่างสงสัยซะก่อน “ท่านอาจารย์ ทำไมพวกเราไม่บินไปจากที่นี่กันละคะ? “
ก่อนที่ลู่โจวจะได้ตอบกลับ ฉินจานก็ได้พูดออกมาซะก่อน “สะ…สาวน้อย ก่อนที่จะพูดอะไรกันช่วยคลายพลังที่จับข้าอยู่ทีจะได้ไหม…”
“ฝันไปเถอะ” หยวนเอ๋อได้โบกแขนปฏิเสธอย่างไม่ใส่ใจ
ฉินจานทำได้เพียงจ้องมองลู่โจวด้วยสายตาอันน่าสงสาร พลังที่โอบล้อมตัวของฉินจานเอาไว้มันไม่ได้ต่างจากเชือกเลยนั่นเอง
ในตอนนี้ฉินจานไม่มีทางที่จะหนีไปไหนได้ เพราะแบบนั้นการจะพันธนาการเขาเอาไว้ก็คงจะไม่มีความหมายใดๆ
หลังจากที่ฉินจานถูกปลดปล่อยออกมา ตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “ขอบคุณ”
เมื่อคลายพันธนาการให้ฉินจานก็ได้ตอบคำถามของหยวนเอ๋อในก่อนหน้านี้ “ที่นี่คือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะยังไงท่านผู้อาวุโสก็คงจะไม่อยากเป็นจุดสนใจให้กับใคร เพราะแบบนั้นการใช้รถม้าธรรมดาแบบนี้เพื่อออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์คงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว ที่เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยรถม้า เพราะงั้นคงจะไม่มีใครสงสัยพวกเราแน่”
หยวนเอ๋อพยักหน้าราวกับเข้าใจในสิ่งที่ฉินจานพูดทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็ได้ชะลอตัวลงก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ด้านนอกเมือง
“ข้าคิดว่าตอนนี้ผู้ฝึกยุทธคงจะไปรวมตัวกันที่สุสานแห่งดาบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าทางสะดวก เป็นโชคดีของพวกเราจริงๆ ” ฉินจานได้พูดขึ้น
หยวนเอ๋อได้มองไปที่ฉินจานอย่างสงสัย ‘ทำไมคนคนนี้ถึงได้ทำตัวเหมือนกับคนฝั่งเรามากขึ้นเรื่อยๆ กันล่ะ? ‘
“สุสานแห่งดาบตั้งอยู่ที่ไหนกัน? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมา
“อยู่ห่างจากเมืองจักรวรรดิทางตอนเหนือไป 30 ไมล์ ที่นั่นเป็นห้องใต้ดินที่มีทางสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก” ฉินจานตอบกลับ
ลู่โจวมองไปที่ทิศที่สุสานแห่งดาบตั้งอยู่ ตัวเขาเข้าใจเกี่ยวกับสุสานแห่งดาบมากกว่าที่ฉินจานจะเข้าใจซะอีก ท้ายที่สุดแล้วในความทรงจำของจีเทียนเด๋าก็ยังมีความรู้มากมายก่ายกองมากกว่าพันปี ไม่มีทางเลยที่ตัวเขาจะไม่รู้เรื่องพื้นฐานแบบนี้
เมื่อฉินจานเห็นลู่โจวยังคงเงียบอยู่ ตัวเขาก็ได้พูดต่อไป “ท่านผู้อาวุโส จดหมายที่ท่านพูดถึง…” หลังจากที่พูดออกมาได้พักหนึ่งตัวเขาก็ได้หยุดพูดไป ฉินจานตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้อาจจะทำให้ปรมาจารย์มหาวายร้ายที่อยู่ตรงหน้าไม่พอใจได้
“พูดออกมาซะ”
“ศิษย์ของท่านช่างดื้อรั้น…เขาต้องการที่จะสร้างปัญหาให้ท่านสินะครับ? ” ฉินจานจำเนื้อหาที่ถูกเขียนเอาไว้ในจดหมายได้ มันเป็นจดหมายที่ถูกเปิดอ่านในคฤหาสน์ที่เพิ่งจะจากมา
ลู่โจวได้ตอบกลับ “เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ”
“เอ่อ…”
ทุกๆ คนรู้ดีว่าใครเป็นศิษย์ทรยศของศาลาปีศาจลอยฟ้า ไม่มีทางเลยที่ฉินจานจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกศาลาปีศาจลอยฟ้า คำพูดของลู่โจวเป็นการจี้ใจดำของฉินจานนั่นเอง ฉินจานรู้ดีอยู่แล้วว่ายู่เฉิงไห่เป็นศิษย์ทรยศ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็เลือกทำงานกับยู่เฉิงไห่
ฉินจานได้ฝืนยิ้มให้ ตัวเขาไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ลู่โจวได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าโดยที่เอามือไขว้หลังเอาไว้ ตัวเขากำลังลอยไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สำหรับลู่โจวเขาไม่รู้เลยว่าศิษย์คนไหนที่กำลังต้องการก่อกวนเจียงอาเฉียนอยู่ ยู่ฉางตงอย่างงั้นหรอ? หรือจะเป็นยู่เฉิงไห่ไม่ก็สีวู่หยากัน? ไม่สำคัญเลยว่าจะเป็นใคร ถ้าหากเจอหนึ่งในลูกศิษย์ลู่โจวก็จะจับศิษย์ทรยศกลับมาให้จงได้
“แล้วเจ้าจะรออะไรกัน? พวกเราจะไปกันแล้ว” หยวนเอ๋อที่พูดเสร็จก็ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ นางได้หันมามองฉินจานอีกครั้ง ฉินจานในตอนนี้ยังคงนิ่งเงียบ เพราะแบบนั้นหยวนเอ๋อจึงต้องพูดกระตุ้นฉินจานนั่นเอง
ฉินจานได้ลอยขึ้นไปบนอากาศเช่นกัน ตัวเขาที่ได้ตามหยวนเอ๋อไปได้ตอบกลับมา “ข้ากำลังตามไป…” ในตอนนี้ตัวเขาได้สูญสิ้นเกียรติยศทุกอย่างที่เคยมีมา
ฉินจานได้ตามหยวนเอ๋อและลู่โจวไป
หยวนเอ๋อเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ท้ายที่สุดแล้วนางยังมีรองเท้าเหยียบเมฆาอยู่ เป็นไปไม่ได้เลยที่ฉินจานจะหนีนางพ้น
ในทางกลับกันฉินจานกลับรู้สึกประทับใจในความเร็วของลู่โจว ความเร็วของลู่โจวใกล้เคียงกับความเร็วที่ตัวเขามีมาก ‘ท่านผู้อาวุโสกำลังปรับความเร็วเพื่อให้ข้าได้ตามทันอย่างงั้นหรอ…ข้าไม่สมควรเลยที่จะได้รับการดูแลที่ดีแบบนี้’
แม้ว่าพวกเขาทั้งสามจะไม่ได้บินไปด้วยความเร็วสูงสุดของผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาทั้งสามก็สามารถมาถึงสุสานแห่งดาบได้อย่างรวดเร็ว สุสานแห่งดาบไม่ได้อยู่ไกลแต่อย่างใด ที่สุสานแห่งดาบทั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาที่มีพื้นที่กว่าหลายไมล์ด้วยกัน
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองในตอนที่จ้องมองภูเขา
หลังจากนั้นฉินจานก็ได้บินมาถึง “สุสานแห่งดาบคงจะอยู่ใกล้ๆ กับหุบเขาตะวันม่วงนี้แหละ”
“ไปกันเถอะ” ลู่โจวได้เดินไปตามเส้นหุบเขาที่คดเคี้ยว
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงของการโต้เถียงอันรุนแรงขึ้น “เจ้าพวกสำนักแห่งความมืดนี้มันน่ารังเกียจจริง! สุสานแห่งดาบควรจะเปิดรับทุกคนแท้ๆ แต่เจ้าพวกนั้นกลับไม่ให้พวกเราเข้าไป! “
“ก็พวกมันมีจอมวายร้ายเป็นหัวหน้า อย่าลืมซะสิว่าสำนักแห่งความมืดมีสีวู่หยาเป็นเจ้าสำนักน่ะ เขาเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้าเชียว! “
“ถ้าหากเป็นปรมาจารย์จีข้าก็คงจะพอยอมรับได้ แต่นี่มันก็แค่สีวู่หยาเท่านั้น เขาคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรนอกเหนือไปจากคนทรยศหรอก! “
ในตอนนี้ลู่โจว, หยวนเอ๋อและฉินจานได้อยู่ด้านหลังกลุ่มผู้ฝึกยุทธที่กำลังถกเถียงกัน ที่แห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธกว่า 50 คนมารวมตัวกัน พวกเขาต่างก็มีระดับพลังวรยุทธที่แตกต่างกัน บางคนก็มีพลังอยู่ในขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ บ้างก็มีพลังอยู่ในขั้นมหาราชครู และก็ยังมีบางคนที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ระดับศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่มีพลังอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์…นั่นมันเจียงอาเฉียนอย่างงั้นหรอ? เจียงอาเฉียนกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง เขากำลังถือดาบเอาไว้เช่นเคย ท่าทีของเขาที่ดูสบายๆ ทำให้เจียงอาเฉียนเป็นชายที่ดูเกียจคร้าน ตัวเขาจ้องมองเส้นทางที่อยู่ด้านหน้าที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยก้อนหินก้อนหนึ่ง
“เจียงอาเฉียน”
เจียงอาเฉียนถึงกับตัวสั่น เขาได้หันไปมองรอบตัวก่อนที่จะใช้ความคิด ‘ใครกันที่จำข้าได้ ใครจะไปเรียกหาข้าในที่ที่ทุรกันดารแบบนี้ได้? ‘
หลังจากนั้นไม่นาน “ท่านผู้อาวุโสเองอย่างงั้นหรอ? พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! สาวน้อยเองก็มาด้วยอย่างงั้นหรอ…ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกันสาวน้อย เจ้าดูสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกนะ…” เจียงอาเฉียนได้มองเห็นพวกลู่โจวแล้ว เขาพูดทักทายก่อนที่จะเดินไปหาโดยที่ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรเลย
หยวนเอ๋อกลอกตาก่อนที่จะหันมองไปทางอื่น
ลู่โจวมองไปที่เส้นทางที่ถูกปิดกั้นก่อนที่จะพูดออกมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? “
เจียงอาเฉียนมองไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ก่อนจะพูดออกมา “ศิษย์ของท่านเป็นคนใช้ก้อนหินก้อนนี้ขวางทางเอาไว้…”
“การจะเปิดเส้นทางด้วยพลังของเจ้ามันเป็นเรื่องที่ยากมากอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
เจียงอาเฉียนกระแอมหนึ่งครั้งก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าถือเป็นหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้ดาบ สำหรับข้าดาบก็เหมือนกับดอกไม้อันแสนงดงาม ข้าในฐานะผู้คลั่งไคล้ดาบจะไม่ยอมทำอะไรแบบนั้นแน่”
“หืม? “
ลู่โจวหันไปมองเจียงอาเฉียน เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เอาล่ะ ข้าจะทำเอง ข้าก็แค่รอท่านผู้อาวุโสตอบกลับมาเท่านั้น” เจียงอาเฉียนยอมกลับคำแต่โดยดี
“เจ้าได้บอกข้าเรื่องนี้ในจดหมายแล้ว มีอะไรที่เจ้าต้องการในสุสานแห่งดาบกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“มีแน่นอน…” เจียงอาเฉียนพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสได้บอกให้ข้าไปตรวจสอบของที่เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้า…และเพราะแบบนั้นข้าก็เลยต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายหลายอย่างด้วยกันกว่าจะสืบพบอะไรได้ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยแต่ข้าก็รู้สึกตกใจมากเมื่อได้พบความจริงอันนี้ มีคัมภีร์ที่ว่างเปล่าทั้งสองคัมภีร์อยู่ในมือของอัครมเหสี มันเป็นของที่เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ผิดแน่”
เจียงอาเฉียนเป็นถึงองค์ชาย การที่เขาจะรู้เรื่องแบบนี้ได้เป็นอะไรที่ไม่น่าแปลกใจเลย
ลู่โจวเองก็รู้สึกสงสัยอยู่ในก่อนหน้านี้แล้ว คำพูดของเจียงอาเฉียนยิ่งช่วยยืนยันความคิดนี้ ท้ายที่สุดแล้วชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลือก็ยังอยู่ในมือของอัครมเหสีไม่ผิดแน่