My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 217
ฝานลี่เทียนไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้น ตัวเขาได้พูดออกมาทั้งๆ ที่หลับตา “ในตอนนี้ข้าก็หลับสบายอยู่แล้ว…”
“เป็นอย่างงั้นแน่หรอ? ” ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเอง
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นเข้าใจสัญญาณของลู่โจวดี นางได้เกร็งแขนรวมไปถึงกล้ามเนื้อที่มี หลังจากนั้นนางก็ได้เงยหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์คะ ท่านเคยบอกไม่ให้ศิษย์กดขี่ผู้ที่อ่อนแอกว่าทั้งคนชรารวมไปถึงคนพิการ แต่ถ้าหากศิษย์จะจัดการขอทานเฒ่าคนนี้คงจะไม่เป็นอะไรสินะคะ? “
“ข้าได้พูดอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้แกล้งถามออกมา
“ศิษย์คงเข้าใจผิดไปเองค่ะ”
กร๊อก! กร๊อก! กร๊อก!
เสียงของข้อต่อของส่วนต่างๆ ได้ดังขึ้น ฝานลี่เทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ตัวสั่นก่อนที่จะลืมตา ตัวเขาได้ขยับถอยหลังไปก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว “สาวน้อย ชายชราอย่างข้าไม่อาจที่จะต้านทานพลังหมัดของเจ้าได้หรอก เพราะแบบนั้นอย่าโจมตีข้าเลยจะดีกว่า…”
นี่คือสิ่งที่ลู่โจวต้องการ
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นไม่เข้าใจสถานการณ์เลย เมื่อตัวเขากลับจากการส่งตัวฮั๊วยู่จิง ขอทานชราคนนี้ก็ได้อยู่บนภูเขาทองซะแล้ว ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่ที่ที่ขอทานธรรมดาๆ จะมากินอยู่ได้อย่างแน่นอน ตัวเขาได้เฝ้าดูขอทานเฒ่าคนนี้มากกว่าครึ่งวันแล้ว ดูเหมือนว่าขอทานคนนี้จะไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ สิ่งเดียวที่ขอทานคนนี้มีก็คือความไร้ยางอายรวมไปถึงความกล้าเท่านั้น
หยวนเอ๋อได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงไป หมัดของข้าไม่ได้ทำให้เจ้าเจ็บหรอก” หยวนเอ๋อได้ใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงไปที่พื้นอย่างนุ่มนวล แต่ถึงแบบนั้นมันก็แฝงไปด้วยพลัง
หยวนเอ๋อได้เหวี่ยงหมัดเล็กๆ ของนางไปที่ด้านหน้า
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เมื่อถูกหมัดของหยวนเอ๋อระดมเข้าต่อยฝานลี่เทียนจึงรีบชูมือยอมแพ้ “หยุด หยุดก่อน! …ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว” ถ้าหากถูกหมัดหยวนเอ๋อไปมากกว่านี้ ใบหน้าของฝานลี่เทียนคงจะเละไปกว่านี้แน่
“ก็แค่นั่นแหละ! ” หยวนเอ๋อได้เดินกลับไปที่ข้างๆ ผู้เป็นอาจารย์อย่างพึงพอใจ
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธสินะ? “
ไม่ว่าร่างกายของคนธรรมดาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ไม่มีทางเลยที่คนธรรมดาจะสามารถต้านพลังหมัดของหยวนเอ๋อได้ มีเพียงแต่ผู้ฝึกยุทธเท่านั้นที่จะมีร่างกายแข็งแกร่งพอที่จะทนพลังหมัดแบบนี้ แม้ว่าชายชราคนนี้จะไม่ได้มีพลังลมปราณและดูเหมือนกับคนธรรมดามากแค่ไหน แต่ไม่มีทางเลยที่เขาจะเป็นคนธรรมดาได้
แม้ว่าพลังวรยุทธของขอทานเฒ่าจะได้หายไปหมดแล้ว แต่พลังร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนมาก็ยังคงอยู่ ความแข็งแกร่งและความคงทนของร่างกายยังคงอยู่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป
ความจริงเรื่องนี้ถูกเพลงหมัดของหยวนเอ๋อเปิดโปง
ฝานลี่เทียนได้พูดต่อไป “ผู้ฝึกยุทธอะไรกัน? ข้าก็แค่หนังหนาก็เท่านั้น แม้ว่าสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหนข้าก็ไม่เคยที่จะเป็นอะไรไปได้ เพราะแบบนั้นข้าถึงทนพลังหมัดพวกนี้ได้ยังไงล่ะ”
หยวนเอ๋อได้โบกมือขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าอยากจะให้ข้าช่วยคลายกล้ามเนื้อด้วยไหม? “
ฝานลี่เทียนที่ได้ยินแบบนั้นได้ถอยหลังกลับไป ตัวเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเจ้าต้องการจะนอนอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างสบายเจ้าจะต้องปฏิบัติตามกฎของศาลาปีศาจลอยฟ้า”
“ข้าทำตามกฎอยู่เสมอเหมือนคำที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” ฝานลี่เทียนได้พูดออกมา
“ดีมาก”
ลู่โจวได้หันกลับมามองดูม่านพลังของภูเขาทอง
ฝานลี่เทียนได้นั่งลงบนพื้น ตัวเขาในตอนนี้ดูสิ้นหวังและไม่สามารถที่จะขอความช่วยเหลือใครได้ “ด้วยสถานะที่เจ้ามีในตอนนี้เจ้าคงจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ได้อย่างสบายๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ถึงได้กลายเป็นคนที่สิ้นหวังแบบนี้” ลู่โจวได้ถามขึ้นมาตรงๆ
ฝานลี่เทียนได้ส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “การเป็นขอทานสำหรับข้ามันเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก ตราบใดที่เจ้าไร้ยางอายมากพอเจ้าก็จะอิ่มท้องได้”
“เจ้านี่มันไร้ยางอายจริงๆ …”
“แม้ว่าจะไร้ยางอายแค่ไหน แต่ข้าก็คงจะรีบจากไปทันทีหลังจากที่ตัวเองอิ่มท้องแล้ว”
ลู่โจวมองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดออกมา “จากไปทันที? เจ้าจะไปไหนกัน? “
“ทั่วทั้งโลกคือบ้านของข้า ไม่มีที่ไหนที่ข้าจะไปไม่ได้”
“เจ้ายังคิดที่จะจากที่นี้ไปหลังจากที่ดื่มเหล้าทั้งหมดอย่างงั้นสินะ? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“หืม? ” ฝานลี่เทียนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ตัวเขาได้เคยพึ่งพาศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ไปแล้ว การที่จะปฏิเสธคำขอจากผู้มีพระคุณได้เป็นเรื่องอะไรที่ทำให้ฝานลี่เทียนคนนี้รู้สึกลำบากใจ
ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ได้เป็นคนที่ดูสุขุมมากกว่าเมื่อก่อน น้ำเสียงและท่าทีของเขาดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีสุขุมแต่ความสุขุมนั้นกลับดูน่ากลัวว่านิสัยที่แสนจะเกรี้ยวกราดที่เคยมีมา
“เนื่องจากเจ้าได้อาศัยอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าหมายความว่าเจ้าเป็นหนี้บุญคุณข้าแล้ว” ลู่โจวได้พูดออกมา
ฝานลี่เทียนได้ถอนหายใจออกมา “ข้าเป็นเพียงแค่ขอทานเท่านั้น ชีวิตของข้าช่างแสนไร้ค่า ข้าทำอะไรให้ท่านไม่ได้หรอก”
ลู่โจวส่ายหัว ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ทุกชีวิตน่ะมีค่าเสมอ”
“เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ…” ฝานลี่เทียนพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าต้องการที่จะฆ่าข้าอย่างงั้นสินะ? “
“นี่คือวิธีที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าทำมาโดยตลอดสินะ” ลู่โจวเหลือบมองไปที่ฝานลี่เทียน ตัวเขาจ้องมองไปที่ฝานลี่เทียนจากมุมสูงในขณะที่เอามือไขว้หลังอยู่ สายตาที่ดูนุ่มลึกของตัวเขากำลังจับจ้องไปที่ฝานลี่เทียนอย่างทะลุปรุโปร่ง
เมื่อสบตาไปที่ลู่โจว หัวใจของฝานลี่เทียนก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ตัวเขาเข้าใจสถานะที่มีดี หลังจากที่นึกแบบนั้นท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พึมพำออกมา “ข้าน่ะยังจำใครบางคนจากอดีตที่ผ่านมาได้”
หยวนเอ๋อพยายามที่จะกั้นเสียงหัวเราะของนาง หลังจากนั้นนางก็ได้พูดขึ้น “คนในอดีตที่เจ้าว่าหมายถึงใครกัน? หลายชายของเจ้าในตอนนี้สบายดี พวกเจ้าทั้งคู่จะต้องได้พบกันในอีกไม่กี่วันแน่”
“…” ฝานลี่เทียนถึงกับพูดไม่ออก ‘นางรู้ดีว่าจะจี้ใจดำข้ายังไงซินะ’ คำพูดของหยวนเอ๋อได้เสียบแทงใจดำฝานลี่เทียนเต็มๆ
ฝานลี่เทียนพยายามเมินเฉยหยวนเอ๋อ “ให้ข้าได้ตัดสินใจหลังจากที่พบเขาเถอะ”
“ดีมาก” ลู่โจวตอบออกมาเบาๆ ก่อนที่จะกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
หลังจากที่ลู่โจวจากไป ฮั๊ววู่เด๋าก็ยังคงจ้องมองไปที่ฝานลี่เทียน “หลานชายของเจ้าอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างั้นหรอ? “
ก่อนที่ฝานลี่เทียนจะตอบกลับ หยวนเอ๋อก็ได้ชี้ไปยังฝานเทียนก่อนที่จะพูดอย่างมั่นใจ “ก็เจ้านี้เป็นปู่ของฝานซงยังไงล่ะ! “
“…” ฝานลี่เทียนพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าเขาเองก็หาทางแก้ตัวไม่ได้
ฮั๊ววู่เด๋าโค้งคำนับออกมา “เจ้าเป็นปู่ของฝานซงเองอย่างงั้นสินะ”
ฝานซงเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ฮั๊ววู่เด๋าไม่รู้ภูมิหลังของฝานซงมาก่อนเลย
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็เดินจากไป
ขอทานชราที่กำลังถูกฮั๊ววู่เด๋าชวนคุยรู้สึกลำบากใจจนอยากที่จะเดินหนีไป
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้กลับไปยังศาลาทางทิศตะวันออก ทั้งสองคนทั้งจ้าวยู่และต้วนมู่เฉิงต่างก็เดินตามตัวเขาไปด้วยความเคารพ
“ท่านอาจารย์ เจ้านั่นเป็นเพียงขอทานธรรมดาๆ ทำไมท่านถึงต้องปล่อยให้เจ้านั่นอยู่ที่นี่? ” ต้วนมู่เฉิงได้ถามออกไปอย่างสับสน
“เจ้านั่นยังมีประโยชน์จะอยู่” ลู่โจวได้ตอบกลับมา
ต้วนมู่เฉิงไม่ได้ตั้งใจจะบอกความคิดทั้งหมดของตัวเขาไป เมื่อลู่โจวนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับม่านพลังตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ในตอนนี้ศิษย์น้องสี่ยังไม่กลับมา และยังมีเหตุการณ์ที่ม่านพลังอ่อนแรงลงอีกด้วย ข้ากังวลเหลือเกินกว่าศัตรูของพวกเราจะอาศัยโอกาสนี้บุกโจมตีภูเขาทองอีกครั้ง ศิษย์ยินดีที่จะซ่อมแซมม่านพลังให้แม้ว่าศิษย์จะต้องสูญเสียพลังวรยุทธไปก็ตาม! “
ลู่โจวโบกมือให้ก่อนที่จะพูดออกมา “แม้ว่าม่านพลังจะอ่อนกำลังไปกว่าครึ่ง แต่พวกไร้ฝีมือทั้งหลายก็ยังไม่สามารถที่จะฝ่าเข้ามาได้อยู่ดี”
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ม่านพลังที่มีอยู่พลังไม่ได้แตกต่างอะไรกับม่านพลังของแท่นบูชาหยกเขียวเลย
ถ้าหากสิบสุดยอดสำนักฝ่ายธรรมะกล้าที่จะมาบุกภูเขาทองอีกครั้ง ลู่โจวก็จะไม่เสียดายเลยที่จะต้องใช้การ์ดที่มี
“เจ้าสองคนกลับไปพักผ่อนซะ” ลู่โจวได้พูดออกมาก่อนที่จะเดินกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนท่านอาจารย์” ต้วนมู่เฉิงและจ้าวยู่ได้เดินออกจากศาลาทางทิศตะวันออกไป
ที่ศาลา
ลู่โจวกำลังเปิดเมนูระบบขึ้น
ตัวเขาได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในระหว่างที่ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
อันที่จริงพลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวมาก แต่เพราะอะไรกันมันถึงไปเกี่ยวข้องกับม่านพลังได้?
ตัวเขาได้เหลือบมองไปที่เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่มีอยู่ในหน้าเมนู ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีตัวหนังสือที่ทำความเข้าใจได้เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าในตอนนี้เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ยังมีเพียงแค่ส่วนแรกเท่านั้น
พลังแรกที่ลู่โจวได้รับมาก็คือพลังแห่งเสียง พลังที่แม้แต่ผู้ฝึกยุทธยอดฝีมือทั้งหลายยังจะต้องเกรงกลัว
ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ลู่โจวได้รับมาเป็นเหมือนกับพลังที่สอง พลังไร้เสียง แม้ว่ามันจะดูคล้ายคลึงกับพลังสมาธิมุทราแต่ถึงแบบนั้นมันกลับแข็งแกร่งกว่ามาก
ตัวเขาได้ทดสอบพลังความสามารถนี้มาแล้ว จากประสบการณ์ที่ลู่โจวเจอมา พลังทั้งหลายที่ตัวเขาสามารถใช้ได้ความรุนแรงของมันจะขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจ นอกจากนี้ในเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จะต้องมีพลังที่สาม พลังที่สี่ และพลังที่ห้าอย่างแน่นอน
ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ลู่โจวได้มาเองก็ช่วยทำให้ตัวเขาเพิ่มความสามารถมากขึ้นได้ มันทำให้ตัวเขาได้รับพลังที่แตกต่างออกไปนั่นเอง
ลู่โจวเหลือบมองไปที่เมนูระบบอีกครั้ง…
อายุขัยคงเหลือ: 5,236 วัน “หะ? ทำไมอายุถึงลดไปกว่า 1,000 วันกัน! “
แม้ว่าลู่โจวจะดูสงบเยือกเย็นแต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับรู้สึกแค้นเคืองระบบที่มีในตอนนี้
ลู่โจวได้สูญเสียพลังชีวิตไปกว่า 1,000 วัน!
เมื่อม่านพลังของภูเขาทองถูกร่างกายของเขาดูดซับไป ร่างกายที่ลู่โจวมีจะต้องทนต่อพลังอันมหาศาลให้ได้ และเพราะร่างกายของเขาทนไม่ไหวทำให้พลังอันมหาศาลที่ได้รับมาเร่งอายุขัยที่มีของตัวเขาไปด้วย นี้ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นมันก็ได้แลกกลับพลังใหม่ที่ตัวเขาได้รับมา
ลู่โจวมองไปที่การ์ดพลังชีวิตที่ตัวเขาได้รับมาจากการจับฉลากนำโชค
‘ใช้งานการ์ดพลังชีวิต’ ลู่โจวได้คิดขึ้นมาในใจ
การ์ดพลังชีวิตทั้ง 5 ใบได้สลายหายไปเหลือทิ้งไว้แต่แสงสว่าง ในตอนนั้นเองพลังชีวิตก็ได้ล้อมรอบศาลาทางตะวันออกเอาไว้ พลังทั้งหมดได้พุ่งเข้าสู่ร่างกายของลู่โจวอย่างรวดเร็ว
ต้วนมู่เฉิงและจ้าวยู่ที่ยังไม่ได้ไปไกลได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งสองคนได้หยุดเดินก่อนที่จะหันไปมอง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังต้วนมู่เฉิงก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์อีกแล้วสินะ? “
“ท่านอาจารย์กำลังแย่จริงๆ อย่างงั้นสินะ? “
ศิษย์ทั้งสองต่างก็มีสีหน้าที่เป็นกังวล หลังจากที่ม่านพลังถูกดูดพลังไป ภูเขาทองแห่งนี้ก็เกิดเรื่องวุ่นวายมาโดยตลอด
ต้วนมู่เฉิงส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ปล่อยท่านอาจารย์ไปเถอะ…” ตัวเขาได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เพิ่งก่อแล้ว ยังไงซะท่านอาจารย์คนนี้ของเขาจะต้องสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อยู่ดี เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทั้งสองได้เดินจากศาลาปีศาจทางตะวันออกไป
การรวบรวมพลังชีวิตเสร็จสิ้น พลังชีวิตของลู่โจวเพิ่มขึ้นไปถึง 1,500 วัน
อายุขัยที่เหลืออยู่: 6,736 วัน
ลู่โจวที่ได้รับพลังชีวิตมาไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้
“ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อเลยก็แล้วกัน” ลู่โจวได้นั่งไขว่ห้างก่อนที่จะเริ่มใช้สมาธิ
หลังจากที่ได้เห็นพลังวิเศษที่ได้มาจากการทำความเข้าใจ ลู่โจวก็รู้สึกได้ว่าตัวเขาควรที่จะพยายามทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มากกว่านี้
สำหรับพลังร่างอวตารขั้นถัดไปลู่โจวคงจะต้องทำภารกิจอย่างหนักเพื่อให้ได้มา ในตอนนี้จึงไม่มีอะไรเหมาะสมนอกซะจากทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไป หรือว่าการทำทั้งสองอย่างเคียงคู่กันจะได้ผลดีกว่ากันแน่?
ลู่โจวได้เข้าสู่สภาวะแห่งสมาธิอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ตัวเขาจะต้องทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ตัวเขาได้สูญเสียห้องลับที่แสนจะเงียบสงบไปแล้วไปในการทำสมาธิครั้งก่อนหน้านี้ ลู่โจวได้สูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปราวกับว่าตัวเขาได้ถูกตัดขาดจากโลกใบนี้ไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ในครั้งนี้ลู่โจวยังคงมีสติครบถ้วน ตัวเขาคาดเดาว่าในการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ครั้งที่แล้วจะต้องเป็นพลังที่มาจากชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์แน่
เช้าวันรุ่งขึ้นได้มาถึงในชั่วพริบตา ลู่โจวได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเข้ามาใกล้ก่อนที่จะลืมตาตื่น
“ท่านอาจารย์…มีจดหมายมาจากเจียงอาเฉียนค่ะ” จ้าวยู่ได้พูดขึ้น
“เจ้านั่นเขียนมาว่ายังไง? “
“ศิษย์จะอ่านให้กับท่านอาจารย์ฟังเอง” จ้าวยู่ได้เปิดจดหมายขึ้นมาก่อนที่จะอ่านออกเสียง “ท่านผู้อาวุโส เรื่องม่านพลังของภูเขาทองที่อ่อนกำลังลงในตอนนี้ได้ไปถึงหูของสิบสุดยอดสำนักฝ่ายธรรมะแล้ว ข้ากลัวว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอาจจะตกอยู่ในอันตราย ท่านผู้อาวุโสโปรดเตรียมตัวตั้งรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นให้ดี” หลังจากที่จ้าวยู่อ่านจบนางก็ได้พูดออกมาอย่างรำคาญใจ “ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเจียงอาเฉียนคนนี้จะรู้ทุกเรื่องไปหมดราวกับอยู่ทั่วทุกที่ ช่างเป็นชายผู้ที่น่ารำคาญจริงๆ “
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไร ตัวเขาได้พูดสั่งการขึ้น “ส่งข้อความตอบกลับไปที บอกว่าจะไม่มีใครทำอะไรศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แน่จนกว่าเวลาของข้าจะหมดลง”
“ค่ะ ท่านอาจารย์
ในขณะเดียวกันที่ห้องโถงสำนักอเวจี ณ หุบเขาผิงตู
ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้กำลังมองไปที่สีวู่หยาที่กำลังนั่งอยู่ทางซ้ายของตัวเขา
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าบอกว่าม่านพลังที่ภูเขาทองในตอนนี้อ่อนกำลังลงไปกว่าครึ่งอย่างงั้นหรอ? “
สีวู่หยาดูสงบเยือกเย็น คำพูดของเขาที่พูดออกมาล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “คนของข้าไม่เคยพูดข่าวเท็จ ในตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การติดต่อสื่อสารกับศิษย์น้องแปดขาดหายไปซะแล้ว”
“แล้วเหตุผลล่ะ? “
“ม่านพลังได้ไหลย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าจะมีคนดูดซับพลังจากมัน”
พวกเขาทั้งสองคนรู้ดีว่าไม่มีใครที่สามารถดูดซับพลังจากม่านพลังได้ถ้าไม่ใช่ผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขา
“ทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่ยอมรับสักทีว่ากำลังแก่ชราลง? ” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาก่อนที่จะถอนหายใจ
“การดูดซับพลังจากม่านพลังคงจะสามารถช่วยให้ท่านอาจารย์ฟื้นฟูพลังวรยุทธได้ แต่ไม่ว่าจะยังไงมันจะต้องไม่ได้ส่งผลอะไรกับอายุขัยของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน” สีวู่หยาได้พูดออกมา
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงแสดงว่าท่านอาจารย์กำลังมีปัญหาแล้วสินะ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตั้งใจที่จะช่วยท่านอาจารย์อย่างงั้นหรอ? ” สีวู่หยาได้ถามออกมาด้วยความอยากรู้
ยู่เฉิงไห่ได้แต่ส่ายหัว “ไม่ว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยก็ไม่ต่างกัน…”
สีวู่หยาพยักหน้าเห็นด้วย ในตอนนี้ยู่เฉิงไห่กำลังจัดการกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์อยู่ ตัวเขาคงจะไม่มีเวลาที่จะไปสนใจเรื่องอื่น
“ศิษย์น้องเจ็ด ในความคิดของเจ้า ในตอนที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังอ่อนแอลงแบบนี้ เจ้าคิดว่าใครกันจะเป็นฝ่ายโจมตีที่นั่นก่อน? “