My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 152
เปลวไฟสีม่วงได้ล้อมรอบร่างของสิบคนทรงเอาไว้ มันกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พลังลมปราณรอบๆ ตัวของพวกเขาเองก็เพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน แม้ว่าสิบคนทรงจะยังไม่ได้ใช้พลังลมปราณเลย แต่ถึงแบบนั้นพลังลมปราณรอบตัวของสิบคนทรงก็ยังดูทรงพลังมากแล้ว มันดูทรงพลังมากกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไปที่เดินพลังลมปราณด้วยซ้ำ
ลู่โจวได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้เป็นอย่างดี เขาคำนวณเอาไว้แล้วว่าต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินจะต้องรับมือกับวู่เฉิงและวู่กวนได้แน่ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงการใช้การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตจัดการกับเร็นบู้ผิงได้ก็คงจะไม่ต้องกลัวคนอื่นอีกต่อไป แม้ว่าต้วนชิงหรือลั่วฉีซานอยู่ที่นี่ ฮั๊ววู่เด๋าจะต้องรับมือเอาไว้ได้แน่ ต้วนชิงเองก็เคยประทับใจในตัวลู๋โจวมาก ด้วยไหวพริบที่ยอดเยี่ยมของต้วนชิงเขาคงไม่เข้าร่วมการต่อสู้แน่ ถ้าหากเป็นไปตามที่คิดลู่โจวก็คงจะไม่ต้องใช้การ์ดใบอื่นๆ [หมายเหตุ: ขอเปลี่ยนชื่อด้วนชิงเป็นต้วนชิงนะครับ]
แต่ถึงแบบนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สิบคนทรงได้ปรากฏตัวขึ้นจากเวทมนตร์คาถา สิบคนทรงทั้งหมดมีฝีมือเทียบเท่าได้กับสุดยอดฝีมือทั้งสิบ ในตอนนี้ศิษย์สาวกทั้งหมดของลู่โจวคงจะไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไป
ลู่โจวยังคงครุ่นคิดต่อไปอีก สิบคนทรงทั้งหมดล้วนแต่ตายไปแล้ว การจะใช้การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตจัดการกับพวกเขาทั้งหมดคงจะไม่ได้รับแต้มบุญกลับมาแน่ ถ้าหากทำแบบนั้นจริงนี่ก็จะเป็นความเสียหายอันยิ่งใหญ่ของลู่โจว นี่ถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากขึ้นมาแล้วนั่นเอง…
วู่เซียนได้จ้องมองไปยังรถม้าล่องเมฆาอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เฉิงกวางอย่างงั้นหรอ? ช่างโง่เขลาสิ้นดี”
ผู้คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นต่างก็สับสนในสิ่งที่ได้ยิน
ลู่โจวได้มองไปที่วู่เซียนแห่งสิบคนทรง หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “เจ้าเป็นผู้นำของสิบคนทรง วู่เซียนอย่างงั้นหรอ? “
วู่เซียนเองก็จ้องมองไปที่ลู่โจวเช่นกัน “งั้นเจ้าก็เป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า จีเทียนเด๋าอย่างงั้นสินะ? “
น้ำเสียงของทั้งสองคนดูคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก เขาได้พูดต่อไป “เจ้าเป็นหนึ่งในสิบคนทรงผู้ยิ่งใหญ่ แต่เหตุใดกันถึงกลับกลายมาเป็นสุนัขรับใช้ของม่อหลี่แบบนี้ได้? “
“ฮืม? ” น้ำเสียงของวู่เซียนดูนุ่มลึกมากกว่าเดิม “เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมายุ่งเรื่องของสิบคนทรงอย่างพวกเรา! ” หลังจากที่พูดจบวู่เซียนก็ได้ผสานมือตัวเองขึ้นมาทันที จากนั้นแขนทั้งสองข้างของเขาก็ได้ขยับไปเป็นวงกลม ในตอนนั้นมีวงสีม่วงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันดูใหญ่มากกว่าเดิม วงที่ปรากฏขึ้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง 5 เมตรด้วยกัน มันได้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะลอยตรงไปที่รถม้าล่องเมฆา
ลู่โจวในตอนนี้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดยังไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ตัวเขายังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว…ถึงแม้ว่าตัวเขาจะยืนนิ่งอยู่ลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณของฮั๊ววู่เด๋า
ฮั๊ววู่เด๋าได้ใช้ผนึกตราประทับทั้ง 6 ขึ้นมา ทันทีที่ฮั๊ววู่เด๋าใช้พลังเสร็จพลังของจากทั้งสองฝ่ายก็ได้เข้าปะทะกันกลางอากาศ
ตู๊ม!
ผนึกตราประทับทั้ง 6 ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาแห่งเต๋าได้เข้าปะทะกับวงสีม่วง ในตอนที่พลังจากทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันพลังของวงสีม่วงก็ได้แตกสลายไปในทันที
วู่เซียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดกับฮั๊ววู่เด๋าขึ้นมา “เคล็ดวิชาของพวกเต๋าอย่างงั้นหรอ…”
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ผสานมือก่อนที่จะทำความเคารพออกไป “สิบคนทรง ข้ารู้ดีว่าที่แห่งนี้ยังไม่มีคนตาย เพราะแบบนั้นพลังเวทมนตร์คาถาของพวกท่านจึงมีพลังเพียงแค่ 8 ส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเวลาที่จำกัดอีกด้วย ข้ารู้ดีว่าบรรพบุรุษอย่างท่านมีปัญญาที่เฉียบคมแค่ไหน ข้าคิดว่าท่านควรไตร่ตรองใหม่อีกครั้งด้วยเถอะ”
“8 ส่วนมันก็มากเกินพอแล้ว” วู่เซียนได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตอบกลับไป “ท่านผู้อาวุโส ข้ารู้ดีว่าเวทมนตร์คาถาของพวกท่านไม่เหมาะที่จะใช้สู้ในระยะประชิดแบบนี้ การจะร่ายเวทมนตร์คาถาขึ้นมาได้ใช้เวลาจนเกินไป ถึงแม้ว่าท่านจะใช้พลังโจมตีพวกเรา พวกเราที่อยู่บนรถม้าคันนี้ยังไงก็หลบมันทันได้อยู่ดี”
“เจ้าน่ะอย่าดีแต่พูดจะดีกว่า” วู่เซีย ผู้ที่อายุน้อยที่สุดในสิบคนทรงเป็นคนพูดขึ้นก่อนที่จะบินตรงมาข้างหน้า
วู่กู, วู่เจิน, วู่ลี และวู่ดีเองก็บินตามเขามาติดๆ เช่นกัน
พวกเขาทั้งห้าได้ตั้งแถวกันอย่างเป็นระเบียบ มีคนคนหนึ่งอยู่ที่ด้านหน้าสุดส่วนคนที่เหลือได้ยืนอยู่ด้านหลัง
วู่เซียเป็นคนที่ก้มคุกเข่าลงไปที่กลางอากาศ ในตอนนั้นเขาได้ยกฝ่ามือขึ้นมาก่อนที่จะมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
ในที่สุดสิบคนทรงก็เคลื่อนไหวจนได้
ทุกคนๆ ได้หันมามองพวกเขาทั้งสิบ
“อธิษฐาน”
ในตอนนั้นเองเปลวไฟรอบตัวของสิบคนทรงก็เริ่มแกร่งกล้าขึ้นมาอีกขั้น
แสงทั้งสิบวงได้ปรากฏขึ้นมา พวกมันทั้งหมดล้วนแต่มีพลังอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ข้างในนั้น มันเป็นพลังที่แม้แต่ลู่โจวก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
วู่ดีเองเป็นผู้ส่งเสียงแปลกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “สรรเสริญ”
เสียงของคลื่นลมเริ่มรุนแรงขึ้นมา
หมิงซี่หยินในตอนนี้เป็นผู้ที่อยากจะวิ่งหนีไปมากที่สุด แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็เป็นผู้ควบคุมรถม้า ถ้าหากตัวเขาหนีไปจริงๆ แล้วใครกันล่ะจะมาคุมรถม้าคันนี้ได้ หมิงซี่หยินได้มองไปที่ผู้เป็นอาจารย์ของเขา ในตอนนี้ลู่โจวไม่ได้แสดงท่าทีที่คิดหนีออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“นั่นมันเวทมนตร์…” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกด้วยเสียงที่นุ่มลึกต่อไป “สิบคนทรงแต่ละคนเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์ในแต่ละด้านที่ไม่เหมือนกัน เพราะแบบนั้นการที่พวกเขาทั้งสิบจะรวมพลังกันเพื่อโจมตีแบบนี้ข้าคิดว่าพวกเราต้องคิดตั้งรับให้ดี”
“ข้าน่ะอยู่มาถึงตอนนี้ก็ไม่เคยที่จะเห็นพลังของสิบคนทรงเลย ในตอนนี้ข้าน่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่าพลังของพวกสิบคนทรงมันจะทรงพลังแค่ไหนกัน! ” ลู่โจวได้พูดจายั่วยุขึ้น
‘ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดลู่โจวจะใช้แต้มบุญที่มีไปกับการจัดการสิบคนทรงพวกนี้ แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้รางวัลอะไรตอบแทนกลับมา แต่ถึงแบบนั้นยังไงชีวิตก็สำคัญกว่ารางวัลแต้มบุญอยู่ดี’
มือของวู่เจิงในตอนนี้ได้ลุกเป็นไฟ เขาคนนั้นได้เข้าไปใกล้กับวู่เซียมากขึ้นเรื่อยๆ
“เสียสละ”
น่าเสียดายที่ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนเวทมนตร์คาถาจะไม่สามารถแสดงพลังร่างอวตารออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องวัดพลังที่แท้จริงของพวกเขาเหล่านี้เลย
ต้วนมู่เฉิงในตอนนั้นก็ได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “พวกเจ้าหยุดพูดพล่อยๆ และทำตัวลับๆ แบบนั้นได้แล้ว ช่างน่ารำคาญซะจริง! ข้าจะเป็นคนเปิดฉากโจมตีเอง” ต้วนมู่เฉิงที่ดูการแสดงอยู่นานในตอนนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตัวเขาตัดสินใจที่จะเข้าไปทดสอบพลังเป็นคนแรก
ในตอนนั้นเองท้องฟ้าก็ได้มืดลง ท้องฟ้าที่อยู่บนเหนือศีรษะของทุกคนในตอนนั้นได้มืดมิดไร้แสงอาทิตย์ไป
ไม่ทันไรก็มีอุกกาบาตสีม่วงตกลงมาจากท้องฟ้า…
“ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์! ” ในตอนนั้นเองภาพเงาของหอกราชันย์ก็ได้พุ่งเข้าใส่สิบคนทรง พวกเขาทั้งหมดในตอนนี้กำลังมุ่งมั่นไปกับการใช้เวทมนตร์คาถาของตัวเองอยู่
นี่ถือเป็นวิธีการใช้เวทมนตร์คาถานั่นเอง เนื่องจากการเตรียมการใช้เวทมนตร์คาถาจะต้องใช้เวลานาน เพราะแบบนั้นพวกสิบคนทรงทั้งหมดในตอนนี้จึงจะต้องไร้การป้องกันอย่างแน่นอน
วู่เซียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ไปซะ” หลังจากที่วู่เซียนโบกมือขึ้น ในตอนนั้นเองวงสีม่วงก็ได้ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต้วนมู่เฉิง
วงกลมอันนั้นได้ปัดป้องเงาของหอกนับพันของต้วนมู่เฉิงได้
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
พลังการโจมตีทั้งหมดของต้วนมู่เฉิงถูกม่านพลังเวทมนตร์ป้องกันเอาไว้ได้
ถึงแม้ว่าต้วนมู่เฉิงจะเพิ่งผลิกลีบดอกบัวพลังร่างอวตารได้สำเร็จ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มีระดับพลังวรยุทธเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธที่มีพลังอวตารดอกบัว 3 กลีบ แต่ท้ายที่สุดแล้วเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดของต้วนมู่เฉิงกลับถูกวู่เซียน ผู้นำของสิบคนทรงสามารถปัดป้องการโจมตีไปอย่างง่ายดาย!
พวกสิบคนทรงแข็งแกร่งอะไรกันแบบนี้!
เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงที่มาจากวังจันทราทั้งหมดต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น
แม้ว่าฮั๊ววู่เด๋าเองจะเก่งกาจเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นเขาเป็นเพียงผู้ที่ถนัดแต่ใช้กระบวนท่าในการป้องกัน ในตอนนี้ต้วนมู่เฉิงไม่สามารถต่อกรอะไรกับวู่เซียนได้เลย ต้วนมู่เฉิงที่กระเด็นกลับมาได้เผลอพูดออกมาอย่างตื่นตกใจ “เจ้านี่มีพลังอย่างน้อยๆ ก็คงจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 6 กลีบอย่างงั้นสินะ”
ฮั๊ววู่เด๋าได้ประมือกับต้วนมู่เฉิงอยู่หลายครั้ง และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงรู้ดีว่าต้วนมู่เฉิงเก่งกาจสักแค่ไหน แม้ว่าต้วนมู่เฉิงจะใส่พลังไปทั้งหมดกับการโจมตีในครั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะทำอะไรไม่ได้เลย วู่เซียนในตอนนี้ได้ใช้พลังออกมาเพียง 8 ส่วนเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นเขากลับแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อได้
ต้วนมู่เฉิงได้ลอยกระเด็นกลับมา แขนของเขาในตอนนี้ยังคงชินชาอยู่
วู่ดีในตอนนั้นเองก็ได้ส่งเสียงอันแปลกประหลาดออกมา
บนรถม้าล่องเมฆา ทันทีที่ผู้ฝึกยุทธหญิงได้ยินเสียงอันแปลกประหลาดนั้นเข้า พวกเธอทั้งหมดก็รู้สึกไม่สบายในทันที
เสียงที่ได้ยินในตอนนี้เป็นเหมือนกับบทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์…แต่ถึงแบบนั้นผลของมันก็ไม่ได้รุนแรงเทียบเท่ากับบทสวดที่ลู่โจวเคยเจอมาแล้ว
เร็นบู้ผิงรู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลังมากเมื่อได้เห็นแบบนั้น ตัวเขารู้สึกตื่นเต้นราวกับว่ากำลังสนุกอยู่กับของเล่นชิ้นใหม่อยู่
“อธิษฐาน! สรรเสริญ! เสียสละ! ” สิบคนทรงทั้งหมดได้พูดผสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในตอนนั้นเองสมาชิกสิบคนทรงทั้งหมดก็ได้ปล่อยพลังลมปราณออกมา พลังลมปราณที่ไหลออกมาจากร่างกายของพวกเขาทั้งหมดมีเยอะอย่างมหาศาลราวกับเขื่อนที่เปิดประตูระบายน้ำออกมา
‘พลังของเวทมนตร์คาถาทำให้เจ้าพวกนี้สะสมพลังลมปราณได้มากขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรอ? ‘
คนอื่นๆ เองต่างก็เฝ้ามองด้วยความตกใจ
พลังลมปราณที่ถูกปล่อยออกมาทั้งหมดได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวก่อนที่จะตกสู่พื้นราวกับฝูงดาวตก ถ้าหากมองเห็นการโจมตีนี้จากทางด้านนอก การโจมตีในครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับฝูงดาวตกสีม่วง
“เจ้าพวกนี้พยายามจัดการพวกเราทั้งหมดโดยการใช้กระบวนท่าเพียงท่าเดียว! ” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดขึ้นก่อนที่จะหันไปหาลู่โจว “ท่านผู้อาวุโสจี ในที่สุดก็มีโอกาสที่ข้าจะได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาแล้ว ได้โปรดให้ข้าแสดงฝีมือด้วยเถอะ! ” ฮั๊ววู่เด๋าได้เดินออกจากรถม้าล่องเมฆาไป
“พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถี! ” ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตารก็ได้ปรากฏขึ้นด้านหลังฮั๊ววู่เด๋า ที่พลังร่างอวตารของเขามีดอกบัวบานถึง 6 กลีบ!
“สวรรค์, โลก, ชีวิต, ความตาย, น้ำ, ไฟ! ” ในตอนนั้นเองตัวหนังสือทั้งหกก็ได้ลอยอยู่รอบตัวของฮั๊ววู่เด๋า ตัวเขาในตอนนี้กำลังยืนอยู่ในผังแปดเหลี่ยม พลังของหยินและหยางได้ถูกหลอมรวมเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ
วู่เซียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ช่างเป็นการต่อต้านที่ไร้ประโยชน์”
ในเวลานั้นเองตัวหนังสือทั้งหกก็ได้หลอมรวมกันจนกลายเป็นผนึกตราประทับทั้งหกไป มันได้ขยายตัวออกก่อนที่จะปกป้องรถม้าล่องเมฆาเอาไว้!
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ฝนดาวตกสีม่วงได้กระหน่ำล่วงเข้าใส่ผนึกตราประทับทั้งหกแห่งเต๋า ฝนดาวตกได้ตกลงบนม่านพลังสีทองที่ใสราวกับกระจกก่อนที่จะสลายไป
ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้ได้มองไปที่ผนึกตราประทับทั้งหกอย่างตื่นตกใจ “นี่มัน…เป็นพลังของผู้อาวุโสฮั๊วที่ไม่เคยเอาจริงกับข้าเลยอย่างงั้นสินะ? “
สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าในตอนที่รักษาม่านพลังเอาไว้ดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก “เห็นทีข้าคงจะไม่สามารถทนได้นานกว่านี้แน่! คู่ต่อสู้ของพวกเราเป็นถึงสิบคนทรง! ท่านปรมาจารย์ รีบใช้โอกาสนี้หนีไปซะเถอะ! “
ในตอนนั้นเอง ณ ที่แห่งหนึ่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ชายคนหนึ่งได้ยื่นแขนออกมา ทันทีที่แขนยื่นออกมาดาบสีเงินวาววับก็ได้พุ่งออกไปเป็นเส้นตรง มันได้พุ่งตัดผ่านระหว่างฝูงฝนดาวตกสีม่วงก่อนที่จะโจมตีเข้าใส่พลังผนึกตราประทับทั้งหก!
“นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซาน! “