My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 125
ลู่โจวโบกแขนขึ้น ตัวเขาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปโดยที่ยังเอามือไขว้หลังไว้เช่นเดิม
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และต้วนมู่เฉิงเองเดินตามหลังตัวเขาไปติดๆ
ไม่นานนักลู่โจวก็ได้เดินทางมาถึงศาลาทางตอนใต้
ผู้ฝึกยุทธหญิงบางคนได้รออยู่ที่ทางเข้าศาลาทางตอนใต้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อพวกเธอทั้งหมดเห็นลู่โจว พวกเธอก็รีบคุกเข่าในทันที “สวัสดีค่ะท่านปรมาจารย์! “
ลู่โจวไม่สนใจพวกเธอ เขายังคงเดินต่อไปตรงที่ยี่เทียนซินยังอยู่ ลู่โจวได้ผลักประตูด้วยคลื่นพลังเบาๆ ที่ปล่อยออกมา
เมื่อเปิดประตูขึ้นมา ยี่เทียนซินยังคงนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอซีดเผือดอย่างน่ากลัว ผิวของเธอและผมแทบที่จะเปลี่ยนไปเป็นสีขาวสนิท
ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนทำความเคารพลู่โจวก่อนที่จะออกจากห้องพักไป
ยี่เทียนซินเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความยากลำบาก เมื่อยี่เทียนซินเห็นอาจารย์ของเธอ เธอก็พยายามที่จะลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็กลับล้มลงจากเตียงแทน “ทะ…ท่านอาจารย์”
สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม “เจ้าได้ยินเรื่องมาแล้วรึยัง? “
“ศิษย์รู้ดีว่าศิษย์ทำบาปร้ายแรงที่ไม่อาจให้อภัยได้” ยี่เทียนซินที่พูดเสร็จก็ได้ไออย่างรุนแรงออกมาก่อนที่จะกระอักเลือด
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งรีบเดินไปช่วยยี่เทียนซินในทันที
“ศิษย์มีเรื่องที่จะขอท่านอาจารย์หนึ่งอย่าง…” เมื่อยี่เทียนซินเห็นลู่โจวไม่ตอบอะไรกลับมา เธอก็รวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดต่อไป “ศิษย์อยากจะฆ่าเหวยซู่หยานกับมือเพื่อล้างแค้นให้กับชาวบ้านของหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ ถ้าหากไม่ทำแบบนั้นชีวิตของศิษย์ก็คงจะติดอยู่ในบาปกรรมไปตลอดกาล”
เมื่อลู่โจวได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาตรงๆ “เจ้าที่ไร้พลังวรยุทธจะไปฆ่าเหวยซู่หยานยังไงกัน? “
“เอ่อ…” สีหน้ายี่เทียนซินบูดบึ้งขึ้นมาทันที ในตอนนี้แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปยี่เทียนซินก็ยังไม่อาจที่จะเอาชนะคนพวกนั้นได้เลย นับประสาอะไรกับเหวยซู่หยานผู้มีพลังวรยุทธสุดลึกล้ำ ถ้าหากผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราไม่ได้ดูแลยี่เทียนซินเป็นอย่างดี ป่านนี้เธอก็คงจะมีอาการทรุดหนักไปกว่านี้แล้ว
“ยี่เทียนซิน” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส “เจ้าน่ะทรยศอาจารย์ของตัวเอง ประณามผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าเอง และยังใส่ร้ายศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ เจ้าน่ะก่อกรรมไปทั่วและทำลายชื่อเสียงของข้า เจ้าน่ะมีอะไรที่จะพูดกับตัวเองอีกไหม? “
หมิงซี่หยินเกาหัวเมื่อได้ยินคำพูดเมื่อกี๊ ‘ท่านอาจารย์พูดถึงชื่อเสียงอะไรกัน? ‘
ท้ายที่สุดยี่เทียนซินก็ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ตลอดเวลาที่หลายปีมานี้สำนักทางใต้, สำนักแห่งความมืด และหุบเขาพยัคฆ์เองก็ล้วนแต่ให้ร้ายศาลาปีศาจลอยฟ้ามาโดยตลอด
ยี่เทียนซินพูดออกมาด้วยความเคารพ “ศิษย์ไม่มีอะไรจะพูด”
“ความผิดของศิษย์ร้ายแรงยิ่งนัก ศิษย์อยากจะขอให้ท่านอาจารย์มอบความตายให้กับศิษย์”
“ฮะ? “
จู่ๆ ลู่โจวก็ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะกระแทกยี่เทียนซินไป
ในตอนนั้นเองมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนที่อยู่ไม่ทันได้ระวัง
คลื่นพลังอ่อนๆ ได้พุ่งเข้าใส่ตัวของยี่เทียนซิน ถ้าหากเธอยังมีพลังวรยุทธอยู่ คลื่นพลังแบบนี้ก็คงจะทำร้ายอะไรเธอไม่ได้ แต่ในตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น คลื่นพลังนี้อาจจะส่งผลร้ายแรงกับยี่เทียนซินก็เป็นได้
ปั๊ง!
“ท่านอาจารย์! “
“ท่านอาจารย์ได้โปรด…”
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และต้วนมู่เฉิงต่างก็ไม่คาดคิดมาว่าอาจารย์ของพวกเขาจะใช้ฝ่ามือกระแทกไปที่ยี่เทียนซินแบบนี้ สาวกทุกคนล้วนแต่ตกใจที่ได้เห็น แต่ถึงแบบนั้นการจะพูดขอร้องในตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปซะแล้ว
ยี่เทียนซินกระเด็นลอยขึ้นไปเพราะคลื่นของพลัง ไม่นานนักเธอก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
“พยุงนางขึ้นมา” ลู่โจวพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
“ค่ะ…” ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนกลัวจนไม่กล้าทำอะไร พวกเธอทั้งสองพยายามช่วยพยุงยี่เทียนซินขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
ลู่โจวโบกมือและเดินไปที่เตียงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมองไปที่ยี่เทียนซิน ‘อันที่จริงนางไม่มีพลังลมปราณอยู่ในจุดตันเถียนเลยแม้แต่น้อย’ หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้ใช้ฝ่ามือของตัวเองแตะไปที่หน้าผากของยี่เทียนซิน
เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงก็ได้คุกเข่าลงทันที “ท่านอาจารย์! “
ลู่โจวลดมือลง ไม่ว่าจะยังไงยี่เทียนซินก็จะต้องได้รับโทษอยู่ดี ลู่โจวได้วางฝ่ามือลงหน้าผากของเธอเบาๆ ในตอนนั้นพลังลมปราณของเขาก็ได้ล้อมรอบร่างของเธออีกครั้ง เพราะแบบนั้นเองจึงมีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น…
สีผิวของยี่เทียนซินเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในตอนนี้ผิวของเธอเริ่มมีสีแดงจางๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันทั้งผม, แขน รวมไปถึงส่วนที่เหลือในร่างกายของยี่เทียนซินก็เริ่มโปร่งใสมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะลอยขึ้นไปกลางอากาศ
“นี่คือ…” ต้วนมู่เฉิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“นี่มันมนุษย์เผือก…” หมิงซี่หยินพูดพร้อมกับพยักหน้า
“ทำไมท่านอาจารย์ถึงทำแบบนี้กัน? “
หมิงซี่หยินมองดูสถานการณ์ภายในห้องอีกครั้ง เมื่อมองดูเสร็จเขาก็พาต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อออกไป เมื่อพวกเขาทั้งสามอยู่ที่ด้านนอกห้อง ในตอนนั้นเขาก็เริ่มถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ศิษย์น้องยี่เทียนซินมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด…นางน่ะได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเมื่อหลายปีก่อน นางน่ะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงแบบนั้นวรยุทธของนางกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เหตุการณ์การกวาดล้างของหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์เป็นเหมือนกับแรงจูงใจให้กับนาง มันทำให้นางกลายเป็คนที่เย็นชาและไร้หัวใจไป นางไม่เคยบ่นเรื่องอารมณ์อันรุนแรงของท่านอาจารย์เลย ดังนั้นท่านอาจารย์จึงมอบห่วงแห่งรักให้กับนางไป ห่วงแห่งรักมันไม่ใช่สัญลักษณ์ของความรักจริงๆ มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเกลียดชังซะมากกว่า”
“ข้ายังไม่เห็นเข้าใจเลย” หยวนเอ๋อพึมพำออกมา
“เหตุผลที่วรยุทธของยี่เทียนซินเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็นเพราะนางเป็นชาวมนุษย์เผือกยังไงล่ะ ตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวมนุษย์เผือกมักจะมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธอยู่ก่อนแล้ว ข้ากลัวว่าการซัดฝ่ามือของท่านอาจารย์อาจจะทำให้ร่างกายของนางทรุดหนักมากกว่านี้”
“ทำให้ร่างกายของนางทรุดหนักกว่านี้? “
“มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ถ้าหากท่านอาจารย์อยากที่จะฆ่านางในทันที ท่านอาจารย์ก็คงไม่จับนางกลับมาจนรอถึงตอนนี้หรอก”
ต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อต่างก็รู้สึกสับสน
หมิงซี่หยินพูดต่อไป “ถ้าหากศิษย์น้องหญิงยี่เทียนซินต้องตายไป นางก็คงได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น มันเป็นผลที่นางกล้าทรยศท่านอาจารย์ ศิษย์ทรยศอย่างนางสมควรที่จะถูกประณามแล้ว แต่ถ้าหากนางยังมีชีวิตรอดมาได้ แสดงว่าชะตาของนางคงยังไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ให้จบลงตอนนี้”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าชาวมนุษย์เผือกมีความสามารถพิเศษอะไรบางอย่างที่ช่วยรักษาชีวิตของพวกนั้นเองเอาไว้ได้อย่างงั้นหรอ? ” ต้วนมู่เฉิงได้ถามออกมาอย่างสับสน
“อาจจะ…ข้าก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับชาวมนุษย์เผือกมากนัก” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ศิษย์พี่ จากตามที่ศิษย์พี่ได้พูดเอาไว้ดูเหมือนว่าชีวิตของศิษย์พี่ยี่เทียนซินจะต้องเผชิญความยากลำบากมาโดยตลอด”
สุดท้ายแล้วลู่โจวก็ได้เดินออกมาจากห้อง สีหน้าของเขายังคงไม่แยแสเช่นเดิม
“ท่านอาจารย์” ศิษย์ทั้งสามรีบโค้งคำนับทันทีเมื่อเห็นลู่โจว
ลู่โจวเหลือบมองพวกเขาทั้งสามคนก่อนที่จะพูดออกมา “จะอยู่หรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว” ทันทีที่พูดจบลู่โจวก็ได้หันก่อนที่จะเดินจาไปในทันที
หมิงซี่หยินไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้แต่กังวล ตัวเขาได้เดินเข้าไปในห้องในทันที หมิงซี่หยินเห็นยี่เทียนซินนอนอยู่บนเตียง และเพราะแบบนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปดูยี่เทียนซินในทันที ชีพจรของยี่เทียนซินไม่เต้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาด หลังจากที่เห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้เดินโซเซกลับถอยหลังมา
ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนเองได้แต่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงและร้องไห้ออกมาได้เท่านั้น
หมิงซี่หยินไม่อยากที่จะเชื่อเรื่องนี้ เขาเดินพลังลมปราณเพื่อที่จะตรวจสอบร่างกายของยี่เทียนซิน “ฮืม? นี่มันอะไรกัน? ” ไม่ว่าจะพยายามอัดพลังลมปราณไปมากมายขนาดไหน ยี่เทียนซินก็นิ่งเงียบเหมือนก้อนหิน เธอไม่ขยับเขยื้อนไปไหน พลังลมปราณของหมิงซี่หยินถูกสกัดกั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเธอได้
“เส้นพลังลมปราณทั้งแปดของนางถูกผนึกโดยสมบูรณ์”
“นี่เป็นเพราะว่าเป็นชาวมนุษย์เผือกอย่างงั้นหรอ? “
หมิงซี่หยินลดมือลงมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคน หมิงซี่หยินรีบเอ่ยปากถามออกมา “ก่อนที่ท่านอาจารย์จะจากไป ท่านได้พูดอะไรรึเปล่า? “
“ท่านปรมาจารย์ได้พูดเอาไว้…จะอยู่หรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ ชะตากรรมของนางถูกกำหนดเอาไว้แล้ว! “
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดพึมพำกับตัวเองออกมา “ตามคาด…”
…
ในขณะเดียวกัน
ที่คฤหาสน์ของนายพลฉางหนิง
“ท่านแม่ทัพ มีจดหมายมาจากทางพระราชวัง ผู้ส่งสารคนนั้นได้ย้ำให้ท่านแม่ทัพเปิดมันด้วยตัวเอง”
เหวยซู่หยานรีบรับจดหมายมา ในตอนนั้นเขาเปิดออกมาก่อนที่จะเริ่มอ่านมันอย่างระมัดระวัง และเมื่อได้อ่านจบเขาก็ได้วางจดหมายลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง
ปั๊ง!
จดหมายและโต๊ะตัวนั้นถูกทำลายลงในทันที
“สามหาวยิ่งนัก…” ดวงตาของเหวยซู่หยานเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเหวยซู่หยานได้ถามออกมาอย่างรอบคอบ “ท่านนายพล…อะไรกันที่ทำให้ท่านโกรธเกรี้ยวได้ถึงขนาดนี้? “
“เรื่องเล็กน้อยน่ะ” เหวนซู่หยานโบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “บอกเจ้าผู้ส่งสารนั่นซะ บอกว่าข้ารู้เรื่องแล้ว”
“รับทราบ” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นได้ออกไปในทันที
เหวยซู่หยานได้พูดกับตัวเองอย่างเย้ยหยันออกมา “ผู้ใช้เวทมนตร์คาถากล้าที่จะมาออกคำสั่งกับข้างั้นหรอ น่าขันสิ้นดี! ” หลังจากนั้นเขาก็ได้ตะโกนขึ้น “ทหาร! “
“ครับ ท่านแม่ทัพ”
“ข้ารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ข้าไม่อยากที่จะไปเข้าร่วมงานอะไรทั้งนั้น” เหวยซู่หยานได้พูดออกมา
“แล้ว…แล้วเรื่องความปลอดภัยล่ะ? “
“ข้าจะไม่ไป”
“เข้าใจแล้ว! “