Muyoku no Seijo wa Okane ni Tokimeku นักบุญคนนี้หิวเงินจังเว้ย - ตอนที่ 2 ลีโอ ปรากฏกาย
- Home
- Muyoku no Seijo wa Okane ni Tokimeku นักบุญคนนี้หิวเงินจังเว้ย
- ตอนที่ 2 ลีโอ ปรากฏกาย
สถานที่แห่งนี้คือสวนขนาดใหญ่ แสงจากดวงจันทร์กลมโตทอดลงมาจากฟากฟ้า
ตึกสีขาวสะอาดตาส่องประกายเมื่อกระทบเข้ากับแสงจันทร์ แสงจากคบไฟมากมายสว่างไสวสาดส่องไปทั่ว
สถาบันการศึกษาไวส์แซเกอร์กำลังอยู่ในช่วงจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ ตามปกติแล้ว ในช่วงเวลากลางดึกเช่นนี้สมควรที่จะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้สวนนั้นกลับเต็มไปด้วยขุนนางผู้ทรงอิทธิพลมากหน้าหลายตา ราวกับว่ามีงานเต้นรำเกิดขึ้นที่นี่
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของคนที่อยู่ที่นั่นนั้นบ่งบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้รื่นเริงไปกับบรรยากาศแม้แต่น้อย กลับออกจะเคร่งเครียดเสียด้วยซ้ำ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังจุดจุดเดียว ตรงกลางของสวนนั้น ซึ่งมีวงเวทย์ขนาดใหญ่วาดเอาไว้
ใช่แล้ว คนเหล่านี้คือเหล่าผู้ปกครองของเด็กๆที่อายุขึ้นถึง 12 ปี
สามารถบอกได้ว่าขุนนางทั้งหมดในจักรวรรดิแห่งนี้ล้วนครอบครองสายเลือดมังกรอยู่ไม่มากก็น้อย และก็เป็นเรื่องที่นอนว่าบุตรหลานของพวกเขาเองก็จะต้องถูกเรียกมาเมื่ออายุครบกำหนดเช่นเดียวกัน
การเข้าเรียนในสถาบันนั้นเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้วของเหล่าขุนนาง แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจและน่าโอ้อวดอยู่ดี เพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกัน พูดอะไรอย่าง “ตายแล้ว มาทำพิธีอะไรกันตอนกลางดึกแบบนี้ช่างไม่สะดวกกับพวกเราเอาเสียเลยนะคะเนี่ย โอะโฮะโฮะ” แล้วก็เปิดไวน์ดื่มกัน
ในตอนนั้นเอง แสงก็เปล่งประกายขึ้นจากวงเวทย์นั้น และร่างของนักเรียนคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
เด็กคนนั้นคือบุตรของตระกูลวิสเคานท์ พ่อแม่ของเขาถอนหายใจอย่างโล่งอกปนด้วยความผิดหวัง เป็นเรื่องดีที่เขาถูกอัญเชิญมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่ในการอัญเชิญเช่นนี้ ยิ่งมีพลังเวทย์สูงก็หมายความว่ายิ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะถูกอัญเชิญออกมา ทำให้เด็กจากตระกูลขุนนางระดับสูงและเชื้อพระวงศ์จะถูกอัญเชิญมาช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ การที่เด็กชายคนนี้ถูกอัญเชิญออกมาในเวลาไม่นาน ก็เท่ากับว่าพลังเวทย์ของเขานั้นอยู่ในระดับที่ผ่านเกณฑ์มาเพียงเล็กน้อย
เด็กที่ถูกอัญเชิญมาจะถูกบันทึกชื่อและโดนรุ่นพี่นำทางไปยังหอพัก ในยุคก่อนนั้น จะมีเด็กบางคนที่มีพลังเวทย์แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเสียเท่าไรเกี่ยวกับสถาบัน แต่ในยุคสมัยนี้ เด็กที่มีพลังเวทย์นั้นแทบจะทั้งหมดล้วนเป็นลูกขุนนาง โอกาสที่สามัญชนจะถูกเรียกมานั้นมีอยู่น้อยมาก การจะจองห้องของหอพักเอาไว้ก่อนจึงเป้นเรื่องปกติ
โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อครอบครัวเห็นว่าบุตรของตระกูลตนมาถึงอย่างปลอดภัยก็จะขอตัวกลับบ้านในทันที ในเวลาไม่นาน จึงมีคนหลงเหลือชมอยู่น้อยลงไปมาก
ในจำนวนคนที่หลงเหลืออยู่นั้นคือคู่สามีภรรยาที่มองไปยังวงเวทย์นั้นด้วยใบหน้าขื่นขม
ฝ่ายชายคือสุภาพบุรุษวัยกลางคน หนวดเคราสีเทาเงางาม ร่างกายล่ำสันแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงแม้จะอายุมากขึ้น ฝ่ายหญิงคือสุภาพสตรีผู้มีใบหน้าอ่อนโยน มีริ้วรอยเล็กน้อยที่บ่งบอกให้เห็นถึงความมีอายุ คุณนายท่านนั้นถอนหายใจออกมา
“…ที่รักคะ ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้น-ลูกสาวของคลอเดียน่ะ จะไม่ปรากฏตัวออกมาจริงๆด้วยนะคะ”
สุภาพบุรุษท่านนั้น-มาร์ควิสฮาเคนเบิร์กหรี่ตาสีอเมทิสต์ของเขาลงแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
แต่คุณนายก็ยังคงพูดต่อไป แสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกสาวสุดที่รักของเราคลอเดียจากไปเมื่อสิบสองปีก่อนหลังจากคลอดบุตรสาวของเธอออกมา…หลานสาวของเราน่ะ ในปีนี้ก็ควรสมควรที่จะมีอายุมากพอที่จะถึงกำหนดอายุในการเข้าสถาบันนี้ได้แล้ว ไม่ว่าเราจะส่งกำลังพลออกค้นหาเท่าไรก็หาไม่เจอ วงเวทย์ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคของจักรพรรดิองค์แรกนี้คงจะเป็นความหวังสุดท้ายของเราแล้ว…”
น้ำตาของเธอปริ่มพร้อมที่จะไหลออกมา แต่เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าคนรอบข้างเริ่มที่จะหันมามองด้วยความเป็นห่วง เธอจึงรีบจัดแจงท่าทีของตนเองเสียใหม่
เธอผู้นี้คือมาร์คิโอเนสแห่งตระกูลฮาเคนเบิร์ก เอมิเลีย
ในฐานะที่เป็นมารดาของเหยื่อในเหตุการณ์ภัยพิบัติแห่งฟลอร่าแล้ว เธอจึงถูกมองด้วยสายตาสงสารนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่สามารถที่จะแสดงความอ่อนแอให้เห็นได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เธอฝืนยิ้มออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“แต่เพื่อการณ์นี้ ฉันได้ทำการสั่งตัดชุดเดรสหลากหลายชุดเอาไว้สำหรับเธอแล้ว ไม่ว่าหลายสาวของเราจะเป็นอย่างไรก็จะต้องเข้ากันได้แน่ คุณว่าเธอจะมีดวงตาสีม่วงไหมคะ? แต่เพราะว่าเรายังไม่รู้สีผมของเธอ จึงทำให้ยากที่จะตัดชุดที่เหมาะสมให้กับเธอได้ ผมของเธอจะเป็นสีอะไรกันนะ จะสีทองหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นสีน้ำตาล ไม่ก็สีเหลืองอ่อนก็ได้ ตัวฉันกระทั่งทำชุดสีเขียวอ่อนเผื่อไว้แล้วด้วย อยากรู้เหลือเกินว่าผมของเธอจะเป็นสีอะไร หรือว่าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง…”
“เอมิเลีย”
มาร์ควิสส่งเสียงเบาเรียกภรรยาของตนที่ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกครั้ง แต่เอมิเลียเพียงแค่ส่ายหน้าและตะโกนกลับ
“ทำไมถึงได้มีทีท่าสงบแบบนั้นล่ะคะ!?”
คนรอบข้างสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของคุณนาย เหล่าขุนนางที่รู้ถึงสถานการณ์ดีล้วนหลับตาและพยายามที่จะไม่หันไปมอง ส่วนเหล่าคนรับใช้ที่ไม่ได้รู้จักกับเธอเป็นพิเศษล้วนไม่อาจปกปิดความตกใจเอาไว้ได้
“เด็กคนนั้น ลูกสาวของเราน่ะ ตอนที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสถาบันแห่งนี้ คุณก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย และในตอนที่เธอ…เธอตายจากไปน่ะ! คุณไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วซะด้วยซ้ำ และในตอนนี้เองคุณก็ยังทำตัวไร้อารมณ์แบบนี้อยู่ได้! ทำไมกัน!?”
คุณนายเอามือปิดหน้าและยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
“ทั้งๆที่ดวงตาสีม่วงของตระกูลฮาเคนเบิร์กสมควรที่จะมองเห็นถึงความจริงแท้ๆ แต่พวกเรากลับมองข้ามเรื่องสำคัญแบบนั้นไป ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”
มาร์ควิสทำเพียงแค่ลูบหลังของเอมิเลียเพื่อปลอบโยนเธอ คนโดยรอบไม่กล้าแม้แต่ที่จะหายใจออกมาแรงเกินไป
“เอมิเลีย”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง มาร์ควิสจึงเปิดปากพูดออกมา
“ตั้งแต่ยุคก่อนๆ ตระกูลฮาเคนเบิร์กของพวกเราน่ะถูกเรียกว่าเป็นโล่แห่งจักรวรรดินี้ บุตรสาวคนโตของเราอย่างคลอเดียเองก็ถูกฝึกฝนให้กลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง การที่เธอจะถูกจู่โจมโดยโจรป่า ก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นนักรบที่มีความสามารถเช่นเดียวกัน คลอเดียเองก็คงไม่เสียใจเลยที่จากไปด้วยการต่อสู้จนถึงหยดสุดท้าย”
เป็นการปลอบประโลมที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย คุณนายทำได้เพียงกัดฟันให้กับสามีสมองกล้ามของเธอ
“นี่คือความตายของลูกสาวของเราที่ไม่ได้ถูกช่วยเหลือโดยพ่อแม่ของเธอนะ! ไม่ใช่ลูกน้องของคุณที่ตายในสนามรบ!”
ท่านมาร์ควิสลูบหนวดเบาๆก่อนที่จะพูดต่อ
“คลอเดียน่ะเป็นเด็กที่มีความสามารถ กระทั่งตอนที่ยังเด็ก เธอก็สามารถหลบหนีสายตาของคนรับใช้แล้วหนีออกไปเที่ยวเล่นในเมืองได้ หากเธอจะยังมีชีวิตอยู่และทำงานอยู่ในฐานะของชนชั้นล่าง ข้าก็คงจะไม่แปลกใจเลย”
“เด็กที่เกิดในตระกูลขุนนางอย่างเราน่ะ จะไม่ทำมาหากินอะไรได้ในเมืองสามัญชนล่ะคะ!!”
“อืม นั่นก็…เธออาจจะเปิดร้านขนมปังของตัวเองก็ได้”
“อย่าพูดอะไรบ้าๆอย่างนั้นสิคะคุณ!”
ท่านมาร์ควิสทายถูกอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว
เมื่อได้ยินการตอบกลับแบบนั้นจากสามีของเธอ เอมิเลียก็สงบสติอารมณ์ได้เสียที และจดจำได้ว่าตัวเธอสมควรที่จะเป็นคนที่สงบกว่า
“เมื่อครู่นี้บุตรของท่านดยุคเพิ่งจะถูกอัญเชิญออกมา จากนี้ไปก็จะเป้นคราวของเหล่าเชื้อพระวงศ์สินะคะ…ที่รัก กลับกันเถอะค่ะ”
การอัญเชิญของเหล่าขุนนางในชนชั้นระดับเดียวกับเธอจบลงไปแล้ว คุณนายจึงตัดสินใจที่จะทิ้งความหวังและกลับบ้าน
แต่แล้ว ในตอนนั้นเอง
ชิ้ง…–!!
ราวกับระเบิดแสง แสงสีขาวสาดส่องไปทั่ว
สายลมดุดันพัดออกมาจากตรงกลางของวงเวทย์ ทำให้เสื้อผ้าของผู้คนในบริเวณนั้นพัดอย่างรุนแรง นำมาซึ่งเสียงร้องตกใจของใครหลายคน
มาร์ควิสใช้ร่างของตนบังภรรยาเอาไว้และหรี่ตาลงเพื่อกันแสงนั้น พร้อมกับหันไปหาต้นตอของแสงเมื่อครู่
และแล้ว
“….!”
ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ภายในวงเวทย์นั้น คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น
เสื้อผ้าของเธอนั้นฉีกขาดและไม่เป็นระเบียบ สามารถบอกได้ว่าเธอนั้นผอมมาก แต่ผิวของเธอกลับขาวกระจ่างใส
ผมสีดำของเธอยาวประบ่า
เป็นท่าทีที่แค่เห็นก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ลูกขุนนาง ทุกๆคนต่างมองไปที่เธออย่างเงียบเชียบ
เด็กสาวคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นมาทั้งๆที่ตัวยังสั่นอยู่ ภายใต้ผมยาวที่ปิดบังนั้น คือใบหน้าที่งดงามราวกับไม่ใช่คนของโลกนี้
“หรือว่า…”
สัญชาตญาณของเธอตื่นตัว เอมิเลียเอามือปิดปากของตนเอาไว้พร้อมกับร่างกายที่สั่นสะท้าน
เด็กสาวมองไปรอบๆด้วยสีหน้าสงสัย และนั่นก็ทำให้เห็น…ดวงตาสีม่วงกระจ่างใสราวกับอัญมณี
“ภูติลงมาจุติหรือกระไร…!”
ภาพตรงหน้านั้นเป็นดั่งปาฏิหาริย์ที่ภูติแห่งแสงบันดาลให้เกิด
เด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยความงดงามตามธรรมชาติ
ไม่ต้องสงสัยเลย ว่านั่นคือบุตรสาวของคลอเดีย วอน ฮาเคนเบิร์ก
“อา….! อ๊า! อ๊า! ไม่อยากจะเชื่อเลย! ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!”
เอมิเลียเขย่าแขนของสามีพร้อมกับเช็ดน้ำตาของตน
“ที่รักคะ! เด็กคนนั้น! เด็กคนนั้นคือลูกสาวของคลอเดียไม่ผิดแน่ค่ะ! ในที่สุดเธอก็กลับมาหาเรา! ดูดวงตาสีม่วงนั้นให้ดีสิคะ และยังใบหน้านั้น…! เหมือนกับคลอเดียครั้งยังเล็กไม่มีผิด!”
“…..”
“…ที่รักคะ?”
เมื่อเห็นว่าสามีของเธอไม่ตอบกลับ เอมิเลียจึงหันหน้ามองอย่างงงงวย
“…เรีย…ช่า…”
“อะไรนะคะ?”
ราวกับว่าไฟในดวงตาของชายวัยกลางคนลุกโชนขึ้นมา
“เรียกช่างตัดชุดที่ฝีมือดีที่สุดในจักรวรรดิมาซะ! ข้าไม่สนว่าราคาเท่าไร! ข้าจะแต่งตัวหลานสาวผู้น่ารักราวกับภูติคนนี้ด้วยชุดเดรสที่งดงามที่สุด!”
ในสมัยก่อน มาร์ควิสตระกูลฮาเคนเบิร์กนั้นเคยเป็นแม่ทัพผู้น่าสะพรึงกลัวในสนามรบ
ในช่วงเวลานั้น เพียงเขาคำราม ศัตรูก็ขวัญกระเจิง และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายก็จะรู้สึกฮึกเหิม เสียงคำรามในตอนนั้นกลับไม่สามารถสู้เสียงคำรามในครั้งนี้ได้เลย
“เอาเป็นสีม่วง!!!”
เสียงนี้ก้องกังวาลไปทั่ว ปลุกคนตื่นทั้งสถาบัน