Monarch of Time - ตอนที่ 53 - นิกายกระบี่บิน
นิยาย Monarch of Time MOT.53 – นิกายกระบี่บิน “ท่านผู้เฒ่า แล้วผู้ที่ได้อันดับหนึ่งเล่า?” ในนิกายเมฆาทะยานที่แม้กระทั่งที่พัก ยังต้องจ่ายคะแนน พวกเขาต้องทํางานอย่างหนักในเหมืองของนิกายทุกเดือน เพียงเพื่อ 50 คะแนน โอกาสที่จะได้รับ 1,000 คะแนนในครั้งเดียวนั้นคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงชีวิต แต่ในเรื่องของแหวนมิตินั้นมีความหมายมากกว่านั้นหมาย แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าตนมีโอกาสน้อย เพียงใดที่จะได้อันดับที่ 3 ในการทดสอบ ในความเป็นจริง มีเพียงศิษย์ที่อยู่ในระดับปฐพีขั้น 3 ชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาส ไปถึง 3 อันดับแรก ศิษย์คนที่ถามเมื่อครู่นั้นมีผมสั้นสีแดง เขาคือกวนฮงที่เป็นระดับปฐพี่ขั้น 3 ชั้น สูง “โอ้?!” ลู่เจิงหยุดเดินและอุทานด้วยความแปลกใจ เขาหันมามองกวนฮงและเมื่อเห็น ว่าเขามีพลังที่ระดับปฐพีขั้น 3 ชั้นสูง เขาก็พยักหน้าตอบ “อันดับหนึ่งจะได้ศิลาจิต 100 ก้อนจากนิกาย แต่ไม่เพียงเท่านั้น” “ผู้ที่ได้คะแนนพิเศษมากที่สุดนอกเหนือจากศิษย์ทุกคนใน 4 นิกาย คนผู้นั้นจะได้ผลแดงโลหิตด้วย” แม้ว่าหลายคนจะสงสัย แต่ชุนหลงตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคําว่าผลแดงโลหิต “ถ้าข้าได้มันมาครอง พลังของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาคิด ลู่เจิงเห็นศิษย์หลายคนไม่เคยได้ยินค่าว่าผลแดงโลหิตมาก่อนด้วยซ้ํา เขาจึงอธิบาย “ผลแดงโลหิตสามารถรับประทานได้โดยตรง และทําให้ผู้ที่เป็นระดับปฐพขั้น 3 ชั้นสูงกลายเป็นขั้น 4 ชั้นต้นได้ทันที” สําหรับชุนหลงแล้ว ผลแดงโลหิตนั้นดียิ่งกว่าที่ลู่เจิงอธิบาย เพราะเขาหลอมมันเป็นโอสถได้ และเมื่อได้รับประทานโอสถนั้น พลังของเขาจะทะยานขึ้นไปอีก ทุกคนในกลุ่มตื่นเต้นเมื่อเดินไปยังเขา อสูรเหล่าคนอ่อนแอต่างหวังว่าพวกเขาจะได้เป็น 100 อันดับแรกขณะที่คนที่แข็งแกร่งกว่าอย่างกวนฮงที่มีพลังปฐพี ขั้น 3 ชั้นสูงต่างฝันถึงอันดับหนึ่ง นองอนดับหนึ่ง พวกเขาเดินทาง 7 วันจนมาถึงเทือกเขาอสูร ชุนหลงตกใจเมื่อเห็นความกว้างใหญ่ของเทือกเขา มันมีภูเขาและต้นไม้ทอดยาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นิกายเมฆาทะยานเป็นกลุ่มที่สองที่มาถึง พวกเขาได้เห็นคนกลุ่มใหญ่อีกลุ่มที่ไม่ได้มีจํานวนน้อยไปกว่ากันเลย กลุ่มคนนั้นล้วนสวมชุดขาวและมีดาบบนแผ่นหลัง ผู้เฒ่าสองคนได้เดินมาหากลุ่มนิกายเมฆาทะยาน ผู้เฒ่าที่อาวุโสที่สุดพูด “ฮ่าฮ่า หลานฮง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนนําลูกนกเหล่านี้ตั้งแต่เมืองเมฆาทะยาน” เขาคือผู้เฒ่าใหญ่ของนิกายดาบบิน สุยจง “ฮุยจง นิกายดาบบินของเจ้าเองก็จริงจังกับการทดสอบนิกายครั้งนี้พอสมควร มิเช่นนั้นคนชราอย่างเจ้าคงจะไม่ก้าวเท้าออกจากนิกาย” “เจ้าอายุน้อยกว่าข้าสักกี่ขวบปีกันเชียว? ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองเจ้า ขอข้าแนะนําหลานชายข้าให้เจ้ารู้จัก นี่ฮุยหมิง” เมื่อฮุยจงพูดจบ ชายหนุ่มหน้าคมที่มีจมูกอุ้มเดินออกมาจากกลุ่มนิกายดาบบิน เขามีดาบทองอยู่บนแผ่นหลัง ทุกคนที่มองดวงตาคู่นั้นของเขาจะรู้สึกถึงความอันตรายได้อย่างฉับพลัน หลานฮงตาเป็นประกายเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนใกล้ฮุยจง เขาพยักหน้าและอุทานเสียงดังด้วยความตกอกตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร?” “เจ้าเห็นแล้วรึ? นั่นแหละที่เจ้าคิด! พรสวรรค์ในวิชาดาบของหมิงเอ๋อสูงยิ่งกว่าตัวข้า เขาได้สัมผัสปราณกระ นี่ตั้งแต่ที่เป็นระดับปฐพี่ชั้น 2 ชั้นสูง ข้าไม่กลัวเลยที่จะพูดว่าแม้พลังบ่มเพาะของเขาจะน้อย เขาก็มีโอกาสสูงที่สุดที่จะได้ที่หนึ่งในการทดสอบเอาชีวิตรอด” หลานฮงไม่โต้แย้งคําพูดของฮุยจง เพราะนิกายเมฆาทะยานของเขาไม่มีใครเลยที่อยู่ในระดับเดียวกับฮุยหมิง ตามปกติแล้ว ผู้บ่มเพาะวิถีกระบี่จะได้สัมผัสปราณกระบี่เมื่อถึงขั้นสูงของระดับปฐพี “ตาเฒ่าฮุยจง ข้าเกรงว่าหลานเจ้าคงไม่มีโอกาสนั้นหรอก” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากระยะไกล คนกลุ่มใหญ่อีกสองกลุ่มกําลังมาทางพวกเขา
นิยาย Monarch of Time
MOT.53 – นิกายกระบี่บิน
“ท่านผู้เฒ่า แล้วผู้ที่ได้อันดับหนึ่งเล่า?”
ในนิกายเมฆาทะยานที่แม้กระทั่งที่พัก ยังต้องจ่ายคะแนน พวกเขาต้องทํางานอย่างหนักในเหมืองของนิกายทุกเดือน เพียงเพื่อ 50 คะแนน โอกาสที่จะได้รับ 1,000 คะแนนในครั้งเดียวนั้นคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงชีวิต
แต่ในเรื่องของแหวนมิตินั้นมีความหมายมากกว่านั้นหมาย
แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าตนมีโอกาสน้อย เพียงใดที่จะได้อันดับที่ 3 ในการทดสอบ
ในความเป็นจริง มีเพียงศิษย์ที่อยู่ในระดับปฐพีขั้น 3 ชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาส ไปถึง 3 อันดับแรก
ศิษย์คนที่ถามเมื่อครู่นั้นมีผมสั้นสีแดง เขาคือกวนฮงที่เป็นระดับปฐพี่ขั้น 3 ชั้น สูง
“โอ้?!”
ลู่เจิงหยุดเดินและอุทานด้วยความแปลกใจ เขาหันมามองกวนฮงและเมื่อเห็น ว่าเขามีพลังที่ระดับปฐพีขั้น 3 ชั้นสูง เขาก็พยักหน้าตอบ
“อันดับหนึ่งจะได้ศิลาจิต 100 ก้อนจากนิกาย แต่ไม่เพียงเท่านั้น”
“ผู้ที่ได้คะแนนพิเศษมากที่สุดนอกเหนือจากศิษย์ทุกคนใน 4 นิกาย คนผู้นั้นจะได้ผลแดงโลหิตด้วย”
แม้ว่าหลายคนจะสงสัย แต่ชุนหลงตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคําว่าผลแดงโลหิต
“ถ้าข้าได้มันมาครอง พลังของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาคิด
ลู่เจิงเห็นศิษย์หลายคนไม่เคยได้ยินค่าว่าผลแดงโลหิตมาก่อนด้วยซ้ํา เขาจึงอธิบาย
“ผลแดงโลหิตสามารถรับประทานได้โดยตรง และทําให้ผู้ที่เป็นระดับปฐพขั้น 3 ชั้นสูงกลายเป็นขั้น 4 ชั้นต้นได้ทันที”
สําหรับชุนหลงแล้ว ผลแดงโลหิตนั้นดียิ่งกว่าที่ลู่เจิงอธิบาย เพราะเขาหลอมมันเป็นโอสถได้ และเมื่อได้รับประทานโอสถนั้น พลังของเขาจะทะยานขึ้นไปอีก
ทุกคนในกลุ่มตื่นเต้นเมื่อเดินไปยังเขา อสูรเหล่าคนอ่อนแอต่างหวังว่าพวกเขาจะได้เป็น 100 อันดับแรกขณะที่คนที่แข็งแกร่งกว่าอย่างกวนฮงที่มีพลังปฐพี ขั้น 3 ชั้นสูงต่างฝันถึงอันดับหนึ่ง
นองอนดับหนึ่ง
พวกเขาเดินทาง 7 วันจนมาถึงเทือกเขาอสูร
ชุนหลงตกใจเมื่อเห็นความกว้างใหญ่ของเทือกเขา
มันมีภูเขาและต้นไม้ทอดยาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
นิกายเมฆาทะยานเป็นกลุ่มที่สองที่มาถึง พวกเขาได้เห็นคนกลุ่มใหญ่อีกลุ่มที่ไม่ได้มีจํานวนน้อยไปกว่ากันเลย
กลุ่มคนนั้นล้วนสวมชุดขาวและมีดาบบนแผ่นหลัง
ผู้เฒ่าสองคนได้เดินมาหากลุ่มนิกายเมฆาทะยาน ผู้เฒ่าที่อาวุโสที่สุดพูด
“ฮ่าฮ่า หลานฮง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนนําลูกนกเหล่านี้ตั้งแต่เมืองเมฆาทะยาน”
เขาคือผู้เฒ่าใหญ่ของนิกายดาบบิน สุยจง
“ฮุยจง นิกายดาบบินของเจ้าเองก็จริงจังกับการทดสอบนิกายครั้งนี้พอสมควร มิเช่นนั้นคนชราอย่างเจ้าคงจะไม่ก้าวเท้าออกจากนิกาย”
“เจ้าอายุน้อยกว่าข้าสักกี่ขวบปีกันเชียว? ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองเจ้า ขอข้าแนะนําหลานชายข้าให้เจ้ารู้จัก นี่ฮุยหมิง”
เมื่อฮุยจงพูดจบ ชายหนุ่มหน้าคมที่มีจมูกอุ้มเดินออกมาจากกลุ่มนิกายดาบบิน เขามีดาบทองอยู่บนแผ่นหลัง ทุกคนที่มองดวงตาคู่นั้นของเขาจะรู้สึกถึงความอันตรายได้อย่างฉับพลัน
หลานฮงตาเป็นประกายเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนใกล้ฮุยจง เขาพยักหน้าและอุทานเสียงดังด้วยความตกอกตกใจ
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“เจ้าเห็นแล้วรึ? นั่นแหละที่เจ้าคิด! พรสวรรค์ในวิชาดาบของหมิงเอ๋อสูงยิ่งกว่าตัวข้า เขาได้สัมผัสปราณกระ นี่ตั้งแต่ที่เป็นระดับปฐพี่ชั้น 2 ชั้นสูง ข้าไม่กลัวเลยที่จะพูดว่าแม้พลังบ่มเพาะของเขาจะน้อย เขาก็มีโอกาสสูงที่สุดที่จะได้ที่หนึ่งในการทดสอบเอาชีวิตรอด”
หลานฮงไม่โต้แย้งคําพูดของฮุยจง เพราะนิกายเมฆาทะยานของเขาไม่มีใครเลยที่อยู่ในระดับเดียวกับฮุยหมิง
ตามปกติแล้ว ผู้บ่มเพาะวิถีกระบี่จะได้สัมผัสปราณกระบี่เมื่อถึงขั้นสูงของระดับปฐพี
“ตาเฒ่าฮุยจง ข้าเกรงว่าหลานเจ้าคงไม่มีโอกาสนั้นหรอก”
เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากระยะไกล คนกลุ่มใหญ่อีกสองกลุ่มกําลังมาทางพวกเขา