Monarch of Time - ตอนที่ 2 – ความตายกับชีวิต
เจ้าหินกับชายวัยกลางคนเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่มาทำงานก่อนใคร ภรรยาของลุงนั้นท้องได้ 6 เดือนและลูกของเขากำลังจะเกิดในอีกไม่นาน เขาจึงต้องทำงานหนักเพื่อภรรยาและเด็กที่ยังไม่เกิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงยามบ่าย
เจ้าหินกำลังจะทำงานที่ชั้น 5 เสร็จและพักไม่กี่นาทีเพื่อเติมน้ำในร่างกาย การทำงานกลางแดดจ้าหลายชั่วโมงนั้นเลวร้ายอยู่เสมอโดยเฉพาะกับร่างกายอ่อนแอของเขา พวกเขาเรนิ่มลงจากบันไดที่ทำเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งที่เชื่อมชั้น 5 และชั้น 4 เข้าด้วยกัน พวกเขาต้องเหยียบแผ่นไม้เพื่อลงไปชั้น 4
ขณะที่กำลังเดินอยู่บนแผ่นไม้ก็ได้เกิดเสียงสั่นสะเทือนและแรงสั่นในทั้งอาคาร ใครจะไปคิดว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในเวลาที่เลวร้ายที่สุดได้ โดยเฉพาะแผ่นดินไหวที่รุนแรงจนสั่นทั้งโครงสร้างไปถึงรากฐานของอาคาร!?
เจ้าหินเห็นลุงเดินอยู่อย่างไม่มั่นคงอย่างน่ากลัวที่อีกฝั่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวและในตอนที่เขาจะตกลงจากชั้น 4 ไปถึงพื้นชั้นล่างสุด เจ้าหินก็ได้พุ่งมาด้านหลังและผลักลุงด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทำให้ลุงที่เกือบจะลอยไปที่อีกด้านถูกช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยการผลักของเขา
เมื่อลุงล้มลงไปแล้ว แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงกว่าเดิมก็มาจากเหนือหัวของเจ้าหิน วัสดุก่อสร้างจำนวนมากถล่มลงมาฝังเขาบนพื้นอาคารที่สร้างเสร็จครึ่งเดียว ชายวัยกลางคนเริ่มร้องตะโกนและร้องไห้ในทันทีที่แผ่นดินไหวจบลงที่อีกฟากของอาคาร เขาเป็นคนเดียวที่ปลอดภัยอย่างปาฏิหาริย์ เขาวิ่งลงไปอย่างรวดเร็วและใช้มือเปล่าหยิบเศษชิ้นเศษแก้วและคอนกรีตที่ฝังเจ้าหินออกมา
แต่มันก็เปล่าประโยชน์ เศษวัสดุก่อสร้างนั้นกองสูงเกินไปเพราะครึ่งอาคารที่ถล่มลงมา…มันเป็นปาฏิหาริย์มากพออยู่แล้วที่อาคารอีกครึ่งหนึ่งไม่ได้ถล่มลงมาด้วย
ชายวัยกลางคนยังคงร้องไห้ มือของเขาเต็มไปด้วยเลือดจากเศษแก้วที่แทงเขาแต่เขาก็ยังคงหยิบเศษซากออกโดยหวังว่าจะช่วยชีวิตเจ้าหินได้ต่อไป เขารู้สึกผิดที่เด็กคนหนึ่งต้องมาแลกชีวิตตัวเองในขณะที่เขายังรอด เขารื้อซากต่อไปจนกระทั่งคนงานอื่นเข้ามาห้าม
เจ้าหินได้เห็นซากอาคารถล่มลงมาเหนือศีรษะและรู้ว่าเขาโชคร้ายเพียงใดในการตายอย่างแน่นอนครั้งนี้ แต่เขาไม่เสียใจที่ได้ช่วยชีวิตลุง เพราะลุงคนนี้คือคนเดียวที่ห่วงใยเขา และนี่คือความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกฝังในซากอาคาร
“อา ดีแล้วที่ลุงยังไม่ตาย…แต่ชีวิตเรามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลยที่ต้องมาจบแบบนี้”
แรงสั่นสะเทือนยังคงเกิดขึ้นต่อไปจนกระทั่งมุมมองของเจ้าหินดำมืดและดับไป
————————————————
เจ้าหินค่อย ๆ ลืมตาเมื่อเริ่มคืนสติกลับมาได้ แต่ก็ได้รู้ว่าศีรษะของเขาแทบจะแยกออกจากกันด้วยความเจ็บปวดสุดแสนสาหัส เขาเริ่มร้องโหยหวนและกลิ้งตัวซ้ายขวาเมื่อไม่รู้สึกอะไรได้นอกจากอาหารปวดหัวแทบจะระเบิดที่จะกระชากจิตใจของเขาให้ขาดสะบั้น
สิ่งที่เจ้าหินไม่ทันสังเกตคือร่างกายของเขาที่ไม่ได้ถูกฝังอยู่ใต้วัสดุก่อสร้างแต่กำลังนอนอยู่บนพื้นบนผืนหญ้าสีแดงท่ามกลางวายุสายฟ้าลูกใหญ่ที่ซัดสายฟ้าบนพื้นรอบตัวเขา กระดูกที่แขนและขาหักไปแล้ว ที่หลังหัวมีเลือดไหลออกมาและเสื้อผ้าก็ขาดกระจุยและเต็มไปด้วยเลือด มีบาดแผลใหญ่ที่อกข้างซ้ายที่อาจเกิดจากกระบี่หรือดาบ โชคดีที่มันเฉียดหัวใจเจ้าหินไปไม่กี่นิ้ว
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างฝืนอัดเข้ามาในสมองของเขา แต่มันก็ไม่มีช่องว่างพอสำหรับสมองที่กำลังจะระเบิด
เมื่อสายฟ้ากำลังจะผ่ามาที่หัวก็ได้เกิดรอยแยกมิติเหนือตัวเขา สายฟ้าได้ถูกกลืนกินหายไป
เจ้าหินถูกรอยแยกมิติพาตัวขึ้นไป ฟ้าดินสงบเงียบ
หลายลี้ไกลออกไป ผู้คนในเมืองป่าครามหยุดนิ่ง คนเดินถนนหยุดขาราวกับถูกแช่แข็ง คนในร้านอาหารนิ่งงันในขณะที่พูดคุยหัวเราะหรือกินอาหาร คนขายของที่กำลังขายสินค้าของตัวเองหยุดนิ่ง แม้กระทั่งเปลวไฟในร้านอาหารกับอาหารที่ถูกผัดโยนก็หยุดนิ่งเหมือนถูกหยุดเวลา
สายฟ้ารอบตัวเจ้าหินหยุดราวกับภาพเขียนในกลางอากาศ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังหวาดกลัวในทันทีที่เจ้าหินปรากฏตัว
ศิลารูปสามเหลี่ยมปลดปล่อยแสงสีครามสว่างจ้าจนทำลายเมฆดำและสายฟ้าที่หยุดนิ่งในกลางอากาศรอบตัวเจ้าหิน พร้อมกับทุกสิ่งในระยะหนึ่งลี้จากตัวเจ้าหิน
เจ้าหินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบข้างและลืมตาขึ้นมาในที่สุด เขาฝืนทนอาการปวดหัวรุนแรงที่ค่อย ๆ เบาบางลงอย่างช้า ๆ เขาได้เห็นแสงสีครามจากหินที่เหมือนรูปสามเหลี่ยมเหนือบริเวณระหว่างคิ้ว ซึ่งมันกำลังจะฝังตัวลงบนหัวของเขา