Monarch of Time - ตอนที่ 4 – นาฬิกาทรายราชันย์
ทันทีที่ชุนหลงพูดจบ หินสามเหลี่ยมในใจเริ่มนั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับได้รับผลกระทบจากคำพูดของเขาและได้เกิดภาพอันน่าตกตะลึงในใจ
ไม่มีคำพูดใด มีเพียงรูปภาพเก่าแก่ของคนที่ไม่เห็นใบหน้าชัดเจน เขาหายใจในรูปแบบที่แตกต่างจากปกติ ในหนึ่งครั้งที่เขาหายใจ เขาจะถอนหายใจอย่างต่อเนื่องเล็ก ๆ ราว 6 หรือ 7 หน
จากนั้นภาพก็เปลี่ยนเป็นคนเดิมที่หายใจเข้า 6 หรือ 7 หนในครั้งเดียวและหายใจออกทั้งหมดใน 2 หน ภาพค่อย ๆ เปลี่ยนไปและคนเดิมก็ค่อย ๆ ยกภูเขาสีขาวทรงกลมที่ปรากฏขึ้นมาบนพื้นข้างตัวเขาด้วยสองมือ จากนั้นเขาจึงยกมันขึ้นเหนือศีรษะ
ทุกอย่างสั่นสะเทือนหลังจากนั้น ภาพเริ่มไม่ชัดเจนจนกระทั่งหายลับไป มีข้อความวิเศษประทับลงในดวงวิญญาณของชุนหลง
“นาฬิกาทรายราชันย์”
ข้อความนั้นไม่ได้เขียนด้วยภาษาใดเลยที่ชุนหลงเคยพบเคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตในตอนนี้ ตัวอักษรทั้งหมดเป็นกลุ่มก้อนสัญลักษณ์โบราณและยังไม่ชัดเจนอีกด้วย แต่ชุนหลงรู้ความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นว่าเป็น “นาฬิกาทรายราชันย์” ราวกับว่ามันสลักลงในดวงวิญญาณของเขาไปแล้ว
สติของชุนหลงกลับเข้าสู่ร่างกาย เขารีบใช้มือลูบที่หลังศีรษะ เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าถูกฟาดด้วยกระดูกที่หลังหัว แต่ตอนนี้มันไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งการนูนจากบาดแผลที่ทำให้เขาล้มลงกับพื้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
โลหิตที่ย้อมผืนหญ้าให้เป็นสีแดงได้หายไปนานแล้วตั้งแต่ที่หินรูปสามเหลี่ยมได้เปล่งแสงสีครามออกมาขวางสายฟ้าที่ผ่าใส่เขา พร้อม ๆ กันทุกสิ่งในระยะหนึ่งลี้รอบตัวชุนหลง
ไม่ใช่แค่หญ้า แต่ทุกสิ่งในพื้นที่ 1 ลี้รอยกายเขานั้นกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีพืชพรรณไม้อีกแล้ว ซึ่งมันขัดต่อภาพทุ่งหญ้าและทุ่งบุพผาที่เคยเห็นโดยสิ้นเชิง
ราวกับว่ามีบางอย่างได้ลบล้างร่องรอยของชีวิตรอบตัวเขาไปจนหมด แม้กระทั่งศพของคนคุ้มกัน 2 คนกับม้า 3 ตัวก็หายไปด้วย
โชคดีที่เสื้อผ้าของชุนหลงไม่ได้รับผลจากสิ่งนี้ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเปลือยเปลบ่าไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังขาดวิ่นจากการลอบสังหารที่เขาเจอมา
ชุดที่เขาสวมแทบจะใส่ไม่ได้อีก ส่วนที่ปกคลุมลำตัวหายไปเกือบหมด ลำตัวด้านซ้ายของเขาเผยออกมา ทั้งหมดก็เพราะการโจมตีที่เขาได้รับนั้นหมายเพื่อจะเอาชีวิตเขา แขนเสื้อด้านขวาขาดหายไป มีรอบดาบมากมายฟันไปที่ท้องของเขา
ชุนหลงเดาเหตุผลที่อาการบาดเจ็บถูกรักษาได้อย่างอัศจรรย์ว่าเป็นเพราะหินรูปสามเหลี่ยมและเขารู้สึกขอบคุณกับมัน ไม่เช่นนั้นชีวิตของเขาคงจะต้องจบลงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
แม้คนอื่นจะเป็นสภาพย่ำแย่จากเสื้อผ้าของเขา แต่ร่างกายของเขาไม่ได้มีแม้แต่บาดแผลเดียว เขามีพลังเต็มที่
ชุนหลงลุกขึ้นและเริ่มวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ไปยังตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนจะหยุดเพราะเหนื่อยหอบ
เมืองป่าครามอยู่ในทิศเหนือของป่าคราม และชุนหลงสังเกตได้ในก่อนหน้านี้ว่ามือสังหารหนีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อวายุสายฟ้าเกิดขึ้น
ดังนั้น แม้ว่าการวิ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือจะใช้เวลามากกว่าในการถึงเมืองป่าครามเทียบกับการวิ่งไปในทิศเหนือ แต่มันก็ปลอดภัยกว่ามากเพราะเป้าหมายของเขาในเวลานี้คือการเอาชีวิตรอด
ชุนหลงไม่ใช่คนโง่ ถึงเขาจะรู้ว่ามือสังหารอาจจะไม่มาตามหาเขาเพราะมือสังหารพวกนั้นจะต้องคิดว่าเขาตายจากบาดแผลเหล่านั้นไปแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ตายเพราะบาดแผล เขาก็ยังคงตายด้วยวายุสายฟ้าอยู่ดี
แต่ชุนหลงไม่อยากเสี่ยง เพราะมันยังมีโอกาสที่มือสังหารจะกลับมาเพื่อยืนยันการตายของเขาและลงเอยด้วยการพบว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ถ้าเป็นอย่างนั้น คราวนี้มือสังหารคงได้จบงานที่ค้างไว้
…
ชุนหลงใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการมาถึงเมืองป่าคราม และแม้ว่าชุนหลงจะอยู่ที่นี่มาตลอดชีวิต มันก็เป็นครั้งแรกของชุนหลงที่มีภาพเมืองป่าครามเพียงใจความทรงจำได้มองเมืองเป็นครั้งแรก
เมืองนั้นกว้างใหญ่ มีผู้คนเข้าออกเมืองที่ประตูเมืองตลอดเวลา
แม้จะเป็นเวลาค่ำ ความเคลื่อนไหวในเมืองป่าครามก็ยังพลุกพล่านราวกับกลางวันที่มีผู้คนอยู่เต็มถนนและโรงเตี๊ยม
เมื่อเป็นเมืองที่ใกล้ป่าครามมากที่สุด กำแพงเมืองจึงสูงถึง 33 สอกและหนา 10 ศอก ต่อให้สัตว์อสูรระดับปฐพีมาจู่โจมก็ทำให้มันสั่นสะเทือนไม่ได้แม้แต่น้อยเพราะค่ายกลพิเศษ
ชุนหลงตามคนเข้าประตูเมืองที่มีคนเดินและรถม้าเข้าไป เขาใช้ความทรงจำในสมองเดินไปยังบ้านของเขา
คนในเมืองไม่แม้แต่มองเขาสักวินาทีเพราะมันธรรมดาเกินไปสำหรับคนที่เข้ามาในเมืองด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น และบางครั้งก็มีคนเข้าเมืองมาด้วยร่างเปลือยเปล่าหลังจากเข้าไปในป่าคราม
อย่างไรก็ตาม ผู้คนในเมืองมิอาจคิดว่าชายที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นจะเป็นบุตรชายของปรมาจารย์ค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง
หลังจากเดินผ่านเส้นทางทั้งหมด ชุนหลงยังคงอยู่บนถนนสายหลักเมื่อเขามาถึงสถานที่ที่มีกำแพงสูง 13 ศอกโดยรอบ มีนักรบที่ดูแข็งแกร่ง 2 คนยืนหน้าทางเข้าหลัก ทั้งสองอายุราว 25 ปีและถ้าหากชุนหลงเริ่มบ่มเพาะพลังแล้ว เขาจะรู้ว่ารังสีที่ทั้งสองปล่อยออกมานั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับรวมปราณแล้ว
เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นชายหนุ่มในชุดขาดวิ่นเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมาและยกมือซ้ายขึ้น เขากำลังจะตะโกนให้หยุดขณะที่มือขวากำลังจับดาบในฝัก เขาพร้อมจะชักดาบออกมาฟันทุกเมื่อ
ชุนหลงไม่สนใจคนเฝ้าประตูและยังเดินต่อไปที่ทางเข้า เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นใบหน้าของเขาและเห็นว่าเป็นใบหน้าของนายน้อย เขาก็รีบคุกเข่าลงหนึ่งข้างเพื่อทำความเคารพ
ขณะที่ชุนหลงกำลังจะเดินผ่านประตูไป เสียงสั่นสะเทือนก็ได้มาจากด้านหลังเขาพร้อมกับเสียงอันโกรธเกรี้ยวที่ได้ยินจากนอกเรือนจนทำให้ชุนหลงต้องหยุดฝีเท้า