Mezase Gouka Kyakusen!! (เรือสำราญ ณ ต่างโลก) - ตอนที่ 16 ออกเดินทางและการแล่นเรือในน้ำครั้งแรก
- Home
- Mezase Gouka Kyakusen!! (เรือสำราญ ณ ต่างโลก)
- ตอนที่ 16 ออกเดินทางและการแล่นเรือในน้ำครั้งแรก
อึก…รู้สึกไม่ค่อยดีเลย สงสัยเมื่อวานจะดื่มหนักไปหน่อย
พวกคุณอัลโด เอาแต่สั่งเบียร์เพิ่มๆ
ถึงจะได้คำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางมาบ้างก็เถอะ
แต่ไม่ใช่ว่าต้องมีคำเตือนว่า อย่าเดินทางตอนที่เมาค้างด้วยงั้นเหรอ?
วันนี้เป็นวันที่ผมจะออกเดินทาง จะมามัวอืดอาดอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว
รีบลุกขึ้นมาเตรียมตัวจากนั้นก็ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ!
“อรุณสวัสดิ์ครับ ขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ คุณเจ้าของโรงแรม”
พอฉันออกจากห้องก็เจอคุณเจ้าของโรงแรมยืนอยู่ ผมเลยกล่าวขอบคุณเธอ
ถึงจะรู้สึกเศร้านิดหน่อยที่ต้องบอกลา เพราะเธอช่วยเหลือผมอยู่หลายๆอย่าง
ทั้งเรื่องข้าวกล่องสำหรับมื้อกลางวันแล้วไหนจะกระต่ายมีเขาย่างทั้งตัวอีก
“พวกเราสิต้องขอบคุณ นายมากกว่าสำหรับกระต่ายที่คุณล่ามาให้ ถ้ามีโอกาสต้องกลับมาพักที่นี่อีกนะ”
“ครับ แน่นอน ผมจะกลับมาพักที่นี่อีกแน่นอน”
หลังจากบอกลาคุณเจ้าของโรงแรม ผมก็เดินไปยังห้องอาหาร คุณอัลโดกับพวกก็ทักทายผมทันที
“อรุณสวัสดิ์ วาตารุ วันนี้อากาศสดใส เหมาะกับการออกเดินทางมากเลย”
“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน ถ้าไม่ติดว่าเมาค้างอยู่ คงจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่ดีมากๆเลยครับ”
“ฮ่าๆ นักผจญภัยก็เป็นแบบนี้แหละ”
ตัวต้นเหตุของอาการเมาค้างของผมกำลังนั่งหัวเราะกันอยู่
แต่พวกเขาเองก็จับหัวตัวเองหลังจากหัวเราะไปแล้วเหมือนกัน ดูเหมือนคุณอัลโดกับคนอื่นๆ ก็เมาค้างอยู่เหมือนกัน
แต่ก็คงไม่แปลก ก็เล่นดื่มกันซะหนักขนาดนั้น
“ว่าแต่ คุณอัลโด คุณไม่ได้หยุดงานเหรอครับวันนี้?”
ผมนึกว่าที่เขาดื่มกันเยอะๆ เพราะวันหยุดเสียอีก
“ใช่ พวกเราหยุด แต่ฉันคิดว่าจะแวะมาส่งนายถึงที่ประตูเมืองน่ะ”
“ฮ่าๆ ขอบคุณมากครับ แต่ช่วยส่งแค่ถึงหน้าโรงแรมก็พอครับ ทุกคนดูซีดกันหมดแล้ว”
ถึงจะซาบซึ้งใจ แต่บางคนหน้าซีดจนเหมือนจะอาเจียนออกมาเลย…ผมไม่อยากถูกส่งด้วยภาพแบบนั้น
“โทษที คงดื่มกันหนักไปหน่อย”
คุณอัลโดหัวเราะแห้งๆออกมา แล้วก็ยอมแพ้ ผมเดาว่าเขาเองก็คงจะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรครับ เมื่อวานผมก็สนุกมาก และถือเป็นเลี้ยงส่งที่ดี”
กลุ่มคนเมาค้างกินข้าวเช้าด้วยกันในสภาพที่ดูไม่จืด ส่วนผมก็รับกล่องสำหรับอาหารกลางวันและเดินออกจากโรงแรมไป
“งั้นไว้เจอกันใหม่นะครับทุกคน”
“โอเค ไว้เจอกัน”
ผมบอกลาทุกคนแล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมื่องทางทิศตะวันออก
เอ๊ะ…! นั่นใช่คาราวานพ่อค้าไหมนะ? ผมเดินไปหาสัญลักษณ์ที่ได้รับคำแนะนำมาและถามหาคนชื่อบาซิลิโอ
“อ้อ นายคงเป็นนักผจญภัยที่จะเดินทางไปกับพวกเราใช่ไหม? ถ้ากำลังหาคุณบาซิลิโอล่ะก็ เขาอยู่ที่เกวียนคันนั้นน่ะ”
ผมขอบคุณคุณลุงที่บอกอย่างใจดี แล้วเดินไปยังเกวียนที่เขาบอก อ่า ดูเหมือนจะใช่เขา
“คุณคือคุณบาซิลิโอใช่ไหมครับ? ผมชื่อวาตารุ จะร่วมเดินทางไปกับคาราวานของคุณด้วยครับ ผมจะเดินทางไปจนถึงเมืองริมแม่น้ำด้วยกัน ฝากตัวด้วยครับ”
“โอ้ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มล่ะก็บอกฉันได้เลย ฉันจะช่วยเต็มที่ คุณเดินตามหลังคาราวานไปนะ”
“ครับ”
ผมทักทายคุณบาซิลิโอ แต่ดูเหมือนจะไม่มีขั้นตอนการจัดการอะไรพิเศษระหว่างพวกเราสองคน ก็สมเหตุสมผล
เพราะนี่ไม่ใช่การคุ้มกันแบบเป็นทางการ พวกเราแค่ร่วมเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น
ผมยืนอยู่ด้านหลังของคาราวานตามที่เขาบอกไว้ และรออยู่ที่นั่นจนเวลาสำหรับการออกเดินทางก็มาถึง
“ออกเดินทางได้ เอ้าๆ อย่ามัวแต่ชักช้า!”
ด้วยคำสั่งของคุณบาซิลิโอ รถทั้งห้าคันก็ออกเริ่มออกเดินทาง
โดยมีเหล่านักผจญภัยคอยคุ้มกันล้อมๆ ขบวนเอาไว้
คาราวานนี้ไม่ได้ใหญ่มาก เพราะผมเคยได้ยินมาว่าคาราวานขนาดใหญ่นั้นจะประกอบไปด้วยรถหลายสิบคันเรียงกัน
ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะยาวถึงขนาดไหน
ผมเดินเงียบๆ อยู่ด้านหลังของคาราวาน ได้ยินมาว่าเราจะไปถึงเมืองริมแม่น้ำในตอนเที่ยงของอีกสองวัน
ผมได้เตรียมเนื้อแห้งกับผลไม้อบแห้งมาเป็นอาหารสำหรับหกมื้อ เพราะถ้าผมเรียกเรือออกมาแล้วหยิบของร้อนๆ อย่างเนื้อเสียบไม้ย่างออกมา มันคงจะดูเด่นเกินไป
ระหว่างพัก ผมคุยกับนักผจญภัยคนอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางกับคาราวาน พวกเขาบอกว่า ด้วยจำนวนคนแบบนี้ ก๊อบลินหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คงไม่กล้าโจมตี
สิ่งเดียวที่ควรกลัวในการเดินทางแบบนี้คือพวกโจรและมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏตัว
ถึงมอนสเตอร์จะไม่ค่อยโผล่มา แต่โจรมักจะปรากฏตัวออกมาอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเรื่องนี้ให้ดี
พูดถึงโจร ถ้าเกิดพวกโจรโผล่มาจริงๆ นั่นหมายความว่าผมต้องสู้กับคนอย่างงั้นเหรอ?
…ผมจัดการกับก๊อบลินได้ไม่มีปัญหา แต่การสู้กับคนด้วยหอกนี่สิจะไหวไหมนะ?
…ผมคิดว่ามันก็คงเป็นปัญหา ถ้าผมสามารถต่อสู้กับคนได้แบบใจเย็น
แต่ในเมื่อพวกนั้นคิดจะฆ่าผม ผมก็คงต้องเตรียมใจที่จะไม่ลังเลเมื่อจำเป็นจะต้องลงมือจริงๆ
เอ๊ะ! รู้สึกเหมือนผมกำลังปัก “ธงโจร” อยู่ยังไงยังงั้นพอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา…
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นพวกเรามาถึงเมืองริมแม่น้ำโดยไม่มีปัญหาอะไร
ระหว่างทางที่มามีหมู่บ้านอยู่ตลอดทางในระว่างสองวันที่พวกเราออกเดินทางมา
เราแทบไม่ต้องตั้งแคมป์กลางแจ้งเลย นั่นจึงทำให้ผมมีเสบียงอาหารเหลืออยู่แบบเหลือเฟือเลยล่ะ
ดูเหมือนจะไม่มีเหตุการณ์โจรป่าใดๆ เกิดขึ้นแม้ผมจะเผลอปัง ธงโจร ไปก็ตาม
ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงเหมือนการออกไปปิกนิกอันแสนสงบสุข
ผมไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรต่อดี รู้สึกเหมือนว่าการตามพ่อค้าไปมันจะดูง่ายกว่า…
แต่ผมอยากลองใช้สกิลเรียกเรือของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นคงจะดีกว่าถ้าขอแยกตัวออกไปตรงนี้
เพราะถ้าผมอยากลองสกิล ผมก็ต้องไปลองแถวๆที่ๆ ไม่ค่อยมีคนน่าจะทำอะไรๆสะดวกกว่า
ผมเดินไปที่แม่น้ำและหามองหามุมเงียบๆ จากนั้น…
ถึงเวลาลองเอาเรือลงน้ำจริงๆแล้ว น้ำจริงๆที่ไม่ใช่บนพื้นดิน วงเวทย์เรืองแสงปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ จากนั้นเรือก็ปรากฏออกมา
เรือลอยอยู่บนผิวน้ำได้ตามที่มันควรจะเป็น แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกประทับใจกับการเห็นเรือลอยอยู่บนน้ำแบบนี้ ทั้งๆที่เรือจะรู้สึกแปลกถ้าเกิดมันไม่ลอยน้ำขึ้นมา
หลังจากที่เรียกเรือกลับ สิ่งต่อไปที่ผมอยากลองก็คือการยืนบนวงเวทย์ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมอยากลองที่สุด
นับตั้งแต่ตอนที่ผมได้ฟังมาจากท่านเทพ!
ผมลองใช้ “สกิลเรียกเรือ” อีกครั้ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนวงเวทย์ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำด้วยความกล้าๆกลัวๆ
“โอ้ ผมยืนได้ ผมยืนอยู่บนน้ำได้จริงๆด้วย”
จากนั้นเรือก็ปรากฏตามออกมาในเวลาไม่นาน แต่ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ผมก็สามารถยืนอยู่บนผิวน้ำได้จริงๆ ผมรู้สึกประทับใจกับเรื่องนี้มากกว่าที่คิดไว้เสียอีก
…ผมคิดว่าตอนนี้ผมควรจะเริ่มออกเดินทางต่อได้แล้ว แทนที่จะมามัวเล่นอยู่แบบนี้
แต่ถ้ามีคนมาเห็นเรือยางเข้าล่ะก็คงจะเป็นที่สงสัยแน่ๆ ดังนั้นผมควรใช้เรือไม้ที่เคยใช้เก็บของแทนน่าจะดีกว่า
ได้เวลาโหลดสัมภาระใหม่แล้ว…
หลังจากจัดของเสร็จเรียบร้อย ผมก็เรียกเรือไม้ออกมา จากนั้น…
“ออกเรือ!” ผมพูดออกมาพร้อมกับพยายามทำเสียงให้มันดูเท่ๆ
ถึงเรือพายมันจะดูไม่เท่ก็เถอะ แต่ไม่เป็นไร
ต่อไปผมจะลองคุณสมบัติไม่มีวันจมที่ยังไม่มีโอกาสได้ลองมาก่อน ซึ่งนี่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย
ผมทดสอบด้วยการโยกน้ำหนักตัวไปด้านหนึ่งของเรือ ดูเหมือนว่าเรือจะหยุดอยู่แค่ตรงบริเวณผิวน้ำ
จากนั้นผมก็ลองวางเท้าไว้บนขอบเรือแล้วก็ลงน้ำหนักทั้งหมดไป แต่ไม่ว่าผมจะออกแรงกดไปเท่าไหร่ เรือก็ไม่มีทีท่าว่าจะเอียงมากขึ้นเลย
น้ำที่กระเด็นขึ้นมาก็ถูกบาเรียกันออกไปทำให้น้ำไม่มามารถเข้ามาในเรือได้
เยี่ยมเลย มันไม่จมจริงๆด้วย เพราะขอบเรือของเรือจะไม่มีวันต่ำกว่าระดับผิวน้ำ และน้ำก็ไม่สามารถเข้ามาในเรือได้เพราะบาเรียมันกันน้ำ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำให้มันจมได้เลย ผมโล่งใจและมั่นใจว่าเรือของผมมันปลอดภัยจริงๆ
ถ้าหากผมผูกตัวเองกับเรือไว้ด้วยเชือก ผมก็คงจะปลอดภัยแม้ว่าจะตกลงไปในน้ำตก
หลังจากยืนยันความปลอดภัยเรีบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทาง
ผมปูผ้าห่มไว้นั่ง กินอาหารกลางวัน และปล่อยให้กระแสน้ำพาไปอย่างช้าๆ
การนั่งอยู่ในเรือไม้ที่เคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกับกินอาหารกลางวันและชมวิวไปด้วยทำให้ผมมีความสุขมากๆ
แต่แล้วในที่สุด…ผมก็เริ่มเบื่อ เพราะผมไม่ได้ชอบลองเรือเป็นพิเศษ จนรู้สึกเหมือนว่าผมจะว่างมากเกินไปแล้ว
ผมเลยลองหยิบไม้พายขึ้นมาพายดู ปรากฎว่ามันยากกว่าที่คิดไว้ และต่อให้ผมเปลี่ยนไปใช้เรือยางแทน
ผลที่ได้ก็คงไม่ต่างกันมากนัก หรือผมควรจะซื้อเรือยนต์ดีนะ?
แต่ผมไม่รู้วิธีขับมันอยู่ดีนี่นา… คงจะดีกว่าถ้าซื้อเรือที่เหมาะที่จะใช่ในเมืองทางใต้…คงต้องอดทนไปก่อน
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจฝึกเวทย์มนต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หอก และธนู แต่พอฝึกหอกกับธนูบนเรือ
ผมกลับไม่สามารถทรงตัวได้ดีเพราะเรือมันโคลงเคลงไปมา
พอมาลองคิดดูดีๆแล้ว ผมก็นึกถึงมังงะเรื่องหนึ่งที่มีฉากการฝึกซ้อมบนเรือขึ้นมาได้
ในเมื่อมีเวลาว่างขนาดนี้ งั้นมาฝึกต่อไปเรื่อยๆเลยแล้วกัน
แม้พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า ผมก็ยังคงฝึกฝนต่อไปอย่างขยันขันแข็ง
ถ้าผูกตัวเองไว้กับเชือก ผมก็สามารถล่องแม่น้ำไปในช่วงกลางคืนได้ แต่การเดินทางครั้งนี้ผมไม่ได้รีบร้อนอะไร
ดังนั้นผมจึงคิดว่าควรหยุดพักแล้วเข้าไปนอนในเรือกระท่อมของผมน่าจะดีกว่า
ผมขึ้นฝั่งและเรียกเรือกลับ เฮ้อ รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยแฮะ…
อาจเพราะอยู่บนเรือที่โคลงเครงไปมาเป็นเวลานานเกินไป เรือเล็กมันสั่นไปมาได้ง่ายจริงๆ
วันนี้ผมควรพักผ่อนให้เต็มที่ เอาล่ะมาหาสถานที่ที่ไม่เป็นที่สังเกตได้ง่ายกันดีกว่า
อืม ตรงนี้ดูเหมาะดี มันอยู่หลังโขดหินและมีต้นไม้บังจากอีกฝั่ง ทำให้มองเห็นได้ยาก
ผมเรียกเรือเก็บของ(ตอนนี้เป็นเรือยาง) ออกมา
ก่อกองไฟ และจัดอาหารออกมากิน มันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังตั้งแคมป์อยู่เลย แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
แต่ผมจะประมาทไม่ได้ เพราะแถวๆนี้ ก็มีเหล่ามอนสเตอร์อยู่เหมือนกัน
แต่พูดตรงๆ เลยคือ ผมไม่ได้ต้องการกองไฟหรอก จริงๆผมแค่อยากลองจุดไฟด้วยเวทย์มนต์ในชีวิตประจำวันแฉยๆ
หรือผมควรดับไฟแล้วเข้าไปหลบอยู่ในเรือกระท่อมดี เพื่อความปลอดภัย
โอ้ แต่เดี๋ยวก่อน ควรลองมองหา”สไลม์” ดูก่อน แถวนี้มีบ้างไหมนะ?
หลังจากเริ่มมองหา ผมก็เจอมันอย่างรวดเร็ว มันเป็นสไลม์สีเขียว
ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจจะมีพิษเพราะเกมบางเกมสีเขียวหมายความว่ามันมีพิษ
แต่ที่นี่ดูเหมือนว่าสไลม์ที่มีพิษจะเป็นสไลม์สีม่วง
สไลม์สีม่วงงั้นเหรอ…มันดูเจ๋งดีชะมัด
แต่ก็เอาเถอะ ผมรีบเดินไปจับเจ้าสไลม์สีเขียวแล้วกลับเข้ามาที่เรือกระท่อม และจากนั้นก็ลองเล่นกับมันดู
เมื่อฉันผมลองให้เจ้าสไลม์กินเนื้อแห้ง มันก็ดูดเนื้อเข้าไปในร่างและย่อยสลายมันทันที
การพาสไลม์ไปล่องเรือด้วยคงจะสนุกดี แต่เนื่องจากผมไม่มีสกิล “ฝึก” ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพามันเข้าเมือง
หากผมต้องทิ้งสไลม์ทุกครั้งที่เข้าเมือง หัวใจผมคงแตกสลาย ผมควรพอใจแค่ได้สัมผัสมันจนกว่าผมจะมีสกิลฝึกสัตว์
ระหว่างที่ผมหยอกล้อกับเจ้าสไลม์สีเขียวอยู่นั้น…
ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเทพผู้สร้างจะโกรธผมไหมนะ…
ที่ผมมาใช้เวลาว่างๆ โดยเปล่าประโยชน์แบบนี้…
เพราะท่านเทพคาดหวังให้ผมกระฉับกระเฉงเหมือนกับพวกตัวเอกในนิยายแฟนตาซี…
นี่มันก็ผ่านมา 3 เดือนแล้วนับตั้งแต่ผมหลุดเข้ามายังโลกใบนี้
ชีวิตของผมนั้นสงบสุข ไม่มีเหตุวุ่นวายใดๆเลย…
แบบนี้ไม่ใช่ว่าจะโดนลงโทษอะไรใช่ไหม?
ผมไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย พวกท่านเทพก็อาจจะโกรธผมได้อีกก็ได้…
แบบนั้นมันดูไม่ยุติธรรมเลย หรือบางทีผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
ผมว่าควรลองแวะไปโบสถ์อีกครั้ง ถ้าผมไปโบสถ์แล้วพวกเขาไม่โกรธ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
ถึงเวลาปล่อยเจ้าสไลม์ไปแล้วจะได้นอนเสียที
หลังจากปล่อยเจ้สสไลม์เสร็จเรียบร้อยผมก็กลับขึ้นเรือมาเพื่อเตรียมตัวจะนอน
งั้นก็ราตรีสวัสดิ์….
ขอโทษที่หายไปหลายวันครับพอดี หลังเข้าไปติดอยู่ในโลก POE2 มา พึ่งหาทางออกมาได้วันนี้เอง…^^