Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 25
พอผมเห็นว่าพวกมันพร้อมใจกันล้มกองไปอยู่กับพื้น
ผมจึงยันกายลุกขึ้นทันที ส่วนอีกคนที่กำลังยืนเหม่ออยู่นั้นได้มองมาทางผม เจ้าหมอนั่นกำลังอ้าปากหวออยู่เลย
ผมเห็นดังนั้นจึงไถตัวผ่านด้านข้างของมัน และสามารถฟันเข้าที่เอวเจ้าหมอนั่นได้ภายในคราเดียว แม้เจ้าหมอนั่นจะใส่เสื้อเกราะอยู่ก็ตาม แต่ดาบของผมก็ยังสามารถเฉือนเหล็กกล้านั่นไปได้อย่างสบายหายห่วง
มันส่งเสียงกรีดร้องโอดครวญ แล้วบิดเอวทันที ผมจึงรีบคว้าศีรษะของมันขึ้นมา แล้วกระโดดตัวลอยขึ้นไปด้านบน ผมเตะเข้าไปที่แผ่นหลังของพวกมัน ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่งโผบินสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
ในพริบตาเดียวเท่านั้น ผืนดินเบื้องล่างก็อยู่ห่างไกลจากสายตา อีกทั้งยังได้เห็นฉากการต่อสู้อันแสนดุเดือดตรงเบื้องล่างอีกด้วย
บางคนก็กำลังต่อสู้กันอย่างแข็งขัน บางคนก็ร้องโอดครวญที่ข้อเท้าถูกเฉือนไปจากร่างกาย บ้างก็ล้มตายไปเพราะทนพิษความเจ็บปวดที่ได้เจอก่อนหน้าไม่ไหว และแน่นอนว่ามีบางคนที่กำลังรวมตัวกัน เพื่อจับกุมตัวผมอีกด้วย
ผมโผบินอยู่กลางอากาศ และบริเวณที่ผมจะลงจอดสู่ผืนดินนั้นเอง มีพวกศัตรูและเหล่าผู้เล่นจำนวนมากกำลังเปิดฉากปะทะกันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น จำนวนคนเยอะมากจนถึงขนาดไม่มีที่ว่างให้ผมเอาเท้าแตะพื้นได้เลย
ทว่าก่อนที่ผมจะเริ่มแล่นลงสู่ผืนดินอีกครั้งหนึ่งนั้น ผมก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่ง ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน เขากำลังเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน ณ วินาทีที่เราสองคนได้สบตากันนั้นเอง ชายผู้นั่นก็ทำหน้าบิดเบี้ยว ไม่ชอบใจขึ้นมาทันที หลังจากนั้นมันจึงพุ่งตัวมาบริเวณที่ผมจะร่อนลงพื้น แล้วจึงยื่นมือออกมา พลางตะโกนอะไรบางอย่างออกมาเสียงดังลั่นอีกด้วย
บึ้ม!
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นมา ผืนดินสีแดงเข้มเกิดการฟุ้งกระจายไปทั่ว กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจากผืนดิน จนเข้าปกคลุมพวกศัตรูได้จนหมด พวกศัตรูที่สัมผัสกลุ่มควันเหล่านั้น จู่ๆ ก็เกิดอาการตัวไหม้พอง พวกมันส่งเสียงหวีดร้องอันน่าสยดสยอง ในขณะที่ร่างกายก็กำลังละลายเหลวแหลกลงไปอีกด้วย
วินาทีที่ผมเริ่มจะแล่นลงสู่เบื้องล่างนั่นเอง กลุ่มควันเหล่านั้นก็ได้สลายหายไปในพริบตา พื้นที่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ คือ พื้นที่เดียวกับที่พวกศัตรูถูกหลอมละลายไป
ผมเอียงคอสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ดีแล้วแหละ หลังจากนั้นผมจึงได้ส่งพลังเวทไปยังเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย พลางชูขึ้นสูงสู่เบื้องบนโดยทันที ผมร่ายรำดาบในมือกลางอากาศ แล้วจึงค่อยลดแขนลงมาอีกครั้ง
ร่องรอยที่เกิดจากการหมุนวนของดาบนั้น ได้ทิ้งภาพความประทับใจไว้ให้เห็น ณ วินาทีที่ผมกำลังจะลงสู่ผืนดินอย่างปลอดภัยอีกครั้งหนึ่งนั้นเอง ก็บังเกิดสภาพการณ์บางอย่างที่คล้ายกับลมมรสุมปกคลุม
ตุ้บ!
พอผมสามารถแล่นลงสู่ผืนดินได้สำเร็จ ร่องรอยอันเกิดจากการร่ายรำดาบเมื่อครู่ก็ได้เริ่มเลือนหายไป ผมจึงใช้มือซ้ายที่ยื่นออกมา ชูดาบขึ้นกลางอากาศ แล้วฟาดฟันลงมาทันที
บึ้ม!
ทันใดนั้น พลังเวทที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่องรอยเหล่านั้น จึงได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคมมีดอันแสนเฉียบคม ก่อนที่จะค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วอาณาบริเวณกว้างขวาง
มรสุมแห่งคมมีดได้โหมกระหน่ำเวียนวนเหมือนลมพายุ ร่างของพวกศัตรูละแวกนั้นขาดท่อนๆ อย่างไร้ซึ่งความปรานี
เสียงกรีดร้องอันแสนน่าเวทนาดังขึ้น เศษเนื้อหนังของมนุษย์ได้ปลิวกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ร่างกายผมจึงเปียกปอนไปด้วยเลือดอุ่นๆ ที่เทกระหน่ำลงมาเหมือนสายฝนก็ไม่ปาน
ผมหลับตาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้ได้เห็นเหล่าผู้เล่นจำนวนมากที่กำลังจดจ้องมาทางผม ผู้ซึ่งสามารถจัดการต่อสู้กับพวกมันเมื่อครู่ได้อย่างหวุดหวิด และในบรรดากลุ่มคนเหล่านั้น ผมเห็นคังแทอุก ‘หมอศาสตร์มืด’ อีกด้วย
อย่างนี้นี่เอง อดทนได้ดีกว่าที่คิด
บางทีมันคงจะได้เห็นการประทานลูกเตะของผมเมื่อครู่ก่อนหน้า เพราะมันได้แสดงไหวพริบให้เห็นออกมาทีละนิดแล้ว
ผมก้าวเดินออกไปข้างหน้าช้าๆ มีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกองซากศพ ส่งสายตาจดจ้องมาที่ก้าวย่างของผมทีละก้าว ทีละก้าว
และในตอนที่ผมกำลังจะค่อยๆ ปล่อยแท่งดาบลงมานั่นเอง
“อันตราย!”
“ตายซะ! อั้ก!”
เจ้าคนที่อยู่ในกองซากศพนั่นได้วิ่งพรวดออกมาทันที แต่แล้วมันก็ถูกหักคอไป ทำให้ต้องล้มกายลงไปสู่เบื้องล่างอีกครั้ง
ทันทีที่ผมหันไปมอง ก็ได้เห็นบุคคลหนึ่ง ผู้ซึ่งคุ้นหน้าค่าตาเป็นอย่างดี
“ละ…ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”
ใช่อีชานฮี มือสังหารส่งวิญญาณหรือเปล่า เขาวกกลับไปเก็บมีดสั้นที่เพิ่งขว้างออกไปเมื่อกี้นี้ แล้วจึงวิ่งเข้ามาหาผมในทันที
ในตอนนั้นเอง
[นัยน์ตาปีศาจ, ดวงตาแห่งมารร้ายกำลังจดจ้องท่านอยู่!]
[ตอบสนองด้วยดวงตาที่สาม มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว! ขอยืนยันว่าเป็นไซม่อน ไครมส์ ผู้เล่นของดวงตาแห่งมารร้าย ตำแหน่งคือ…]
วินาทีนั้นผมรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างปะทุอยู่ในแววตา
“คุณพอจะทราบไหมครับว่า ท่านราชินีแห่งเงามืดอยู่ที่แห่งไหน”
ผมชี้ไปยังทิศหนึ่ง แล้วจึงค่อยผลักเขาออกไปเสีย ก่อนที่จะเริ่มวิ่งไปอีกครั้ง
“ละ…ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่! ตรงไหนหรื…!”
เสียงเรียกของเขาน่ะ ผมได้ยินเต็มสองหู แต่ก็ไม่สนใจและออกวิ่งไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้ ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมอันซลถึงให้มาทางนี้
ไซม่อน ไครมส์
ผมเข้าร่วมสมรภูมิรบในครั้งนี้ก็เพื่อฆ่ามันคนเดียว
อันซลได้ช่วยชี้แนะให้ในสิ่งที่ผมปราถนาไว้แล้วล่ะ
* * *
“วิเวียน? ตอนนี้ไม่เห็นพวกศัตรูเลยนะคะ เราค่อยๆ เคลื่อนตัวไปไม่ได้เหรอ ฉันเป็นห่วงแคลนลอร์ดยังไงก็ไม่รู้ค่ะ”
“…”
“วิเวียน?”
วิเวียนมีสีหน้าเหม่อลอย ก่อนที่จะกะพริบตาถี่ๆ ให้กับคำถามของอิมฮันนา หล่อนถอนหายใจออกมา พลางพยักหน้าตอบรับ
“อ้า…อื้ม นั่นสินะ”
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าเหนื่อยคะ…”
อิมฮันนายังคงพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่วิเวียนก็ได้แต่ส่ายหัวปฏิเสธไป
“มะ…ไม่หรอก ร่างกายฉันปกติดี พอได้โดนแสงเมื่อกี้นี้ก็เหมือนได้เติมเต็มพลังเวทเข้าให้น่ะ คงจะอัญเชิญมาใช้ได้อีกครั้งสองครั้งล่ะมั้ง แต่…”
“ข่าวดีนี่คะ! แต่อะไรล่ะ…?”
วิเวียนเอียงคออยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะจดจ้องไปยังทิศใดทิศหนึ่ง แล้วจึงปริปากพูดออกมาว่า
“ก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกเศร้าแบบนี้ก็ไม่รู้”
เชร้ง!
อาวุธฟาดฟันกับอาวุธอย่างหนักหน่วง เสียงโลหะกระทบกระทั่งดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง และแน่นอนว่าเสียงนั่น ไม่ได้ดังขึ้นจากตำแหน่งเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น การสั่นสะท้านอย่างรุนแรงที่ปะทุขึ้นจากที่ต่างๆ นี้ ค่อยๆ ดังกระหึ่มจนพื้นสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน ทำให้สามารถคาดเดาได้ถึงความดุเดือดของสงครามครั้งนี้ได้และเสียงที่ดังต่อเนื่องออกมานั้นก็แตกต่างกันออกไปด้วย
ทั้งการแผดเสียง ร้องคำราม เสียงกรีดร้องที่เกิดจากความเจ็บปวด เสียงตะโกนโห่ร้องที่มีคำด่าปะปน เสียงคนดิ้นรน วิงวอนร้องขอชีวิต
ทั้งเปลวไฟและระเบิดที่ปะทุขึ้นจากทั่วทุกสารทิศนี้ทำให้ดินทรายในละแวกนี้เกิดการฟุ้งกระจาย ซึ่งแน่นอนว่ามีเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ และเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นตกลงสู่ผืนดินอีกด้วย ช่างเป็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย ในขณะนี้ทั้งพวกตะวันออกกับพวกตะวันตกก็เอาแต่เปิดฉากต่อสู้ วุ่นวายไปหมด จนไม่อาจแยกได้เลยว่าฝ่ายใดคือศัตรู ฝ่ายใดคือกำลังพลที่แท้จริง
“ไอ้บ้าเอ๊ย! รักษาระยะไว้! อย่าหนีสิวะ อยู่กับที่!”
สวบ!
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังผ่าอากาศขึ้นมา ร่างของพวกเร่ร่อนที่ล้มตึงลงไป ดูท่าคงจะถูกฟันจนเนื้อขาด เจ้านั่นกลายเป็นศพที่มีลำคอและศีรษะแยกออกจากกัน ชายผู้หนึ่งเห็นภาพนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะดังออกมาทันที
“ฮ่าๆ! เข้ามาสิวะ เข้ามาเลย! มาสู้กับท่านคิมด็อกพิล นักฆ่าพวกเร่ร่อนหน่อยเป็นไง!”
ตัวเอกในครั้งนี้คือ ‘นักฆ่าพวกเร่ร่อน’ คิมด็อกพิลนั่นเอง เบื้องหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยคอจากซากศพของผู้ที่คิดจะหนีไป มีอยู่มากมายหลายสิบเลยก็ว่าได้ เขากะพริบตา ในขณะที่มือกำลังถือคอที่มีเลือดกำลังพุ่งกระฉูดออกมา ศัตรูบางคนที่เห็นเช่นนั้น จึงออกอาการตัวสั่นในทันที
“โห่ววว!”
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนของกำลังพลที่ดังไล่หลังขึ้นมา พวกเขาคงมีแรงให้ต่อสู้อยู่อีก จึงได้เริ่มก้าวเท้าเข้ามาประจันหน้ากันอีกครั้ง
การต่อสู้ในขณะนี้ จะเห็นได้ว่าพวกทวีปตะวันตกกับพวกเร่ร่อน ทหารพันธมิตรกำลังกอบกุมความได้เปรียบอยู่เห็นๆ ซึ่งในความจริงก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะปัจจัยหลากหลายอย่างที่อยู่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือจำนวนคน เพราะฉะนั้นการที่เหล่าผู้เล่นฝ่ายตะวันออกยังสามารถยืดหยัดต่อสู้กับพวกมันได้จนกระทั่งป่านนี้ ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์เลยแม้แต่น้อย
ไม่สิ จริงๆ แล้วก็เป็นปาฏิหาริย์นั่นแหละ
ในช่วงแรกๆ คิมซูฮยอนได้ถ่วง เก็บเกี่ยวเวลาไว้ให้ได้มากที่สุดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฝ่ายตะวันออกสามารถบริหารจัดการได้บ้างบางส่วน และปาฏิหาริย์อันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของอันซลก็ได้ส่งอิทธิพลมากมายต่อสมรภูมิรบครั้งนี้อีกด้วย สภาพของกองพลได้ถูกชักนำไปอย่างถึงที่สุดแล้ว แม้กระทั่งกระสุนปีศาจที่เคยหลงเหลืออยู่ในสนามรบนี้ ยังถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นอีกด้วย
ถึงกระนั้น แม้จะบอกว่าตอนนี้พวกมันกำลังได้เปรียบ ทว่ายิ่งเวลาผ่านเลยไปมากเท่าใด ฝั่งทหารพันธมิตรเองก็จะยิ่งเกิดความร้อนอกร้อนใจมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดูจากที่พวกมันแทบจะบุกทะลวงเข้ามาได้นั้น ท้ายที่สุดแล้วการต่อต้านของฝ่ายตะวันออกก็ยิ่งทวีคูณความหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ กะทันหันมากด้วย
ในท้ายที่สุดแล้ว แผนของทหารพันธมิตรที่ตั้งใจว่าจะฝ่าทะลุกองทหารฝั่งประตูทางตะวันตกนั้น ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ว่าได้ และการสะกัดเอาไว้ให้ได้จนกว่ากองกำลังเสริมจะเดินทางมาถึงนั้น ปัญหาอยู่แค่เวลาเท่านั้น