Memorize - เล่ม 17 ตอนที่ 25
ผมใช้เวลาสักพักก่อนจะพูดขึ้นเพื่อเป็นการยืนยัน
“สมาชิกทุกคนยกเว้นสามคนที่ผมได้ขานชื่อไปจะเข้าร่วมในสงครามครับ ผมขอจบการรายงานการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมด้วยสิ่งนี้นะครับ จบเพียงเท่านี้ครับ”
“เอ๋…?”
การรายงานการคัดเลือกที่แสนเรียบง่าย และคำพูดแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ออกมาจากปากของชินซังยงโดยที่ผมคาดไม่ถึง
เมื่อผมค่อยๆ หันหน้าไปทางต้นเสียง ผมก็เห็นชินซังยงที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายสุด แวบแรกที่เห็นเขาดูตกใจแต่เมื่อมองดีๆ แล้วจะเห็นว่าใบหน้าของเขามีแววบึ้งตึงอยู่หน่อยๆ นั่นดูเป็นอากัปกิริยาที่ผิดแปลกไปจากปกติของเขา ผมจึงได้แต่สงสัย
เขาเป็นอะไรไปนะ
ถึงแม้ว่าจะมีเด็กคนอื่นๆ อีก แต่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าแพคฮันกยอลยังคงเด็กและอ่อนหัดเกินกว่าจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม ส่วนท่านผู้เฒ่านั้นผมไม่ได้เลือกมาเพื่อเป็นนักรบตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้วด้วย
และถึงแม้ว่าผมจะกังวลเรื่องที่จะให้ชินซังยงเข้าร่วมดีหรือไม่เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจได้ด้วยความยากลำบากเมื่อคืนนี้เอง เพราะด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ต้องการความปลอดภัยเท่าใดนัก ชินซังยงเป็นผู้เล่นที่มีลักษณะของการ ‘เล่นแร่แปรธาตุ’ แข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘การอัญเชิญ’ ซึ่งต่างจากวิเวียน และการเล่นแร่แปรธาตุนั้นยังถือเป็นลักษณะพิเศษที่ยากต่อการจะบอกได้อย่างแน่นอนว่าเป็นการต่อสู้แขนงหนึ่งด้วย
“หากใครมีความเห็นอื่นๆ ต่อการตัดสินใจครั้งนี้ ตอนนี้ผมให้สิทธิ์ในการพูดแล้วนะครับ เชิญพูดได้เลยครับ”
“…”
“ผู้เล่นชินซังยง?”
“มะ มะ ไม่ครับ”
เมื่อผมถามขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นชินซังยงทำท่าทางลุกลี้ลุกลนก่อนจะก้มหน้าลงเงียบๆ ผมยังรอดูต่ออยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรกลับมาอีก เขาปิดปากแน่นและกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“ผมจะอธิบายเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้โดยอิงจากสถานการณ์ของเมอร์เซนต์นารี่ให้ฟังนะครับ”
ผมหันมองทุกคนโดยรอบขณะที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ห้องประชุมก็กลับเงียบลงจนไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคำพูดของผมโดยไม่แม้แต่จะหายใจกันเลยทีเดียว แม้ในตอนแรกผมจะกังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิดไว้ ท่าทีเช่นนี้เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าจะมีการทำสงครามอย่างจริงจังต่อไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
“ในฐานะที่เมอร์เซนต์นารี่เป็นทหารรับจ้างอิสระ เราจะทำสงครามครั้งนี้ในรูปแบบของการมอบหมายและแน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การทำพอเป็นพิธีเพื่อที่จะรักษาเอกลักษณ์ของเราเอาไว้เท่านั้นครับ”
ในตอนนั้นเอง ผมก็มองเห็นจองฮายอนกำลังยกมือขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้น…ก็หมายความว่ามีเผ่าที่คอยมอบหมายงานให้กับเมอร์เซนต์นารี่อยู่อย่างนั้นหรือคะ”
“ครับ มีแน่นอน มีอยู่สองที่ด้วยกันครับ”
ถ้าหากทุกคนหัวไวพอก็จะตามทันว่าในคำพูดเมื่อสักครู่นั้นมีบางอย่างที่ย้อนแย้งกันอย่างประหลาด ผมตัดสินใจกลับไปพูดถึงบทสรุปสุดท้ายก่อน
“ในสงครามนี้ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ตัดสินใจจะรับภารกิจมอบหมายจากทางตะวันออก ดังนั้นเราจะย้ายไปยังพรินซิก้าภายในไม่กี่วันนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือในการช่วงชิงบาร์บาร่ากลับคืนมาภายใต้การบัญชาการของทางตะวันออกครับ”
“คะ? ไม่ใช่อีสตันเทลลอว์หรอกหรือคะ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ถ้ารับมอบหมายจากทางตะวันออก…ถ้าอย่างนั้นแล้วทางใต้…?”
อย่างที่คิด ใบหน้าของจองฮายอนเริ่มดูแปลกไปราวกับว่าหล่อนรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
แม้ในตอนนี้จะยังเป็นขั้นตอนที่ยังเป็นความลับอยู่ แต่ก็กำลังจะถูกเปิดเผยออกมาในอีกไม่นานนี้แล้ว ผมพูดต่อไปทันทีโดยที่ยังคิดจะรักษาความลับนี้เอาไว้ในวงจำกัดก่อนจนกว่าจะถึงเวลา
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ผมจะขออธิบายยุทธการโลกใบใหม่ ซึ่งเป็นชื่อยุทธการที่ทวีปทางเหนือได้ตั้งขึ้นมากันต่อเลยนะครับ”
[สรุปแล้วนายตัดสินใจจะมาอยู่ฝั่งพวกเราเหรอ]
“ใช่น่ะสิ จริงๆ การโจมตีเมืองทางตะวันตกก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่ แต่ผมว่าการช่วงชิงบาร์บาร่ากลับคืนมาก็ดีเหมือนกัน”
[เฮ้อ…แล้วอีสตันเทลลอว์ไม่ยื้อนายไว้เลยเหรอ]
“ไม่รู้สิ ก็มีสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดผมฝ่ายเดียวล่ะนะ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงให้ความเคารพผมอยู่เหมือนเดิม”
จู่ๆ ใบหน้าของพี่ที่สะท้อนอยู่ในลูกแก้วก็หม่นหมองลง พี่มักจะแสดงสีหน้าเช่นนั้นอยู่เสมอตั้งแต่ที่เขาได้รับโชคดี อาจเพราะเขาไม่ถูกใจนักที่ผมจะไปทางตะวันออก
พี่เลียริมฝีปากก่อนจะฝืนยิ้มออกมาและเริ่มพูดกับผมอีกครั้ง
[ช่วยไม่ได้นะถ้านายคิดแบบนั้น ว่าแต่นายจะข้ามมาที่นี่เมื่อไรล่ะ]
“แล้วพี่จะออกเดินทางเมื่อไรล่ะ”
[เร็วๆ นี้ล่ะ พี่ไม่รู้ว่าทางใต้เป็นยังไงนะ แต่ว่าทางตะวันออกเตรียมพร้อมเกือบจะเสร็จหมดแล้ว พอดีช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเล็กน้อย เราจึงต้องดำเนินการเรื่องต่างๆ ให้เร็วขึ้น แต่ไหนๆ นายก็ตัดสินใจแล้ว ทำไมไม่รีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุดล่ะ จะได้มีเวลาปรับตัวกับที่นี่หน่อยยังไงละ]
เรื่องกะทันหันที่พี่พูดถึงนั้น หมายถึงการที่บาร์บาร่าตัดขาดวาร์ปเกตโดยพลการนั่นเอง เดาได้เลยว่าคงเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นที่ทำให้วันออกเดินทางถูกกำหนดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เข้าใจแล้ว ผมได้แจ้งกับสมาชิกเผ่าไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเราจะพร้อมออกเดินทางกันได้ในสามสี่วันนี้ก็แล้วกัน”
[ได้ นายสนใจเพียงตอนจบเท่านั้นก็พอ เพราะพี่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะบอกนาย]
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นเยอะเลยนะ พี่แค่ส่งสารมาฉบับหนึ่งก็พอแล้ว อย่าคิดมากเลย”
ผมส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับลำดับขั้นตอนเป็นอย่างมาก และคิดว่ามันคงทุเรศน่าดูถ้าหากผมไม่ทำตามลำดับเสียเอง
[เข้าใจแล้ว พี่มีอะไรอยากพูดกับนายเกี่ยวกับการจัดการและสงครามอีกเยอะแยะ แต่ไว้ค่อยคุยตอนเจอกันก็แล้วกัน แบบนั้นคงดีกว่า]
“‘อืม ถ้าได้ไปพรินซิก้า ผมก็จะแวะไปที่แฮมิลก่อนนั่นแหละ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ”
[อ้า ก่อนมาถ้าช่วยติดต่อมาก่อนจะขอบคุณมาก]
ผมพยักหน้ากลับไปแทนคำตอบว่าไม่ต้องห่วง เพราะนั่นมันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วนี่นะ
ผมกับพี่บอกลากันสั้นๆ จากนั้นผมก็จัดการปิดเวทที่โรยอยู่รอบลูกแก้วเสีย ผมเบนสายตากลับมาที่โต๊ะในห้องทำงานหลังจากผลักลูกแก้วที่ดับสนิทไปอีกข้างเรียบร้อยแล้ว ที่โต๊ะมีอันซลที่กำลังเขียนสารที่จะส่งไปยังเผ่าทางตะวันออกนั่งอยู่ หล่อนเอามือกุมหัวพร้อมครวญครางไม่เป็นภาษาออกมาบ้างเป็นครั้งคราว
“อันซล? ไหนเอามาตรวจหน่อย ส่งอันที่เธอร่างไว้มาให้ทีสิ”
“เฮือก! ทะ ท่านพี่ ขอเวลาอีกหน่อยไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ ก็บอกแล้วไงว่าจะตรวจ แล้วก็สารน่ะต้องส่งภายในวันนี้แล้ว ดังนั้นให้เวลาเธอมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ”
อันซลทำหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้ แต่เมื่อผมเร่งหล่อนด้วยเสียงเข้ม หล่อนก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งปรู๊ดมาส่งบันทึกให้ผมทันที ผมเริ่มอ่านมันช้าๆ
[สวัสดีครับ ผมคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ เหตุผลที่ผมส่งสารมาในครั้งนี้…]
ผมอ่านบันทึกทั้งหมดขณะที่ยื่นมือขวาของผมออกไป
“เอาปากกาขนนกมา”
ด้วยอานิสงส์จากการถูกดุไปหลายรอบ ปากกาขนนกเข้ามาอยู่ในมือผมอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับปากกาผมก็เริ่มแก้ไขข้อความในสารทันที ผมขีดเส้นใต้ตรงส่วนที่ไม่จำเป็น และเขียนเนื้อหาที่จำเป็นต้องมีเพิ่มเข้าไป
“ท่านพี่ เป็นอย่างไรบ้างคะ…”
“ไม่แย่ ถือว่าดีกว่าครั้งที่แล้วนะ”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาตอบผมก็ได้เห็นสีหน้าสดใสของอันซล เพราะได้ยินคำชมจากผมหลังจากที่ไม่ได้ฟังมานาน
พูดตามตรงแล้วอันนี้ก็ไม่ได้ถูกใจผมเท่าไร แต่หากเทียบกับครั้งแรกแล้วก็ถือว่าหล่อนทำได้ดีขึ้น เพราะบันทึกแรกที่หล่อนเขียนนั้นให้ความรู้สึกไม่ต่างจากจดหมายที่เด็กอนุบาลเขียนถึงคุณลุงทหารเลยสักนิดเดียว
“แต่ก็ยังมีบางจุดที่ยังบกพร่องอยู่นะ แม้แคลนลอร์ดโครยอจะมีชื่อเสียงมากกว่าพี่ แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นแคลนลอร์ดเหมือนกัน เธอไม่จำเป็นต้องเขียนโดยใช้คำยกย่องสูงถึงขนาดนี้ก็ได้ ถ้อยคำสละสลวยก็ดูเยอะเกินไป”
“ขอ ขอโทษค่ะ”
“และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเลยก็คือเธอช้าเกินไป ถ้าหากเป็นอียูจองหรือจองฮายอนล่ะก็คงเขียนแล้วเอามาให้พี่ภายในสิบนาทีแล้ว”
“อ้า ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ!”
คำว่าพยายาม ถือเป็นการพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับที่หล่อนเอาแต่ร้องไห้เมื่อถูกดุในวันแรกที่มาเป็นผู้ติดตาม
อย่างไรก็ตามวันนี้ได้เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว และรีบเขียนเติมเนื้อความในสารให้สมบูรณ์โดยเร็วจากนั้นจึงส่งใบที่เขียนร่างไว้นั้นคืนให้กับอันซลพร้อมกระดาษเปล่าเพิ่มไปอีกหนึ่งแผ่น
“เขียนลงแผ่นใหม่ตามนี้ ทันทีที่เขียนเสร็จก็ส่งได้เลย รู้ใช่ไหมว่าต้องส่งไปที่ไหน”
“คือ…เผ่าโครยอแห่งพรินซิก้าค่ะ”
“ใช่ แล้วหลังจากส่งไปแล้วก็ลงไปติดประกาศที่กระดานตรงล็อบบี้ชั้นหนึ่งอีกใบ และอีกสองวันพี่จะเข้าไปตรวจเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นระหว่างนี้ก็จัดเครื่องมือทั้งหมดให้เรียบร้อยไว้ด้วยล่ะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
อันซลตอบออกมาช้าๆ หลังจากที่ได้ยินคำตอบที่แน่นอนของหล่อนแล้ว ผมก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยแล้วกัน พี่จะออกไปข้างนอกสักพักแล้วเดี๋ยวจะกลับมา หวังว่าเธอจะทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนที่พี่จะกลับมานะ”
“เอ่อ ท่านพี่! เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
ในตอนนั้นเอง เมื่อผมกำลังจะลุกจากโต๊ะ เสียงบอบบางของอันซลก็ดึงรั้งผมเอาไว้
“ทำไม”
“ฉันมีเรื่องอยากบอกค่ะ ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องยากที่จะบอกเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมาชิกเผ่าคนหนึ่ง แต่ฉันคิดว่ามันคงดีกว่าที่จะให้ท่านพี่รู้เอาไว้…”
ผมไม่เคยคิดว่าอันซลจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา จึงพยักหน้าด้วยความยินดีระคนชื่นชม
“หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสมาชิก พี่ก็ควรจะต้องรู้อยู่แล้ว พูดมาเถอะ”
ที่สุดแล้วอันซลก็เริ่มพูดอีกครั้งราวกับว่าหล่อนรู้สึกโล่งใจ
“จริงๆ แล้วคือเมื่อคืนค่ะ ฉันปวดฉี่ก็เลยลุกขึ้นมา…อ้า ไม่สิ ฉันอยากเข้าห้องน้ำก็เลยตื่นขึ้นมาน่ะค่ะ”
อันซลรีบเปลี่ยนคำพูดระหว่างที่กำลังเล่าให้ผมฟัง คงเพราะสังเกตเห็นสายตาของผม ความจริงผมก็ไม่ได้อยากไปจู้จี้กระทั่งกับคำพูดหรอก แต่ในเมื่อมันมีปัญหามากเกินกว่าที่ผมจะมองว่าเป็นเพียงคำพูดของเด็กสาววัยยี่สิบปี มันจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ล่ะนะ
“แล้วจู่ๆ ฉันก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้งแล้วยังวุ่นวายใจอีกด้วยค่ะ เลยว่าจะไปเดินเล่นแล้วก็เลยออกไปที่สวน…”
“ออกไปที่สวน?”
“เห็นว่าท่านพี่ซังยงนั่งอยู่ที่ริมสระน่ะค่ะ ท่านพี่เองก็อยู่คนเดียวเหมือนกันค่ะ”
คุณซังยงน่ะหรือ
หากฟังเผินๆ อาจจะดูไม่มีอะไร แต่ปฏิกิริยาของชินซังยงในการประชุมเมื่อวานนี้มีบางอย่างผิดปกตินี่สิ เพราะแบบนี้ผมจึงรู้สึกไม่สบายใจหากยังติดใจกับอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้
“แล้วเธอรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่าล่ะ”
หล่อนแสดงท่าทีว่ากำลังครุ่นคิดกับคำถามของผม
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน อันซลก็เริ่มพูดต่อ