Memorize - เล่ม 14 ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
เดี๋ยวก่อน ก่อนหน้านี้คิดอย่างไรกันแน่ถึงได้เอาคำพูดของอันฮยอนมาแทนการตอบกลับของผมได้ ผมรู้สึกอยากจัดการกับเธออย่างแรงกล้า แต่อยู่ที่นี่จะต้องอดทนก่อน อย่าหันไปมองตอนเธอพูดเรื่องของอิมฮันนาออกมา และจะต้องรับมืออย่างแน่วแน่ด้วย เธอเป็นคนความรู้สึกไวกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าจะหาเรื่องแบบไหนมาเล่นอีก
จะต้องทำอย่างไรถึงจะพลิกสถานการณ์การต่อสู้นี้ได้นะ ในที่สุดก็มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น ผมเช็คดูผ่านการรับรู้ว่ามีใครอยู่ด้านนอกหรือเปล่า จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปใกล้โกยอนจูอย่างเยือกเย็น เธอยิ้มเผล่จนตาหยีแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย คงตั้งใจจะวางของที่ถืออยู่ลง และตอนนั้นเอง
“หืม ซู…”
ผมรีบคำนวณมุมอย่างรวดเร็วแล้วยื่นหน้าเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายเป็นริมฝีปากที่ยังคงอมยิ้มอยู่ ใบหน้าของโกยอนจูซึ่งค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เต็มไปด้วยความงงงวย และแล้ว
“อุ๊บ!”
จุ๊บ
จากนั้น อะไรบางอย่างอุ่นๆ และนุ่มนิ่มก็ค่อยๆ ซ้อนทับกับริมฝีปากของผม
“อ๊ะ พี่! มาแล้วเหรอ”
“อืม เอาของที่เคยอยู่ชั้นสองมาหมดแล้ว ที่นี่เป็นไงบ้าง”
“เฮ้อ อย่าพูดเลย พี่มาได้เวลาพอดี มีอัญมณีกับทองนิดหน่อยก็เลยหยิบพวกนั้นมาเก็บก่อน แต่กระเป๋าเต็มไปหมดแล้วก็เลยยังเอาของใส่ลงไปไม่…”
คำพูดต่อเนื่องไม่หยุดของอียูจองหยุดชะงักลงตอนที่มองกระเป๋าเวทมนตร์ที่ผมสะพายอยู่ ผมเองก็ยัดของลงไปในกระเป๋าตามที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นมันจึงแทบจะปิดไม่ลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่าสายตาของอียูจองหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นจึงหมุนกระเป๋าที่เคยสะพายมาถือด้านหน้า
“ไม่เป็นไร แล้วเธอเอาของวางไว้ตรงไหนล่ะ”
“ฉันเอาออกไว้อย่างหนึ่ง ส่วนที่เหลือเอารวมกันไว้ตรงพื้นน่ะ”
สิ่งของหลายๆ อย่างถูกวางเรียงกันเอาไว้ตรงพื้นตามที่อียูจองพูด โพชั่นหลากหลายสี กล่องไม้ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ไหประหลาดๆ สีแดงเลือดหมู และอื่นๆ ผมมองของพวกนั้นพร้อมกับพยักหน้า แต่แล้วคำพูดที่ว่าเอาออกอย่างหนึ่งก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมเอาออกไว้อย่างหนึ่งล่ะ”
“นั่น…”
อียูจองเอียงหัวแล้วชูนิ้วไปทางฝั่งหนึ่ง พอเบนสายตาไปทางด้านที่เธอชี้ไป ผมจึงต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
ตรงนั้นมีภาพเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์มากๆ ไข่หนึ่งฟองขนาดเกือบเท่ากับใบหน้าของคนกำลังลอยเคว้งโดยถูกห่อหุ้มไว้ด้วยม่านสีฟ้า และลูกแก้วสีฟ้าลูกหนึ่งก็ส่องแสงสีน้ำเงินเข้มออกมารอบๆ ไข่พร้อมกับกำลังหมุนไปรอบๆ อยู่
“ฉันสงสัยว่าคืออะไรเลยลองยื่นมือไปจับดู แล้วก็จับได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลยนะพี่ ถึงอย่างนั้นก็เอาไว้ตรงนั้นเผื่อไว้”
“ดีมาก”
ผมตอบกลับง่ายๆ แล้วเรียกใช้ดวงตาที่สาม
[ไข่ของ(ราชินี)เอลฟ์]
[ลูกแก้วเวทมนตร์สำหรับเก็บรักษาของมาร์โวลโล]
‘ไข่ของราชินีงั้นเหรอ ไม่เคยได้ยินใครบอกว่าได้ไข่ไปจากที่นี่เลยนะ’
พอผมกังวลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน จู่ๆ ก็นึกถึงบันทึกที่เคยอ่านบนชั้นสี่ คิดดูแล้ว มีบันทึกที่เขียนไว้ว่ามาร์การิต้าท้องอยู่ครั้งหนึ่งด้วย ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่บางทีไข่ฟองนี้อาจจะเบ่งออกมาจากเธอ เพราะจริงๆ แล้วข้อมูลในข้อความก็บอกไว้ว่าเป็นไข่ของราชินีแห่งเอลฟ์
‘จะทอดกินหรือจะยังไงก็เอาไปก่อนน่าจะดีกว่า’
ผมตัดสินใจแบบนั้น และในตอนที่กำลังจะพูดกับทั้งสองคนที่มองดูไข่อย่างใจจดใจจ่อ
“คุณราชินีแห่งเงามืด นี่คือของที่ผมค้นพบเองเลยนะครับ ดูเหมือนจะเป็นไข่นะครับเนี่ย”
“โฮะๆ อย่างนั้นสินะ”
“หุๆ ใช่แล้วครับ คิดยังไงบ้างล่ะครับ”
“โฮะๆ ไข่…ดีสิ ดีสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“พะ พี่ยอนจู”
“โฮะๆ ไข่น่ะ…น่าจะเป็นผลอันน่าพอใจของความรักนะ ไข่ของซูฮยอนน่ะ ฉันเองก็…”
โชคดีที่โกยอนจูทำให้ท้ายประโยคเงียบหายไปจึงหลีกเลี่ยงเหตุการณ์อันเลวร้ายไปได้ ใช่ บางทีน่าจะไม่ได้ยินกัน ผมตัดสินใจที่จะคิดแบบนั้น ใบหน้าของเธอยังคงมีเลือดฝาด และอันฮยอนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เพียงแค่มองเธอด้วยใบหน้าตะขิดตะขวงใจเท่านั้น
ผมสอดมือเข้าไปค้นในกระเป๋าพร้อมกับถอนหายใจ ผมรับรู้ถึงสัมผัสของหนังสือไม่กี่เล่มที่เอามาเมื่อครู่นี้กับอุปกรณ์หลายๆ อย่าง ผมสอดมือลงไปข้างล่างยิ่งกว่านั้นจนลงไปสุด แล้วมือของผมก็สัมผัสกับอะไรอ่อนนุ่ม พอผมหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างไม่ปล่อยให้เสียเวลา อียูจองจึงจ้องมองมาด้วยดวงตาเจือความอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างๆ
“พี่ หรือว่านั่นคือเคออซ มิมิค เอามาด้วยเหรอ”
“อือ รู้ดีนี่นา”
“พ่อ หรือแม่ หรือลูก”
“ลูก”
จู่ๆ ผมที่ตอบไปทันทีก็รู้สึกขัดเขินมากๆ ขึ้นมา ให้ตายสิ ‘ลูกเคออซ มิมิค’ งั้นเหรอ พูดเรื่องสัตว์ประหลาดแล้วมันมีอะไรน่ารักตรงไหน
พอก้มหน้าลงมองดูเคออซ มิมิค ก็เห็นเจ้านั่นกำลังปิดส่วนปากของมัน(ทางเข้า)แน่น ในฐานะสัตว์ประหลาด พลังส่วนใหญ่จึงสูญเสียไปแล้ว แต่ ‘อัญมณีสีแดง’ ที่ควบคุมมันได้นั้นยังอยู่ในสภาพที่ยังคงไม่ได้รับการปรับปรุงใหม่ พูดง่ายๆ ก็คือมันกำลังขัดขืน
แต่ไม่เป็นไร ผมจับส่วนปากของเคออซ มิมิคทั้งสองข้างแล้วแยกออกกว้างในพริบตาเดียว
แบ๊ะ!
คงตกใจกับเสียงร้องที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน สมาชิกเผ่าทุกคนจึงหันมามองผมด้วยใบหน้าตกใจ ผมมองตอบสายตาของพวกเขาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ
“เอาล่ะ เอาล่ะ จะสำรวจอะไรก็เอาไว้ทีหลังแล้วกันครับ กลับเมืองไปแล้วค่อยทำก็ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะครับ เก็บของที่เห็นมาทั้งหมดก่อนดีกว่า”
แบ๊ะะ…แบ๊ะะะะ
“หนวกหูน่ะ ไอ้เด็กนี่”
พลั่ก
แบ๊ะ!
เคออซ มิมิคร้องด้วยความเศร้าสลดอย่างต่อเนื่อง แต่พอผมตีมันแรงๆ ไปป้าบหนึ่งเป็นสัญญาณบอกให้เงียบๆ มันจึงหยุดร้องออกมาทันทีแล้วเริ่มสะอึกสะอื้นเบาๆ
พอเสียงหนวกหูหายไปแล้ว ผมจึงส่งลูกเคออซ มิมิคให้อียูจอง เธอลูบมันสองสามครั้งด้วยใบหน้างงงวยแล้วค่อยๆ สังเกตท่าทีของผม จากนั้นก็เริ่มกวาดของมาเก็บ
แบ๊ะ…แบ๊ะ…แบ๊ะ…
พวกเราเริ่มเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ทีละอย่างสองอย่างท่ามกลางเสียงสะอื้นของเคออซ มิมิค
การเก็บของไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น พวกเราแบ่งเวลาให้การเก็บของประมาณยี่สิบนาทีแล้วจึงสามารถกวาดเอาสิ่งของที่อยู่ชั้นสองกับสามมาเก็บได้หมด
พอเอากระเป๋าที่เต็มจนแทบปริลงมาอย่างพร้อมเพรียงกันจึงได้เห็นคิมฮันบยอลที่เดินไปมาจนทั่วอยู่ด้านล่างของบันได เธอเองก็คงรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังลงบันไดจึงเงยหน้าขึ้นทันที
“อ๊ะ พี่ สำรวจเสร็จแล้วเหรอคะ”
“อือ ชั้นหนึ่งเป็นไงบ้าง”
“ฉันตัดของตกแต่งมาจนหมดแล้วเอาไว้ในกระเป๋าตามที่พี่บอกแล้วค่ะ”
“ดีมาก แล้วมีอะไรอีกไหม”
“คือ…เจอพวกอุปกรณ์นู่นนี่เยอะเหมือนกันค่ะ ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนจะเป็นของที่พวกผู้เล่นที่นี่เคยใช้น่ะค่ะ”
คิมฮันบยอลยังคงพูดต่อว่ายังไม่ได้เอาของพวกนั้นไปไหนพร้อมกับรอคำตอบของผมเงียบๆ อุปกรณ์ของผู้เล่นงั้นเหรอ แน่นอนว่าไม่สามารถกลับไปในสภาพเปลือยเปล่าได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดจะคืนอุปกรณ์ให้พวกเขาอีกครั้ง แต่ไม่คิดจะคืนอุปกรณ์ของผู้เล่นที่ตายไปแล้วหรอกนะ
ธรรมเนียมเกี่ยวกับการช่วยชีวิตในฮอลล์เพลนค่อนข้างมีเอกลักษณ์พอสมควร แน่นอนว่าการคืนของไปด้วยความมีคุณธรรมก็มีอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นความมีคุณธรรมอย่างที่พูด เห็นได้ว่าเพียงแค่คืนอุปกรณ์ให้พวกผู้เล่นที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอที่จะได้รักษาคุณงามความดีในตัวได้แล้ว ส่วนพวกอุปกรณ์ที่เหลือ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่สามารถประกาศเป็นกรรมสิทธิ์อันดับแรกได้
ถ้ามองจากด้านนั้น คิมฮันบยอลก็หลักแหลมอย่างเห็นได้ชัด บางทีถ้ามีอันซลอยู่ คงไม่แม้แต่จะขออนุญาตจากผมแล้วส่งของทั้งหมดให้พวกผู้เล่นอย่างวุ่นวายไปทั่วแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ผมมองคิมฮันบยอลที่รอคอยคำตอบตั้งแต่เมื่อครู่นี้พร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ เดิมทีถึงเอาไปหมดก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นสมาชิกเผ่าของเผ่าใต้บังคับบัญชาของอีสตันเทลลอว์
ผมจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ พลางเรียบเรียงความคิดแล้วพูดขึ้น
“อย่างแรกเลยก็คือ เหลือเสื้อผ้าที่ผู้เล่นที่เราช่วยมาได้เคยสวมทั้งหมดเอาไว้ พวกเขาออกไปข้างนอกทั้งที่ยังโป๊ไม่ได้หรอก ส่วนของอย่างอื่นไม่ต้องให้ เอามาให้หมด อ้อ จำคนที่ตื่นขึ้นมาคนแรกสุดได้ใช่ไหม ถ้ามีอุปกรณ์ของคนที่ชื่อมีฮีเหลืออยู่ก็เอาให้เขาด้วยก็แล้วกัน หมายถึงคนคนนั้นน่ะ”
“ถ้าคนอื่นก็ขอด้วยจะทำยังไงดีคะ”
“ไม่มีทางที่จะพูดแบบนั้นหรอก เรื่องแบบนั้นทุกคนก็น่าจะรู้อยู่ไม่ใช่เหรอ กลับเมืองไปแล้วให้คนจากเผ่าที่เกี่ยวข้องซื้อเก็บไว้ หรือไม่พวกเราก็ต้องจัดการด้วยตัวเองไปเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก”
“ค่ะพี่”
คิมฮันบยอลตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นพวกเราซึ่งคุยกันเสร็จเรียบร้อยก็ก้าวเดินไปตรงกลางโถงอย่างรวดเร็ว
ทีนี้ถึงเวลาที่จะออกไปจากซากโบราณสถานแล้ว
ของโบราณที่ได้มาจากชั้นสองกับชั้นสามโดดเด่นอย่างมาก แต่ผลสำเร็จนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าอยู่ในระดับที่จะเพิกเฉยได้ ถึงแม้จะตัดศพกับเขายูนิคอร์นออกไปก่อน แต่เพียงแค่ออร์โดแห่งข้อบังคับกับน้ำตาของราชินีแห่งเอลฟ์ก็เป็นของที่มีมูลค่ามหาศาลแล้ว ถึงขนาดที่พวกของตกแต่งอันหรูหราที่คิมฮันบยอลแกะออกมาจากชั้นหนึ่งนั้นดูด้อยค่าไปเลย
ตอนนี้ผมต้องการที่จะจับมาทีละอย่างแล้วตรวจสอบข้อมูลเดี๋ยวนี้เลยเป็นอย่างมาก แต่ทั้งผมทั้งสมาชิกเผ่าจำเป็นจะต้องกลับไปยังโมนิก้าให้เร็วที่สุดแม้จะแค่วินาทีเดียวก็ยังดี เพราะถึงจะอดทนมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ แต่ความหนักอึ้งที่ร่างกายรู้สึกได้ยังคงหลงเหลืออยู่จากการใช้ฮวาจอง
อย่างน้อยก็เพื่อเติมเต็มให้กับร่างกายที่เรียกร้องขอการพักผ่อน การเลือกที่จะกลับเข้าเมืองก่อนเป็นอย่างแรกจึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ผมคุยตกลงกันกับคิมฮันบยอลที่บันไดชั้นหนึ่งแล้วพวกเราจึงเดินไปตรงกลางฮอลล์ทันที ตามที่อันซลพูด ผู้เล่นที่ได้สติแล้วเพิ่มขึ้นมาเป็นสี่คน
พวกเราเอาอุปกรณ์ที่พวกเขาเคยใช้ให้แก่พวกเขา ส่วนอุปกรณ์ของผู้เล่นที่ยังไม่ตื่น พวกเราก็สวมให้พวกเขาด้วยมือของตัวเองโดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้เล่นที่ตื่นแล้ว
ถึงอย่างนั้น พวกผู้เล่นคงมีแนวทางปฏิบัติอยู่ พวกเขาจึงแสดงความขอบคุณอย่างมากกับการตัดสินของผมที่คืนอุปกรณ์ให้อย่างไม่มีเงื่อนไขอะไร ยิ่งกว่านั้น พอเลือกอุปกรณ์ที่ผู้เล่นที่ชื่อว่ามีฮีเคยใช้ให้กับชายที่ตื่นขึ้นมาคนแรกสุด โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ตาย ชายคนนั้นก็โค้งให้ไม่หยุดด้วยใบหน้าเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา
คงเพราะอย่างนั้น ถึงแม้จะเอาอุปกรณ์จำนวนมากพอสมควรที่เหลือมาทั้งหมด แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไรออกมาเลย
สองคนที่กำลังกายลดฮวบลงอย่างมากในบรรดาผู้เล่นที่ตื่นขึ้นมาแล้วจะต้องประคองเอาไว้ ส่วนผู้เล่นที่ยังคงไม่ได้สติ ผมตัดสินใจให้สมาชิกเผ่าที่ยังไหวอยู่แบกไป
ผมจัดการวางแผนไว้แบบนั้น จากนั้นพวกเราจึงออกไปจากปราสาทได้ในที่สุด โดยถอดเอาอัญมณีของประติมากรรมจอมเวทซึ่งเห็นตอนเข้ามาตอนแรกตรงทางเดินออกเป็นอย่างสุดท้าย
การออกเดินทางไกลมาสำรวจยังคงไม่เสร็จสิ้น ตอนนี้ยังเหลือกระดุมเม็ดสุดท้ายที่จะต้องกลัดคือจะต้องกลับไปยังโมนิก้าอย่างปลอดภัย แล้วก็…
จ๊อกๆ จ๊อกๆ
“วะ ว้าว! ท่านพี่! ดูนั่นสิคะ!”
“หืม”
“น้ำในแม่น้ำที่เคยหยุดอยู่เมื่อกี้กลับมาไหลอีกครั้งแล้วค่ะ!”
“อ้อ นั่นสินะ”
เป็นไปตามที่อันซลพูด น้ำในแม่น้ำที่เคยหยุดไหลตอนพวกเราเข้ามาตอนแรกกลับส่งเสียงดังสดใสราวกับถามว่าฉันเป็นแบบนั้นตอนไหน
ในขณะที่กำลังมองดูน้ำในแม่น้ำโดยไม่ได้คิดอะไร ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ที่เรียกผมจากทางด้านหลัง พอหันหน้าไป ผมก็เห็นคิมฮันบยอลซึ่งกำลังประคองผู้เล่นหญิงคนหนึ่งอยู่
“คือว่า…พี่คะ ฉันมีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่งน่ะค่ะ”
“หืม อะไรล่ะฮันบยอล”
“ฉันลองนับดูตั้งแต่ตอนลงจากบันได้แล้วค่ะ พวกเราลงบันไดมาได้ประมาณสามสิบถึงสี่สิบนาทีแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“น่าจะประมาณนั้นนะ”
“แต่มองไม่เห็นทางเข้าที่พี่ทำไว้เมื่อก่อนหน้านี้เลยนะคะ แล้วก็…แล้วม่านป้องกันก็…”
คิมฮันบยอลเหลือบมองแพคฮันกยอลหนึ่งครั้งแล้วเบนสายตากลับมาจ้องผมอีกครั้ง ทันใดนั้น ผมจึงรับรู้ได้ว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไร ผมขยับศพยูนิคอร์นที่แบกอยู่ให้เข้าที่แล้วจึงตอบเธอกลับด้วยน้ำเสียงราวกับบอกว่าให้วางใจได้
“อ๋อ ตอนนี้น่าจะไม่จำเป็นต้องมีม่านป้องกันในหุบเขามายาแล้วละ ดูจากที่น้ำกลับมาไหลอีกครั้ง กำแพงก็น่าจะคลายออกแล้วเหมือนกัน”
“จริงเหรอคะ”
“อือ น้ำที่เคยหยุดไหลกลับมาไหลอีกแล้วนี่ เพราะฉะนั้นจะมองแบบนั้นก็น่าจะถูกต้องนะ บางทีตัวกำแพงก็น่าจะคลายออกเองด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเลยไม่เห็นทางเข้าน่ะ”
“อ๋อ…อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นวางแผนจะขึ้นไปเฉยๆ ทั้งอย่างนี้เลยใช่ไหมคะ”