Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 25
บาดแผลหายไปหมดแล้วนี่ คะแนนพลังเวทเพิ่มขึ้นหนึ่งพอยต์ด้วย
“ค่ะ พอดีท่านผู้เฒ่าช่วยบอกทุกอย่างฉันไม่รู้อย่างละเอียดยิบเลย ฉันเลยมาที่นี่ทุกวันเลยค่ะ”
หล่อนตอบกลับมาทันใด ช่างแตกต่างกับสมัยก่อนเสียจริง
ผมรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วก็คิดว่านี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของฮันบยอล ยิ่งไปกว่านั้น หากเราได้พิจารณาดูถึงอุปนิสัยหรือค่าคะแนนความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว เราก็สามารถรู้เลยได้ว่าจริงๆ แล้วหล่อนเองก็เป็นคนที่มีความพยายามมากๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกพึงพอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ก่อนที่จะลูบผมอย่างอ่อนโยน
“เหนื่อยแย่เลยนะ เธอตั้งใจดีจริงๆ”
“พะ พี่?”
“หืม? ช่วงนี้เธอคงอยู่แถวๆ นี้ล่ะสิท่า เธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะถ้าเทียบกับตอนแรกๆ ที่เข้ามาอยู่ใหม่ ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนเธอจะอยู่สุขสบาย แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ”
“คะ? ขอบคุณ… เอ่อ คือ ดะ เดี๋ยวก่อนนะคะ…”
อารมณ์ไม่ดีเหรอ ฮันบยอลกำลังพยายามเบี่ยงตัวซ้ายขวาหลบหลีกฝ่ามือของผม หล่อนกะพริบตาขึ้นลงถี่รัว มิหนำซ้ำสีหน้าของเจ้าหล่อนยังดูสับสนมากเสียด้วย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงรีบชักมือออกโดยเร็ว ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่สูดเข้าออกอย่างรุนแรงมากขึ้น
หล่อนหน้าแดงก่ำ ใช้มือลูบลำคอตัวเอง ก่อนที่จะใช้มือขวาลูบไล้นิ้วนางข้างซ้าย ดูท่าว่าหล่อนยังคงสวมใส่แหวนต้านเวทมนตร์ที่ผมให้เมื่อสมัยก่อนเหมือนเดิม
“เอ่อ ฉันทำผิดอะไรไปสินะ”
ผมลองสอบถามอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น
ฮันบยอลเหลือบมองผม ก่อนที่จะเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธไปพลาง หลังจากนั้นหล่อนจึงหลุบตาต่ำลงไปอีก ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ถึงไม่ชอบสบตากับผมนะ
หล่อนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น แล้วผมก็ได้ยินเสียงหล่อนพูดออกมาว่า
“พี่เองก็…ช่วงนี้ดูเปลี่ยนๆ ไปเหมือนกันค่ะ”
“หืม? ตรงไหนล่ะ”
“ก็เมื่อก่อนพี่เย็นชา ดูน่ากลัวมาก แต่ช่วงนี้พี่ยังพอยิ้มแย้มออกมาบ้าง… บ้างก็เรียกชื่อฉัน… บางครั้งสายตาพี่ก็ดูอ่อนโยนขึ้นมากด้วย…”
บางครั้งเหรอ
ผมฟังคำตอบจากฮันบยอลได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหล่อนพูดบ้าง เว้นช่วงบ้างหรือไม่ ผมจึงได้แต่เอียงคอสงสัยไปครู่หนึ่ง แล้วก็ได้เห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็…ดูเหมือนพี่จะวางตัวสบายๆ มากกว่าแต่ก่อนน่ะค่ะ ฉันเองก็ชอบแบบนี้”
หล่อนพูดต่อออกมาจนจบ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเก็บความรู้สึกไว้เสียมิดชิด
ผมได้ยินดังนั้น จึงยืนเกาหัวแกรกๆ อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่านั่นคงเป็นคำชมสำหรับผม จึงได้ส่งยิ้มน้อยๆ กลับไปให้
ในตอนนั้นเอง
วินาทีที่ผมส่งมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นไปให้อีกฝ่าย สีหน้าอันแสนไร้อารมณ์ของฮันบยอลก็ปรากฏสีเลือดฝาดจางๆ แต่งแต้มอยู่บนดวงหน้า กับริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ
หล่อนเป็นเด็กยิ้มยากก็จริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันได้ก็คือ รอยยิ้มบางๆ ของหล่อนในตอนนี้ช่างเข้ากับดวงหน้าของหล่อนเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
สวยจัง
เราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ได้แต่ยืนเฉยๆ ยิ้มให้กันเพียงเท่านั้น และในตอนนั้นเอง
ตึก ตึก ตึก! ตึก ตึก ตึก!
จู่ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังลั่นออกมาจากบริเวณบันไดทางเดิน
“พี่ขาาา! เกิดเรื่องใหญ่แล้ววว!”
หลังจากนั้น เสียงตะโกนก็ดังลั่นไปทั่วทั้งทางเดิน ลามมาถึงโกดังเก็บของแห่งนี้
พวกเราสองคนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมกันทันที
ส่วนเจ้าของเสียงก็คืออียูจองนั่นเอง ส่วนที่บอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนั้น หล่อนเสริมความบอกมาว่ามีคนทะเลาะตบตีกันที่ห้องอาหาร ซึ่งห้องอาหารที่ว่าก็อยู่ภายในแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่แห่งนี้ ผมได้ยินเช่นนั้น จึงรีบทำใจให้สงบเสียก่อน แล้วจึงวิ่งตรงไปยังห้องอาหารทันที
ความรู้สึกข้างในของผมในตอนนี้ อาจจะไม่รู้สึกสงบมากเท่าใดนัก แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยมีกรณีที่ทะเลาะเบาะแว้งกันจนต้องลงไม้ลงมือ
โลกที่ชื่อว่า ฮอลล์เพลนแห่งนี้ ล้วนแตกต่างกับโลกปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ผู้เล่นแต่ละคนมีค่าคะแนนความสามารถแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้น อาจจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิต ได้ ต่อให้ไม่ใช่กรณีร้ายแรงอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีขีดจำกัดป้องกันเอาไว้เสียบ้าง
ปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น หากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันร้ายแรงมากจริงๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อความไม่สงบของสมาชิกในเผ่าอีกด้วย เพราะฉะนั้นผมจึงจะต้องลงดาบจัดการให้ได้โดยเร็วที่สุด จะไม่มานั่งหาเหตุผลประกอบอะไรทั้งนั้น
เพียงอึดใจเดียว ผมก็เดินลงมาถึงชั้นหนึ่ง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารทันที ยิ่งใกล้ถึงเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ยินเสียงจอแจดังออกมาจากทิศเบื้องหน้า ด้วยความใจร้อน ผมจึงรีบเร่งฝีเท้ามากขึ้นไปอีก แล้วจึงผลักประตูห้องอาหารเข้าไปอย่างแรง
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าปรากฏขึ้นเต็มสองตา ผมเห็นดังนั้น จึงหยุดการเคลื่อนไหวไปในทันที
ภายในห้องอาหารมีสมาชิกเผ่าหลายคนรวมตัวกันอยู่ แต่แล้วคนที่ผมเห็นหน้าก่อนใครเพื่อนเลยก็คือ จองฮายอน หล่อนมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก และผมก็ได้เห็นเจ้ายูนิคอร์นน้อยที่กำลังขู่ฟ่อๆ สะบัดหางไปมาอย่างแรงอยู่บนโต๊ะตรงหน้าจองฮายอน
ผมเริ่มเรียกสติของตัวเองให้กลับมาใหม่ พลางใช้สมองวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ทั้งสองคนกำลังเถียงทะเลาะกันอยู่
“เจ้านี่จริงๆ เลยเชียว ทำไมถึงทำนิสัยแบบนี้ฮะ”
ฮี้!
“ฉันเองก็พูดปากเปียกปากแฉะมากพอแล้วนะ ที่ผ่านมาฉันต้องทุกข์ใจกับเธอมากขนาดไหน เธอเคยรู้เรื่องอะไรบ้างไหม”
ฮี้ ฮี้!
…แต่สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด
เห็นแค่จองฮายอนที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กับเจ้ายูนิคอร์นน้อยที่ถลึงตาตอบโต้อีกฝ่ายเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมพอจะสรุปความอะไรได้บ้างล่ะเนี่ย
ผมยืนเหม่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเบนสายตามองไปทางอื่นบ้าง แล้วก็พบเข้ากับโกยอนจูที่กำลังส่งเสียงหัวเราะคิกๆ หล่อนใช้มือปิดปากตัวเอง ทำหน้าเหมือนขำจะไม่ไหวแล้วเสียอย่างนั้น หัวเราะน้ำตาแทบเล็ดเลยก็ว่าได้
วินาทีนั้น เสียงสูงปรี๊ดของจองฮายอนก็ดังแสบหูขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปเอาไอ้นิสัยถลึงตาแบบนี้มาจากไหน! รีบขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!”
ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้!
“ยัยเด็กนี่มัน!”
ในที่สุดจองฮายอนก็รีบจ้ำอ้าวเข้าไปหาเจ้ายูนิคอร์นน้อย แล้วจึงอุ้มตัวลอยขึ้นมาทันที ดูเหมือนหล่อนจะโมโหจนทนไม่ไหวแล้ว
ฮี้ ฮี้?
เจ้ายูนิคอร์นน้อยรีบสะบัดแข้ง สะบัดขาไปมารัวๆ สีหน้าดูตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก แต่จองฮายอนก็ไม่ได้สนใจ หล่อนรีบอุ้มเข้าเอว จนก้นขาวๆ ของเจ้ายูนิคอร์นน้อยปรากฏสู่สายตาของคนในห้องอาหาร หลังจากนั้นหล่อนก็รีบฟาดมือขวาลงไปอย่างจัง
“นี่แน่ะ!”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือแหวกอากาศดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝ่ามือกระทบเข้ากับก้นขาวๆ ของเจ้ายูนิคอร์นน้อย
และมันไม่ได้หยุดอยู่แค่ครั้งเดียว
“นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! ยัยเด็กดื้อ!”
เพียะ! เพียะ, เพียะ!
ฮี้! ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้!
“ไปเรียนนิสัยแย่ๆ แบบนี้มาจากไหน! ใครใช้ให้เธอขู่ฉันแบบนั้น รู้หรือเปล่าว่ามันไม่ดี ไม่รู้หรือไง”
จองฮายอนฟาดเจ้ายูนิคอร์นน้อยอย่างไม่ยั้งมือ แต่ละครั้งที่ฟาดลงไปนั้น ผมแทบมองไม่เห็นความปรานีของหล่อนเลย
เพียะ! เพียะ, เพียะ!
ฮี้! ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้!
ส่วนเจ้ายูนิคอร์นน้อยก็ดิ้นสุดแรงเกิดตลอดเวลาเช่นกัน ทว่าก็ยังไม่สามารถเอาชนะแรงอีกฝ่ายได้ เพราะยังเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวน้อย ไม่ได้มีพละกำลังแรงกล้ามากขนาดนั้น
ไม่สิ มันต้องไม่ถึงขั้นนี้สิ
“หยุด!”
สมาชิกเผ่าทุกคนหันหน้ากลับมามองผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ดูเหมือนพวกเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่าผมมาถึงห้องอาหารแห่งนี้แล้ว
วิเวียนมองเจ้ายูนิคอร์นน้อยอย่างนึกอิจฉา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เดินผ่านหล่อนไปทั้งอย่างนั้น ก่อนที่จะพูดออกไปว่า
“ผู้เล่นจองฮายอน”
“ซะ ซูฮยอน?”
“กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ”
“เอ่อ… คะ คือว่า…”
จองฮายอนกวาดสายตามองรอบห้อง หล่อนมีสีหน้าเหมือนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่จะค่อยๆ วางตัวเจ้ายูนิคอร์นน้อยลงอย่างระมัดระวัง
ฮี้ ฮี้…
ทันใดนั้น เจ้ายูนิคอร์นน้อยก็ร้องหงิงๆ วิ่งเข้ามาหาผมทันที ผมจึงค่อยๆ อุ้มตัวขึ้นมาอย่างเบามือที่สุด ท่าทางจะโดนตีแรงมาก จนทำเอาก้นขาวๆ บวมเป่งมากถึงขั้นนี้
จองฮายอนยืนกัดริมฝีปากเบาๆ ไม่พูดจา ผมจึงได้ถามหล่อนออกไปอีกครั้ง
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือครับ”
“ขอโทษค่ะแคลนลอร์ด”
“…เขาก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ผมไม่รู้หรอกว่าคุณทำไปด้วยเหตุผลอะไร ไม่เห็นจำเป็นจะต้องถึงขั้นโวยวาย ลงไม้ลงมือเลยนี่ครับ”
“ฉันก็แค่…เจ็บใจน่ะค่ะ”
เจ็บใจอย่างนั้นเหรอ
ผมจ้องจองฮายอนเขม็ง เท่าที่ผมรู้จักนิสัยมา ปกติแล้วหล่อนไม่ใช่คนทำอะไรไร้เหตุผลหรอก
ผมตั้งใจว่าจะฟังเหตุผลที่แท้จริงของหล่อนอย่างละเอียดอีกครั้งในภายหลัง เพราะตอนนี้ผมจำต้องจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าให้คลี่คลายโดยเร็วเสียก่อน แม้มันจะดูไม่ดีเท่าไหร่ก็เถอะ
ฮี้ ฮี้…
ไม่รู้เจ้ายูนิคอร์นน้อยเศร้าใจอะไรนัก ผมจึงได้ก้มหน้าลงไปสำรวจเขาเสียก่อน แล้วก็พบว่า
เจ้ายูนิคอร์นน้อยกำลังส่งเสียงร้องหงิงๆ มุดหน้าจมอก สงสัยคงจะเจ็บก้นน่าดู ถึงได้ร้องเสียขนาดนี้
ผมค่อยๆ ลูบปลอบก้นบวมๆ ของเขา ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกไปเบาๆ ว่า
“…เฮ้อ รับทราบครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมขอตัวเขาไว้สักครู่หนึ่งก่อน ส่วนฮายอนก็ไปสงบสติอารมณ์ให้เย็นลงกว่านี้สักหน่อยเถอะนะครับ”
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ค่ะ”
ฮายอนลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะตอบกลับมา ผมเห็นดังนั้นก็รีบหันหน้าไปทางอื่นทันที อียูจองไปไหนเสียแล้วล่ะเนี่ย ผมเกิดสงสัยว่านี่น่ะหรือ เรื่องใหญ่ของหล่อน เลยอยากจะซักไซ้ไล่เลียงดูสักครั้ง
ในตอนนั้นเอง
“ท่านพี่ขาาา!”