Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 20
วินาทีนั้นทูตสวรรค์ที่ปรากฏกายทั้งสามตนก็หยุดหายใจไปพร้อมๆ กันเสียดื้อๆ กาเบรียลได้ยินเช่นนั้นถึงกับเบิกตาโพลง คงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาเช่นนี้
อูรีเอลเห็นดังนั้นก็เริ่มรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง หล่อนจึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่สุขุมกว่าเดิมเล็กน้อย
“แล้วก่อนหน้านี้ เจ้าหมอนั่นก็ได้บรรลุการตื่นรู้ของพลังแห่งฮวาจองขั้นหนึ่งแล้วใช่ไหมเล่าคะ”
“อูรีเอล ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“หากปล่อยไว้เช่นนี้ ข้าว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะสามารถคว้าซีโร่โค้ดมาครอบครองได้ เพราะฉะนั้นข้าจึงตั้งใจที่จะป้องกันไว้ก่อน เพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายจากการที่เขาได้ครอบครองซีโร่โค้ดน่ะค่ะ ข้าถึงได้กระทำเช่นนั้นไป”
“อะไรกัน…? เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ เหตุร้ายงั้นหรือ”
ฟังเผินๆ ดูเหมือนทูตสวรรค์กำลังจะบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่กระนั้นกาเบรียลก็มิได้โมโหใส่อีกฝ่าย เก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาพิจารณา ไตร่ตรองดูอย่างละเอียด ก่อนที่จะพูดออกไปว่า
“เพราะฉะนั้นเจ้าหมายถึง… เขามีโอกาสที่จะไปร่วมมือกับเหล่าปิศาจอย่างนั้นหรือ”
“เรื่องนี้ข้าว่าเป็นไปได้น้อยมากๆ เลยค่ะ เพราะพวกมันก็จำต้องใช้ซีโร่โค้ด ส่วนตัวผู้เล่นเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ซีโร่โค้ดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นข้าจึงมองว่ามีโอกาสน้อยมากๆ ที่เขาจะยอมร่วมมือกับเหล่าปิศาจ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายของตัวเอง และเป้าหมายทั้งสองที่ว่านั้น อย่างไรก็ไม่สามารถใช้ซีโร่โค้ดเพียงชิ้นเดียวในการบรรลุได้หรอกค่ะ”
“ใช่แล้ว”
“แต่”
อูรีเอลตอบกลับไปในทันที ก่อนที่จะหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เขาได้วนเวียนอยู่ในห้วงแห่งโลกที่ชื่อว่าฮอลล์เพลนแห่งนี้… เพราะฉะนั้น หากเขาล่วงรู้ความลับระหว่างเรากับปิศาจ และความลับต่างๆ ของโลกใบนี้ล่ะคะ จะเป็นอย่างไรต่อไป”
“ความลับและจะเป็นอย่างไรต่อน่ะหรือ”
คราวนี้กาเบรียลพยักหน้าลงครั้งสองครั้งให้กับคำพูดของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะเข้าใจความตั้งใจจริงของอูรีเอลได้อย่างเต็มเปา แต่แล้วก็รีบส่ายหน้าไม่เห็นด้วยอย่างแรง พลางโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่สุขุมนุ่มลึกมากกว่าครั้งไหน
“การทำงานของซีโร่โค้ดนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับพวกเราอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอยู่แล้ว ดังนั้นเขาคงจะไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ หรอก พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเจ้ายังคิดไปเองอีกด้วย”
“นั่นสิคะ ข้าอาจจะกลัวไปเองจริงๆ ก็ได้ แต่ว่าเจ้าหมอนั่นน่ะ กำลังทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าทูตสวรรค์อย่างเราๆ อยู่นะคะ เหมือนอย่างครั้งหนึ่ง ที่ได้เกิดกรณีพิพาทว่าจะให้เปลี่ยนตัวทูตสวรรค์ผู้ช่วย อากัปกิริยาท่าทางที่เขาแสดงออกมาเป็นเช่นไร ทุกท่านน่าจะทราบกันดีและได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว”
“…อืม”
“ทุกท่านมัวแต่คิดในแง่บวกมากเกินไป ลองคิดให้ลึกกว่านี้หน่อยสิคะ หากความแข็งแกร่งของเขาพุ่งขึ้นสูงถึงหนึ่งร้อยคะแนน เขาก็จะเริ่มบรรลุการตื่นรู้ของพลังแห่งฮวาจองในขั้นที่สองและถ้าขึ้นสูงไปถึงหนึ่งร้อยเอ็ดคะแนน ก็จะเริ่มบรรลุในขั้นที่สามซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายด้วย และถ้าหากว่า… ขึ้นสูงมากไปกว่านั้น เขาก็จะหลุดพ้นจากอำนาจพลังแห่งฮวาจอง และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าเขาอาจจะเรียกพลังดั้งเดิมของตัวเองกลับมาก็เป็นได้”
“…”
อูรีเอลคงได้เผยความในใจที่อยากจะบอกต่อทูตสวรรค์ออกไปทั้งหมดแล้ว จึงได้ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวอย่างช้าๆ หล่อนค่อยๆ ไล่มองทูตสวรรค์ที่อยู่ ณ เทวสถานแห่งนี้ พลางพูดต่อออกมาว่า
“และสิ่งนั้นที่ข้าหมายถึงก็คือ พลังของเขาที่อาจสามารถรวบรวม ‘โลก’ ใบนี้เอาไว้ได้”
หลังจากนั้นจึงเริ่มบังเกิดแสงสว่างวาบเข้ามาโอบล้อมทั่วร่างกายของหล่อนอย่างช้าๆ
“หากเมื่อใดที่ชายผู้นั้นล่วงรู้ความลับทุกอย่างที่เก็บซ่อนไว้ ข้าก็คงได้แต่เฝ้าอธิษฐานว่า เขาจะเมตตา ไม่ใช้ดาบที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งฮวาจองเพ่งเล็งมาที่พวกเรา”
แวบ!
ในเวลาต่อมา อูรีเอลก็หายวับไปกับแสงสว่าง คำพูดสุดท้ายที่หล่อนเอื้อนเอ่ยออกมานั้นยังคงดังกึกก้องอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ พร้อมกับแสงแพรวพราวที่ค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากเบื้องบน
สงครามระหว่างทวีปเหนือและทหารพันธมิตรได้ยุติลงอย่างสมบูรณ์ และเวลาได้ล่วงเลยมา ประมาณสองเดือนแล้ว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมต้องวิ่งวุ่นทั้งงานในและงานนอก แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้นคือ การจัดการสภาพหลังสงครามได้เริ่มเข้าใกล้สู่กระบวนสุดท้ายที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เต็มทีแล้ว
อีกทั้งการไล่ล่าหาศัตรูที่หลบหนีไปได้และแผนการสร้างวงล้อม อันเป็นประเด็นสำคัญที่สุดเองก็ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า พวกเราทำสำเร็จไปแล้วถึงครึ่งต่อครึ่งกันเลยทีเดียว ผู้เล่นทวีปตะวันตกส่วนใหญ่ก็ถูกจับเป็นมาแล้วเรียบร้อย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่โดนสังหารไปบ้าง เรื่องราวเช่นนี้ประสบความสำเร็จหมดแล้วก็จริง แต่ในส่วนของพวกเร่ร่อนนี่สิ เรายังพลาดพลั้งให้กับผู้ปกครองและแกนนำของพวกมันไปเสียได้
อันที่จริง เหล่าผู้เล่นทวีปตะวันตกนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคยกับลักษณะภูมิประเทศของทวีปเหนือแท้ๆ แต่พวกเขากลับกลายเป็นผู้ที่มีส่วนรู้เห็นต่อการจู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของพวกเร่ร่อนไปเสียได้
เวลาหนึ่งเดือนเลยผ่านไป จนล่วงเข้ามาอีกเป็นเดือนที่สอง ตอนนี้คงสามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่า การที่ทวีปเหนือยังคงรักษาไว้การปิดล้อมเอาไว้นั้น แทบจะไร้ค่า ไร้ความหมายเลยทีเดียว จึงทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ว่า การประชุมอีกหนึ่งหนที่จะจัดนี้คงจะต้องย่อขนาดให้เล็กลงไปอีก บางทีการไล่ล่าพวกนั้นอาจจะถูกสั่งให้หยุดลงก็ได้
จากที่เคยเลื่อนประเด็นการปรับปรุง ซ่อมแซมตัวเมืองที่ได้รับความเสียหาย และประเด็นเชลยศึกออกไปอภิปรายในการประชุมครั้งที่สองและครั้งที่สามนั้น ในขณะนี้ ทวีปเหนือได้ตัดสินใจออกมาแล้วว่า จะต้องหันเหความสนใจมาใช้พลังในการฟื้นฟู ซ่อมแซมกำลังที่อยู่ภายในเสียก่อน
หลังจากนั้นมา การประชุม ณ บาร์บาร่าที่รอคอยกันมานานแสนนาน จึงได้เปิดการประชุมขึ้นในที่สุด จึงทำให้เหล่าแคลนลอร์ดจากหลายๆ เผ่า รวมถึงเหล่าผู้นำระดับสูงต่างต้องเดินทางเข้าๆ ออกๆ บาร์บาร่าอยู่ตลอดเวลา
และทุกครั้งที่มีการประชุม ผมก็มักจะได้รับจดหมายเชิญเข้าร่วมประชุมอยู่เสมอๆ แต่ว่ากันตามตรง ผมไม่อยากจะเข้าร่วมการประชุมที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้สักเท่าไหร่
แต่สุดท้าย ผมก็จำยอมต้องเข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้ก็เพราะจดหมายเชิญที่เขียนมาอย่างนอบน้อม มิใช่เขียนมาเพื่อรายงานข่าวส่งๆ ไป แม้พวกเราจะมีสถานภาพเป็นทหารรับจ้างอิสระ แต่การกระทำที่ทำตามอำเภอใจ ไม่สนหน้าใครเช่นนั้น ผมก็มองว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก
โดยเฉพาะการประชุมที่จัดขึ้นในวันนี้ แท้จริงแล้วเป็นการประชุมที่มีแต่เหล่าผู้ตัดสินใจว่าจะให้ทวีปเหนือเดินทางต่อไปในทิศทางไหนมารวมตัวกัน เพราะฉะนั้นพวกเราจำเป็นจะต้องปรับแก้ให้ถูกต้องเหมาะสมในระดับหนึ่ง
“อย่างที่ได้เรียนให้ทราบไปเมื่อสักครู่นี้ ปัจจุบันนี้ พวกเราคิดว่าจะทุ่มเทการทำงานในการฟื้นฟูกำลังภายในของทวีปเหนือ รวมถึงคิดจะควบคุมให้สถานการณ์คลี่คลายลงดีเสียก่อน และหลังจากบัดนี้เป็นต้นไป การอภิปรายในภายภาคหน้า จะถูกจัดขึ้น ณ บาร์บาร่าเสียเป็นส่วนใหญ่”
ตอนนี้เริ่มใกล้จะปิดประชุมแล้วหรือเปล่านะ
อีฮโยอึลยืนสง่าอยู่บนแท่นพิธีกร หล่อนรวบมือทั้งสองข้างไว้อย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสนจริงจังอย่างที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ตัวตนที่แท้จริงของหล่อนคือ ผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่เคยคุ้มกัน โอบล้อมเหล่าผู้เล่นสามัญทั่วไปด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ แคลนลอร์ดหรือผู้นำระดับสูงที่ได้มารวมตัวอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้พิทักษ์ทั้งหมดทั้งปวง
“ก่อนที่จะปิดการประชุม ฉันอยากจะฝากคำพูดหนึ่งให้แก่พวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย”
อีฮโยอึลหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง คงเพราะตั้งใจจะพูดประเด็นสำคัญบางอย่างออกมา แล้วหล่อนก็กวาดมองทุกคนในห้องแห่งนี้ ด้วยแววตาอันแสนจริงจัง วินาทีที่หล่อนได้สบตากับผม หล่อนจึงพูดต่อออกมาทันที
“พวกเร่ร่อนที่แฝงตัวอยู่ตามแต่ละเผ่าเมื่อครั้งก่อน… ทุกท่านคงจำกรณีสืบค้นตัวสายลับได้นะคะ”
วินาทีที่ประโยคนั้นถูกเปล่งออกมา ผมก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาของผู้คนจำนวนมากกำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง
การสืบค้นตัวสายลับที่ว่านั่น หมายถึง กรณีที่ผมจับตัวแพคซอยอนมาเป็นเชลยศึก แล้วจึงค่อยทำลายสติของหล่อนไม่ให้เหลือซาก แล้วบีบบังคับให้เผยความลับสำคัญของพวกเร่ร่อนออกมาให้หมด ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง จำนวนของสายลับที่ซ่อนอยู่ตามแต่ละเผ่านั้น เรียกได้ว่ามีจำนวนมากมายมหาศาลเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการจัดสร้างระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันได้นั่นเอง
สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมานั่น ดูเหมือนจะไม่ยอมลดละสายตาไปง่ายๆ ทว่าผมก็มิได้แสดงอากัปกิริยาใดๆ ออกไป ได้แต่จดจ้องไปตรงเบื้องหน้าด้วยสีหน้าท่าทีเรียบเฉยก็เท่านั้น
“คำพูดที่พวกเร่ร่อนคนหนึ่งได้พูดออกมาเมื่อตอนนั้น ฉันยังจำได้ดีค่ะ หลังจากสงครามจบลง พวกมันจะคอยยุแยงเผ่าแต่ละเผ่าไปเรื่อยๆ จนทำให้ทวีปเหนือเกิดความแตกแยกในที่สุด และบัดนี้พวกมันก็มีแผนที่จะทำให้ทวีปเหนือกลายเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกการคุ้มครองของกฏหมายเหมือนอย่างทวีปตะวันตกด้วย”
“…”
“บางท่านอาจจะไม่ยอมรับ คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้ แต่ฉันขอคิดต่างค่ะ เพราะฉันคิดว่าเรื่องนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ ดังนั้น ฉันจึงต้องพูดยืนยันออกมาเช่นนี้”
บรรยากาศการประชุมเงียบสงัด และในระหว่างนั้น อีฮโยอึลก็ค่อยๆ พาตัวเองลงมาจากแท่นยืน ก่อนที่จะจ้องมองทุกคนด้วยนัยน์ตาอันแสนแวววาว หล่อนคงจะได้ฟังเรื่องราวอะไรบางอย่างจากทูตสวรรค์ จึงทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างกำลังเดือดพล่านอยู่ในแววตาหล่อน
“ฉันไม่รู้จริงๆ นะคะ ว่าใครในนี้จะยังฝันหวานอยู่กับเผ่าสิงโตทองรุ่นที่สองอยู่ไหม หากมีใครบางคนยังฝันหวานเช่นนั้นอยู่ ฉันว่าควรรีบตื่นจากฝันเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่านะคะ หากมีเผ่าใดที่เห็นท่าทีของพวกกบฏ ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใดก็ตามแต่… ขอให้พวกคุณไว้ใจฉัน ในฐานะที่ทำหน้าที่พิทักษ์ทวีปเหนือ ฉันจะพยายามขัดขวางให้ได้อย่างสุดความสามารถค่ะ”
อีฮโยอึลถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงเอ่ยออกมาให้เสร็จสิ้นในส่วนของตัวเองไป สีหน้าของหล่อนก็ดูอ่อนโยนมากขึ้น
“ฉันอยากจะให้ทุกท่านจดจำข้อนี้ไว้ให้ดี และขอจบการประชุมไว้เพียงเท่านี้ค่ะ ทุกคนสุดยอดมากค่ะ”
คำพูดของอีฮโยอึลล้วนแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งอยู่ในนั้น และแล้วในที่สุด การประชุมครั้งสุดท้ายที่ยืดเยื้อมานานจึงได้ปิดฉากลงเสียที
วันนี้ไม่เสียเวลาเปล่าแฮะ
แน่นอนว่าในภายภาคหน้า ผมก็คงต้องเข้าประชุมอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างไรก็ต้องอภิปรายกันอีกในหลายๆ ประเด็น แต่กระนั้นผมก็ยังหวังว่าจะให้มันจบสิ้นโดยเร็วเหมือนอย่างเช่นการประชุมในวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมมีนัดหมายสำคัญอย่างยิ่ง
การประชุมเสร็จสิ้นลง ผมรออยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วจึงเดินแหวกเหล่าผู้เล่นที่เดินออกจากห้องประชุมไปก่อน วินาทีที่ผมกำลังจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายให้ได้โดยเร็วนั่นเอง
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ไม่เห็น… พี่เลยแฮะ สงสัยออกไปรอก่อนแล้วล่ะมั้ง
ผมได้นัดแนะกับพี่ล่วงหน้าไว้ว่า พอเสร็จจากการประชุมวันนี้แล้ว ค่อยปลีกตัวออกมาเจอกันสักครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะออกไปรอข้างนอก ดีกว่านั่งรอกระสับกระส่ายอยู่ในตัวอาคาร เหมือนคราวที่ได้นั่งประจันหน้าอยู่ตรงข้ามกันในห้องประชุม
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”