Memorize - เล่มที่ 20 ตอนที่ 12
แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก่อนที่จะได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปนั้น เสียงร้องทวนถามของเจ้าหล่อนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงยักไหล่ให้
“ไม่รู้ ไม่รู้หรอก… แต่พอได้มาเห็นสภาพเธอแบบนี้แล้ว ฉันก็เหมือนจะพอรู้อะไรบ้างแล้วล่ะ”
“…”
“ยังอยู่มิวล์เหมือนเดิมเหรอ คงจะโดนพวกเร่ร่อนเล่นงานหนักเอาการเลยนะเนี่ย”
“…ก็ใช่ค่ะ ฉันเจอมาหนัก เจอกับเรื่องน่าอับอายจนลูกผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าเปิดปากบอกใคร”
ยูฮยอนอายอมรับอย่างว่าง่าย แล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ดวงตาของหล่อนที่จ้องปราดเข้ามานั้น ฉายแววเศร้าโศกจนผมไม่สามารถพรรณนาถึงมันได้เลย
“อย่างนี้นี่เอง”
“…แค่นั้นเหรอคะ”
“แล้วไงต่อ? ต้องให้ฉันสงสาร เห็นใจเธองั้นเหรอ ฉันกับเธอน่ะนะ?”
“ก็…มันเป็นเพราะคุณไม่ใช่หรือไง!”
ยูฮยอนอาหยุดประโยคไปชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วจึงค่อยตะโกนเสียงดังออกมาเป็นครั้งแรก
“ไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่คะ ความผิดคุณคนเดียว ที่ฉันต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ก็เพราะคุณคนเดียว”
“ทำไมถึงเป็นความผิดของฉันล่ะ”
“…ว่าไงนะ”
“พวกเร่ร่อนมันบุกเข้ามาเองนี่ แล้ฉันผิดอะไรตรงไหนล่ะ”
ผมพูดออกไปอีกครั้งหนึ่ง ไม่ยอมหยุดเว้นช่องว่างให้หล่อนพูดแทรก
“พวกเร่ร่อนมันบุกโจมตีเข้ามา เธอก็เลยโดนมันเล่นงาน แล้วมันเป็นความผิดของฉันตรงไหนไม่ทราบ”
“ระ เรื่องนั้น…”
ยูฮยอนอาได้ยินประโยคของผมเช่นนั้น ก็มีสีหน้าราวกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว ผมมองดูปฏิกิริยาของหล่อนเช่นนั้น จึงรู้ได้เลยทันทีว่าผมพูดจี้ใจดำหล่อนเข้าให้แล้ว
ผมถอนหายใจ พลางส่ายหัวน้อยๆ
“ยังเหมือนเดิมเลยนะ นิสัยชอบโยนภาระให้คนอื่นน่ะ”
ยูฮยอนอาได้ยินดังนั้นจึงกัดปากแน่น สีหน้าของหล่อนดูฉุนเฉียวขึ้นมาทันตาเห็น
แต่มันก็เท่านั้น หล่อนได้แค่แสดงอารมณ์โมโหเท่านั้นแหละ เพราะอย่างไรก็ทำอะไรผมไม่ได้อยู่ดี
ตอนที่ยูฮยอนอาเข้ามาหาผม ไอ้ตัวผมก็คาดหวังว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็เป็นเพียงการเปิดอกคุยแต่เรื่องน่าเบื่อ
ยูฮยอนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มใจให้เย็นลง ก่อนจะเปิดปากพูดต่อมา
“งั้นเหรอคะ โอเคค่ะ แล้วตอนนั้นทำไมคุณถึงเป็นแบบนั้นไปเสียได้ล่ะคะ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นน่ะเหรอ ถ้าเธอจะพูดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น… เธอก็น่าจะได้รับข่าวคราวบ้างแล้วไม่ใช่หรือไง”
ข่าวคราวที่ว่านั่นหมายถึง เรื่องราวต่างๆ ที่เผ่าสิงโตทองได้สำรวจมา เมื่อครั้งนั้น ผมถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด เนื่องจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมาย ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ น่าจะถูกส่งต่อให้ยูฮยอนอารับทราบด้วยแท้ๆ
“ฉันไม่ได้ถามคำถามอะไรเลื่อนลอยนะคะ”
“สิ่งที่ฉันจะตอบเธอ มันก็มีแค่นั้นแหละ”
“เฮอะ คุณคิดแบบนั้นจริงๆ หรือคะ”
“แล้วยังไง”
ผมตอบกลับไปทันทีทันใด ยูฮยอนอาได้ยินเช่นนั้น จึงทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
“สำหรับคุณแล้ว คำว่าศีลธรรม มันเล็กเท่ามดเลยใช่ไหมคะ หากคนอื่นๆ ทุกคนได้รู้เรื่องนี้ คุณคิดว่าเขาจะพูดเหมือนๆ กันหมดอย่างนั้นหรือคะ”
“นี่เธอกำลังขู่อยู่งั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้ขู่ค่ะ! ฉันแค่ถามความคิด ถามหาความจริงใจจากคุณ”
“แต่ที่ฉันได้ยิน มันไม่ใช่แบบนั้นนะ เอาเถอะ พูดมา อยากพูดไรก็พูด”
“คุณนี่มัน!”
ยูฮยอนอาถึงกับตวาดออกมา
“ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยยอมเปลี่ยนตัวเองสักเท่าไหร่เลยนะ”
ผมเปรยประโยคข้างต้นออกไป ยูฮยอนอาได้ยินเช่นนั้น จึงหยุดคำพูดที่เกือบจะโพล่งออกมาทันทีทันใด หล่อนสูดลมหายใจ แล้วพ่นออกมาแรงๆ ท่าทีเหมือนคนหายใจไม่ออก
แต่สิ่งที่ผมพูดมันคือ ความจริง
ฮอลล์เพลนคือโลกที่ยึดถือ ‘ข้อมูลผู้เล่น’ เป็นอันดับแรก พูดง่ายๆ ก็คือ โลกที่ต้องมี ‘พลัง’ เท่านั้น จึงจะสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ เมื่อมองจากจุดนี้แล้ว จะพบได้ว่าในปัจจุบันนี้ ผมกับหล่อนอยู่คนละชั้นกัน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
กล่าวคือ สภาพของยูฮยอนอาในขณะนี้ ไม่สามารถที่จะมาต่อสู้อะไรใดๆ กับผมได้เลย ตอนที่หล่อนยอมก้าวเท้าเข้ามาหาผมนั้น ผมก็คาดหวังว่าหล่อนจะทำอะไรเสียอีก แต่แล้วดูเหมือนหล่อนจะยังเหมือนเดิม ไม่ยอมคิดก้าวหน้าไปไหนเลย
ผมเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา
“ฉันต้องพูดอะไรอีกล่ะ คือการที่เธอมาที่นี่ อย่างมากที่สุดก็เพื่อให้ฉันสงสาร เห็นใจกับสภาพที่เธอเป็นอยู่แบบนี้สินะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันก็คงต้องขอปฏิเสธ”
“อย่างมากที่สุด…?”
ยูฮยอนอาพูดทบทวนคำพูดของผมกับตัวเอง แล้วจึงก้มหน้างุด
ในตอนนั้นเอง
“ฉันรู้ค่ะ รู้ว่าเข้ามาตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี”
ยูฮยอนอาที่ยืนอยู่เงียบๆ ได้ปริปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหล่อนจึงพูดต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะทันพูดแทรกกลางอะไรไป
“งั้นฉันขอถามอะไรอีกสักข้อนะคะ”
“…”
“มันจำเป็นต้องฆ่าอย่างนั้นหรือคะ”
ในที่สุดคำถามนี้ก็ออกมาจนได้
ผมเบิกตาโพลงขึ้นมาทันทีพร้อมกับคำถามนั้น ยูฮยอนอาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แม้ท่วงท่าการเดินจะดูเซไปเสียบ้าง แต่หล่อนก็กำลังเดินเข้ามาหาผมทีละก้าว ทีละก้าว
ยูฮยอนอาถามผมอีกครั้งว่า
“พี่ซึงฮยอน ดาฮี ถ้าคุณได้ลองรู้จักพวกเขาดู คุณจะรู้ว่าพวกเขาเป็นคนดีมากๆ ดีจริงๆ คุณจำเป็นต้องฆ่าสองคนนั้นด้วยเหรอคะ”
“นั่นสินะ”
ผมตอบกำกวมออกไป
จริงๆ แล้ว คำตอบที่ตอบว่า ‘นั่นสินะ’ นั่นแหละ ถือเป็นความจริงใจจากผมแล้วจริงๆ
หากคำถามนี้ได้ย้อนกลับไปถามผมเมื่อครั้งเพิ่งเริ่มต้นภารกิจในรอบที่สองนั้น ผมคงจะตอบแค่ ‘อืม’ อย่างไม่รอช้าก็เป็นได้ เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกไล่ล่าอยู่ตลอด จิตใต้สำนึกจึงบอกให้ผมรู้ว่าผมต้องฆ่าพวกมันทิ้งอย่างเดียวไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคนนั้นเป็นราชินีศักดิ์สิทธิ์ผู้โด่งดังจากรอบที่หนึ่งล่ะก็ ผมก็จะทำยิ่งกว่านี้อีก
แต่แล้วพอเวลาล่วงผ่านเลยไป ผมมีเผ่า มีสมาชิกเผ่า ได้พบฮันโซยอง ได้เจอพี่ชาย ไหนจะยังต้องสูญเสียสมาชิกเผ่าไปอีก ช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้ผมเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง
เรื่องราวเหล่านั้น ผมเพิ่งมาเปลี่ยนแปลง ยอมรับได้ก็เมื่อไม่นานมานี้เอง
และแน่นอน ความคิดของผมที่มีต่อศัตรูตัวฉกาจ อย่างเช่น พวกเร่ร่อนหรือปศาจ ความคิดผมต่อพวกมันยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไป
แต่เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ อย่างเช่น… โกยอนจู หล่อนถือเป็นตัวอย่างที่ดี เดิมทีหล่อนเป็นศัตรูคนหนึ่งของผม แต่แล้วตอนนี้กลับเป็นกำลังพลผู้แข็งแกร่งเหนือกว่าใครๆ ไหนจะเป็นผู้ช่วยผมอีกต่างหาก
บทสนทนาต่างๆ ที่ได้พูดคุยกับซอนยูล จึงได้แล่นเข้ามาในหัวผม
‘ไม่สิ ก็คุณเป็นราชาก็เลยมีตั้งสี่ราชินี…’
‘โอ๊ะ หรือสามคนกันนะ? มีอยู่คนหนึ่งที่เอาตัวเองออกไป’
การ์ดที่ผมเปิดดูเมื่อตอนนั้น ปรากฏภาพหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังน้ำตาไหลพรั่งพรูไม่ขาดสาย มีแสงแห่งเกียรติภูมิเปล่งประกายอยู่ด้านหลัง
ข้อมูลผู้เล่นของยูฮยอนอาผุดขึ้นมา ผมมองดูข้อมูลเหล่านั้นด้วยท่าทีเฉยชา
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1. ชื่อ (Name) : ยูฮยอนอา (ปีที่ 3)
2. นามแท้ · สัญชาติ : เดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม (Tread a Thorny Path) · สาธารณรัฐเกาหลีใต้
3. อุปนิสัย : บาดแผล · บริสุทธิ์ (Scar ? Pure)
ยังบริสุทธิ์อยู่เหรอ
ผมจ้องยูฮยอนอาด้วยความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ซึ่งในช่วงเวลาเหล่านั้น หล่อนก็ยังคงเดินเข้ามาหาผมอยู่เรื่อยๆ จนระยะห่างระหว่างเราเหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ไปใช่ไหมคะ ตอนแรก…ฉันแค่สงสัยว่าคนอย่างคุณ มีชีวิตการเป็นอยู่อย่างไรบ้าง แต่…”
หนึ่งก้าว
“ฉันน่ะนะ ฉันไม่ได้มาเพื่อขอให้คุณสงสารฉันหรอกค่ะ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันไม่ทำแบบนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นโปรดตอบมาหน่อยเถอะนะคะ”
สองก้าว
“ตอนนั้นทำไมคุณถึงเป็นแบบนั้นไปได้”
สามก้าว
“คุณจำเป็นต้องทำแบบนั้นจริงๆ เหรอ”
สี่ก้าว
“ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้คุณเด็ดขาด แต่…”
ยูฮยอนอายืนใกล้อยู่ตรงปลายจมูกผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
และแล้วในเวลาต่อมา ริมฝีปากสั่นเทิ้มของหล่อน ก็ค่อยๆ เผยอออกมาอย่างอ่อนแรง
“ฉันแค่อยากจะฟังคำขอโทษ แค่คำขอโทษคำเดียวเท่านั้นค่ะ”
วินาทีที่คำนั้นถูกเปล่งออกมา ดวงตาของหล่อนก็มีหยาดน้ำใสค่อยๆ ไหลลงมาอาบสองแก้ม
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ยูฮยอนอาก็ได้ทรุดตัวลงกับพื้นต่อหน้าผมทันที
ผมจึงค่อยๆ ก้มหน้ามองยูฮยอนอา ความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเมื่อสักครู่นั้น บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกใหม่ๆ ผมก้มมองหล่อนอยู่อย่างนั้น
ผมเคยเอาแต่คิดว่ายูฮยอนอาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาตลอด แต่ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้ กลับทำให้ผมเกิดความรู้สึกประหลาดใจ เหมือนได้เห็นอะไรใหม่ๆ
ครั้งหนึ่ง ผมเคยมีศัตรูจอมงี่เง่า และผลสุดท้ายคือ ผมจำต้องตกอยู่ในห้วงแห่งการฆ่าคนหมู่มากซ้ำๆ โดยสนอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนนี้วอนฮเยซูเป็นบ้าไปแล้ว ผลที่เห็นก็คือ หล่อนไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย
แต่สภาพของยูฮยอนอาในปัจจุบัน หล่อนไม่ได้พบเจออะไรร้ายแรงถึงขั้นนั้น
แม้อุปนิสัยอย่างหนึ่งของหล่อนจะถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นบาดแผล แต่อีกอย่างหนึ่งก็ยังคงเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า ภายในของยูฮยอนอายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่
ราชินีศักดิ์สิทธิ์หรือนี่