Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 23
ข้อความจำนวนมากเด้งขึ้นมาอยู่กลางอากาศและอยู่ตรงเบื้องหน้าของอันซล แต่ทว่าสิ่งที่หล่อนเห็น ณ ขณะนี้กลับมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ คิมซูฮยอน
“ท่านพี่…”
อันซลจ้องแผ่นหลังของคิมซูฮยอน หล่อนหลงลืมคำที่จะพูดออกไปเสียสนิท แม้จะไม่มีบาดแผลปรากฏให้เห็นเด่นชัด แต่สภาพแผ่นหลังของเขาช่างน่าเวทนาเกินทน รอยเลือดเลอะเป็นดวงๆ ไล่ตั้งเสื้อคลุมแห่งมังกรน้ำเงินที่ขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่ผ่านมาเขาคงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ มากมายอย่างแน่นอน สภาพภายนอกตอนนี้แสดงให้เห็นจนรู้แจ้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อันซลรู้สึกกระดากอายขึ้นมา และในช่วงที่หล่อนกำลังจะยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังนั่นเอง
“เฮ้อ…”
คิมซูฮยอนถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมยันกายลุกขึ้นยืน และในตอนนั้นนั้นเองที่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างต่างเงียบสงบลงไปทันตา
อันซลเกิดหายใจติดขัดขึ้นมา จึงทำให้หล่อนจำต้องลดมือลงอย่างกะทันหัน เพราะเรื่องที่จะต้องเผชิญในภายภาคหน้าหรือเปล่า ทำให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาเสียก่อน ร่างกายของหล่อนในแต่ละส่วนเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวที่ก่อตัวภายในใจ
โฟ่ว! โฟ่ว!
คิมซูฮยอนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาจึงได้เห็นกับดอกไม้ไฟพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า และในเวลาเดียวกัน พลังอันน่าสยดสยองบางอย่างก็ได้เทลงมาเหมือนน้ำท่วม ราวกับว่าจะเข้ามากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้สูญสิ้น
พลังที่ว่านั่นเข้าครอบครองพื้นที่ได้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่ว่าคนใดที่อยู่ในวงแห่งขุมพลังนี้ คงไม่คิดที่จะขยับเขยื้อนตัวตามใจชอบแน่นอน เพราะขุมพลังนั้นต่างอัดแน่นแออัดไปด้วยความกระหายเลือดอย่างชัดเจน
ตึ่ก ตึ่ก
คิมซูฮยอนเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วจึงหยิบเกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่ร่วงหล่นลงพื้นขึ้นมาอีกครั้ง ยูรินะลอบกลืนน้ำลาย แต่ไม่วายวางท่าทีเย็นชา แม้การกระทำดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของเขามาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กระนั้นหล่อนก็ไม่ได้ไหวหวั่นแต่อย่างใด ไม่สิ หวั่นไหวไม่ได้เลยต่างหาก เพราะหล่อนรู้โดยสัญชาตญาณดีว่า ขืนหล่อนย่างก้าวออกไปเพียงแค่ก้าวเดียวล่ะก็คงต้องถึงคราวตายของตัวเองเป็นแน่
* * *
รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเฉียดเข้ามาใกล้ลำคอ
จู่ๆ เส้นผมก็เริ่มปลิวไสวอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ หลังจากนั้นผมจึงหมุนกายเข้าไปหาศัตรูที่ยืนแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“โนแอล ยูรินะ”
ผมเรียกชื่อของอีกฝ่าย ยูรินะได้ยินดังนั้น จึงออกอาการตัวสั่น
“ร…รู้จักฉันด้วยเหรอ”
รู้เสียยิ่งกว่ารู้
ความสับสนงุนงงปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่าย ผมถือดาบขึ้นมาแทนคำตอบ แล้วจึงบิดข้อมือเล็กน้อย เพื่อตั้งให้เกียรติยศแห่งวิคตอเรียขึ้น
ผมได้ยกประเด็นนี้มาพูดในที่ประชุมหลายครั้งแล้ว ทั้งยังได้ยืนยันข้อมูลที่สามอีกด้วย และเหนือสิ่งอื่นใด ผมเรียกหล่อนมาตั้งแต่ในรอบแรกว่าเป็น ‘นางมารร้าย’ และก็หล่อนอีกนี่แหละ ที่เป็นคนที่ทำงานใกล้ชิดกับไซม่อนที่สุด ผู้หญิงคนนี้นี่แหละ ไม่สิ ยัยศัตรูตัวร้ายคนนี้น่ะ
แต่กระนั้นการที่ผมรู้จักยูรินะก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนัก ต่อให้รู้จัก หรือไม่รู้จัก อย่างไรก็ถือว่าเป็นหนึ่งในศัตรูจำนวนมากที่ผมต้องฆ่าให้ตายก็เท่านั้น
ข้อสรุปที่ว่าจะต้องฆ่าศัตรูให้ได้นั้น ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ผมคิดเช่นนั้น แล้วจึงเริ่มโค้งตัวเหมือนคันธนู
“นายเป็นใคร แล้วรู้จักฉันได้ยังไง ตอบ!”
ผมปลุกพลังเวทขึ้นมาภายในคราเดียว พร้อมกันนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้าโดยใช้ทฤษฏีดีดตัวเหมือนอย่างเคย
เสี้ยววินาทีนั้น ดวงหน้าของยูรินะจึงได้ปรากฏความสิ้นหวังออกมาให้เห็น
คำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ และในตอนนั้นเอง ระยะทางก็เริ่มกระชั้นชิดเข้ามามากยิ่งขึ้น ยูรินะเห็นดังนั้นจึงเริ่มขยับมือ แล้วชูแส้ในมือขึ้นมาด้วยท่าทีเรียบเฉย
ฟิ้ววว!
เสี้ยววินาทีที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรียเปล่งเสียงอันแสนคมกริบขึ้นนั้น เจ้าแส้ที่ยื่นเหยียดออกมาก็ได้สัมผัสโดนเข้าที่ปลายดาบอย่างพอดิบพอดี หลังจากนั้นมันจึงวาดทางคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย แล้วจึงเลื้อยแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาเดียว มันก็สามารถเลื้อยพันเข้ามาได้ถึงครึ่งลำของดาบแล้ว หล่อนจึงมีสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
และในตอนนั้น ผมจึงตัดสินใจล้มเลิก แล้ววางดาบลง
“อะไรกัน”
สายตาที่เอาแต่จดจ้องอยู่กับดาบแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจในทันที แต่ก่อนที่หล่อนจะเบนสายตากลับมาอีกครั้ง ผมจึงฝ่าเข้าไปด้านใน แล้วสอดแขนซ้ายเข้าไปยังบริเวณศีรษะและส่วนลำตัวอันคอดกิ่วของหล่อน
“อ๊ะ!”
ณ วินาทีที่ฝ่ามือรู้สึกได้ถึงความนุ่มหยุ่นของเนื้อหนังมังสา ผมจึงไม่รอช้า รีบลากสิ่งที่อยู่ในเงื้อมมือตัวเองลงสู่เบื้องล่างทันทีทันใด
ฟึ่บ!
ร่างกายท่อนบนของยูรินะเกิดการโค้งงอ
ศีรษะของก็โน้มลงมาเช่นกัน ผมจึงใช้เท้าซ้ายเตะเข้าไปเต็มแรง แล้วจึงยกหัวเข่าขึ้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
พลั่ก!
หัวเข่าของผมเหมือนกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทว่านี่ยังไม่ถึงจุดจบแต่อย่างใด
ในลำดับสุดท้าย ผมจึงคว้ามือของหล่อนมากอบกุมไว้อย่างแน่นหนา
เสียงเนื้อมนุษย์ฉีกขาดดังลั่นกับผมที่รู้สึกเหมือนกอบกุมกระดูกและหนังกำพร้าอยู่ในกำมือ ศัตรูที่กระเด็นกระดอนออกไปอีกฟากฝั่งนั้น มีรอยบุ๋มอยู่ตรงกลางดวงหน้า ส่วนบริเวณลำคอที่เกิดการฉีกขาดอย่างสาหัสนั้นก็มีเลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมา
ตุ้บ!
ด้วยสาเหตุนี้ จึงทำให้ศัตรูผู้นั้นจำต้องล้มตึงลงไป ซึ่งอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ เพราะร่างกายของมันเกิดการกระตุกขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดที่ผมมอบให้ จนอ่อนแรงไร้ซึ่งพลังไปในที่สุด
ผมถอนหายใจเบาๆ พอมาถึงตอนนี้แล้ว กลุ่มคนที่ผมรู้จักนั้น…
ส่วนใหญ่ก็ถูกตามหาตัวจนพบแล้ว
ทว่าการต่อสู้ยังไม่จบลงแต่อย่างใด และยังขาดอะไรบางอย่างไปอีกด้วย ทั้งที่ผมได้แก้แค้นศัตรูพวกนั้นไปอย่างสาสมแล้วก็ตาม แต่ทว่าความกระหายอยากจะสังหารคนก็ยังไม่เลือนหายไปเสียที
ผมปราดตามองศพอย่างเฉยชา แล้วจึงเปิดปากพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“…”
หล่อนไม่ได้ตอบรับกลับมาในทันที ผมจึงหันไปมองโกยอนจูครั้งหนึ่ง หล่อนกำลังก้มมองพื้นเบื้องล่างด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“ในฐานะแคลนลอร์ด ผมขอสั่งให้คุณพากำลังพลของเราที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ออกไปให้พ้นจากการต่อสู้ครั้งนี้ทันที ตอนนี้เลย”
“อ้า”
โกยอนจูหันกลับมามองอย่างรวดเร็ว คงรู้ได้ถึงสายตาที่ผมส่งไปให้ แล้วหล่อนจึงพยักหน้าตอบรับ
“น…น้อมรับคำสั่งของท่านแคลนลอร์ดค่ะ”
หล่อนพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง ผมเห็นดังนั้นจึงหันไปมองศพอีกครั้งหนึ่ง ศพที่อยู่ตรงหน้านี้คือ นางมารร้ายโนแอล ยูรินะ คนสนิทชิดเชื้อของไซม่อน ผู้ปกครองแห่งทวีปตะวันตก เพราะฉะนั้นการที่หล่อนมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ หมายความว่า…
ผมหันไปมองด้านซ้ายมือครู่หนึ่ง
ไซม่อนผ่านไปหรือยังนะ
และก็หันไปมองขวามือ
ไม่งั้นก็กำลังเดินทางมาหรือเปล่า
ในตอนนั้นเอง
“ท่านพี่…”
ในช่วงที่ผมกำลังก้าวเดินออกไปอยู่นั้นเอง ผมรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังร้องเรียกผมด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย พลางจับชายเสื้อของผมไว้แน่น ผมจึงหันไปมองอย่างเย็นชา แล้วจึงพบเข้ากับอันซล หล่อนเงยหน้ามองผม น้ำตาคลอหน่วยใกล้จะไหลรินเต็มที ไหล่ของหล่อนสั่นสะท้านน้อยๆ ริมฝีปากเองก็สั่นเทิ้มเบาๆ ไม่แพ้กัน
“จะไป…จะไปแล้วหรือคะ”
“ปล่อย…”
ผมคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หล่อนคงจะมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เหมือนอย่างเคย จึงได้ตั้งใจว่าจะสะบัดการฉุดรั้งหนีออกไป
อันซลค่อยๆ ชูแขนซ้ายขึ้นมา การกระทำของหล่อนในคราวนี้ ทำเอาผมปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรออกไป
“ตรงนี้…”
ผมเลื่อนสายตา มองตามปลายแขนของอันซลไป หล่อนกำลังชี้ไปยังทิศทางหนึ่งที่มีพลังงานบางอย่างกำลังปะทุอยู่ ไม่ผิดแน่ เพราะจุดนั้นคือจุดที่ผมกำลังจะเคลื่อนตัวไปอย่างพอดิบพอดี
“ทางนี้ค่ะ!”
“เธอ…?”
“ช่วย…ตักเตือนหนูด้วยนะคะ”
ทันใดนั้น ผมจึงลอบพิจารณาดูถึงสภาพร่างกายของอันซลได้ในทันที แม้น้ำเสียงของหล่อน ฟังดูแล้วอาจจะมีเสียงร้องไห้งอแงปะปนออกมาอยู่บ้าง แต่ทว่าแววตาของหล่อนนี่สิ กลับฉายประกายความสดใสวิบวับออกมาไม่เคยเปลี่ยน
ผมเหม่อมองอันซล แล้วจึงเอื้อมมือเข้าไปลูบหัวหล่อนหนึ่งครั้ง อันซลจึงลดแขนลงอย่างว่าง่ายในเวลาต่อมา และผมก็ได้ละมือออกจากศีรษะของอันซล
หลังจากนั้น จึงเริ่มวิ่งออกไปทันที โดยไม่หันกลับมามองข้างหลังแต่อย่างใด
ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก!
ณ ทิศทางที่อันซลช่วยชี้แนะมาให้นั้น ผมได้กลิ่นเหม็นคาวเลือดลอยมาพร้อมกับสายลม ผมไม่รู้ว่าตรงหน้าผมนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือมีใครอยู่ตรงนั้นบ้างกันแน่ ผมไม่รู้เลย ผมได้แต่เพียงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งข้ามผ่านทุ่งกว้างที่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งก็เท่านั้นเอง
ชินซังยง
ผมคิดถึงชินซังยง ตั้งแต่แรกเจอ จนกระทั่งความทรงจำในสมรภูมิรบ
ไม่ว่าเขาจะอยู่ หรือไม่อยู่ ชินซังยงก็ยังเป็นคนเงียบๆ เสมอมา แม้การมีตัวตนของเขาจะค่อนข้างจืดจางไปเสียบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่ทำงานทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย ไม่ต้องพูดจาอะไรมาก
เมื่อครั้งได้ออกสำรวจสถาบันวิจัยร้าง แล้วมีการค้นพบทรัพย์สมบัตินั่นเอง ชินซังยงสมัครใจขอรับหน้าที่เฝ้าระวังทรัพย์สินเหล่านั้น
เมื่อครั้งที่เปิดการเดินขบวน ณ ถ้ำแห่งการคร่ำครวญ ชินซังยงก็ยังสมัครใจรับหน้าที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนให้พวกเรา
เมื่อครั้งที่ผมมอบพลังเวทโพชั่นพิเศษให้เป็นสิ่งตอบแทน ชินซังยงก็ไม่ขอรับไว้ และมอบให้อันซลไว้แทน
นั่นแหละ ชินซังยงเป็นคนเช่นนั้นตั้งแต่แรกที่เราได้เจอกันแล้ว เขาไม่ธรรมดาอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นคนที่รู้เท่าทันคนรอบข้างได้ดี การกระทำของเขาแต่ละอย่างนั้น ล้วนแสดงให้เห็นว่า เขาไม่อยากจะก่อความเสียหายให้แก่คนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ผมเห็นเช่นนั้นแล้วจึงเคยมีแอบคิดว่า เขาช่างคล้ายกับผมเมื่อรอบที่หนึ่งเสียเหลือเกิน
หากเรามาเร็วกว่านี้…