Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 30
และในตอนนั้นเอง ริมฝีปากของพี่ที่เผยอออกราวกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ปิดสนิทลงไปอีกครั้ง ตาคมเบิกโตขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าแดงก่ำเหมือนโดนทุบด้วยค้อน
ไหนๆ ก็พูดออกมาแล้ว ผมเลยจะพูดออกมาให้หมดเปลือกไปเลยทีเดียว
“ช่วยใช้พลังสายฟ้าให้ผมทีเถอะ ถ้ารวมพลังเวทที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่เข้ากับสายฟ้าแล้วปรับให้เหมาะสมล่ะก็จะต้องทำได้แน่ๆ”
“นาย…รู้ได้ยังไง…เรื่องนั้น…เป็นความลับที่มีแค่พี่กับอีฮโยอึล…ที่รู้นะ”
ทันทีที่พูดจบผมก็เลื่อนมือไปแตะที่หลังมือของพี่ที่ยังคงจับอยู่ที่ไหล่ผม สัมผัสที่เยือกเย็นแต่อุ่นสบายส่งผ่านมาทางฝ่ามือ
ผมค่อยๆ กุมมือพี่เอาไว้อย่างแผ่วเบา
“ซูฮยอน!”
พี่รีบเรียกชื่อผมออกมาด้วยความรีบร้อนเหมือนจะรู้ว่าผมจะผละจากไปแบบนี้ ผมพูดออกไปนิ่งๆ โดยที่ไม่สามารถสบตากับพี่ตรงๆ ได้
“ผมขอโทษ”
“ซูฮยอน”
“ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ พี่”
“นี่นาย…ขอโทษพี่เรื่องอะไร”
มือที่ผมกุมเอาไว้สั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อเห็นแบบนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ข้างในก็จุกขึ้นมาที่คอเสียดื้อๆ
“ผมขอโทษนะพี่”
ผมไม่ได้รู้สึกผิดแค่เฉพาะเรื่องที่เขาอุตส่าห์มารับผมแต่ผมก็ยังจะทิ้งความเป็นห่วงของเขาเอาไว้แบบนั้นอย่างเดียว แต่ผมอยากจะขอโทษสำหรับทุกอย่าง
“ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมายตั้งแต่ที่ได้เจอพี่”
ตอนที่ได้เห็นหน้าพี่ครั้งแรกผมมีสิ่งที่อยากจะบอกกับเขามากมาย แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถพูดออกไปได้เลย
“แล้วก็ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากจะเล่าให้พี่ฟัง”
ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ต้องเจอเรื่องราวอะไรมาบ้าง มีเรื่องอีกมากมายที่ผมอยากจะเล่าให้พี่ฟัง แต่สุดท้ายผมก็ทำแบบนั้นไม่เป็น
แม้กระทั่งในตอนนี้ผมยังไม่สามารถบอกเขาให้มากกว่านี้ได้เลย เพราะเวลาไม่ได้เป็นใจให้เราได้คุยกันมากนัก
“ไม่ว่ายังไง…อา ไม่ใช่สิ ยังไงเสีย ยังไงเสียผมก็ต้องไป ไม่ว่าผมจะคิดถึงพี่มากแค่ไหน…”
“ยังไงก็ไม่ได้!”
เหลือระยะห่างอีกเพียงแค่ร้อยเมตรกว่าๆ เท่านั้น ผมมองไปด้านข้างเห็นพวกศัตรูกำลังเดินทัพใกล้เข้ามาอย่างกับฝูงมดดำ
“ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่และรู้ว่าพี่ต้องการจะพูดอะไร ผมไม่เคยคิดเคลือบแคลงสงสัยความรู้สึกของพี่เลย แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ”
“…”
“ถ้ากลับมาแล้ว…ผมจะบอกพี่ทุกอย่าง เพราะแบบนั้นช่วยเชื่อมั่นในตัวผมสักครั้งเถอะนะ ขอโอกาสให้ผมสักครั้งนะ”
เปรี้ยง!
จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังลั่นและแสงสว่างที่แวบขึ้นมา ผมได้ยินเสียงบางอย่างกำลังบินอย่างบ้าคลั่ง ท่วงทำนองของเหล่าภูติเองก็ดังมาให้ได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้นพร้อมกับเสียงร้องคำรามของเซเทอร์และเหล่าจอมมารก็ดังขึ้นด้วยเช่นกัน
ผมกลืนน้ำลายลงคอเพราะเสียงที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กัน ผมหันกลับมามองพี่อีกครั้งก่อนจะพูดซ้ำกับตัวเองในใจ
เพราะตอนนี้ผมจะปกป้องพี่เอง
สิบวินาทีที่รู้สึกเหมือนสิบปีได้ผ่านไปแล้ว ผมรู้สึกว่ามือของพี่ที่จับไหล่ของผมเอาไว้นั้นช่างเปราะบาง เปราะบางเหลือเกิน
จะเป็นเพราะความในใจของผมหรือเปล่า? หรือจะด้วยเหตุผลอื่นกัน? มือของพี่ยังคงจับอยู่ที่ไหล่ แต่ผมกลับรู้สึกได้ชัดเจนว่ามันคลายแรงลงไปมากแล้ว ผมจึงไม่รีรอที่จะดึงมือพี่ออกไป
ทันใดนั้น
“…”
มือของพี่ค่อยๆ ร่วงลงไปก่อนที่แขนของพี่จะตกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
“…ผมไปนะ”
“…”
ผมเองก็รู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงจากวิเวียนที่อยู่ด้านข้างเช่นกัน แต่ในตอนนี้มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้วจริงๆ ผมยกมือขึ้นไปที่ข้างหูและถือเกียรติยศแห่งวิคตอเรียด้วยมือซ้ายที่ยังว่างอยู่
“ผมเชื่อพี่ ดังนั้นเชื่อใจผมนะ”
หลังพูดจบผมก็หันมองตรงไปทางเหล่าศัตรู
ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปถึงเวลาที่ผมต้องใช้ทักษะ, อุปกณ์และความสามารถทั้งหมดที่ผมมีอยู่แล้ว
[ทักษะเฉพาะ ดวงตาที่ 3 (Rank : S Zero) ถูกเปิดใช้งานแล้ว]
[ทักษะพิเศษ ความเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ (Rank : Extra) ถูกเปิดใช้งานแล้ว]
[ทักษะแฝง การต่อสู้ระยะประชิด (Rank : A Plus) ถูกเปิดใช้งานแล้ว]
[ทักษะแฝง ยืนยงคงกระพัน (Rank : A Plus) ถูกเปิดใช้งานแล้ว]
[ทักษะแฝง ดวงตาแห่งจิตใจ (Rank : A Plus) ถูกเปิดใช้งานแล้ว]
[ทักษะแฝง พรคุ้มครองแห่งสงคราม (Rank : Extra) ถูกเปิดใช้งานแล้ว]
[ทักษะแฝงในเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย, ความสง่าผ่าเผยแห่งราชาถูกเปิดใช้งานแล้ว]
“ซูฮยอน…!”
ผมรู้สึกว่าพี่เอื้อมมือมาจากข้างหลังอีกครั้ง ผมจึงรีบกระโดดลงไปที่พื้นก่อนที่พี่จะสามารถคว้าไหล่ผมเอาไว้ได้อีกครั้ง ก่อนจะรีบเปิดใช้พลังเวทแล้วพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า
หลังจากนั้นสิ่งแวดล้อมโดยรอบเริ่มผ่านตาของผมไปอย่างรวดเร็ว
รู้สึกได้แล้ว
ทันทีที่ผมรวมสัมผัสของพลังเวทเข้ากับดวงตาที่สาม แล้วมุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกของน้ำ ผมก็เริ่มรับรู้ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกันฟุ้งมาจากด้านหน้า ผมคิดว่าผมควรจะมุ่งความสนใจไปที่อะไรสักอย่างนั้นให้มากเข้าไว้หรือเปล่านะ
ดูเหมือนว่าผมจะคิดถูก ทันทีที่ผมได้ยินคำว่า ‘ระยะโจมตี’ ผมก็คิดเอาว่าคนเรียกภูติน่าจะอยู่ใกล้ๆ แน่แต่ดูเหมือนจะออกมามากกว่าที่ผมคิดเอาไว้
แม้จะไม่รู้ว่ามันออกมาเพื่อจะจับผมหรือออกมาช่วยยักษ์ แต่สิ่งที่ผมรู้ได้อย่างแน่นอนก็คือความเป็นไปเกี่ยวกับลอบสังหารมันนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
ทิศทางนั้นอยู่ตรงหน้านี้แล้ว มีระยะห่างอยู่ประมาณร้อยเมตรหรืออาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่สิ่งที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้นั้นมีเพียงแค่ผมต้องวิ่งไปถึงตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เท่านั้น
ถ้าเป็นปกติ ฉันก็จะสามารถตะลุยเข้าไปได้เลย
แต่เหล่าศัตรูที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านั้นมากเกินกว่าที่ผมจะวิ่งไปอย่างวางใจได้ ผมเริ่มร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดังนั้นผมจึงเม้มริมฝีปากแน่นแล้วออกแรงวิ่งไปให้เร็วกว่าเดิม
และในระหว่างที่ผมกำลังวิ่งไปให้เร็วที่สุดนั้น คำพูดที่ผมได้ฟังจากพี่ก็ยังคงเสียดแทงอยู่ในอก
‘นี่นายเห็นที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นของนายงั้นเหรอ’
‘เป็นฮีโร่แบบไหนล่ะ’
‘ไม่สิ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย’
“…”
ผมรู้ดีว่าการกระทำแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ
แต่ถึงอย่างนั้นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องเป็นคนออกมาเองก็ไม่ใช่เพราะอยากออกมาแบบไม่มีเหตุผลหรือเพราะอยากจะเป็นฮีโร่
แต่เพื่อพี่และอย่างสุดท้ายก็คือเพื่อ ‘ตัวผมเอง’ ต่างหากล่ะ
ถ้าหากเป็นตัวผมในรอบแรก ผมก็คงจะกระโดดหนีหัวซุกหัวซุนไปตั้งแต่ที่ตั้งสติได้แล้วล่ะ ไม่สิ ผมไม่ควรเข้าร่วมสงครามเสียตั้งแต่ทีแรกด้วยซ้ำ ถ้าหากผมยังมีนิสัยแบบนั้นมาจนถึงรอบที่สองนี้ ผมคงจะบังคับลากเอาพี่ไปด้วยแล้ว แม้ว่าพี่จะไม่มีทางยอมก็เถอะ
แต่ตอนนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ไม่สิ ผมพูดผิดไปหรือเปล่านะ
ผมกับพี่ในตอนนี้จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าหัวเดียวกระเทียมลีบหรอก เราทั้งคู่เป็นแคลนลอร์ดของเมอร์เซนต์นารี่และแฮมิล ต่างอยู่ในฐานะที่เป็นผู้นำเหล่าผู้เล่นที่อยู่ในการปกครองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้เล่นของแฮมิลที่สละชีวิตของตนเองเพื่อผมในรอบแรก หรือจะเป็นเหล่าผู้เล่นเมอร์เซนต์นารี่ที่เชื่อใจและตามผมมาในรอบที่สอง พวกเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว
ระบบพึ่งพากันของฮอลล์เพลน
เป็นโลกที่เราไม่สามารถทำอะไรได้โดยลำพังนั่นเอง
ภายใต้ระบบนี้ ผมต้องคิดถึงอะไรหลายอย่างและนั่นทำให้ผมสามารถตัดสินใจได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือความหมายของคำเอกพจน์อย่างคำว่า ‘พี่’ ถูกขยายจนกลายเป็นคำว่า ‘พวกเขา’ ที่เป็นคำพหูพจน์แทนไปแล้วนั่นเอง
แต่มันก็เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยชีวิตพวกเขาทุกคนเอาไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย ผมคือคนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าใครๆ แต่พอมาลองนึกดูให้ถี่ถ้วนแล้วผมก็ตัดสินใจว่าจะช่วยพวกเขาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
…นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกขอโทษพี่มากกว่าเดิม
เพราะภาระที่เกิดจากการเลือกทางเดินตามที่ผมได้คิดเอาไว้นั้นมันย้อนกลับไปหาพี่และวิเวียนตามเดิม
กับผมเองมันก็ไม่ง่ายเลยเหมือนกัน
แค่คิดเองยังน่าขำ ผมได้แต่หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
หลังจากออกมาจากที่ที่ผมอยู่ ผมก็มองเห็นพวกมันที่กำลังไล่ตามมาอยู่ในระยะใกล้ เหล่าศัตรูที่อัดกันเนืองแน่นอยู่ในท้องทุ่งกว้างใหญ่กำลังกรูเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ท่าทางของพวกมันที่กำอาวุธเอาไว้แน่นเหมือนอยากจะแก้แค้นให้กับสิ่งที่พวกตนต้องประสบในสงครามปิดล้อมเสียเต็มประดานั้น ช่างดูยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างไรพิกล
ดูเหมือนเหล่าศัตรูจะสังเกตเห็นผมเข้าแล้ว ความรู้สึกจนปัญญาฉายออกมาจากแววตาที่แฝงเจตนาจะฆ่าแกงกันอย่างโหดเหี้ยมราวหมาต่อสู้ที่กำลังตื่นเต้น
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยที่ไร้ความหมาย
“ฮ่าๆๆ!”
นักรบขวานคนแรกที่เข้ามาในสายตาของผมหลุดขำออกมาหน้าตาบิดเบี้ยว เขาคงเห็นผมเป็นแมงเม่าที่บินเข้าไปในกองไฟอย่างนั้นล่ะมั้ง
เมื่อเห็นพวกศัตรูที่เป็นแบบนั้นมันก็ทำให้ผมเกิดหวนคิดถึงความรู้สึกที่ผมเคยรู้สึกเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มรอบที่สองนี้ เมื่อครั้งผมยังบ้าการต่อสู้ แม้จะมีความรู้สึกผสมปนเปกันอยู่มากมายแต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดก็คือความวิกลจริตอันมืดบอดที่แฝงเร้นอยู่ในคราบการฆ่าฟันนั่นเอง
ตั้งแต่นี้ไปผมต้องบุกฝ่าพวกศัตรูเข้าไปแล้วลอบสังหารคนเรียกภูติให้จงได้
ผมทำจิตใจให้สงบลง ลบคำพูดของพี่ที่วิ่งวุ่นอยู่ในสมองออกไปจนหมดแล้วแทนที่ด้วยการคำนวณสถานการณ์การต่อสู้ กำดาบไว้แน่นด้วยสองมือก่อนจะปลดปล่อยพลังเวทให้ระเบิดปะทุออกมาเป็นขั้นสุดท้าย
ถึงแม้ผมจะบอกไปว่าผมต้องทำก็เถอะนะ…
“เฮ้อ”
หากผมไม่มั่นใจผมคงไม่เริ่มทำมันตั้งแต่แรก
เกียรติยศแห่งวิคตอเรียและคาลิโก อาบรักซัสส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ต่างปล่อยแสงสว่างและความมืดที่ตรงข้ามกันออกมาพร้อมกันอีกด้วย
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!