Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 26
เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนไป แต่นี่ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าดวงไฟเหล่านั้นเริ่มสว่างไสวมากขึ้นๆ ทุกที ม่านเวทที่หยุดการขยายตัวไปแล้วกลับมีสัญญาณว่ามันเริ่มจะขยายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
และแล้วความวุ่นวายโกลาหลก็บังเกิดขึ้นโดยไม่มีช่องว่างให้ฝั่งเราได้โต้กลับไปเลยแม้แต่นิด
ปัง!
ขณะนั้นเองก็พลันเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องจนแก้วหูสะเทือน เสียงแรงกระแทกดังลั่นยังคงก้องอยู่ในหูสักพัก ก่อนที่ผมจะได้เห็นกำแพงเมืองของบาร์บาร่าที่เคยตั้งตระหง่านอย่างแข็งแรงมั่นคงพังครืนลงมา
“ละ หลีกไป!”
ผมได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนอย่างรีบร้อนแต่กำแพงก็พังถล่มลงมาในคราวเดียวแล้วจมลงไปกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของระเบิดที่ปะทุโชติช่วงขึ้นมา
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือปราการสีเข้มที่โอบล้อมเมืองไว้และคลื่นยักษ์จากแสงไฟของแรงระเบิดกวาดเข้ามาที่ทัพของฝั่งตะวันออกอย่างไร้ความปรานี
เปรี๊ยะ! เพล้ง!
หลังจากผ่านไปสักพัก ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นสีขาวพร้อมๆ กับเสียงแตกร้าวของแนวป้องกัน
การมองเห็นที่ดับวูบไปสักพักเริ่มกลับมามองเห็นอีกครั้งอย่างพร่ามัว และรู้สึกถึงไอเย็นของพื้นดินที่หลัง ผมไม่ได้หมดสติไปแต่ดูเหมือนจะล้มลงไปไม่รู้ตัวเพราะแรงกระเทือนที่หนักหน่วงเสียมากกว่า แม้ความรู้สึกจะบอกให้ผมเอนตัวนอนลงไป แต่ผมก็ยันพื้นไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะพยายามขยับตัวลุกขึ้นยืน
ตอนแรกผมคิดอะไรไม่ออกแต่เมื่อหายใจเข้าลึกๆ ให้ข้างในสงบลงได้แล้วภาพเหตุการณ์โดยรอบก็เริ่มเข้ามาสู่สายตา ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงของเหล่าผู้เล่นร้องโอดโอยเหมือนพวกเขาเองก็ล้มลงเหมือนกัน
ร่องรอยของกลุ่มแสงเหล่านั้นที่เคยมีอยู่ตรงโน้นตรงนี้หายไปหมดแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่รู้สึกแปลกอยู่ เพราะผมยังรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กๆ ที่วนเวียนอยู่ในร่างกายด้วยเหตุผลบางอย่าง พอลองแตะตัวดูก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่ผมได้คำตอบอย่างหนึ่ง
ผมหลุบตาลงมองแวบนึงเพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้นผมก็พบเข้ากับพลังเวทสีเหลืองติดอยู่กับส่วนหนึ่งในร่างกาย ผมรู้สึกถึงกระแสพลังเวทที่ไม่เสถียรเอามากๆ บนพลังเวทที่เปล่งแสงเหมือนเวลาพลังหมดนั้น
นี่มัน…
วิ้งงง!
ตอนนั้นเอง คลื่นเสียงของพลังเวทขนาดใหญ่ที่ผมได้ยินเมื่อก่อนหน้านี้ก็ดังก้องขึ้นมาในหูผม ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นผมก็เห็นปราการเวทขนาดใหญ่โอบล้อมเมืองเอาไว้อย่างแนบแน่น ที่ตรงนั้นเองก็มีกระแสเวทสีเหลืองอยู่ด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะผลจากพลังเวทที่ไม่เสถียรเมื่อสักครู่ทำให้ของแนวป้องกันดูจะซีดลงไปเรื่อยๆ
แต่เมื่อผมมองลงไปยังปราการเวทที่ถูกวาดเอาไว้บนพื้น ผมก็ได้รู้ว่าผมดูจะเข้าใจผิดไปโขเลยทีเดียว ปราการขัดขวางเวทคุ้มกันไม่ได้มีสถานะเป็นพลังเวทอีกต่อไปแล้ว มันค่อยๆ จางไปเหมือนเมื่อตอนที่ผมมายังบาร์บาร่าครั้งแรก นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ที่ใช้รักษาปราการเวทที่เปิดใช้งานแล้วถูกทำลายโดยเจตนา
ทำไมถึงได้อยากปิดปราการเวทที่เปิดใช้งานแล้วลงอีกครั้งเสียล่ะ
ไม่ว่าวัตถุประสงค์นั้นคืออะไรก็ตาม แต่จู่ๆ ความคิดที่ว่าพวกเขาอาจมีอะไรปกปิดไว้อีกนั้นก็แวบผ่านเข้ามาในหัว
ถึงจุดหนึ่ง ปราการเวทที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นกึ่งโปร่งแสงก็ค่อยๆ สลายหายไปราวกับละลายไปกับอากาศ และในที่สุดภาพภายในนั้นก็ปรากฏออกมาให้เห็น กำแพงเมืองฝั่งประตูตะวันตกพังลงอย่างสมบูรณ์แล้วและที่พื้นดินที่มองเห็นอย่างชัดเจนนั้นก็มีซากก้อนอิฐกองทับถมกันเป็นภูเขาอยู่ด้วย
แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่กำแพงที่พังทลายนั้น เพราะพวกศัตรูรีบเดินหมากต่อในทันทีโดยไม่เว้นช่วงให้ฝั่งตะวันออกได้หายใจหายคอกันบ้างเลย
จู่ๆ ผมก็รู้สึกไปเองว่าหมอกที่เคยปกคลุมอยู่โดยรอบบริเวณนั้นถูกดูดเข้าไปในชั่วพริบตา ไม่ ผมไม่ได้รู้สึกไปเอง
ซู่ววว!
หลังจากนั้นไม่นานนัก กระแสน้ำรุนแรงก็พวยพุ่งขึ้นในแนวตั้งจากจุดกึ่งกลางภายในเมืองที่เห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยความสูงที่น่าจะมากถึงสิบเมตรทำให้ผมรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้คือน้ำตก
และเพียงพริบตาเดียวเจ้าน้ำตกนั้นก็กลายสภาพเป็นคลื่นลูกใหญ่
ครืนนน!
ใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้นคลื่นยักษ์ก็สาดซัดทุกสิ่งโดยรอบอย่างแรงรวมทั้งกองอิฐที่กลายสภาพเป็นที่กำบังไปโดยปริยายด้วย จากนั้นคลื่นที่หยุดค้างอยู่ที่จุดๆ หนึ่งก็โถมลงมายังจุดที่มีเหล่าผู้เล่นฝั่งตะวันออกยืนรวมกันอยู่อย่างแรง
ตู้ม!
นี่ใช่เสียงน้ำกระทบกับพื้นดินหรือเปล่านะ แต่ไม่ทันได้สงสัยหรือคิดอะไรต่อผมก็พลันรู้สึกว่าร่างกายของผมเอียงไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว คลื่นน้ำซัดสาดเข้าใส่ทัพของฝั่งตะวันออกต่อจากคลื่นแสงทันทีอย่างไม่ปรานีปราศรัยใดๆ ทั้งสิ้น
คงเพราะผมถูกชนไปทั้งร่าง จึงมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นมาในแก้วหูอยู่ครู่หนึ่ง ถึงผมจะตั้งใจลืมตาเอาไว้แต่สิ่งที่ผมมองเห็นมีเพียงท้องฟ้าเท่านั้นเอง ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าผมถูกพัดไปด้านหลังจากแรงสาดของคลื่นยักษ์นั้น
หลังจากคลื่นยักษ์นั้นผ่านไปแล้ว ผมก็ถึงกับพ่นออกซิเจนในปอดออกมา
“ฟู่ว”
หยาดน้ำหยดลงที่หน้าผมอีกครั้งพร้อมกับเสียงพ่นออกมาด้วย ผมที่เปียกน้ำทำให้ผมหงุดหงิดจนต้องสะบัดหัวไปมาอย่างแรง แล้วจู่ๆ กลิ่นคาวของน้ำก็เสียดแทงตลบอบอวลอยู่ในจมูก
ฝั่งตะวันออกที่ถูกคลื่นแสงซัดจนโกลาหลวุ่นวาย ออกจะน่าอายไปเสียหน่อยที่จะพูดว่าพวกเขาได้สร้างปราการขึ้นมาแล้ว
ผมมองเห็นเหล่าผู้เล่นที่นอนแผ่กระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทางบนพื้นดินที่แฉะจนเป็นโคลนตม แม้ในจำนวนนั้นจะมีผู้เล่นบางคนที่ตั้งสติได้แล้วลุกขึ้นมาแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นจริงๆ หลายคนดูเหมือนจะยังตั้งสติจากคลื่นน้ำที่ซัดตามมาไม่ได้เท่าใดนัก
นานแล้วนะที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายรับอยู่อย่างเดียวแบบนี้
แต่ไม่รู้ว่าเป็นผลจากการรับรู้ด้วยใจหรือเปล่า เพราะความคิดของผมกลับเย็นเยียบและสงบนิ่งมากกว่าจะคิดกระวนกระวาย ผลจากคลื่นทำให้ระยะห่างจากกำแพงเมืองเพิ่มขึ้นมาช่วงหนึ่ง ถึงแม้จะโดนจู่โจมอย่างผิดกติกามาถึงสองครั้ง แต่อย่างไรการวิเคราะห์สถานการณ์ก็ต้องมาก่อนความกระวนกระวายอยู่แล้ว
ก่อนอื่น ร่างกายผมยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้เช่นกัน ผมรู้ดีว่าคลื่นแสงนั้นคืออะไร มันคือ ‘ระเบิดเวทมนตร์’ ระเบิดหลายร้อยที่จะระเบิดออกมาพร้อมกันในคราวเดียวจนทำให้เกิดเป็นคลื่นภาพลวงตาขึ้นมานั่นเอง
แต่คลื่นน้ำที่ตามมาทีหลังนั้นไม่ได้ให้ผลอะไรเป็นพิเศษนอกจากเป็นการโจมตีทางตรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สิ เพราะพลังเวทที่ไม่ค่อยเสถียรเมื่อสักครู่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเริ่มเสถียรขึ้นช้าๆ แล้ว
ทันทีที่ผมเปิดใช้งานดวงตาที่ เพื่อตอบในสิ่งที่ผมอยากจะรู้ ผมก็สามารถระบุชื่อคลื่นที่ซัดใส่เราเมื่อก่อนหน้านี้ได้ในทันใด
[ธาตุเวทมนตร์ (Elemental Magic) : คลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์ (The Tsunami Of Purification)]
คลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์?
ผมผุดลุกขึ้นทันทีหลังจากมีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัวเหมือนลำแสง ชิ้นส่วนซับซ้อนมากมายในหัวเริ่มปะติดปะต่อเข้าหากันอย่างช้าๆ และเมื่อมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วผมก็ได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้นั้นดูจะถูกต้องทีเดียว ร่องรอยของระเบิดเวทมนตร์ที่ติดอยู่ตามตัวตอนนี้กลับหายไปอย่างหมดจด
“ฮ่าๆ”
จู่ๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างหมดหวัง แต่ในขณะเดียวกันนั้นผมก็รู้สึกประทับใจกับอีกฝ่ายที่คิดกลยุทธ์นี้ขึ้นมาได้
ระเบิดเวทมนตร์ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือเป็นอุปกรณ์ทางเวทมนตร์ชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อกระแสพลังเวท ลักษณะพิเศษของมันก็คือทำให้เสถียรภาพของกระแสพลังเวทอ่อนแรงลงจนเวทมนตร์ดั้งเดิมที่ได้รับผลพลอยจากกระแสพลังเวท เช่น การติดต่อสื่อสารระยะไกล ถูกควบคุมตามไปด้วย
แต่ถ้าหากพวกเขายิงหลายร้อยนัดพร้อมกันในคราวเดียวล่ะก็ เรื่องราวก็ต่างไปอีกแบบ พลังของสนามรบจะทรงพลังขึ้นขนาดที่สามารถเข้ารบกวนแทรกแซงกระแสพลังเวทที่เหล่าผู้เล่นเป็นผู้ชักจูงโดยตรงซ้ำๆ
ซึ่งหากมองจากมุมนี้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นผลตอบแทนของความเกี่ยวข้องและจังหวะเวลาที่พวกศัตรูได้มองเห็นมาล่วงหน้าในครั้งนี้
แต่ก็ชัดเจนว่าหากยิงระเบิดเวทมนตร์ในระดับนี้ ก็สามารถกลายเป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน แต่เหล่าศัตรูก็ป้องกันกรณีที่จะเล็งมาที่พวกตัวเองด้วยการใช้ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือปราการเวทนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ผลของระเบิดเวทมนตร์จะแสดงออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ช่างเป็นจังหวะเวลาที่เป๊ะจนน่าขนลุก เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหากเป็นผม ผมจะทำได้แบบนี้หรือเปล่า
และคลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์ที่ซัดตามมาก็อาจจะมีจุดประสงค์แฝงอยู่สองประการด้วยกัน ประการแรกคือเพื่อทำให้ค่ายของฝั่งตะวันออกกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และประการที่สองก็เพื่อจะชำระล้างผลโดยรอบบริเวณที่พวกเขาเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น
เหล่าผู้เล่นของฝั่งตะวันออกโดนระเบิดเวทมนตร์ก่อนที่จะทันได้ปล่อยพลังเวทออกไปเพราะอย่างนั้นภายในทัพจึงถูกทำลายจนยับเยิน และถึงแม้จะถูกซัดกระหน่ำด้วยคลื่นยักษ์แห่งความบริสุทธิ์แต่คลื่นนั้นก็ลบไปได้เพียงผลของสนามเท่านั้น แม้จะมีความแตกต่างไปบ้างตามลักษณะเฉพาะ แต่พลังเวทที่ถูกรบกวนนั้นจะไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้ในทันที ต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นฟู
กล่าวคือ ในตอนนี้กระบวนทัพของทางตะวันออกกระจัดกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย การใช้พลังเวทของเหล่านักเวทและนักบวชเองก็ได้รับการควบคุมไปด้วย พูดให้สั้นก็คือตอนนี้คือช่วงที่อ่อนกำลังที่สุดตั้งแต่เข้าร่วมการต่อสู้มา
และช่วงเวลาที่เหล่าศัตรูเพ่งเล็งเอาไว้ก็คงจะเป็นตอนนี้ ส่วนเหตุผลที่พวกเขารีบกระหน่ำโดยไม่เว้นช่องว่างให้พักแม้แต่นิดก็เพื่อที่จะสร้าง ‘เวลา’ ในตอนนี้นั่นเอง
“ว้ากกก!”
ราวกับจะตอบในสิ่งที่ผมสงสัย เสียงร้องตะโกนดังลั่นเริ่มดังมาจากแถวหน้า น้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เพราะเหล่าผู้เล่นมากมายเหลือคณานับที่วิ่งหนีออกมาพร้อมกัน
แต่เสียงดังน่ากลัวที่ดังก้องที่ราบกว้างใหญ่ตามหลังด้วยเสียงโห่ร้องของศัตรูมา และภาพหยดน้ำที่เปียกปอนอยู่บนพื้นเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็วอีกครั้งนั้นทำให้ผมรู้ว่ามันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
เมื่อหันไปมองผมก็เห็นสัตว์ประหลาดที่มีความสูงถึงสิบเมตรอยู่แถวกำแพงเมือง สภาพของมันคือลักษณะเป็นคนร่างยักษ์ถือไม้ตะบองอันมหึมาอยู่ในมือ
[ราชัน (รุ่นก่อน) แห่งยักษ์ทั้งปวง : คูชาน ธอร์ (ปัจจุบันได้รับการฝึกให้เชื่องแล้ว)]