Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 23
เมืองเล็กในภาคเหนือของทวีปทางเหนือ มิวล์
“มารวมกันอย่างกับฝูงเป็ดน้ำเลยนะ”
คิมกับซูที่ยืนอยู่บนกำแพงและกำลังมองไปรอบๆ กล่าวความเห็นออกมาสั้นๆ หลังจากเห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่อย่างกับคลื่นยักษ์กำลังหลั่งไหลเข้ามา
“ใช่ไหมล่ะ”
และเมื่อเขาหันไปมองเพื่อขอความเห็น ชายคนหนึ่งที่อยู่ในเสื้อเกราะหนังก็ตอบมาจากด้านขวา
“ฝูงเป็ดน้ำ เปรียบได้ตลกดีนะครับ”
“ใช่ไหมล่ะ ว่าแต่ทำไมทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นล่ะ ถ้าตลกก็ต้องหัวเราะหน่อยซี่”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ ถ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา…หากทำอะไรพลาดไปล่ะก็ คงจะโดนฝูงเป็ดกินเอาได้นะครับ”
คิมกับซูขำออกมาด้วยเสียงต่ำๆ เพราะคำตอบของชายที่ดูนิ่งเงียบแต่กลับแฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้
แม้จะเอาไปเปรียบกับเป็ดน้ำ แต่ความจริงแล้วคำพูดของชายหนุ่มก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะใช้ในการอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้ สถานการณ์ที่เป็นรองแบบนี้ ไม่สิ ไม่ได้ถึงกับเป็นรอง เพราะเมื่อเทียบกับคนสองร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่ในเมืองแล้ว จำนวนของ ‘เป็ดน้ำ’ ที่กำลังวิ่งมานี้มีตั้งเป็นพันเลยด้วยซ้ำ
“หึๆ นั่นสินะ แล้วสถานการณ์การลี้ภัยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“การเคลื่อนย้ายเข้าไปยังบาร์บาร่าเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้วครับ อ้อ พวกเขาบอกว่าเรามาถึงตอนจบกันแล้วครับ หากเราลงไปตอนนี้ เราจะสามารถตีเมืองได้แน่ครับ”
“ก็คงจะอย่างนั้น ฉันต้องลงไปเสียแล้วสิ อย่างที่นายบอกนั่นแหละ จะให้ถูกกินไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก”
“เป็นทางเลือกที่หลักแหลมจริงๆ ครับ ประตูใหญ่ถูกปิดอย่างแน่นหนา ดังนั้นเราจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้วาร์ปเกตได้ เว้นเสียแต่เราจะมัวชักช้าครับ”
“รู้แล้ว รู้แล้ว ฉันกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ปัดโธ่ รบเร้าหรือเสียจริง…”
ทันทีที่คิมกับซูโบกมือไปมา ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดชักชวนให้เขาลงไปอีก คงเพราะความกระดากอายที่มี
หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งเริ่มจากตัวเขาก็เริ่มลงไปจากกำแพงเมืองช้าๆ พวกเขาก้าวย่างอย่างสบายๆ แม้ว่าจะมีเสียงตะโกนโห่ร้องจากอีกฝั่งของกำแพงดังมาไม่ขาดสายเลยก็ตาม
“ฉันล่ะชอบใจจริงๆ ที่ได้ทำให้พวกนั้นกลายเป็นหมาต้อนไก่แบบนี้ เอ้อ! พอมานึกดูแล้ว อีนังนั่นมันทำอะไรนะ”
“ครับ? อีนังนั่นหรือครับ”
“นายก็รู้นี่ อีนั่นมันร้ายกว่าที่เห็นอีกนะ”
“อ้า~ ผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนนั้นน่ะเหรอครับ”
ราวกับคำพูดของผู้ชายที่เรียกผู้หญิงว่า ‘อีนังนั่น’ มันน่าขำหนักหนา คิมกับซูถึงกับหัวเราะเบาๆ ออกมาอีกครั้ง
“คิกๆ ใช่ แล้วนายพาเธอไปอย่างดีหรือเปล่า”
“อ้า ครับ ผมพาเธอไปยังบาร์บาร่าอย่างปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ระวังอย่าให้ไปสะดุดตาอีคังซันเข้าก็แล้วกัน นังนั่นนะ เป็นแบบที่มันชอบเลย หากมันได้เห็นล่ะก็ มันจะต้องแย่งไปแน่”
“ผมจะระวังให้มากที่สุดแต่ว่า..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม้แต่ผมเองก็ไม่มีอำนาจจะช่วยอะไรนะครับ และถ้าให้พูดกันตามตรง ตอนนี้…”
ตู้ม!
ในตอนนั้นเอง ขณะที่คิมกับซูและพวกเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งกำลังลงมาจากกำแพงเมือง ประตูใหญ่ที่เคยปิดอย่างแน่นหนามั่นคงก็พลันเขยื้อนอย่างแรงพร้อมเสียงดังสนั่นลั่นฟ้าดิน กึกก้องเสียจนชายหนุ่มที่กำลังพูดอยู่ต้องยกมือขึ้นปิดหูในทันที พร้อมใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดจากเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น
“บะ บ้าน่า! เกือบจะล้มลงไปอยู่แล้วนี่!”
“ระ เร็วขนาดนี้เชียวหรือ กะ ก็ในเมื่อมันยังมีระยะห่างเหลืออยู่…”
ใช้เวทมนตร์หรือ ชายหนุ่มหันไปมองรอบประตูใหญ่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
เปรี้ยงงง!
จากนั้นในครั้งนี้เกิดเป็นเสียงแสบหูราวกับจะฉีกอากาศออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ต่อมาเสียงโลหะที่สั่นสะเทือนกำแพงเมืองอย่างแรงก็ดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
“อึก! บ้าจริง! อะ อะไรกัน กะจะให้มันพังลงไปเลยหรือไง ประตูใหญ่นั่นซ่อมแซมแล้วใช่ไหม”
“ชะ ใช่แล้วครับ ด้วยคำสั่งของท่านฮยอน การซ่อมแซมจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน…แต่ก่อนอื่น เราออกไปจากที่นี่กันก่อน…!”
แต่ในครั้งนี้ใบหน้าของชายหนุ่มกลับกลายเป็นซีดขาวราวกับเขาเป็นนักโทษที่ได้รับโทษประหารเพราะเสียงสั่นไหวของแกนโลกที่ดังขึ้นมา แต่เจ้าเสียงดังกึกก้องที่ได้ยินมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นั้นก็เอาแต่ดังขึ้นมาในทุกครั้งที่เขาพูด ราวกับไม่ยอมรับคำพูดที่พูดออกมาโดยไม่คิดอย่างไรอย่างนั้น
ทันทีที่พวกเร่ร่อนที่เคยงุนงงอยู่ครู่หนึ่งพอจะตั้งสติได้ ผืนธรณีก็หยุดสั่นสะเทือนไปเช่นกัน
แต่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ไม่นานหลังจากนั้นตรงกลางของประตูใหญ่ก็เริ่มผิดรูปผิดร่างไปทีละนิด แม้จะซ่อมแซมให้แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ประตูใหญ่ที่ก่อขึ้นจากเหล็กหนากลับบิดเบี้ยวราวกับแผ่นกระดาษ
“ปะ ประตูกำลังเบี้ยวอย่างนั้นเหรอ”
ใครสักคนพึมพำออกมาด้วยความตระหนกตกใจราวกับไม่เชื่อสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า และในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้น ประตูใหญ่ก็ยังคงส่งเสียงดังเสียดแทงออกมาในขณะที่บิดเบี้ยวไปมาเช่นนั้นดั่งผ้าที่ถูกบิดจนสุดแรง ประตูใหญ่กำลังจะกลายสภาพเป็นเพียงเศษเหล็ก
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะๆๆ!
ทันใดนั้นเอง พร้อมๆ กับเสียงของเหล็กที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ มาตั้งแต่แรก ที่ประตูก็เกิดเป็นรูใหญ่ขึ้นมา และจู่ๆ แขนสีแดงอมม่วงใหญ่ยักษ์ก็โผล่พรวดขึ้นมาระหว่างรูนั้น
ฟิ้ว ฟิ้ว
สายลมสีม่วงแดงพัดกรรโชกผ่านรูที่ถูกเจาะไว้ออกมา ลมสีม่วงอมแดงที่มีกลุ่มพลังเวทแฝงอยู่พัดเข้ายึดพื้นที่โดยรอบประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว
และทันใดนั้น
“อะ อ๊ากกก!”
“สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาด! หนีเร็ว!”
พวกเร่ร่อนทุกคนต่างกรีดร้องกันจนสุดเสียงและเริ่มวิ่งหนีตายกันอลหม่าน
บาร์บาร่า เมืองใหญ่ศูนย์กลางแห่งทวีปทางเหนือ
ที่วาร์ปเกตของบาร์บาร่าแออัดไปด้วยผู้คน แสงไฟที่ส่องสว่างมาตลอดตั้งแต่เมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายหายไปแล้วแต่เหล่าผู้เล่นที่ออกมาผ่านวาร์ปเกตก็ยังคงเหลืออยู่กว่านับร้อยคน หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองดูภาพนั้นอยู่ พลันหันไปคุยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหล่อน
“เห็นแล้วใช่ไหมล่ะคะ พวกเขาคือเหล่าคนเร่ร่อนที่เข้ามาจากมิวล์ทั้งนั้นค่ะ”
“อะแฮ่ม! เห็นแล้วครับ”
“หืม? มีอะไรที่คุณอยากพูดอีกหรือเปล่าคะ”
“อืม ไม่รู้สิครับ มันค่อนข้างพูดยากอยู่นะครับ”
ไซม่อนดูมีสีหน้าลำบากใจอย่างสุดซึ้งขณะกำลังมองดูพวกเร่ร่อนที่หลั่งไหลเข้ามามาจากวาร์ปเกตของบาร์บาร่า
“ฮ่าๆๆ ได้ยินว่าเธอพอจะจับลางบอกเหตุได้ในทวีปเรา มันคงจะลำบากไม่น้อยหากเราจะกลับไปทั้งแบบนี้ จริงไหมครับ ยูรินะ”
“ฉันว่าตอนนี้มันยากกว่าอีกนะคะ ไซม่อน ไครมส์”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่ายูรินะตามอารมณ์ขันของไซม่อนตอบกลับด้วยเสียงดังฟังชัด ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเกาหลังหัวแกรกๆ ด้วยใบหน้ากระดากอายก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“อ้า~ น่าอายจริงๆ เลยนะครับ”
“…”
“แม้ว่ามิวล์จะเป็นแบบนั้น…แต่เบธ, โดโรธี ไปจนถึงฮาโลนั้นไม่น่าจะพยายามบุกรุกและชิงเมืองคืนในเวลาเดียวกัน…ผมว่าคนที่มาที่นี่ดูจะน้อยกว่า แต่พวกเขาก็คงจะเล่นตุกติกแบบนั้นกันอยู่แล้วล่ะนะครับ ฮ่าๆ! ผมไม่ได้ยินอะไรจากพวกเร่ร่อนเลยสักนิดเดียวน่ะครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายถึงได้…”
“ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ไว้ค่อยโทษพวกเขาทีหลังเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันคิดว่าเราควรเปิดใช้งานปราการป้องกันพลังเวทและช่วยเหลือฮาโลก่อนนะคะ”
ที่ยูรินะพูดนั้นหมายถึงให้ย้ายไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดในทวีปทางตะวันตกแล้วค่อยวางแผนหลบหนีกันที่นั่น และเหตุผลของหล่อนก็พอจะฟังขึ้นอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเมืองอื่นๆ จะล่มสลายไปหมดแล้ว แต่บาร์บาร่าที่ยังพอมีคนเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ยังคงต่อสู้กับการช่วงชิงเมืองกับของทวีปทางเหนืออย่างหนัก
อย่างไรก็ตามไซม่อนกลับส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าเป็นการบอกว่าไม่เห็นด้วยกับความคิดของหล่อน
“โธ่ พูดอะไรเช่นนั้นครับ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะตายกันจริงๆ นะครับ”
“คุณหมายความว่าอย่างไรคะ ทำไมถึงบอกว่าการย้ายไปฮาโลจะฆ่าเราล่ะคะ”
“ก็อย่างที่ยูรินะพูดไงครับ ว่าระหว่างที่คนเรือนหมื่นที่อยู่ที่นี่กำลังเดินทาง สัตว์ประหลาดก็ยังคงอยู่ที่นอกกำแพงโน้น~แน่ะครับ เราจะรักษาระเบียบและเคลื่อนย้ายกันไปทีละคน ทีละคน ดังนั้นผมขอให้คุณเดินกินลมชมวิวอย่างมีความสุขจะดีกว่านะครับ”
“เราเปิดปราการป้องกันพลังเวท…”
“ยูรินะ คุณคิดว่ามันจะทนสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้สักเท่าไรกันครับ”
เมื่อไซม่อนพูดตัดบทหล่อนขึ้นมาเช่นนั้น ยูรินะก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับคำตอบของเขา แต่ไซม่อนที่ยังคงมีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลับหรี่ตาลงก่อนจะจ้องมองหล่อนด้วยสายตาเฉียบคม
“ไซม่อน แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปล่ะคะ จะนั่งเงียบๆ แล้วรอให้มันมาขย้ำหลอดลมหรือคะ”
“ฮ่าๆ อย่าโกรธสิครับ ทุกๆ คนต่างก็ตื่นเต้นกับการโฆษณาชวนเชื่อของทวีปทางเหนือกันทั้งนั้น แล้วทำไมถึงมีแต่ยูรินะที่โกรธอยู่แบบนั้นล่ะครับ”
“เฮอะ สถานการณ์ตอนนี้มันสนุกนักหรือไงคะ”
“แหม…ไม่ใช่สนุกหรอกครับ แต่มันเป็นสถานการณ์ที่ผมคาดไว้แล้วต่างหากล่ะ”
เมื่อไซม่อนประกาศออกมากะทันหันแบบนั้น ยูรินะก็ได้แต่ปิดปากเงียบพร้อมสีหน้างุนงง
“อ้า แน่นอนว่าทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคาดไว้เสียทั้งหมดหรอกนะครับ อย่างเรื่องที่เจ้าดราก้อนเบลซวกกลับมาหาเรานั่นก็เป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ ครับ เฮ้อ นึกว่ามันจะเป็นโอกาสทองของเราเสียอีกนะครับ”
“ไซ…”
ยูรินะเผยอปากขึ้นเล็กน้อยราวกับหล่อนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายหล่อนก็ปิดปากลงอีกครั้งหนึ่ง สายตาของไซม่อนยังคงยิ้ม สีหน้าก็ยังดูสบายๆ คล้ายกับเด็กหนุ่มใสซื่อที่ออกมาดื่มแถวบ้านก็ไม่ปาน
แต่ยูรินะที่เคย ‘เชื่อฟัง’ ไซม่อนมาเป็นเวลานานก็สามารถรู้สึกได้เองโดยสัญชาตญาณ มันก็ดีหากจะมองว่าเป็นนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของไซม่อน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่เคยมีความตื่นตระหนกออกมาให้เห็นเลย