Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 21
ผมรู้สึกถึงความกดดันที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย คำพูดนั้นของเขาทำให้ผมตั้งสติได้ กระแสพลังเวทที่ถูกใช้งานจนถึงจุดขีดสุดเริ่มสูญเสียพลังของมันทีละนิดๆ เพราะการระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมๆ กันนั้นความรู้สึกที่คุ้นเคยที่ผมเคยได้สัมผัสเมื่อสมรรถภาพทางกายของผมตกต่ำลงเริ่มคืบคลานเข้ามายึดทุกอณูในร่างกาย
ดับสลาย? ฟื้นคืน? เปลี่ยนทิศ?
เขาบอกให้ผมทำตามที่ต้องการ แต่ถึงแบบนั้นขอบเขตของทางเลือกก็มีมากจนผมคิดไม่ตกว่าควรจะออกคำสั่งอย่างไรดี
ผ่านไปประมาณสิบวินาที ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเลือกมาได้หนึ่งอย่าง
มือซ้ายของผมแตะอยู่ที่เจ้ามังกรไฟ ก่อนจะดึงมันขึ้นไปบนอากาศด้วยความปรารถนาข้อหนึ่ง เพราะอย่างนั้นผมจึงได้เห็นภาพของมันเลื่อนขึ้นไปบนฟ้าช้าๆ เมื่อได้เห็นมันขยับไปตามที่ผมตั้งใจไว้กับตา มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคของผมอีก ผมรีบยืดแขนออกไปทางด้านซ้ายทันทีที่รู้สึกว่าแรงกดดันในตัวเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“ไปซะ”
เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แต่กลับได้ผลถนัดตา
กร๊าซซซ!
ผมเพียงแค่พูดคำเดียวและโบกมือแค่ครั้งเดียว เจ้ามังกรไฟที่เคยพุ่งเข้าใส่เหล่าผู้เล่นฝั่งตะวันออกก็เปิดปากคำรามออกมาดังลั่นตอบรับคำพูดผม พร้อมทั้งรีบเปลี่ยนทิศทางไปยังกำแพงเมืองของบาร์บาร่าแทนในทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้เห็นจุดจบของเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกว่ามีบางอย่าง ‘วูบ’ ขึ้นมารอบตัวผม
ความรู้สึกแบบนี้มัน…
ผมควรเรียกมันว่าการหลุดพ้นดีไหม หรือจะเรียกการปลดปล่อยดี? ไม่สิ นั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญเสียหน่อย
หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าความร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิงที่ไหลเวียนไปทั่วภายในตัวผมนั้นค่อยๆ สลายหายไปแล้วแทนที่ด้วยความมืดมิดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในหัวทีละเล็กละน้อย ผมรีบหันไปมองทางกำแพงเมืองท่ามกลางความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นและได้เห็นเจ้ามังกรพุ่งเข้าชนกำแพงเมืองอย่างแรงตามคำสั่งของผมเอง
[ราตรีสวัสดิ์ ไว้เรา…เจอกันใหม่นะ]
ผมปล่อยสายใยแห่งสติให้ดับวูบลงพร้อมๆ กับเสียงที่แสดงถึงความเสียดายของฮวาจอง
แสงไฟอบอุ่นโอบล้อมอยู่รอบกาย แล้วผมก็รู้สึกว่าสติของผมเริ่มฟื้นคืนมาอีกครั้ง
“พี่! พี่!”
“ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้วค่ะ!”
หนวกหูจริง
เมื่อหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน ผมก็สบเข้ากับใบหน้าและดวงตาที่คุ้นเคย ทันทีที่ผมทอดถอนลมหายใจเย็นยะเยือกภายในอกแล้วเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นหลังคาเต็นท์สีงาช้างด้านบน ดูเหมือนผมจะถูกเคลื่อนย้ายมายังที่พักชั่วคราวของตัวเองทันทีที่ผมหมดสติลงไป
“นี่ผม…สลบไปนานแค่ไหน”
ผมรู้สึกถึงมือของใครสักคนแตะเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างของผมเมื่อผมพยายามจะยกร่างกายส่วนบนของผมขึ้น เมื่อหันไปมองจึงได้เห็นว่าเป็นจองฮายอนที่กำลังผุดลุกขึ้นตามผมนั่นเอง
“คุณไม่ได้สลบไปนานเท่าไรหรอกนะคะ ต้องขอบคุณคุณเสียด้วยซ้ำที่ทำให้เราถอยทัพกลับมาได้โดยไม่ได้รับความเสียหายมากนัก จากนี้คุณก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะค่ะ”
จากนั้นหล่อนก็ค่อยๆ ดันผมให้เอนหลังกลับลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะยกมือของหล่อนออกไปและเรียกชื่อของใครบางคนในหัว
ฮวาจอง
[…]
แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา เขาโผล่มาพูดตามใจอยากแล้วนี่ก็หายไปตามอำเภอใจอีกแล้ว ผมยังเรียกต่อไปสักพักเผื่อว่าเขาจะตอบ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลยนอกจากเสียงสะท้อนเท่านั้น
ผมถอนหายใจอีกครั้งแล้วเริ่มหันมาตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเองบ้าง ผมค่อนข้างกังวลว่ามันจะยุ่งวุ่นวายแต่โชคดีที่ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ผมไม่มีอาการวิงเวียนแต่อย่างใด กระแสพลังเวทก็ยังคงไหลเวียนอยู่โดยไม่มีตรงไหนเสียหาย แม้ว่ายังรู้สึกเจ็บแปลบๆ ตามข้อต่ออยู่แต่คงจะฟื้นคืนกลับมาได้ในเร็ววัน
“แคลนลอร์ด ตอนนี้ร่างกายรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่มีตรงไหนที่รู้สึกแปลกเลยครับ”
“ดีจังเลยค่ะ ท่านพี่กับราชินีแห่งดาบเองก็ให้สมุนไพรมาด้วยนะคะ ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นอีลิกเซอร์ก็ตาม…”
“พี่กับราชินีแห่งดาบหรือครับ”
จองฮายอนพยักหน้าตอบกลับมาก่อนจะพูดต่อไป
“ท่านทั้งสองอยู่ที่นี่ตลอดจนถึงเมื่อครู่ค่ะ เพราะว่ามีประชุมน่ะค่ะ”
พี่น่ะทำอย่างนั้นแน่อยู่แล้ว แต่ราชินีแห่งดาบเนี่ยสิ แม้ผมจะยังสงสัยอยู่แต่ตอนนี้ผมเห็นว่าในเต็นท์มีเหล่าผู้เล่นมารวมตัวกันอยู่จนแน่น ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทั้งหมด พวกเขาต่างมีสีหน้าเป็นกังวลแบบเดียวกัน ดูเหมือนพวกเขาจะมารวมตัวกันเพราะได้ยินข่าวว่าผมสลบไป
แม้ผมจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นใบหน้าของบางคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่ก็อดรู้สึกขัดเขินไม่ได้เพราะทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมเลยตัดสินใจกระแอมไอครั้งสองครั้งแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว
“อะแฮ่ม เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้น…”
สุดท้ายผมส่งมังกรกลับคืนไปที่เมืองอีกครั้ง ผมเกิดสงสัยว่าผลของมันเป็นอย่างไรแต่พอคิดจะถามออกไปก็กลับกลายเป็นว่าเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา และผมก็สามารถรู้ต้นตอของความรู้สึกขัดแย้งนั้นได้ในทันที เพราะท่ามกลางบรรดาสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ที่อยู่ที่นี่มีอยู่คนหนึ่งที่หายไป
“คุณชินซังยงล่ะ?”
“อ้า…”
ผมถามออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรแต่ผมก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นแววตาแปลกๆ ของเหล่าสมาชิกทุกคน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันสักเท่าไร และทันทีที่เห็นเช่นนั้นก็มีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัว
“หรือว่า…เขาตายในการต่อสู้ครั้งนี้เหรอครับ”
“มะ ไม่ใช่นะครับพี่ เขายังไม่ตายครับ”
อันฮยอนเป็นคนตอบคำถาม อย่างไรก็ตาม เมื่อมาลองคิดดู คำตอบตะกุกตะกักของเขายิ่งพาให้ผมสงสัย
“แล้ว?”
“เรื่องนั้น…”
อันฮยอนยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนนี้สถานการณ์ของพี่ซังยงไม่ค่อยจะสู้ดีนักน่ะครับ”
“ไม่สู้ดียังไง”
“เอ๋…นี่พี่ยังไม่ได้ยินข่าวลือเหรอครับ”
“ข่าวลือ?”
มีข่าวลือเกี่ยวกับชินซังยงแพร่สะพัดไปด้วยงั้นเหรอ ผมเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกและผมว่าผมจำเป็นต้องรู้รายละเอียดเสียหน่อยแล้ว ผมเห็นอันฮยอนเปิดปากจะพูดขึ้นอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง
“ฮยอน นายน่ะ อย่าพูดอะไรไร้สาระนะ อยู่เงียบๆ ไป”
ทันทีที่จองฮายอนตวัดสายตาแหลมคมไปมอง อันฮยอนก็รีบปิดปากฉับลงในทันที จากนั้นหล่อนก็เก็บสายตานั้นไปเรียบร้อยแล้วหันมามองผมด้วยสายตาเป็นมิตรราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เขาเพียงแค่…ยังปรับตัวกับสงครามไม่ได้เท่านั้นเองค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็กำลังพยายามอยู่ค่ะ อย่าห่วงไปเลยนะคะแคลนลอร์ด ก่อนอื่นก็พักเสีย…”
“ผู้เล่นจองฮายอน”
“ค…คะ?”
ผมพูดตัดบทจองฮายอนก่อนจะลุกขึ้น ผู้เล่นคนอื่นๆ เองก็ลุกตามผมทันที แต่เมื่อผมมองไปที่พวกเขา พวกเขาก็นั่งลงอีกครั้งหนึ่ง
ความเงียบยังคงอยู่ไปสักพักจนกระทั่งผมพูดขึ้นมา
“ตอนนี้ผู้เล่นชินซังยงอยู่ที่ไหนครับ”
ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้มีอะไรจะถามจริงจังหรอก ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงต่อสู้ เราจึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดไม่ให้ไปไหน ดังนั้นเขาจะต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในบริเวณค่ายที่ถูกสร้างอยู่รอบๆ บาร์บาร่าอย่างแน่นอน
สมาชิกทุกคนต่างมองผมด้วยใบหน้าอึดอัดใจ และเมื่อผมพยายามจะมองตาพวกเขาทีละคนๆ พวกเขาก็พากันหลบตากันเสียหมด ผมได้แต่ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเริ่มเดินออกไป
“ให้ทุกคนเห็นผมในสภาพแบบนี้ ในฐานะแคลนลอร์ดแล้วน่าอายจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น…ผมก็ขอขอบใจทุกคนจริงๆ ที่อุตส่าห์มารวมกันที่นี่ทั้งที่กำลังอยู่ในช่วงโกลาหลแบบนี้”
“ซู ซูฮยอน”
“ตอนนี้ร่างกายผมปกติดีแล้วครับ ไว้ผมจะไปหาพี่กับราชินีแห่งดาบเองทีหลัง ส่วนตอนนี้พวกคุณกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมของตัวเองกันจะดีกว่านะครับ”
“ถะ ถ้าอย่างนั้น ถ้าคุณจะไปก็ไปด้วย…”
จองฮายอนพยายามเรียกผมไว้ด้วยเสียงเล็กๆ ของหล่อน แต่ผมก็ส่ายหน้ากลับไปก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ทิ้งเหล่าสมาชิกที่ยังคงมีท่าทีลังเลเอาไว้เบื้องหลัง
ผมไม่มีความคิดจะโทษเหล่าสมาชิกหรอก ไม่สิ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เป็นความผิดของผมเองที่ตัดสินใจเปลี่ยนการคัดเลือกผู้เหมาะสมในตอนสุดท้าย เพราะถึงอย่างไรชินซังยงก็คือผู้เล่นในความดูแลของผมเอง ผมคิดว่าในท้ายที่สุดแล้วหากผมทำอะไรลงไประหว่างนั้น…ผมไม่แน่ใจว่ามันจะกลายเป็นการปล่อยปละละเลยให้เขาคิดว่าผมเชื่อหรือเปล่า
เอาเถอะ ก่อนอื่นผมไปหาเขาก่อนจะดีกว่า ไปเจอแล้วลองฟังเขาดูก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็รีบเดินไปยังที่ที่ทัพที่สามตั้งอยู่อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะพยายามหลบหน้าผมเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ในครั้งนี้ผมตั้งใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพบกับเขาให้ได้จึงรีบมุ่งหน้าไปยังเต็นท์ของเขาทันที
แม้จะมีเต็นท์มากกว่าสองพันสามร้อยหลังในทัพที่สาม แต่ผมก็หาเต็นท์ของชินซังยงเจอจนได้จากการถามเอากับเหล่าผู้เล่นที่อยู่โดยรอบ และเมื่อผมเข้าไปในเต็นท์ที่เหล่าผู้เล่นบอกไว้ ก็ได้เห็นเขานอนนิ่งเป็นศพอยู่ที่มุมนึ่ง นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่เขาอยู่ที่เต็นท์วันนี้
เมื่อรู้สึกว่ามีใครเข้ามา ชินซังยงที่นอนนิ่งไม่ไหวติงก็หันหน้ามาทางผมอย่างยากลำบาก
“คุณชินซังยง”
“หือ…?”
ทันทีที่ผมเรียกชื่อเขาออกไปเพราะคิดว่าเขายังตื่นอยู่ ตาของชินซังยงก็ลืมขึ้นมาด้วยความตกใจ
“…คะ แคลนลอร์ด?”
“ไม่ต้องลุกก็ได้ครับ ไม่เป็นไร”
หลังจากที่รู้ว่าผมเข้ามาชินซังยงก็รีบร้อนลุกขึ้นมา แต่เมื่อดูจากแขนที่ลื่นไถลของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไร
ผมรีบเข้าไปประคองเขาเอาไว้ เมื่อเข้าไปใกล้เขาจู่ๆ ผมก็กลับได้กลิ่นเปรี้ยวๆ ตีขึ้นจมูกเลยพอจะเดาได้ว่าเขาน่าจะอาเจียนออกมาเมื่อไม่นานมานี้
คงลำบากแย่เลยสินะ
ใบหน้าของชินซังยงดูแย่มากเมื่อมองจากระยะใกล้ ดวงตาที่เคยมีประกายซื่อใส ตอนนี้กลับมีสภาพเสื่อมโทรมจนกลายเป็นลึกโบ๋ ดวงตาที่เคยมีความนุ่มนวลและอบอุ่นอยู่ ในตอนนี้ความมีชีวิตชีวาเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงใบหน้าซูบซีดและดวงตาว่างเปล่าหมดอาลัยตายอยากเท่านั้นที่กำลังจ้องมองผมอยู่
ผมกับชินซังยงมองหน้ากันเช่นนั้นอยู่พักใหญ่
“ผู้เล่นชินซังยง ตอนนี้ไหวไหมครับ”
“…”
“ผมได้ยินมาว่าคุณลำบากมากน่ะครับ”
“…อึก”