Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 13
อาจเป็นเพราะความตึงเครียดถูกทำให้คลายลงในรวดเดียว ผมจึงปล่อยลมหายใจออกมาผ่านทางริมฝีปากอย่างอ่อนเพลีย ผมจ้องมองซอนยูลอย่างพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้นะว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหล่อน
“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ตอนนี้ไปฉันจะอธิบายวิธีการให้คุณฟังนะคะ มันง่ายมากเลยล่ะค่ะ”
“ครับๆ ตามที่คุณต้องการเลย”
จู่ๆ ไม่รู้ทำไมผมกลับคิดว่าซอนยูลที่กำลังพูดอย่างสบาย ๆ น่ารำคาญขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะแบบนั้นเสียงที่ผมตอบกลับไปจึงมีความกระด้างอยู่เต็มเปี่ยมซึ่งแม้แต่ผมเองยังรู้สึกได้
“คิก คุณเห็นไพ่ที่วางแผ่อยู่ตรงนี้ใช่ไหมคะ ให้คุณเลือกมาเพียงใบเดียวจากในนี้ได้เลยนะคะ”
“…แค่นั้นเหรอครับ”
“ค่ะ ส่วนใหญ่แล้วจะจบกันที่สิบสองใบ แต่ก็มีบางที่ที่เป็นแบบอื่นด้วยเหมือนกันค่ะ แต่ขอเพียงให้คุณช่วยรักษาสามสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดตั้งแต่นี้ต่อไปด้วยนะคะ หยิบหนึ่งใบต่อหนึ่งครั้ง และเมื่อฉันบอกให้คุณหยุด คุณก็ต้องหยุดดึงไพ่ออกมาทันทีนะคะ ส่วนสุดท้าย คือให้คุณวางไพ่ที่เลือกมาจากทางซ้ายก่อนโดยเรียงลำดับตามที่เลือกค่ะ”
“อ่า ครับ”
หลังจากได้ยินที่หล่อนพูด ผมก็รู้สึกเหงื่อตกขึ้นมานิดหน่อย แน่นอนว่าในตอนแรกหล่อนบอกกับผมว่าเพื่อความสนุก และกับผมเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีความหมายอะไรกับตัวเองอยู่แล้วด้วย แต่ดูเหมือนผมกำลังคาดหวังกับเรื่องเดิมที่รู้อยู่แล้วอย่างไม่รู้ตัวเลย
ดังนั้นผมจึงพยายามทำใจให้สบาย แล้วเลื่อนมือไปยังไพ่ที่อยู่ในสายตา แต่เมื่อผมกำลังจะหยิบไพ่ใบหนึ่งขึ้นมานั้นเอง จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัว
“ว่าแต่อันนี้มันเป็นดวงเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรือครับ”
“ก็แค่ดูเป็นเรื่องกว้างๆ ทั่วๆ ไปก็ได้ค่ะ”
ซอนยูลตอบกลับมาอย่างชัดเจน
ผมสงสัยอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเลือกมาหนึ่งใบอย่างแผ่วเบาขณะที่เฝ้าสะกดจิตตัวเองด้วยคำว่า ‘สนุก’ อยู่ไม่หยุดไม่หย่อน
จากนั้นซอนยูลก็พยักหน้าขึ้นลง
“ฉันจะดูไพ่ทีเดียวหลังจากที่คุณเลือกหมดแล้วค่ะ หมุนไพ่กลับหัวแล้วเริ่มวางจากทางซ้ายก่อน เชิญเลือกต่อไปได้เลยค่ะ”
ผมพยักหน้าหลังจากได้ฟังคำยืนยันจากซอนยูล และเริ่มเลือกไพ่ออกมาทีละใบ
หนึ่งใบ, สองใบ, สามใบ, สี่ใบ, ห้าใบ, หกใบ
ผมดึงไพ่ออกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมกำลังจะเลือกไพ่ใบที่สิบสามออกมาหลังจากใบที่สิบสองนั้นเอง ผมก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ มองมาจากข้างหน้าผม ผมจึงหยุดเลือกแล้วเงยหน้าขึ้นมองและผมก็ได้เห็นซอนยูลที่เอาแต่มองไพ่สลับกับนาฬิกาทรายมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
ถ้าหากมีจุดหนึ่งที่ต่างจากเมื่อครู่นี้ก็คงเป็นสายตาของซอนยูลที่กำลังฉายแววตระหนกแปลกๆ
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกและพอหันไปมอง ผมก็เห็นนาฬิกาทรายที่มีทรายลดลงลงกว่าเมื่อสักครู่มากทีเดียว หากเทียบกับในตอนแรกน่าจะลดลงประมาณสี่ในห้าได้หรือเปล่านะ
ผมเริ่มขยับมืออีกครั้ง และเมื่อไพ่ที่ถูกวางอย่างเป็นระเบียบมาถึงประมาณใบที่สิบห้าได้ ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงห้ามจากซอนยูลดังขึ้นมา
“พะ พะ พอได้แล้วค่ะ!”
เสียงของซอนยูลสั่นอย่างเห็นได้ชัดขนาดที่ฟังแวบแรกก็รู้สึกได้ ผงแป้งที่เคยอยู่ในนาฬิกาทรายจนเต็ม ตอนนี้ลงมาอยู่ตรงส่วนล่างของนาฬิกาทั้งหมดแล้ว
ซอนยูลหายใจเข้าออกเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่หล่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยกว่าเมื่อครู่มาก
“สะ สิบห้าใบเลยนะคะเนี่ย ฉันก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ดึงไพ่ออกมาได้เยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ถึงอย่างนั้น…ฉันก็สงสัยจริงๆ ค่ะ งั้นเริ่มเปิดสี่ใบแรกจากทางซ้ายก่อนเลยได้ไหมคะ”
หล่อนเคยพูดไว้ตั้งแต่ทีแรกว่าคนส่วนใหญ่เขาจบกันที่สิบสองใบหรือเปล่านะ? แต่เอาเถอะ ในเมื่อหล่อนก็พูดว่ามีบางทีที่ไม่เป็นอย่างนั้นนี่นา ผมจึงเปิดไพ่สี่ใบจากทางซ้ายขึ้นมา
จากนั้นบนโต๊ะก็มีไพ่ที่วาดเป็นรูปแอ่งเลือดขนาดใหญ่และข้างในนั้นก็มีผู้ชายที่กำลังคร่ำครวญหวนไห้อยู่, นาฬิกาที่หมุนกลับหัวกลับหาง, เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้สิ่งของสีดำ, และชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพังในภาพทิวทัศน์โดยมีดาบเสียบอยู่ที่หน้าอก วางเรียงอยู่ตามลำดับ
สิ่งหนึ่งที่พิเศษออกมาก็คือที่ด้านล่างของไพ่ทั้งสี่ใบนั้น มีตัวหนังสือตัวเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวถูกเขียนเอาไว้ด้วย
ซอนยูลมองพิจารณาไพ่ทีละใบๆ ด้วยความตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา
“อะ อืม ยากจังเลยค่ะ แต่ฉันจะพยายามตีความให้คุณฟังทีละใบช้าๆ นะคะ แอ่งเลือด หมายถึง คุณเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่ยากลำบาก นาฬิกาที่หมุนกลับหัว หมายถึง แต่ในดวงชะตานั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้แทรกซึมอยู่ภายใน เปลวเพลิงลุกไหม้สว่างไสว ผลโดยรวมของไพ่ที่แล้วๆ มาจะต้องอยู่ที่ไพ่นี้นะคะแต่ว่า…ยุคโบราณ, โลก? ฉันไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่น่ะค่ะ และใบสุดท้ายชายคนสุดท้ายในโลกผู้ถูกดาบแทงที่อก ไพ่ใบแรกจะผ่านใบที่สองและสาม แล้วจึงจะเปลี่ยนเป็นใบที่สี่นะคะ”
“ไพ่ใบสุดท้ายหมายความว่าอย่างไรหรือครับ”
เพราะคำถามของผม ซอนยูลถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“หากตีความให้สอดคล้องกับไพ่สามใบก่อนหน้า…สองปัจจัยหลักของคุณจะถูกรบกวนและผลของมันก็คือ ดวงชะตาของคุณจะพลิกผันกลับไปในทางตรงกันข้ามค่ะ ไพ่เปลวเพลิงลุกไหม้นี้หมายถึงยุคโบราณและโลก ซึ่งคุณกำลังได้รับความโปรดปรานจากโลกเป็นพิเศษค่ะ”
“ความโปรดปรานหรือครับ”
“ค่ะ แต่ก็ต้องระวังเอาไว้ด้วยนะคะ เพราะมันไม่ใช่ความรักความโปรดปรานแบบไม่มีเงื่อนไข คุณเห็นไพ่ชายหนุ่มที่ถูกดาบปักอกนี่ใช่ไหมคะ นี่มีความหมายว่าดาบสองคมอย่างไรล่ะคะ ดังนั้นหากคุณทำผิดพลาดล่ะก็…”
พอซอนยูลละคำพูดสุดท้ายเอาไว้ ผมก็รู้สึกหวิวๆ ในใจขึ้นมา ผมกะพริบตาปริบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วจึงกระแอมในคอครั้งสองครั้ง
“อะแฮ่ม สนุกดีนะครับ ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็เปิดอีกสี่ใบใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
ผมพลิกไพ่อีกสี่ใบถัดมาอย่างรวดเร็วเพราะอยากจะผ่านสี่ใบก่อนหน้าไปให้เร็วที่สุด และในครั้งนี้ไพ่ดูจะซับซ้อนมากทีเดียว เพราะในไพ่แต่ละใบต่างก็มีรูปที่ดูซับซ้อนอยู่ใบละหลายรูป
ผมเลื่อนสายตาไปยังไพ่ใบแรก
ไพ่ใบแรกถูกแบ่งออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมสี่ส่วนเท่าๆ กัน มีหญิงสาวสวยถูกวาดเอาไว้ช่องละหนึ่งคน และมีรูปพื้นหลังที่แสดงบรรยากาศวาดไว้อยู่รอบๆ ตัวของหญิงสาว
เลือดและเหล็กกล้า ดาบที่ดูงดงามแต่เต็มไปด้วยบาดแผล และสุดท้าย…คืออะไรน่ะ? แสงสว่างหรือเปล่า?
ในบรรดานั้น หญิงสาวที่อยู่ตรงมุมขวาล่างดูโดดเด่นออกมามากที่สุด พื้นหลังแสดงบรรยากาศที่ดูขลังและน้ำตาเลือดที่กำลังไหลออกจากดวงตาของหล่อน ซึ่งแตกต่างไปจากหญิงสาวคนอื่นๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความรู้สึกที่สดใสแน่ ถึงแม้จะมีแสงสว่างอยู่ที่พื้นหลังก็ตาม แต่กลับเป็นรูปที่ให้ความรู้สึกเศร้าสลดต่างหาก
ส่วนไพ่ใบที่สองถัดมานั้นผมไม่สามารถอ่านมันได้เลย เพราะตัวรูปวาดเองก็เล็กมากจนยากที่ผมจะเข้าใจได้ และยังมีรูปวาดอีกมากมายนับไม่ถ้วนทั้งมนุษย์, สัตว์, ดาบและมังกรบิน เป็นต้น
ไพ่ใบที่สาม ถึงแม้จะมีรูปวาดน้อยกว่าแต่กลับดูซับซ้อนมากกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เด็กทารกคนหนึ่งถูกวาดเอาไว้ตรงกลางไพ่ รอบตัวของหนูน้อยมีเปลวเพลิงที่มีประกายไฟแดงแจ๋พันหุ้มรอบหนูน้อยอยู่อย่างน่าหวาดเสียว ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเปลวเพลิงทั้งสองอย่างไรก็ไม่รู้สิ แต่พอมองไปที่ประกายไฟสีแดงนั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกแย่ลงอย่างไรชอบกล
แต่ก็ยังถือว่าโชคดี(?) ล่ะนะ ที่ไพ่ใบที่สี่นี้ถ้าเทียบกับสามใบแรกดูจะง่ายกว่าพอสมควรเลยทีเดียว เพราะมันมีเพียงแค่ชายสวมมงกุฎเพียงคนเดียวเท่านั้นตรงข้ามกับไพ่ใบอื่นที่ซับซ้อนกว่านี้
ผมมองไปยังซอนยูลโดยอัตโนมัติเพราะเริ่มอยากรู้ความหมายของมันแล้ว
แต่พอเห็นหน้าซอนยูลแล้วผมก็ปิดปากที่กำลังจะเอ่ยถามความหมายลงทันที เพราะสีหน้าของหล่อนที่กำลังมองดูไพ่เหล่านี้ดูสุดยอดมากๆ เลย
ไม่เหมือนกับท่าทีสุขุมและสบายๆ ในเวลาปกติ ตอนนี้หล่อนอ้างปากค้างทั้งๆ ที่ตาก็เบิกโตจนจะเท่าไข่ห่านอยู่แล้ว มีความรู้สึกมากมายหลั่งไหลออกมาจากปากที่อ้ากว้างของหล่อนอย่างกับน้ำหลากทั้งตระหนก, เหลือเชื่อ, สบสน ไม่สิ ผมรู้สึกเหมือนแบบนั้นเองต่างหากล่ะ
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ซอนยูลถึงจะเริ่มพูดอึกๆ อักๆ ออกมา
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ”
“ครับ”
“ทะ ทำไม ความสัมพันธ์กับสาวๆ มันถึงได้ซับซ้อนอย่างนี้ล่ะคะเนี่ย ทะ ทะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อันนี้คืออะไรเนี่ย”
“ครับ?”
ในตอนนั้นผมอยากจะถามหล่อนกลับไปว่า ‘ทำไมถามผมอย่างนั้นล่ะครับ’ แต่สุดท้ายผมก็กลืนมันลงไป เพราะซอนยูลยังคงพูดพึมพำพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองด้วยใบหน้าสับสนงงงวย
“ไม่สิ ก็คุณเป็นราชาก็เลยมีตั้งสี่ราชินี…โอ๊ะ หรือสามคนนะ? มีอยู่คนหนึ่งที่เอาตัวเองออกไป แหม ช่างน่าสงสารจริงๆ”
“……”
“นักเวท, นักธนู, นักบวช, แม่มดและอีกเยอะแยะ ใช่ คุณเป็นคนเอื้อเฟื้อ ฉันก็พอจะเข้าใจได้ในจุดนี้ ก็เป็นมนุษย์นี่นะ แต่…ดาบ? แมว? แมงมุม? มังกร? ไม่สิ โชคหรือเปล่า? เฮ้อ…ไม่รู้แล้ว ไม่นะ แล้วดาบมันจะมารักมนุษย์ได้อย่างไรกันล่ะเนี่ย”
“…”
“ไพ่ใบที่สามหมายถึง…อันแรกคือเปลวเพลิงแห่งความบริสุทธิ์ อีกอันคือเปลวเพลิงแห่งการทำลาย ก็สมเหตุสมผลอยู่ที่ความบริสุทธิ์กับการทำลายจะเป็นสิ่งตรงข้ามกัน แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แสดงให้เห็นการเกิดใหม่ของอีกชีวิตหนึ่งด้วยล่ะ…”
ผมที่ฟังอยู่นั้นรู้สึกได้เลยว่าสติของซอนยูลค่อยๆ พังลงช้าๆ อย่างน่าเจ็บปวด
จู่ๆ ผมก็เกิดสลดใจขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นโบกไปมา
“แคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์ พอเถอะครับ”
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“ถ้ามันยากก็พอก็ได้นะครับ ในเมื่อมันขึ้นอยู่กับการตีความอยู่แล้วนี่ครับ แล้วมันก็สนุกดีนะครับ”
“…”