Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 9
จองฮายอนสะดุดไปสักพักกับการพูดจาตรงไปตรงมาของผม แล้วจึงพูดต่อในขณะที่ประคองถ้วยชาเอาไว้ในมือ
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ คุณไม่ค่อยพูดอะไรเลยในการประชุมเมื่อวานนี้ ทุกคนสงสัยเรื่องผลจากการเรียกรวมพลน่ะค่ะ แต่คุณกลับไม่พูดอะไรถึงมันเลย หรือว่าเป็นความลับอะไรหรือเปล่าคะ”
“ครับ มันจะมากเกินไปสักนิดหากข้าพูดลงลึกถึงรายละเอียด เพราะนั่นเป็นเรื่องภายในน่ะครับ”
“อย่างนั้นนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็คงช่วยไม่ได้สินะคะ”
“ยังไงคงต้องรอต่อไปอีกสักระยะครับ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะได้รู้เอง”
บางทีตอนนี้การรุกรานฮาโลอาจเริ่มขึ้นแล้ว ผมขาดการติดต่อไปตั้งแต่เมื่อตอนสาย เช่นเดียวกันกับมิวล์ เบธและโดโรธี แม้ผมจะเคยคิดว่ามันเป็นการควบคุมแผนการใหญ่เพื่อขัดขวางคลื่นพลังเวท แต่กลับไม่มีสัญญาณอะไรเกี่ยวกับมันเลย ผู้เล่นคนอื่นๆ ยังไม่มีใครรู้ก็จริง แต่มันก็ดูแปลกที่ผมรู้อยู่เพียงคนเดียว
บางทีอาจจะถูกยึดแล้วก็ได้
“ข้างนอกนี่เสียงดังหนวกหูจังนะคะ ฉันได้ยินมาว่า เมื่อตอนที่ส่งกองทหารอาสาออกจากเผ่าสิงโตทอง วาร์ปเกตถูกตัดขาดราวกับโกหก ป่านนี้ฮาโลจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจทราบได้นะคะ”
“ไม่ใช่ราวกับ แต่เป็นคำโกหกจริงๆ ต่างหากละครับ ผมคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะจบลงด้วยความบังเอิญ”
เป็นทางเลือกที่ดีที่จะทิ้งฮาโลแล้วไปรวมตัวกันสร้างเมืองขึ้นใหม่ในอีกที่หนึ่ง แต่อันดับแรกนั้น โดยองรกดูจะไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถมากพอที่จะนำพาเผ่าสิงโตทองได้ เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะนำความคิดของเขามาใช้จริงได้
ในจุดนี้ เขาได้ส่งคำร้องขอกำลังเสริมไปยังภาคตะวันออกเฉียงใต้ แต่ผมได้ยินว่าคำขอนั้นกลับเงียบหายจนถึงเมื่อวันเรียกรวมพล อย่างที่คิด การได้คอยมองว่าเผ่าสิงโตทองจะรักษาศักดิ์ศรีของตนไปถึงเมื่อใดนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนุกอย่างยิ่ง บางทีพวกนั้นอาจจะส่งกองกำลังมาหลังจากที่เรื่องจบไปแล้วก็ได้
เมื่อยามที่ฮาโลพ่ายแพ้ หรือเมื่อบาบาร่าถถูกยึดครอง ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้คงจะเริ่มดำเนินการทันที
หน้าที่ของผมจบลงด้วยการให้กุญแจกับทุกๆ กรณีที่เกิดขึ้น ส่วนการจะใช้กุญแจนั้นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับมือของพวกเขาแล้ว ผมคิดว่าบางทีแทนที่จะก้าวออกมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงข้างหน้า การถอยหลังออกมาเฝ้าดูอย่างเงียบๆ นั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว มันไม่ใช่นิสัยของผมที่จะเข้าไปแทรกแซงความคิดเห็นของใคร แต่ผมชอบหาจังหวะดีๆ มากกว่า
จองฮายอนอ้าปากพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อหล่อนตระหนักได้ว่าผมมาไกลเพียงใดกับการที่จะค้นหาคำตอบให้กับตนเอง
“เฮ้อ ฉันมาหาคุณเพราะคิดว่าน่าจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกนิด… แต่ยังไงก็เถอะตอนนี้ก็คงเป็นบรรยากาศที่ไม่รู้ว่าบทสุดท้ายจะจบลงเมื่อใดสินะคะ”
“ผมเองก็คันปากเหมือนกันครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
“โฮะๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อ้า ซูฮยอนคะ งานยุ่งๆ ส่วนใหญ่ของคุณ เสร็จเกือบหมดแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ? ใช่ครับ อ้า คงงั้นครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ถึงจะเป็นคำขอร้องที่กะทันหันไปสักหน่อย แต่ว่าถ้าเราจัดปาร์ตี้กันเร็วๆ นี้ คุณจะว่ายังไงบ้างคะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นกับคำชวนจัดปาร์ตี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของหล่อน จองฮายอนรีบพูดต่อทันทีเมื่อเห็นหน้าผม
“เพราะฉันคิดว่าช่วงนี้พวกเราทุกคนแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยน่ะสิคะ แถมยังมีสมาชิกเผ่าที่เข้ามาใหม่อีกไม่ใช่เหรอคะ เราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้วด้วย เป็นงานเลี้ยงต้อนรับด้วย เป็นอย่างไรคะ มันมากเกินไปหรือเปล่าคะ”
“อืม…”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การมีปาร์ตี้ในสถานการณ์แบบนี้มันก็…
ผมเอียงศีรษะเพราะคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมตั้งใจจะขอเลื่อนมันออกไปก่อน ด้วยการบอกว่าผมจะคิดดูอีกที
แต่ในตอนนั้นเอง ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว
“ก็ดีนะครับ จัดปาร์ตี้กันครับ”
“อุ๊ยตาย พูดจริงเหรอครับ”
“ครับ ความจริง ผมต้องปิดบัญชีเรื่องอุปกรณ์ของพวกเร่ร่อนที่ผมเพิ่งได้มาก่อนหน้านี้ แต่ก็ดีครับ ช่วยบอกกับเหล่าสมาชิกเผ่าว่าเป็นการรวมตัวเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวดีกว่าเรียกว่าปาร์ตี้นะครับ”
จองฮายอนเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา หล่อนดูยินดีมากกว่าปกติ อารมณ์ดีมากจนผมยอมด้วยความยินดี
“ว้าว สุดยอดไปเลยค่ะ ที่ฉันให้ความสนใจขนาดนี้ก็เพราะช่วงนี้ซลดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงอย่างไรก็ไม่รู้น่ะค่ะ ถ้าเธอได้รู้เรื่องนี้คงจะดีใจนะคะ”
“อันซลเหรอครับ”
“ค่ะ แม้ว่าฉันจะถามว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น เธอก็เอาแต่ส่ายหัวลูกเดียวเลยค่ะ วันนี้ฉันต้องบอกเรื่องนี้กับเธอให้ได้เลยค่ะ”
“อย่างนั้นสินะครับ”
ผมได้แต่ขำอยู่ในใจ หลังจากคืนถ้วยชาที่ดื่มจนหมดไปให้จองฮายอนแล้ว ผมก็พูดขึ้นในขณะที่เดินไปที่ประตูดาดฟ้า
“รายละเอียดปลีกย่อย รบกวนคุยกับโกยอนจูนะครับ พอดีผมมีที่ที่ต้องไป”
“ค่ะ ฉันจะไปคุยกับเธอเองค่ะ ว่าแต่จะไปไหนเหรอคะ”
จองฮายอนถามขณะที่ซ้อนถ้วยชาของหล่อนกับแก้วของผม ผมตอบพร้อมกับบิดขี้เกียจสุดตัวไปด้วย
“ว่าจะไปที่แท่นบูชาน่ะครับ”
“อ้า…”
หืม? ทำไมมีปฏิกิริยาแบบนั้น
ผมแค่บอกว่าจะไปแท่นบูชา ง่ายๆ แค่นั้น จองฮายอนขยับนิ้วมือไปมา ขณะที่หน้าหล่อนเริ่มเป็นสีแดง ผมยักไหล่เพราะไม่รู้สาเหตุ ตั้งใจจะออกจากประตูไปทั้งแบบนั้น
“เดี๋ยวก่อน ซูฮยอน!”
“…?”
“คือ…หากคุณทำธุระทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว…”
ทันทีที่ผมหันกลับมาเพราะเสียงตะโกนเรียกของหล่อน ผมก็เห็นจองฮายอนกลืนน้ำลายหนึ่งเอื๊อก หล่อนมองผมด้วยใบหน้าแดงเรื่อ แล้วพูดพึมพำด้วยเสียงเบา
“คือว่า…ฉันไปหาคุณตอนกลางคืนจะได้ไหมคะ”
ที่แท่นบูชายังมีคนอยู่มากมาย ต่างคนต่างมาเพื่อธุระของตน อย่างเช่น รายงาน, สำรวจ หรือถูกเรียก เป็นต้น แต่ผมคิดว่าการต่อแถวไปจนถึงทางเข้านั้นมันดูจะมากไปสักหน่อย
โมนิก้ากำลังต้องรับผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมหาศาลจากการเข้ารุกรานในครั้งนี้ เนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก การมารวมตัวกันที่แท่นบูชาที่มีเพียงแห่งเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ได้ยินข่าวเมื่อเช้าไหม ว่ากันว่าเราขาดการติดต่อกับฮาโลอย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่เมื่อเช้ามืดแล้ว”
“ได้ยินสิ จะบ้าตายเลยจริงๆ ไม่สิ แต่เป็นเพราะฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของฮาโลเลยน่ะสิ…”
“นายมีเพื่อนสนิทอยู่ที่ฮาโลนี่ ลองติดต่อดูหรือยังล่ะ”
“อืม ทันทีที่ได้ยินข่าวก็รีบติดต่อไปทันที แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลยนี่สิ มีแต่เสียงอะไรออกมาก็ไม่รู้ เฮ้อ…”
ข่าวร้อนของวันนี้ก็แน่นอน ฮาโลนั่นเอง ความจริงที่ว่าเราขาดการติดต่อกับวาร์ปเกตนั้นบอกอะไรได้มากมาย มันสามารถเกิดเป็นผลกระทบขนาดใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการติดต่อสื่อสาร หรืออาจจะเป็นเพราะทุกคนตายกันหมดไม่เหลือเลยก็เป็นไปได้ เราต้องคิดถึงกรณีที่แย่ที่สุดหากว่าแม้แต่วาร์ปเกตก็อาจจะถูกยึดครองแล้วด้วย
แน่นอนว่าผมรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เท่านั้น ผมถือเอาเสียงคุยจอแจขอเหล่าผู้เล่นเป็นเพลงประกอบ แล้วรอให้ถึงทีตัวเองเงียบๆ
ผ่านไปสักชั่วโมงหนึ่งคงจะได้ แถวที่ผมกำลังต่ออยู่ก็เริ่มสั้นลง แล้วก็มาถึงคิวของผมที่จะได้เข้าไปเสียที
ผมบอกชื่อและจุดประสงค์ที่มาที่นี่ที่หน้าประตูใหญ่ ผมฝ่าเหล่านักบวชที่วิ่งไปมาวุ่นวายเข้ามา แม้จะไม่มีผู้นำทางเพราะทุกคนต่างกำลังยุ่ง แต่ผมก็เคยมาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้ว หลังจากที่หาห้องเจอ ผมก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปด้านในทันที และฝังตัวลงไปในพอร์ทัลสีฟ้าคราม
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
ทันทีที่เข้ามาในห้องอัญเชิญ ผมก็ได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นมา เมื่อผมเงยหน้าก็พบกับเซราฟกับปีกสีขาวนั่งอยู่บนแท่นบูชาดังเช่นทุกครั้ง หลังจากที่สบสายตานิ่งเฉยของหล่อนมาสักพัก ผมก็เว้นระยะห่างออกมาแล้วนั่งลงตรงหน้าเซราฟ
“ข้าไม่ได้เรียกท่านมาด้วยซ้ำนี่ เช่นนั้นท่านมาด้วยเรื่องอะไรหรือคะ”
“ลองทายมาสิ”
“คะ?”
“เธอเก่งเรื่องนั้นอยู่แล้วนี่ เห็นทายถูกทุกครั้งว่าฉันมาด้วยเรื่องอะไร”
เซราฟเอียงศีรษะเล็กน้อย แต่หล่อนกลับทำสีหน้าครุ่นคิดกลับมา กะพริบตาสองครั้ง แล้วจึงตอบกลับ
“หรือว่าเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือกันคะ”
เซราฟรู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วยสินะ ผมพยักหน้าเพราะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ถ้าหล่อนจะพูดถึงทวีปทางตะวันตกล่ะก็ ผมเคยพยายามอธิบายหล่อนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถ้าหล่อนรู้อยู่แล้วแล้ว ตอนนี้เรื่องก็กำลังง่ายขึ้นแล้วล่ะ ผมตัดสินใจเข้าเรื่องทันที เพราะเซราฟจะได้สบายใจเรื่องนั้นด้วย
“เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องไม่น่าขำอย่างยิ่งเกิดขึ้นมาน่ะสิ เซราฟรู้จักอีฮโยอึลใช่ไหม”
“ค่ะ ข้ารู้”
“อีฮโยอึลเข้าหาอันซลโดยใช้ตำแหน่งผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือเป็นเหยื่อล่อ”
“…”
เซราฟไม่ได้พูดอะไรออกมา และผมเองก็ไม่ได้พูดต่อเช่นกัน เพราะถ้าเกิดเหล่าทูตสวรรค์คิดว่าอันซลคือผู้สืบทอดของทวีปทางเหนือ พวกเขาจะปกป้องหล่อนแม้ว่าจะเตรียมตีตัวออกห่างก็ตาม
มันมีเหตุผลที่ทำให้ผมมีความคิดสุดโต่งเช่นนี้ แม้ตอนนี้อันซลจะมีข้อมูลของผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีคลาสลับของว่าที่นักบวชที่เรียกว่าผู้นำคนสุดท้าย และเป็นผู้เล่นที่สามารถกลายเป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ได้
ผมเคยคิดว่านักบวชแห่งความรุ่งโรจน์และผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือมีความสัมพันธ์กัน แต่ตอนนี้ผมได้เปลี่ยนความคิดไปอย่างสมบูรณ์ จากความทรงจำแรกของผม อันซลจะเข้าเป็นสมาชิกของเผ่าโอดินซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้น ณ ทวีปทางตะวันตกเมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว
ถึงแม้จะเรียกโอดินว่าเป็นเผ่าที่ผู้เล่นทั้งสี่ทวีปมารวมตัวกัน แต่ความจริงเป็นเผ่าที่มีสำนักงานกลางอยู่ที่ทวีปทางใต้ต่างหาก แน่นอนว่ามันอาจจะมีกรณีที่หล่อนล้มเลิกระหว่างทาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นไปได้น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถสูญเสียเด็กที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นใหญ่ในอนาคตไป แน่นอน มันไม่ใช่แค่ความเป็นไปได้เท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่าไม่สามารถเป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ได้ก็ยังถือว่าดีอยู่ดี เพราะถึงอันซลเรียกตัวเองว่าตัวภาระ แต่หล่อนก็ให้ความช่วยเหลือในแบบของหล่อน
ผมจึงพูดขึ้นอย่างเด็ดขาดเพื่อบอกสิ่งที่ผมตั้งใจคิดมาออกไป
“ฉันขอบอกเธอเอาไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน ว่าฉันไม่มีความคิดที่จะทำให้อันซลเป็นผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือ”
“ค…คะ?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเธอและอีฮโยอึลไปคุยกันอีท่าไหน แต่ในฐานะที่ฉันคือผู้เล่นที่รับเลี้ยงอันซลมา ฉันไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนเธอ เพราะฉะนั้นจงไปบอกเหล่าทูตสวรรค์ด้วยว่ายอมแพ้ซะ”
เซราฟยิ่งเอียงศีรษะของหล่อนมากขึ้นด้วยสีหน้าน่าสงสัยหลังจากฟังที่ผมพูด หล่อนหลับตาลงราวกับกำลังพยายามจัดการกับความคิดในหัวและลืมตาขึ้นอีกครั้ง หล่อนพูดขึ้นหลังจากนั้น
“เข้าใจแล้วค่ะ”