Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 3
แม้สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่จะมีกันแค่สิบกว่าคน และห้องประชุมก็กว้างขวาง ขนาดที่ว่าใช้ห้องประชุมเล็กของชั้นสามแล้วยังมีที่เหลือ แล้วเมื่อไหร่กันที่เราจะใช้ห้องประชุมใหญ่ที่ชั้นสี่ได้สักที
ขณะที่ผมตกอยู่ในห้วงความผิดหวังที่โผล่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมก็ได้วางบันทึกที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ และรู้สึกได้ถึงสายตาของเหล่าสมาชิกเผ่าที่มุ่งความสนใจมายังผม
“แคลนลอร์ด นี่เป็นคำสั่งจากที่ไหนเหรอคะ”
“…บัตรเชิญเรียกรวมพลครับ เป็นการเรียกรวมพลภาคตะวันออกและภาคใต้เข้าด้วยกัน และในครั้งนี้ก็ได้ขอให้เมอร์เซนต์นารี่เข้าร่วมด้วย”
“ตายจริง ถ้าอย่างนั้นเผ่าตัวแทนเองก็สามารถเข้าร่วมด้วยสินะคะ หมายความว่าเมอร์เซนต์นารี่ก็ถูกรวมเอาไว้ที่นั่นด้วยเหรอคะ”
“ไม่ใช่รวม แต่เป็นการเชื้อเชิญต่างหากครับ”
ผมตอบคำถามของจองฮายอนไปเพียงแค่ความจริงที่ได้เปิดเผยสู่ภายนอกแล้วเท่านั้น แม้กรณีของโกยอนจูจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่เพราะเหล่าทูตสวรรค์ขอให้ผมช่วยรักษาความลับ ผมจึงคิดจะรักษาคำพูด หากว่าทุกอย่างราบรื่น
“ค่ะ แต่ว่าเพราะเรายังควบคุมพวกเร่ร่อนอยู่ การเข้าร่วมก็ดูจะเป็นการดีในหลายทางนะคะ แล้วสถานที่เรียกรวมตัวคือที่ไหนคะ”
“เผ่าตัวแทนของพรินซิก้า เมืองทั่วไปทางตะวันออก แคลนเฮาส์ของโครยอน่ะครับ”
“อย่างนั้นเองสินะคะ แต่ถ้าถึงขั้นที่รวมฝั่งเหนือและใต้เข้าด้วยกันก็ทำให้อดคิดไม่ได้นะคะว่าเป็นการเรียกรวมตัวขนาดใหญ่เลย…ในที่สุดก็พยายามหารือหาทางออกที่เหมาะสมกันได้เสียทีนะคะ”
“ไม่รู้สิครับ ถ้าได้ลองไปก็คงจะรู้มั้งครับ”
ขนาดใหญ่สิ จริงๆ น่าจะเป็นขนาดเล็กหรือเปล่า
ภายนอก แม้จะบอกว่าเป็นของเผ่าโครยอก็ตาม แต่ความจริงแล้วเจ้าภาพคืออีฮโยอึลต่างหาก อย่างไรก็ดี แม้หล่อนจะรู้เบื้องหลังที่จบลงไปแล้วอย่างคร่าวๆ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกความจริงกับหล่อนได้อยู่ดี ได้มีการพูดคุยกันในแต่ละเมืองแล้วและได้เข้าสู่การปฏิบัติจริงเรียบร้อย หรือก็คือว่า มาตรการแก้ปัญหาได้ออกมาแล้ว การเรียกรวมพลครั้งนี้เน้นไปยังพวกเร่ร่อนที่ผมพามาด้วยนั่นเอง
“พี่ ต้องมีผู้ติดตามไหม”
ในตอนนั้นอียูจองก็ถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ดูรู้สึกทะนงตนกับความจริงที่ว่าทุกคนต่างเชิญเมอร์เซนต์นารี่ไปร่วมด้วย
“อืม มีสิ แต่ถึงจะมีก็เถอะ…”
ผมหยิบบันทึกขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง ในบัตรเชิญได้ระบุผู้เข้าร่วมไว้เหมือนเช่นคำเชิญเรียกรวมพลที่พวกสิงโตทองเป็นเจ้าภาพเมื่อครั้งก่อน แต่ในครั้งนี้เพราะเป็นไปตามกฎระเบียบจึงแทบไม่มีคนไม่พอใจ
ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วยได้อย่างแน่นอน ก่อนอื่นโกยอนจูและแพคซอยอนถือเป็นบุคคลสำคัญของการเรียกรวมพลในครั้งนี้ เพราะแบบนั้นการร่วมเดินทางของทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็ได้ถูกเขียนไว้ที่ปัจฉิมลิขิตในบรรทัดด้านล่าง ข้อความนั้นมีใจความที่เขียนด้วยลายมือว่าต้องการให้อันซลร่วมเดินทางไปพร้อมกัน ผมคิดว่าอีฮโยอึลคงจะเป็นผู้เขียนมันด้วยตนเอง
ไม่ว่ายังไงก็คงจะมีความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนสินะ…
พอมาคิดถึงปฏิกิริยาของอีฮโยอึลที่เห็นอันซลเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เหมือนจะยังมีอะไรที่คาใจผมอยู่ ผมจัดการความคิดตัวเองอยู่สักพักแล้วจึงเบนสายตาไปหาหล่อนที่นั่งอยู่ที่แถวด้านซ้าย
อันซลทำเพียงยิ้มอ่อนๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว มองดูภาพที่ไร้ความกังวลนั้นแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาสองข้อ
อันซลได้เป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ในรอบแรกได้อย่างไร และทำไมถึงไม่ปล่อยทวีปทางเหนือไว้แล้วข้ามไปยังโอดินแทน
มีจุดที่น่าสงสัยมากมายให้จับพิรุธ แต่ผมจะหยุดความคิดไว้เพียงเท่านี้ก่อน มันไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะสามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ เพราะผมจะจัดการเองและต้องหาช่องทางในการโจมตีให้ได้
วันเรียกรวมพล
ผมมาเยือนพรินซิก้าเป็นครั้งที่สอง หลังจากรอบที่สองได้เริ่มต้นขึ้น หากครั้งก่อนเป็นการมาเพื่อพบกับพี่ ครั้งนี้ก็เป็นการมาเพื่อเข้าร่วมในคำเชิญเรียกรวมพล
ตอนนี้ถ้ามองข้ามต้นตอไป รอบที่หนึ่งกับรอบที่สองนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าในอดีตผมเป็นผู้เล่นที่เถลไถลเรื่อยเปื่อยไปตามที่ต่างๆ แต่ในวันนี้ผมเป็นแคลนลอร์ดที่เข้าร่วมในการประชุมของเหล่าผู้เล่นที่เป็นผู้นำทวีปทางเหนือ
เมื่อผมมุ่งหน้าไปยังแคลนเฮาส์ของโครยอ ผมรู้สึกแปลกมากกับความรู้สึกแตกต่างระหว่างครั้งแรกกับครั้งนี้
ตามที่ผมจำได้นั้น เราสามารถเดินช้าๆ จากวาร์ปเกตไปยังแคลนเฮาส์โดยใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาที แต่นี่พวกเราใช้เวลาไปตั้งเกือบสามสิบนาทีในการไปยังจุดหมาย นั่นเพราะแพคซอยอนไม่สามารถควบคุมสติได้จนเดินไม่ไหว หล่อนจึงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการเดินทาง
แม้ว่าจะช้าไปบ้าง แต่เราก็มาถึงแคลนเฮาส์ของโครยอกันได้เสียที ทันทีที่มาถึงประตูหน้า ผู้เล่นที่ประจำการอยู่ด้านหน้าก็เข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ที่หน้าอกของพวกเขามีตัวอักษรสีฟ้าเขียนว่า ‘โครยอ’ ส่องแสงอยู่
“กรุณาแจ้งสถานะด้วยครับ”
“คิมซูฮยอน แคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ครับ”
เมื่อผมบอกสถานะของตนไปก็ปรากฏสีขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาของเหล่าผู้เล่น พวกเขามองผมแล้วเลยไปยังคนอื่นๆ ที่มาด้วยกัน แล้วจึงก้มหัวให้อย่างนอบน้อม
“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญครับ เราจะนำทางพวกท่านเอง”
“ขอบคุณครับ นี่เรามาสายไปมากเลยหรือเปล่าครับ”
“ทุกท่านมาถึงกันหมดแล้ว แต่ยังมีบางท่านที่เพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่ด้วยครับ ทางที่ดีรีบเข้าไปจะดีกว่านะครับ ทางนี้เลยครับท่าน”
ผมจับอันซลที่อ้าปากค้างกับขนาดของที่นี่ซึ่งใหญ่โตกว่าแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่หลายเท่า แล้วลากหล่อนออกไป จากนั้นเริ่มเดินตามผู้นำทางที่เปิดประตูหน้าให้เรา
ตอนนี้ชัดเจนว่าคือช่วงของสงคราม แต่หากมองดูพรินซิก้าหรือโมนิก้า ไม่สิ ภายในเมอร์เซนต์นารี่ในตอนนี้ก็คงไม่มีใครคิดว่ากำลังอยู่ระหว่างสงครามเป็นแน่ ‘ทองไม่รู้ร้อน’ คำพูดนี้ดูจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วมั้ง
หลังคำสั่งเรียกรวมพลของแม่ทูนหัว ความขัดแย้งที่อัดแน่นระหว่างเผ่าต่างๆ ดูจะส่งผลกระทบกับเหล่าผู้เล่นที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วยเช่นกัน แม้เหล่าผู้เล่นที่ได้รับผลกระทบจะมีเพียงเล็กน้อย แต่ผมก็ยังสงสัยเหลือเกินว่า พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าพวกเขาได้รับรู้สภาพของเมืองต่างๆ ที่ถูกรุกราน
พวกเราเดินผ่านที่ดินผืนใหญ่และเดินเข้ามาในตึกสูงใหญ่ที่ดูแล้วราวกับเป็นอาคารสำนักงานกลาง เราไม่ได้เดินขึ้นบันได คนของโครยอพาเข้ามาที่ชั้นหนึ่ง แล้วพาเลี้ยวไปยังระเบียงทางเดินด้านขวา นำทางผมไปยังที่ที่มีประตูใหญ่ที่ดูจะสูงเกินสามเมตร ด้านบนสุดของประตูมีตัวหนังสือแกะสลักว่า ‘ห้องประชุม’ เปล่งแสงสวยงามอยู่
“หูยยย”
“…ผมจะเปิดประตูให้นะครับ”
ผู้เล่นกลั้นยิ้มให้กับภาพของอันซลที่พ่นลมหายใจออกมาเพราะความตื่นเต้น ราวกับรู้สึกว่านั่นเป็นภาพที่น่ารักเหลือคณาแล้วจึงพูดต่อ ผมตั้งใจกล่าวคำขอบคุณกับผู้เล่นที่นำทางเรามา เพราะรู้ดีว่าการตัดสินคนที่ภายนอกไม่ว่าจะเล็กน้อยนั้นสำคัญเพียงใด
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
“พูดอะไรเช่นนั้นครับ”
ผู้เล่นตอบกลับอย่างสุภาพแล้วจับที่ลูกบิดช้าๆ ช่องว่างของบานประตูค่อยๆ เผยออก บรรยากาศหนักอึ้งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของห้องประชุมแผ่ออกมาปกคลุมรอบตัวผม ผมค่อยๆ เดินเข้าไปภายในพร้อมหายใจเข้าเต็มปอด
ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามา ภาพของห้องประชุมที่กว้างใหญ่ก็เข้ามาสู่สายตา เผยโฉมโครงสร้างภายในที่คล้ายกับโรงละครกลางแจ้งจนทำให้คิดถึงมันขึ้นมาทีเดียว แม้จะมีบริเวณกว้างกว่าห้องประชุมชั้นสี่ของเมอร์เซนต์นารี่ แต่จำนวนคนที่นั่งอยู่กลับน้อยมาก มีแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ณ ที่นั่งสำหรับผู้ทรงเกียรติด้านหน้า มีคนนั่งอยู่สามคน สองคนในนั้นคืออีฮโยอึลและโจซองโฮ ทูตของโครยอ ผู้ซึ่งรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี อีกคนที่นั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่อีกข้างของหล่อนนั้น ผมจำไม่ค่อยได้ แต่สามารถคาดเดาได้ว่าคงเป็นแคลนลอร์ดแห่งโครยอ
ผมเดินไปตรงกลางห้อง ทันทีที่มองซ้ายขวาช้าๆ อย่างพิจารณา ผมก็ได้รู้ว่ามีเผ่าที่เข้าร่วมคำเรียกรวมพลนี้มากกว่าที่คิด
โครยอ เผ่าตัวแทนของพรินซิก้า เมืองทั่วไปทางตะวันออก, เผ่าเผ่าคืนเดือนหงายกับเผ่าฮัน เผ่าตัวแทนของดาน่ากับเอเดนซึ่งเป็นเมืองในสังกัด, เผ่าหมาป่าสีคราม เผ่าตัวแทนของคาน เมืองทั่วไปทางใต้, เผ่าซู ตัวแทนของโมนิก้าและโครันซึ่งเป็นเมืองในสังกัด และเผ่าอิสตันเทลลอว์
เผ่าตัวแทนไม่ได้มีเพียงแค่นี้ แต่เห็นว่ายังมีเผ่าที่มีชื่ออย่างแฮมิลหรือรีเวิร์สเข้าร่วมอีกด้วย อีฮโยอึลสามารถรู้สึกได้ถึงผลกระทบที่ส่งผลถึงตะวันออกและใต้ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมส่งสายตาทักทายให้กับผู้เล่นที่รู้จักกัน อย่างเช่น พี่และฮันโซยองในขณะที่ยังไม่หยุดเดิน
ทันทีที่ผมหยุดฝีเท้าที่ตรงกลาง อีฮโยอึลที่นั่งกอดอกอยู่ก็ส่งรอยยิ้มแปลกประหลาดมาให้พร้อมเอ่ยปากพูด
“ทุกคนฟังทางนี้ เนื่องจากแคลนลอร์ดของเมอร์เซนต์นารี่ ตัวเอกของการประชุมในวันนี้ได้มาถึงแล้ว ฉะนั้นฉันจะของเปิดการประชุมเลยแล้วกันนะ”
เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นกลางอากาศ ในห้องประชุมนี้ไม่มีที่ของผมหรอก ทั้งหมดมีเพียงเก้าอี้ที่ถูกวางเด่นไว้ตรงกลางเท่านั้น ผมได้พูดคุยเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรและได้ลากแพคซอยอนตรงไปที่เก้าอี้
หลังจากพยายามพาแพคซอยอนมานั่งที่เก้าอี้ ผมกลับต้องหยุดขยับตัวไปชั่วขณะ เพราะบนเก้าอี้มีบันทึกฉบับหนึ่งถูกวางเอาไว้ ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัย และมองเห็นอีฮโยอึลลุกขึ้นจากที่แล้วเดินมาทางผมทันทีหลังจากนั้น
“ฉันแค่จะจัดคำถามให้น่ะ เพราะราชินีแห่งเงามืดได้กำหนดผู้เล่นที่สามารถถามคำถามได้ไว้แล้ว ทำแบบนั้นสะดวกกว่าไหม”