Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 20
“เฮ้อ”
ผมวางบันทึกในมือลงแล้วทิ้งตัวลงฝังกับเก้าอี้พร้อมกับความคิดที่อัดแน่นอยู่ในหัว มันช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน ผมกำลังตรวจสอบบันทึกที่เหล่าสมาชิกเสนอให้มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่เพราะผลจากบทสนทนาที่ได้คุยกับพี่ไป ทำให้สิ่งที่อ่านไม่ได้เข้าสู่สมองเลยสักนิด
ทุกอย่างก็ดูเป็นไปตามที่ฉันต้องการแล้ว…ดูเหมือนจะเป็นความกังวลที่มีความสุขล่ะมั้ง คิก
“ซูฮยอน อึดอัดมากอย่างนั้นหรือคะ”
ขณะที่ผมกำลังจะหลับตาหลังจากอดหัวเราะให้กับความคิดผิดหวังของตนเองไม่ได้นั้น น้ำเสียงอันไพเราะก็ดังแว่วมาจากด้านหน้า ผมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วมองไปยังด้านหน้า ภาพสง่างามของหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะโซฟาอย่างเรียบร้อยก็เข้ามาในสายตา
นัยน์ตาและเส้นผมสีฟ้าคราม จองฮายอนนั่นเอง
“ไม่ว่าจะดูยังไงเหมือนฉันจะเข้ามาผิดเวลาสินะคะ”
“พอดีมันค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย ผมเลยเป็นแบบนี้น่ะครับ ไม่ใช่เพราะฮายอนหรอกนะ”
“แหม แย่จังนะคะ ฉันตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ทำให้เป็นเวลาน้ำชาของเราสองคนแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะต้องเลื่อนนะคะ”
“ฮ่าๆ ไม่หรอก เวลาน้ำชากับฮายอนน่ะเป็นเวลาพักผ่อนนี่ครับ”
ผมหัวเราะเจื่อนๆ เพราะคำพูดที่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างมากของจองฮายอน ความจริงแล้วนั้น ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าจองฮายอนอยู่ที่นี่ด้วย ผมตั้งใจจะดื่มชาที่หล่อนนำมาด้วย แต่หลังจากที่กลืนเข้าไปก็ได้รู้ว่าชานั้นเย็นชืดไปเสียแล้ว
“หึๆ โล่งอกไปทีนะคะ ว่าแต่…เรื่องอะไรกันคะที่ทำให้ซูฮยอนกังวลจนถึงขั้นถอนหายใจออกมาแบบนั้น ปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือคะ”
จองฮายอนเดินเข้ามาข้างๆ ผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาถาม ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
หล่อนมองกองเอกสารที่วางกระจายอยู่บนโต๊ะแล้วจึงหมุนตัวกลับไปอีกทาง หล่อนดูลังเลอยู่สักพักก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนตักผม ผมได้แต่ยิ้มจืดชืดอยู่ในใจและขยับขาทั้งสองข้างออกเล็กน้อยเพื่อให้หล่อนนั่งได้สบายขึ้น
“อืม”
“อืม”
เมื่อเราต่างได้ยินเสียงครางแผ่วเบาของกันและกัน ผมก็รู้สึกถึงแรงกดเล็กๆ ที่หน้าขาและรู้สึกถึงเส้นผมสีฟ้าอ่อนที่ระอยู่ตรงต้นคอ ได้กลิ่นหอมชื่นใจราวกับน้ำเย็นสบายออกมาจากร่างบอบบางของจองฮายอน ผมสูดหายใจดื่มด่ำกลิ่นหอมของหล่อนเข้าไปเต็มที่ ขณะที่มือก็ค่อยๆ เลื่อนไปลูบที่ท้องของหล่อนอย่างระมัดระวัง
“รายการสมัครเยอะเชียว อ้า ไม่นี่ ไม่เยอะนี่ ไม่สิ แทบจะไม่มีรายการที่ซ้อนทับกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ครับ เป็นความโชคดีในความโชคร้ายยังไงละครับ”
จองฮายอนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งดังเดิม แต่จากที่หล่อนหยุดพูดไปกลางคันและร่างกายที่สั่นไหวเล็กน้อย ก็ทำให้ผมพอจะเดาความรู้สึกภายในใจของหล่อนได้
“คุณปู่อีมานซอง ลงทะเบียนมาเรื่องการประเมินค่าบรรดาเพชรพลอยภายในโกดัง…ส่วนคุณชินแจรยงครั้งนี้ได้ทำเรื่องขอไม้เท้าต้นลิอะทริสที่เพิ่งได้มาใหม่สินะคะ เขาเป็นนักบวชที่มีความสามารถ ดังนั้นดูจะเป็นทางเลือกที่ดีเลยนะคะ”
“ครับ แต่ฮายอนเองก็ทำเรื่องขอบางอย่างมาเหมือนกันนี่ครับ”
จองฮายอนหัวเราะคิกคักคงเพราะรู้สึกจั๊กจี้กับเสียงกระซิบที่ข้างหู หล่อนพยักหน้า
“ค่ะ ครั้งนี้ฉันขอกระจกของต้นเฟิร์นที่ได้มาใหม่ไปน่ะค่ะ อยากจะลองใช้ดู เอ๋?”
ในตอนนั้นเอง สายตาของจองฮายอนที่เคยกวาดมองไปตามบันทึกก็หยุดอยู่ที่จุดๆ หนึ่ง ผมมองตามสายตาของหล่อนลงไป ก็เจอเข้ากับใบลงทะเบียนที่ถูกเขียนเอาไว้เต็มพรืดทำให้โดดเด่นกว่าใบลงทะเบียนสมาชิกคนอื่นๆ
ใบลงทะเบียนอุปกรณ์ (สมาชิกเผ่า : อิมฮันนา)
1. แสงแปลบปลาบส่องประกาย : ลอร่า ฟีลิส
2. เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล
3. รีซ่า บู๊ทส์
4. หญิงร่างทรงยามอัสดง
5. สีทั้งห้า – สีดำ : เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดร (Winter Tights Of North)
ลักษณะพิเศษ : แขนข้างขวาถูกตัดไปส่วนหนึ่งค่ะ นอกจากส่วนนั้นแล้ว ก็ไม่มีส่วนไหนที่ผิดปกติทางกายภาพอีกค่ะ เดิมทีแล้ว มันมีประสิทธิภาพในการเพิ่มค่าความสามารถของกล้ามเนื้อ (+2, จำกัดกำลังต่ำกว่า 90) แต่อาจจะไม่สามารถคาดคะเนผลของมันได้จนกว่าจะปลดมันออกก่อนตามฟังก์ชั่นการถือครองเป็นเจ้าของค่ะ
“คุณฮันนานี่…โลภเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“ฮายอนคิดว่าอย่างไรล่ะครับ”
“ฉันเหรอคะ อืม~ โดยส่วนตัวแล้วฉันอยากจะเห็นด้วยค่ะ เพราะคุณฮันนาเป็นคนดีและมีความสามารถจริงๆ ซูฮยอนล่ะคะ”
“ไม่รู้สิครับ ผมยังไม่รู้เลย ต่อให้เป็นอย่างอื่น บางทีเธออาจจะได้ใส่เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดรหรือเสื้อใบไม้…”
ผมตอบหล่อนโดยที่ลองนึกถึงข้อมูลผู้เล่นของอิมฮานาไปด้วย ผมเอาแต่นึกถึงหน้าอกใหญ่โตของหล่อนที่เอาชนะโกยอนจูได้อย่างขาดลอย จึงพูดไปราวกับกังวลเสียเต็มประดา แต่เมื่อผมดึงสติกลับมา ก็ได้เห็นว่าจองฮายอนกำลังมองค้อนผมอย่างน่ารักอยู่ ผมกระแอมไอขึ้นมาจากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“นอกเหนือจากเรื่องนั้นแล้ว ปัญหาที่แท้จริงก็คือหญิงร่างทรงยามอัสดงครับ อุปกรณ์อื่นๆ ยืมมาแล้วก็สามารถคืนได้ แต่สำหรับคลาสหายากแล้วมันยากที่จะทำเช่นนั้นน่ะครับ”
“จริงด้วยค่ะ เพราะหลังจากที่ได้เรียนรู้ครั้งหนึ่งแล้วก็จบแค่นั้นเอง แต่ไม่ว่ายังไงฉันเชื่อว่าซูฮยอนจะต้องตัดสินใจได้ดีแน่ๆ ค่ะ”
หากหญิงสาวที่นั่งอยู่บนตักผมในเวลานี้คือโกยอนจูล่ะก็ ป่านนี้หล่อนคงใช้โอกาสนี้หยอกเย้าผมเล่นอย่างเต็มที่ไปแล้ว แต่เพราะนิสัยที่นุ่มนวลสุขุมของจองฮายอน หลังจากที่เผยยิ้มอ่อนโยนออกมา หล่อนก็ปรับตัวเองให้เข้ากับผม ผมได้แต่ลูบอกตัวเองอยู่ในใจ
“ครับ ผมคิดว่าอาจจะต้องคิดเรื่องนี้อีกสักหน่อย แล้วคงต้องลองไปคุยกับผู้เล่นอิมฮันนาดู”
หลังจากนั้น ผมก็เล่นเพลินกับร่างบางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผมจะยกมือที่กอดหล่อนขึ้นเป็นสัญญาณว่าเราควรหยุดได้แล้ว จองฮายอนทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่โชคดีที่หล่อนยอมทำตามที่ผมพูด
“เสียดายจัง”
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำคนเดียวเบาๆ ด้วยความเสียดายอยู่ดี แน่นอนมันเป็นการพึมพำที่แฝงความนัยว่าอยากให้ผมได้ยิน
“ผมก็เหมือนกันครับ แต่ผมต้อวทำงานนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ ผลัดมันอีกไม่ได้แล้ว…”
“ในหัวมันก็ดูจะเข้าใจ แต่ไม่รู้ทำไมในใจกลับรู้สึกเย็นชาจังว่าไหมคะ”
จองฮายอนเอาแต่บ่นพึมพำที่ผมไม่รู้ใจหล่อนบ้างเลย แต่ความจริงแล้ว ผมรับรู้ว่าหล่อนแสดงออกถึงความรักมากขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว และผมก็รู้ด้วยว่าทำไมหล่อนจึงเป็นเช่นนั้น
“ครั้งหน้าถ้ามีโอกาส เราค่อยทำใหม่ก็ได้นี่ครับ”
“ก็แล้วมันเมื่อไรล่ะคะ~ วันข้างหน้าซูฮยอนอาจจะยุ่งมากก็ได้นะ”
ผมยักไหล่ ถือบันทึกขึ้นไว้ในมือแล้วมองมันอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ
“คืนนี้”
“…คะ?”
อึ้งไปสักพัก ผมได้ยินเสียงที่งงงวยของจองฮายอน แต่ผมก็ยังพูดต่อไปโดยไม่ละสายตาจากบันทึกขึ้นมามองหล่อน
“ผมบอกไปแล้วไงครับ ผมคิดเอาไว้ว่าต่อให้ต้องโต้รุ่งก็ต้องทำงานนี้ให้เสร็จ คิดว่าคงจะยังอยู่ที่ห้องทำงานนี่จนเช้ามืดนั่นล่ะครับ”
* * *
ยูนิคอร์นน้อยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ ดวงตาที่เคยเป็นประกายเพราะความรู้สึกต่างๆ บัดนี้กลับไร้แวว หางที่เคยสะบัดไปมากลับลู่ลง
ยูนิคอร์นน้อยกำลังเสียใจ พวกเขาเคยบอกเสมอว่าตนน่ารักบ้างล่ะ สวยบ้างล่ะ แต่ยิ่งเวลาผ่านเลยไป มนุษย์กลับไม่เล่นกับตนเหมือนก่อน แน่นอนตนนั้นเข้าใจดีว่าช่วงนี้มนุษย์กำลังยุ่ง แต่แม้จะบอกแบบนั้น แต่การที่ทุกคนต่างละเลยไม่มารวมตัวเล่นด้วยกันอย่างเคยก็ทิ้งความตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวงเอาไว้ให้กับยูนิคอร์นน้อยอยู่ดี
หลังจากนั้นแม้จะมีคนไปเยี่ยมเยียนยูนิคอร์นน้อยบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็มีบาดแผลลึกเกิดขึ้นในใจของหนูน้อยไปเสียแล้ว ดังนั้นการซ่อนตัวในซอกหลืบเพื่อไม่ให้ใครหาตนเจอจึงถือเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าแม้แต่ในเวลาวุ่นๆ ถ้าหากหาเจอนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตนตั้งใจแพ้ให้แน่
ฮี้…
ยูนิคอร์นน้อยไม่สามารถเอาชนะความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้ ได้แต่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
พวกมนุษย์นิสัยไม่ดีเลย
เจ้ายูนิคอร์นน้อยที่คิดแบบนั้น บัดนี้กำลังเดินอย่างห่อเหี่ยวไปตามระเบียงทางเดินที่ไม่มีใครในค่ำคืนดึกสงัด
จุดหมายปลายทางของยูนิคอร์นน้อยในตอนนี้ก็คือสถานที่ที่ซึ่งสามารถรู้สึกถึงบรรยากาศของยุคโบราณกาลได้ บรรยากาศแห่งความบริสุทธิ์ที่แม้จะร้อนแต่ไร้ซึ่งการคดโกง แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ไม่อ่อนแอ เมื่อคิดว่าคืนนี้จะได้หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของนายท่าน ฝีเท้าที่เคยเอื่อยเฉื่อยก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ยูนิคอร์นน้อยที่มาถึงยังที่หมายก็ได้หยุดฝีเท้าลงที่หน้าสถานที่หนึ่งที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศนั้น
ปกติหนูน้อยต้องใช้เขาของตนเคาะที่ประตูทุกครั้ง เพราะเป็นประตูที่ปิดอยู่ตลอดเวลา แต่ในวันนี้กลับเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อยราวกับกำลังมีงานอะไรบางอย่าง แสงไฟที่ส่องลอดผ่านช่องประตูออกมาช่วยส่องให้ระเบียงทางเดินสว่างขึ้นเล็กน้อย
มีสัญญาณการเคลื่อนไหวออกมาจากภายในห้อง ไม่ใช่เพียงหนึ่งแต่กลับรู้สึกได้ถึงสองคน
ยูนิคอร์นน้อยรู้สึกกังวลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เข้าไปใกล้หน้าประตูด้วยสายตามุ่งมั่นแล้วค่อยๆ ยื่นเขาเข้าไปในช่องว่างที่เปิดแง้มไว้แล้วดันประตูไปข้างๆ เพื่อเปิดออก
แอ๊ด
ประตูเปิดกว้างออก ภาพภายในห้องเข้ามาสู่สายตาของยูนิคอร์นน้อย
มีสองคนอยู่ในห้องอย่างที่คิด คนหนึ่งในนั้น แน่นอนคือนายท่านผู้เป็นเจ้าของอ้อมกอดแห่งบรรยากาศโบราณ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นมนุษย์หญิงสาวผู้มีกลิ่นอายของน้ำฟุ้งตลบอบอวล
ยูนิคอร์นน้อยที่เพิ่งจะวิ่งเข้าไปและเตรียมจะร้องเรียกเจ้านายอย่างเอาแต่ใจต้องหยุดฝีเท้าลงอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงกระแสแผ่วๆ อย่างฉับพลัน
โกรธหรือ
ยูนิคอร์นน้อยเอียงคอสงสัย จากนั้นจึงมองดูสถานการณ์ภายในห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง
และแม้จะเพียงแค่พริบตาเดียว เจ้ายูนิคอร์นน้อยก็สามารถรับรู้ได้ทันที
ในที่สุดแล้ว ยูนิคอร์นสาวน้อยก็ไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกละอายที่ก่อตัวขึ้นในใจอย่างกะทันหันได้และยกขาหน้าขึ้นมาปิดตาไว้
“ฮี้!”
พร้อมส่งเสียงร้องสั้นๆ แต่ดังก้องไปทั่วระเบียงที่เงียบสงบ