Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 17
เช้าวันต่อมา ผมจัดประชุมขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากงานรวมตัวเพื่อความสามัคคีจบลง แม้ผมจะชอบบรรยากาศตอนนี้ที่ทุกคนดูสนิทสนมกันมากกว่าเดิม แต่ผมก็มีหน้าที่ทำให้ไม่สามารถหลงใหลอยู่กับอารมณ์นี้ได้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ทำให้ผมจำเป็นต้องรีบดึงตัวเองกลับมาสู่การทำงานโดยเร็ว
ระหว่างที่การประชุมกำลังดำเนินต่อไปนั้นเอง
“เผ่าอีสตันเทลลอว์บอกว่าต้องการไปเยี่ยมเยือนแคลนเฮาส์ในเร็ววันนี้ค่ะ บอกว่าต้องการปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาการจัดการกับพวกเร่ร่อนน่ะค่ะ”
“จะมาพบโดยตรงอย่างนั้นหรือครับ”
“ค่ะ”
จองฮายอนที่กำลังรายงานต่อที่ประชุมพยักหน้ารับเล็กน้อยให้กับคำถามของผม
“อืม เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับผิดชอบในส่วนนั้นเอง แล้วยังมีรายงานเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ นี่เรื่องสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านอื่นล่ะครับ”
“…”
ไร้เสียงตอบรับกลับมา เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างอยู่ในความเงียบ ผมจึงคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดถึงอีกแล้ว
แม้การประชุมจะสั้นกว่าปกติ แต่ผมก็คิดว่าเราควรรีบกลับไปทำหน้าที่หลักของแต่ละคนกันได้แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะรั้งเหล่าสมาชิกเอาไว้อีก ผมพูดขึ้นเพื่อปิดการประชุมไว้เพียงเท่านี้
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอจบการประชุมในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้”
หลังจากที่พูดไปแบบนั้น ผมก็ตั้งใจจะลุกก่อนเป็นคนแรก แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตามากมายที่มองมาที่ผม เมื่อผมหันไปมอง ก็ได้เห็นว่าทุกคนต่างมองมาที่ผมด้วยความสงสัยอย่างมาก
“…”
ผมรู้ดีว่าพวกเขาสงสัยและต้องการอะไร แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ และต้องพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้ที่เข้าร่วมในคำสั่งเรียกรวมพลได้เห็นพ้องต้องกัน
ในที่สุด ผมก็นั่งลงอีกครั้งเพราะต้องการพูดให้แน่ชัดเสียทีในโอกาสนี้ จากนั้นผมจึงพูดขึ้น
“ผมแน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่คงรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยุ่งเหยิงแค่ไหน”
“…”
“ผมรู้ว่ามีบางคนที่กำลังสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกในอนาคตเช่นเดียวกับผู้เล่นคนอื่นๆ และมีบางคนที่กังวล แต่น่าเสียดายที่ผมยังไม่สามารถพูดลงลึกถึงรายละเอียดได้ในตอนนี้”
“คือ…ท่านแคลนลอร์ด หรือว่าในคำสั่งเรียกรวมพลเมื่อคราวก่อนจะมีนโยบายเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนี้ออกมาแล้วหรือคะ ช่วบตอบเพียงเท่านี้ก็ได้ค่ะ…”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงใครบางคนถามออกมาอย่างระมัดระวังดังมาจากโต๊ะที่แถวฝั่งซ้ายมือ เมื่อผมได้ยินเสียงก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของคิมฮันบยอลนั่นเอง
“อืม…”
ผมคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เป็นเช่นนั้นครับ”
“…!”
ในตอนนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณความชุลมุนเล็กๆ ในห้องประชุม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตั้งใจจะพูดต่อให้จบเพราะต้องการหยุดความเข้าใจผิดที่ไร้สาระนี้ลง
“ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ไม่มีอะไรที่พวกคุณจะสามารถทำได้ในขณะนี้ เว้นแต่เพียงสามสิ่งต่อไปนี้ คือรออย่างใจเย็น, พัฒนาความสามารถของตนเพื่อเตรียมพร้อมหากมีอะไรเกิดขึ้น และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด โปรดอย่าหลงไปกับสิ่งยั่วยุและหวั่นไหว”
แม้ผมจะบอกผลลัพธ์โดยละเอียดไม่ได้ แต่ผมก็ได้ให้คีย์เวิร์ดกับพวกเขาไปบางประการ ผมพูดเพียงแค่นี้ทุกคนคงจะเข้าใจ เพราะผมสามารถเห็นใบหน้าของสมาชิกที่เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดได้อย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้ผมคงให้ทุกคนรู้ได้เพียงเท่านี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็คงเกิดขึ้นในไม่ช้า”
หลังจากมองดูปฏิกิริยาของเหล่าสมาชิกอยู่สักพัก ผมก็เริ่มหันไปจดบันทึกที่วางเรียงซ้อนกันอยู่ตรงหน้าทีละใบๆ
บันทึกเหล่านี้คือใบสมัครใช้อุปกรณ์ที่สมาชิกแต่ละคนได้ลงทะเบียนไว้ หากจะให้อธิบายง่ายๆ ว่าเป็น ‘วิช ลิสต์’( Wish List) ก็คงไม่ผิดนัก
“หลังจากที่ได้ตรวจทานบันทึกเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว ผมจะแจ้งให้ทราบเป็นรายบุคคลไป เอาล่ะ ทุกคน ตอนนี้เชิญออกไปได้แล้วนะครับ อ้า ซล เธออย่าเพิ่งไป ไปรอพี่ที่ห้องทำงานชั้นสี่ก่อน”
“ค่ะ!”
เมื่ออันซลได้รับคำสั่งจากผม หล่อนก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่ฟังดูแข็งขัน หล่อนเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ติดตามคนใหม่อย่างเป็นทางการในการประชุมวันนี้เอง ผมบอกให้หล่อนควบคุมจิตใจให้มั่นคง และก็โชคดีที่หล่อนดูจะเตรียมตัวมา
ต้องมีอะไรอีกแน่ อะไรบางอย่างที่อันฮยอนเองก็ไม่เคยรู้…
ถ้าหล่อนสูญเสียความทรงจำในส่วนนั้นไป ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ในตอนนี้ผมคิดว่าจะลองทำอะไรสักอย่าง
“ดูเหมือนซูฮยอนกำลังจะต้องยุ่งอีกแล้วสิคะเนี่ย”
เมื่อสมาชิกเริ่มเดินออกไปทีละคนสองคนจนค่อยๆ หายออกไปนอกประตู ก็มีเสียงใสพูดขึ้นกับผมเพื่อเป็นการบอกว่ายังมีคนเหลืออยู่
ผมหยุดอ่านบันทึกในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง ผมจึงได้เห็นจองฮายอนพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ของหล่อน ผมตอบหล่อนพร้อมกับผ่อนลมหายใจที่อดกลั้นไว้ออกมา
“ก็อาจเป็นไปได้ครับ อาจจะไม่ได้ถึงขั้นยุ่งมากแต่ก็คงต้องออกจากแคลนเฮาส์ไปในอาทิตย์หน้า ผมจะบอกล่วงหน้าอีกทีนะครับ”
“อาทิตย์หน้า…ถ้าอย่างนั้น แล้วอาทิตย์นี้ไม่เป็นไรแล้วหรือคะ”
“ไม่รู้สิครับ”
ผมกำลังตอบหล่อนกลับไปโดยไม่คิดอะไร
ถ้าอย่างนั้นงั้นเหรอ
และในตอนนั้นผมก็รู้สึกถึงความขัดแย้งบางอย่าง จึงมองจองฮายอนอย่างไม่ไว้ใจนัก หล่อนมองมาด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าเจ็บใจ
“ทำไมเหรอครับ”
“อ้า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หึๆ”
แม้ผมจะไม่รู้ว่าทำไม แต่จองฮายอนก็เปลี่ยนสายตาของหล่อนอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มอยู่เงียบๆ แล้วทันใดนั้นผมก็สังเกตเห็นรอยสีแดงระเรื่อที่แก้มของหล่อน
ผมเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากถามคำถามหนึ่งที่จู่ๆ ก็แวบเข้ามาในความคิด
“อ้า ผู้เล่นจองฮายอน พอมาคิดๆ ดูแล้ว ช่วงนี้ผมไม่ได้เห็นยูนิคอร์นน้อยเลยนะครับ พอจะรู้หรือเปล่าครับว่าเจ้ายูนิคอร์นน้อยเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”
“ยูนิคอร์นน้อยหรือคะ”
เมื่อผมมาคิดดูดีๆ แล้วนั้น ผมไม่มีความทรงจำว่าได้เจอกับยูนิคอร์นน้อยที่งานเลี้ยงเลยด้วยซ้ำ ผมจึงได้ถามหล่อนออกไป
แต่หล่อนกลับมองมาที่ผมด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะตอบออกมา
“อะ…อืม ก็เมื่อวาน…เอ๋?”
ในตอนนั้นเอง ผมคิดว่าดวงตาของจองฮายอนเริ่มเบิกกว้างขึ้นทุกทีๆ ก่อนหล่อนจะจ้องกลับมาที่ผมแล้วพูดขึ้น
“ตายแล้ว งานเลี้ยง”
“ขอบคุณที่ให้เกียรติมาที่นี่นะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“ด้วยความเต็มใจครับ ผมเสียอีกต้องรู้สึกเป็นเกียรติที่คุณเชิญผมมา แคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์”
ผมตอบรับคำขอบคุณแสนสุภาพของฮันโซยองกลับไปพร้อมค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
ตอนนี้ผมอยู่ที่แคลนเฮาส์ของเผ่าอีสตันเทลลอว์ และเมื่อวันก่อนที่เมอร์เซนต์นารี่ ผมได้ส่งต่อพวกเร่ร่อนมายังอีสตันเทลลอว์เรียบร้อยแล้ว
ตามกฎของฮอลล์เพลนแล้ว เผ่าตัวแทนของเมืองล้วนมีอำนาจและสิทธิในการจัดการและตัดสินคดีของพวกเร่ร่อนด้วยตนเอง คำว่าจัดการในที่นี้ คือการรับพวกเร่ร่อนกลับมาเป็นผู้เล่นอีกครั้งหรือจะลงโทษพวกเขาไม่ว่าจะอย่างลับๆ หรือเปิดเผยต่อสาธารณะก็ตาม
แต่กฎนี้เป็นกฎที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้ในเมอร์เซนต์นารี่ เพราะเราไม่ได้เป็นเผ่าที่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใดและมีสถานะเป็นทหารรับจ้างอิสระ
แต่ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่ผมยังคงทำตามกฎก็มีอยู่สองประการด้วยกัน
ประการแรก คือไมตรีจิตที่ผมมีต่อฮันโซยองอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนประการที่สอง…แม้มันจะฟังดูแปลก แต่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการโยนภาระ
“ทั้งที่ปัญหานี้ฉันควรจะเป็นฝ่ายไปพบคุณแท้ๆ ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณต้องเป็นฝ่ายมาหาฉันแทนน่ะค่ะ”
“นั่นเพราะผมต้องการจะทำเช่นนั้นเองต่างหากล่ะครับ ถ้าคุณเป็นฝ่ายทำแบบนั้น ผมก็คงลำบากใจเสียเอง”
อารมณ์ของฮันโซยองวันนี้ดูต่างไปจากครั้งก่อนมากทีเดียว
อย่างแรกเลยก็เห็นจะเป็นเสื้อผ้า หล่อนใส่ชุดทูพีชสั้นเนื้อบางแนบพอดีกับลำตัว ไม่ต้องกล่าวถึงไหล่บางเลย เพราะส่วนบนของกระดูกไหปลาร้าอันงดงามถูกเปิดเผยต่อสายตาอย่างชัดเจน ส่วนท่อนล่างนั้นเปิดเผยเสียยิ่งกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ หล่อนอวดความงามของเรียวขาและผิวหนังเต่งตึงด้วยการเผยต้นขาขาวให้โผล่พ้นร่มผ้าออกมา
แม้ใบหน้าของฮันโซยองจะนิ่งเฉย แต่อาจเป็นเพราะการแต่งกายที่เน้นไปที่สีสันต่างๆ ทำให้ผมสามารถมองเห็นความยั่วยวนมีเสน่ห์ในความลึกลับได้
ความจริงแล้วเรื่องเสื้อผ้าการแต่งกายนั้นก็เป็นเรื่องของใครของมัน แต่สำหรับผมที่รู้จักนิสัยใจคอฮันโซยองเป็นอย่างดีนั้น ก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ แต่มันก็ดีที่ผมได้มีอาหารตาล่ะนะ
หล่อนคงรับรู้ได้ถึงสายตาของผม ฮันโซยองขยับขาไปมาแล้วแยกต้นขาออกเล็กน้อย ผมรู้สึกเขินกับการกระทำของหล่อน
“ฉันมีกำหนดการจะเปิดการตัดสินพิจารณาคดีเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้นะคะ เลยอยากจะถามความเห็นของแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เกี่ยวกับส่วนนี้น่ะค่ะ”
“อืม…อิงจากกฎแล้ว ไม่ใช่ว่าอีสตันเทลลอว์ได้วางแผนดำเนินการไปเรียบร้อยแล้วหรือครับ”
“นั่นก็จริงค่ะ แต่มันเป็นเพียงการตัดสินของทางฝั่งเราเพียงอย่างเดียว เราจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้ด้วยค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอดูแผนหน่อยจะได้ไหมครับ”
ฮันโซยองพยักหน้ารับทันที ผมพูดเผื่อไปอย่างนั้นเอง แต่ผมคิดว่าผมต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเพราะนิสัยชอบความสมบูรณ์แบบของผม ผมมองบันทึกที่หล่อนยื่นให้อย่างผ่านๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
มีเนื้อหาโน่นนี่มากมาย แต่โดยสรุปคือมันไม่ใช่แผนดำเนินงานแบบสาธารณะ แต่เป็นแผนที่จะจัดการกันภายในเสียมากกว่า และเพิ่มเติมส่วนหนึ่งที่ค้นพบผ่านการพิจารณาคดีแนบมาด้วยเพื่อเปิดเผยให้เหล่าผู้เล่นได้รับรู้
ผมพูดออกไปเพราะผมไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไร
“ผมเห็นด้วยกับแผนการดำเนินงานของคุณนะครับ แต่การประกาศข้อมูลให้ทราบ…การประกาศข้อมูลทั้งหมดนั้นจะไม่เป็นการเร็วไปหน่อยหรือครับ”
“ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องสายลับหรือผู้พิทักษ์แน่นอนค่ะ แต่อย่างที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เองก็ทราบดี หลังจากที่ฮาโลล่มสลาย ความรู้สึกไม่มั่นคงระหว่างเหล่าผู้เล่นด้วยกันก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะแบบนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันจึงได้รับแต่คำร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลอย่างไม่ขาดสายน่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเหล่าผู้เล่นจะบ่นกันใหญ่เลยสินะครับ”
“ไม่ได้ถึงขั้นบ่นหรอกค่ะ…แต่ในบางครั้งก็มีคนที่คิดว่ามันมากเกินไปด้วยน่ะค่ะ พวกเผ่าอิสระต่างๆ เองก็เอาแต่ส่งคำใบ้มาให้อยู่ตลอดด้วยค่ะ”