Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 14
อันฮยอนหลับตาลงช้าๆ เพื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น แน่นอนว่าความขัดแย้งในครอบครัวเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญกับมันอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อผมไตร่ตรองดูแล้ว น้ำเสียงของเขาก็นิ่งเสียจนน่าขนลุก ราวกับว่ากำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ถ้างั้นตอนนั้นพวกท่านได้หย่ากันหรือเปล่าล่ะ แล้วเพราะแบบนั้นอันซลจึงได้รับการกระทบกระเทือนเหรอ”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอกครับ เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ ไม่สิ ถ้าหากเป็นแบบนั้นยังดีกว่ามากเลยละครับ…”
อันฮยอนฝืนยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงพูดต่อ
“ไม่ได้หย่าหรอกครับ ตอนแรกก็เกือบจะได้หย่า แต่สุดท้ายคุณพ่อก็ยอมรับความผิดและเลิกทุกอย่างครับ แน่นอนว่าทั้งสัญญาด้วยครับว่าจะไม่เล่นพนันอะไรอีกครับ”
“โชคดีนะ”
“ดีถึงแค่ตอนนั้นเองครับ แต่ พี่ครับ สันดอนขุดได้ แต่สันดานนั้นขุดยากจริงไหมครับ”
“…ท่านกลับไปแตะต้องมันอีกเหรอ”
“ครับ แต่ก็ตามที่ท่านสัญญาไว้ ท่านไม่ได้แตะต้องการพนันอะไรอีก แต่หันเหสายตาไปยังการเล่นหุ้นแทนครับ”
เข้าขั้นโงหัวไม่ขึ้นเลยสินะ
ผมดุนลิ้นอยู่ภายในปาก แม้จะไม่ได้รู้เรื่องหุ้นมากมายนัก แต่อิงจากคำพูดของผู้รอบรู้ ผมได้ยินมาว่าเกมนี้เป็นเกมที่แทบจะไม่มีโอกาสที่จะชนะเกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ พร้อมกับเสียงเตือนว่าอย่าได้ไปยุ่งกับมัน
ผมพูดขึ้นนิ่งๆ
“นายควรจะหยุดท่านเรื่องนี้นะ”
“บางทีคุณแม่อาจจะไม่ทราบครับ…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในตอนนั้นผมจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะครับ ท่านเพียงแค่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และจ้องกราฟหน้าตาแปลกๆ ผมก็คิดแต่เพียงว่า ‘อ้า คุณพ่อทำงานหนักเลยสินะ’ เท่านั้นเองครับ แต่ความจริงแล้วนั้น…”
แม้จะพูดถึงมันในเวลาที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่เขาก็ยังถอนหายใจอย่างหนัก แล้วจึงพูดต่อ
“ผมคิดแบบนั้นเสมอ แต่แล้วในวันหนึ่ง หลังจากที่ผมได้เห็นหมายอายัดมาแปะไว้ที่หน้าบ้าน ผมถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในนั้นแจ้งว่าพ่อเป็นหนี้มหาศาลจากการแพ้ในตลาดหุ้น ครั้งที่แล้วพ่อยังตัดการพนันได้ก่อนที่มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่การเล่นหุ้นมันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะสามารถชักตรงนี้มาแปะตรงนั้นได้นี่ครับ พี่รู้ไหมครับว่าครอบครัวธรรมดาทั่วไปครอบครัวหนึ่งต้องพังทลายลงไปในชั่วพริบตา”
หลังจากนั้นอันฮยอนก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีช้าๆ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตาของเขาปรากฏแสงเลือนรางราวกับกำลังคิดบางอย่างขึ้นมาได้
อันฮยอนเลื่อนสายตาลงมาสบเข้ากับผม แล้วค่อยๆ พูดต่อ
“ผมยังจำได้อย่างชัดเจนเลยครับ”
“…”
“วันนั้นที่ผมนั่งอยู่ริมถนน…คุณพ่อไม่พูดอะไรสักคำ ท่านเพียงแค่เดินไปกับคุณแม่, ผม และซลอย่างเลื่อนลอย แต่จนถึงตอนนั้น ผมก็ยังไม่สิ้นหวัง เพราะไม่ว่ายังไงท่านก็ยังเป็นพ่อ, เพราะมันไม่มีทางจะจบลงแค่นี้, เพราะเราสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้แม้ว่าจะตกอยู่ในช่วงที่เลวร้ายที่สุด แต่ว่านะครับ ไอ้คนที่ข้าเรียกว่าพ่อก็เหยียบย่ำความหวังนั้นของผม…อย่างไม่ไยดี”
“ทำไม”
“ที่ที่พ่อพาพวกเราไปคือแม่น้ำฮันครับ แม่น้ำฮัน เขาปีนขึ้นไปบนสะพานอย่างอ่อนแรงแล้วพูดขึ้นมาแบบนั้น ว่าตายกันเถอะ กระโดดลงจากตรงนี้ด้วยกันเถอะ”
หลังจากผมได้ฟังที่เขาพูด ผมก็รู้สึกจุกที่คอ เพราะไม่ว่าจะมองยังไงนั่นมันไม่ใช่การกระทำของพ่อทั่วๆ ไป ผมสงสัยว่าคนคนนั้นเองก็อาจจะมีอาการผิดปกติทางจิตใจเหมือนกัน”
อันฮยอนพูดต่อพร้อมรอยยิ้มขมขื่นราวกับว่าเขาสามารถอ่านความคิดของผมได้
“พี่ว่ามันน่าขันใช่ไหมครับ แต่มันคือเรื่องจริง”
“…แล้วเป็นยังไงต่อ”
“ถ้าผมกระโดดลงไปในตอนนั้น ผมคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ตอนนี้หรอกครับ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน คุณแม่โกรธมากเลยล่ะครับ ได้แต่ต่อว่าพ่อว่า ‘บ้าไปแล้วเหรอ ฉันสงสัยเหลือเกินว่าแกจะพาพวกเราไปที่ไหน พามาที่นี่แล้วพูดแบบนี้น่ะเหรอ ทำไมถึงต้องฆ่าลูกกับฆ่าฉันแบบนี้ด้วย หากแกอยากตาย ก็ตายไปคนเดียว ส่วนพวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้’”
แม้กระทั่งคุณแม่ของอันฮยอนก็ยังเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ก็นั่นแหละ หากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน ผมก็คงไม่ได้พบกับสองพี่น้องที่นี่
“ยังไงก็เถอะ นั่นแหละครับจุดเริ่มต้นของนรก ถ้าพูดกันตามจริง สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมเป็นเหมือนในหนังเลยว่าไหมครับ”
“หนังเหรอ…”
“ครับ หนัง นั่นเป็นสิ่งที่ผมเคยคิดเมื่อตอนนั้น แต่กำแพงแห่งความเป็นจริงมันช่างเย็นชาเหลือเกินครับ ถ้าหากเป็นหนังจริงๆ ก็จะต้องมีฉากหักมุม แต่ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องหักมุมหรอกครับ เพราะสถานการณ์มันก็แย่ลงเรื่อยๆ”
“ไม่มีใครคอยช่วยเลยเหรอ”
“มีครับ แต่ก็แค่ครั้งหรือสองครั้ง เพราะถ้ายื่นมือมาช่วยบ่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็มีแต่จะแย่ลงนี่ครับ ฟู่วว”
น้ำเสียงของอันฮยอนที่เคยแห้งผาก ค่อยๆ ฟังดูชุ่มชื้นขึ้น เขาดูนิ่งเฉยเมื่อพูดถึงคุณพ่อ แต่กลับดูเหมือนนึกเรื่องของคุณแม่ไม่ค่อยออกนัก
หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นพลางแอบซ่อนดวงตาไว้ใต้ฝ่ามือ ผมแกล้งหาวและปิดตาลงเพราะไม่อยากเห็นภาพที่เขาร้องไห้
ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะสบายใจที่ต้องบังคับให้คนคนหนึ่งพูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะนึกถึง แต่การเริ่มต้นเรื่องนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำเพื่อทั้งสองคนได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใดผมก็จะไม่ยอมแพ้ ผมจะทำให้มันจบลงให้ได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงแบบใด ความจริงแม้ผมจะไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้มันจะเกินความสามารถของผมหรือไม่ แต่ผมก็จะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
“อ้า…ขอโทษนะครับพี่ ผมควรจะเล่าเรื่องซลแท้ๆ แต่ก็พูดแต่เรื่องครอบครัวไร้สาระจนได้”
“ไม่หรอก ไม่มีอะไรที่ไร้สาระหรอกนะ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด กลางคืนมันยาวนานและเวลาก็ยังมีอีกเหลือเฟือ”
อันฮยอนถอนหายใจแล้วพยักหน้า และหลังจากนั้นน้ำสีใสก็ค่อยๆ รินไหลออกมาจากดวงตาของเขา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“หนี้สินเริ่มพอกพูน…ความสัมพันธ์กับญาติๆ ถูกตัดขาด….ที่บ้านเราก็แทบจะไม่พูดอะไรกันเลย เป็นอย่างนั้นอยู่ได้ประมาณสองปีหรือเปล่านะ และในที่สุดก็มีบางอย่างเกิดขึ้นครับ”
“มีเรื่องอย่างนั้นเหรอ”
น้ำเสียงของอันฮยอนที่พูดออกมานั้นมีความอ่อนแอแฝงอยู่ ถึงแม้ทุกอย่างที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบได้มากพอแล้วก็ตาม แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าสิ่งที่จะเกิดกับพวกเขาต่อจากนี้ต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง
แต่เมื่อผมคิดได้ดังนั้น คำพูดต่อมาของอันฮยอนก็ทำเอาผมแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ครับ คุณแม่ฆ่าตัวตายครับ”
“…”
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วครู่หนึ่ง คุณพ่อของอันฮยอนคงจะคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วคุณแม่ก็เลือกจะจบชีวิตตนเองลงเช่นกัน
“วันนั้นเป็นวันพุธครับ…ปกติแล้วเมื่อผมเลิกเรียนกลับมาในวันธรรมดา คุณแม่ก็จะอยู่ที่บ้านครับ แต่จู่ๆ วันนั้นคุณแม่ก็ชวนพวกเราออกไปข้างนอกด้วยกันครับ ‘ครับ! ไปครับ’ ผมกับน้องตอบตกลงและตามคุณแม่ออกไป เราไม่ได้ออกไปเที่ยวแบบนี้มานานแล้วครับ พาซลไปสวนสัตว์ที่เธอชอบ ซื้อจาจังมยอนให้ แต่…แต่ว่า…”
อันฮยอนไม่สามารถพูดต่อไปได้ เสียงของเขาสั่นมากจนผมแยกไม่ออกว่าเขากำลังพูดหรือร้องไห้อยู่
อันฮยอนกลืนน้ำลายลงคอแล้วจึงเริ่มพูดต่อ
“คุณแม่บอกเราว่ามีธุระ ให้เราเข้าบ้านไปกันก่อน เพราะแบบนั้น ผมจึงเข้าบ้านไปกับน้อง…จู่ๆ ซลก็พูดขึ้นมาว่ารู้สึกไม่สบาย ออกไปหาแม่กันเถอะ”
“อะไรกัน จู่ๆ ทำไมเธอถึง…อ้า”
“ในตอนแรกนั้น ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมก็นึกไปถึงที่คุณแม่เคยพูดก่อนที่จะแยกกันขึ้นมาได้ ‘ฮยอน ซล แม่ขอโทษนะลูก ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ลูกทั้งสองต้องอยู่กันให้ได้นะลูกนะ’ เมื่อผมคิดถึงคำพูดนั้น ผมก็วิ่งออกไปทันที แต่ว่า…”
แต่อันฮยอนก็หันหน้าหนีไปราวกับไม่อยากพูดถึงมันอีกต่อไปแล้ว จากคำว่า ‘แต่’ ที่เขาพูด ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ผมจึงทำเพียงพยักหน้านิ่งๆ
ไม่นานอันฮยอนก็เริ่มพูดขึ้นราวกับว่าเขาได้จัดการความรู้สึกข้างในและสงบจิตสงบใจได้แล้ว
“ที่ตลกก็คือ พี่รู้หรือเปล่าครับว่าคุณแม่ฆ่าตัวตายยังไง ท่านกระโดดลงแม่น้ำฮันครับ ที่เดียวกันกับที่คุณพ่อชวนไปตายเมื่อสองปีก่อน”
“…”
“มันเป็นเรื่องที่ช็อกมากจนไม่มีใครสามารถจัดการกับมันได้ครับ ทั้งกับคุณพ่อ ผม ซล ผมไม่รู้ว่าผมโกรธแค้นสักแค่ไหน และบางที…อาการผิดปกติทางจิตของซลอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นครับ”
“หืม?”
เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมา อันฮยอนก็ตอบด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าเก่า
“หลังจากงานศพของคุณแม่ผ่านไป เธอก็เริ่มพูดคนเดียวน่ะครับ ในห้องไม่มีใครอยู่เลย เธอพูดกับตัวเอง บ่นพึมพำอยู่คนเดียว บ้านของเราเปลี่ยนไปเหมือนหน้ามือเป็นหลังมือหลังจากการฆ่าตัวตายของคุณแม่ จนถึงตอนนั้น แม้ว่าจะลำบาก แต่เราเคยเป็นครอบครัวที่เชื่อมถึงกัน แต่แล้วมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เลยครับ ผมเหมือนจะไม่สามารถอดทนกับความสูญเสียครั้งนี้ได้เลย”
“เฮ้อ แล้วคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อน่ะ ทำอะไรบ้าง”
ผมพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ใส่ความรู้สึกของตนเองลงไป แต่น้ำเสียงของผมกลับแฝงไปด้วยความโกรธนิดๆ ขนาดที่ตัวผมเองยังรู้สึกได้ เช่นเดียวกับอันฮยอนที่เริ่มพูดต่อพร้อมกับสายตาคมกริบที่เริ่มขุ่นมัว
“ไม่รู้ครับ แต่ที่ผมแน่ใจคือ ตอนนั้นทุกอย่างมาถึงตอนจบแล้วครับ คุณพ่อดื่มจนเมาหัวราน้ำกลับบ้านทุกวัน หลังจากที่เป็นแบบนั้น คุณพ่อก็เอาแต่ด่าคุณแม่ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ถึงขั้นจะชกต่อยและกระทำทารุณ…”
“อะไรนะ ชกต่อยกับทารุณ?”
“ครับ เป็นอย่างที่ผมได้บอกไปแล้ว เขาเปลี่ยนไป หลังจากนั้นคุณพ่อก็ฆ่าตัวตายตามไป แล้วผมเองก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเองก็ป่วยด้วยโรคทางจิตเช่นกันครับ เป็นโรคจิตเภทอย่างหนักน่ะครับ…”
“ฆ่าตัวตาย?”
ผมตกอยู่ในสภาพหดหู่จนพูดอะไรไม่ออก หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของอันฮยอนมาเรื่อยๆ
นี่เขาผ่านชีวิตแบบไหนมากันนะ…
อันฮยอนมองผมด้วยสายตาชอกช้ำ แล้วเคาะมือลงบนขวดที่ว่างเปล่า
“ผมเองก็โดนเหมือนกัน แต่พ่อก็ตีน้องเยอะมากเลยครับ เหตุผลคืออะไรรู้หรือเปล่าครับ เพราะซลเหมือนคุณแม่มากๆ เลยยังไงล่ะครับ”
“ให้ตายเถอะ นั่นมัน…เขาเป็นพ่อของพวกนายนะ ฉันก็ไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ แต่เขานี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ แล้วนายก็เอาแต่นั่งมองน้องโดนตีอยู่อย่างนั้นเหรอ ไม่สิ นายอาจจะทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยนายก็สามารถแจ้งความได้นี่”
“แน่นอนครับ แต่ว่าในตอนนั้น…ผมเองก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สิ ผมไม่อยากอยู่บ้านเลยครับ แม้แต่ที่โรงเรียนผมก็ทำตัวนอกลู่นอกทาง คบแต่เพื่อนเลวๆ ก็แค่…เป็นแบบนั้นละครับ ในตอนนั้นผมเพียงแค่อยากทำแบบนั้น ผมไม่อยากมานั่งกังวลเรื่องภายในบ้าน เพราะงั้นผมจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่ซลถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนหนักมากจนเธอร้องไห้ ในตอนนั้นทุกอย่างมันดูน่ารำคาญไปซะหมดเลยครับ”
อันฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ผมเลียริมฝีปากอยู่สักพักหนึ่ง
ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอื่นอีกแล้ว แค่สิ่งที่อันฮยอนพูดมาทั้งหมดนั้นคือจุดจบของเรื่องในตัวมันเองอยู่แล้ว
“นายบอกว่าคุณพ่อก็ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ”
“…ครับ”
“ด้วยการกระโดดน้ำเหมือนกันเลยเหรอ”
“เปล่าครับ เขาอาจจะทนไม่ได้เอง และถูกพบเป็นศพอยู่ที่ริมถนนน่ะครับ”
ทนไม่ได้เองอย่างนั้นเหรอ
ทนอะไรไม่ได้เองล่ะ อันฮยอนส่ายหน้าไปมา เขามีสีหน้าลังเลว่าควรจะพูดมันดีหรือไม่ จากนั้นเขาก็หลุบตาลงมองพื้น แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย
“วันนั้นบ้านเงียบผิดปกติครับ”
“…?”