Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 13
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมพูดออกไปอย่างจริงจังเกินไปหรือเปล่า ใบหน้าของอันฮยอนจึงได้ปรากฏแสงแห่งความขัดแย้งขึ้นมาชั่ววูบ ราวกับว่าเขารู้สึกถึงมัน ในตอนนี้สภาพจิตใจที่วุ่นวายและความกังวลกำลังปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่สามารถปิดบังได้ ผมมั่นใจว่าความตั้งใจของผมถูกส่งไปถึงเขาแล้ว
แต่สุดท้ายแล้ว คำตอบของอันฮยอนกลับเป็นเพียงการก้มหัวลงเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเสียงเล็กๆ ที่กล่าวว่า “ผมขอโทษนะครับ” ก็ดังเข้ามาในหู
เป็นอย่างที่ผมคิด ว่าบางทีผมอาจจะไม่สามารถทลายกำแพงของอันฮยอนลงได้ ผมถอนหายใจออกมาอย่างแรง
เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น บรรยากาศที่เคยสนุกสนานก็เปลี่ยนไป บรรยากาศอย่างนั้นสลายหายไปในพริบตา กลายเป็นบรรยากาศของความไม่สบายใจและความเงียบเข้ามาแทนที่ และความเงียบนั้นยังคงดำเนินต่อไป
ผมเลียริมฝีปากแล้วเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องใหญ่มากเกือบจะเกิดขึ้นกับอันซล นายเองก็รู้ใช่ไหม”
อันฮยอนพยักหน้า แล้วส่ายหัวไปมา เขาอาจจะพอคาดเดาได้จากอาการของอันซล แต่คงไม่รู้ลึกถึงรายละเอียด ความจริง ที่ซลไม่ได้เล่าเรื่องราวโดยละอียดให้เขาฟังอาจเพราะการจะพูดเกี่ยวกับหน้าที่ผู้พิทักษ์นั้นเป็นเรื่องยาก
“ถ้าหากนายทิ้งอันซลไว้ที่นี่ เธออาจจะลำบาก ลำบากอย่างแสนสาหัส นี่ไม่ใช่เพียงแค่การปรับตัว ในอนาคตข้างหน้าฮอลล์เพลนจะต้องเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วแบบนี้ อันซลจะอยู่รอดได้ด้วยนิสัยแบบนั้นเหรอ ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ฉันคอยบอกนายตลอดใช่ไหม เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฮอลล์เพลน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากฉันทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา สถานการณ์อาจจะไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุด หรืออันซลก็สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือได้เหมือนกัน โชคยังดีที่ในครั้งนี้ฉันสามารถหยุดมันไว้ได้ แต่ฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้าหรือเปล่า”
“อย่าบอกนะว่า ซล…”
“หากเป็นเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงบอกออกไปว่า ‘ใช่แล้ว อย่างนั้นนี่เอง ไม่เป็นไร ถ้ามันพูดยาก นายไม่ต้องพูดก็ได้’ เอาเถอะ ความจริงแล้ว ฉันก็สบายๆ อยู่แล้ว ฉันไม่ต้องมาสนใจเรื่องนั้นก็ได้ แค่สนใจแต่เรื่องของตัวเองก็เพียงพอแล้ว”
“…!”
หัวที่ก้มอยู่และไหล่อันอ่อนแรงของอันฮยอนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา แต่ไหนๆ ผมก็ทุบแล้ว เพื่อที่จะทลายกำแพงที่มั่นคงนี้ ผมคงจำเป็นต้องพูดให้แรงกว่านี้อีกหน่อย ก่อนอื่นผมคิดว่าจะทำให้อันฮยอนรู้และเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เสียก่อน และในลำดับต่อไป ผมจะต้องทำให้ความรู้สึกเขาสั่นไหวให้ได้
“แต่…ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้วสินะ หมายถึงเมื่อก่อนน่ะ คิมฮันบยอลเคยถามฉันที่สถาบันผู้เล่น ว่าทำไมฉันถึงไม่เข้าไปเป็นสมาชิกของเผ่าสิงโตทอง ทำไมฉันจึงเตะโอกาสดีๆ แบบนี้ทิ้งไป แล้วตอนนั้นฉันตอบอะไรไปนะ”
“…”
“ฉันไม่ใช่คนดีอย่างที่พวกนายคิดหรอกนะ ฉันยังมีความระแวงอยู่อีกมาก และเชื่อใจใครไม่เป็น แต่อย่างที่ฉันพูด ว่าโลกที่ชื่อฮอลล์เพลนนั้นไม่ใช่โลกที่จะสามารถอยู่โดยลำพังได้ ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะอยู่ร่วมกันและต้องมีเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือ ดังนั้นฉันจึงตอบกลับไปว่าฉันจะสร้างเผ่าของฉันขึ้นมาเอง เผ่าที่เป็นเหมือนครอบครัว ที่มีเพียงแค่คนที่ฉันจะสามารถเชื่อใจได้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม”
“ครอบครัว…หรือครับ”
ทันทีที่ผมพูดคำว่า ‘ครอบครัว’ ออกไป ดวงตาของอันฮยอนก็สั่นระริก ผมไม่มีทางพลาดปฏิกิริยาเช่นนั้นเป็นอันขาด หลังจากที่ดื่มเหล้าที่ยังเหลืออยู่ในขวดให้ชุ่มคอแล้ว ผมก็พูดสิ่งที่เตรียมมาต่อ
“ฉันตัดสินใจทิ้งเผ่าสิงโตทองไป แต่พวกนายเองก็เผชิญสถานการณ์นั้นเหมือนกันๆ เพราะฉันปฏิเสธข้อเสนอของเหล่าเผ่าแกนนำไป นายพูดมาตรงๆ เลยดีกว่า ตอนนั้นฉันนิสัยไม่ดีเลยใช่ไหม ทุกสิ่งที่ฉันมีก็เพียงแค่เหรียญทองสองเหรียญจากสถาบันผู้เล่น และเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกนายก็ยังตามฉันโดยไม่พูดอะไรสักคำ และที่จัตุรัสพวกนายก็มอบเหรียญทองที่ได้มาให้ฉันทั้งหมด ตอนนั้นนายว่าฉันจะรู้สึกยังไงล่ะ”
“พี่…”
“ฮยอน ลองคิดดูนะ ฉัน นาย ซล แล้วก็ยูจองน่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่พิธีเปลี่ยนสภาวะจนกระทั่งถึงตอนนี้เลยนะ ตอนนี้พวกเราเป็นมากกว่าคนรู้จักเสียอีกนะ เพราะแบบนั้นฉันจึงไม่สามารถปล่อยไว้เฉยๆ ได้อีกต่อไปแล้ว เราต่างก็รู้ดีว่าถ้ายังไปกันต่อทั้งแบบนี้ สักวันอันซลอาจจะทำพลาดได้ ดังนั้นเราควรจะปล่อยให้มันเป็นไปเพียงเพราะเราไม่อยากพูดถึงมันอย่างนั้นเหรอ”
อันฮยอนส่ายหน้าเบาๆ เบามากจริงๆ เป็นการส่ายหน้าที่รู้สึกว่าเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติมากกว่าจะเกิดจากความตั้งใจเสียเหลือเกิน
ตอนนี้มาถึงนาทีสุดท้ายแล้ว ผมมองเข้าไปในตาของอันฮยอนตรงๆ แล้วพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“ฮยอน อย่าวิ่งหนีอีกต่อไปเลย เรามาลองกันสักตั้งเถอะ พี่จะช่วยเอง เหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงเดี๋ยวนี้ หืม?”
“อ้า…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของผม เขาก็ทำหน้าเหมือนลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร ตาของเขาสั่นไหว ริมฝีปากเริ่มเผยอออก ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ผมไม่ได้หลบสายตาแบบนั้นของเขา
สายลมหยุดนิ่งลงแล้ว บรรยากาศรอบตัวก็เงียบลงจนได้ยินเสียงแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ไม่กี่อึดใจต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหน้า
“เฮ้อ…ใช่แล้วครับ”
“…?”
ผมจะบรรยายใบหน้าของอันฮยอนที่ผมหันไปมองอีกครั้งอย่างไรดี ดวงตาเหม่อลอยว่างเปล่า ริมฝีปากเผยอออก เขาดูไร้เรี่ยวแรง แวบแรก อาจจะดูเหมือนโล่งใจ แต่หากมองอีกครั้ง ก็ดูราวกับว่าเขากำลังลุ่มหลงไปกับบางอย่าง
“พี่พูดถูกแล้วครับ ซลน่ะ…ทำตัวแปลกนิดหน่อย ไม่สิ แปลกมากเลยต่างหาก เมื่อเทียบกับอายุของเธอแล้วน่ะครับ”
ในที่สุดอันฮยอนก็พูดออกมาเป็นคำแรก ในใจที่เคยปิดตายแน่นสนิท ตอนนี้เริ่มเผยช่องว่างออกมาหน่อยแล้ว และเพื่อเปิดช่องว่างนั้นให้มากขึ้น ผมรีบตอบออกไปในทันที
“นั่นสิ ฉันเองก็คิดว่ามันต้องมีปัญหาแน่ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะอายนะ หรือไม่จริง คนรุ่นใหม่อย่างน้อยหนึ่งคน ก็ต้องมี…”
“ไม่ครับ ไม่ใช่ พี่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ บอกว่าไม่ใช่แบบนั้นยังไงล่ะครับ”
และในตอนนั้นเองแววตาของอันฮยอนก็วูบขึ้นมา เขาถอนหายใจยาวออกมาราวกับออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดภายในร่างกาย หลังจากนั้น…
“ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ความเครียดของซลน่ะครับ ไม่ถึงขนาดที่ใช้คำพูดสวยหรูแบบนั้นได้หรอกครับ ครับ ใช่ครับ ซลของพวกเราเป็นเด็กที่มีความพิการทางสมองครับ”
‘เหมือนเป็นผู้ป่วยโรคจิตเลยนะคะ’
จู่ๆ คำพูดที่โกยอนจูเคยพูดเมื่อก่อนนี้ก็ผ่านเข้ามาในหัว
“…แล้วซลรู้เรื่องนี้ด้วยไหม”
“น่าจะรับรู้บ้างครับ เพราะผมพาเธอไปโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง แต่เธออาจจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้น่ะครับ”
แล้วนี่มันอะไรกันอีก? เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ผมก็ได้เห็นสีหน้าขมขื่นของอันฮยอน เขาพูดต่อช้าๆ
“เมื่อไม่กี่ปีก่อน เธอเคยตกอยู่ในภาวะสูญเสียความทรงจำครับ ไม่ใช่ทั้งหมดแต่เป็นบางส่วนน่ะครับ ถ้าหากพี่ลองถามอันซลดู เธออาจะตอบมาไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำนะครับ”
“อะไรนะ….?”
‘ภาวะสูญเสียความทรงจำอย่างนั้นเหรอ’
มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าอันซลจะมีความพิการทางสมอง อันฮยอนยังคงพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจผม
“พอมาคิดดูแล้ว ผมก็พาเธอไปโรงพยาบาลมาหลายที่แล้ว จริงๆ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับสมองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่พอไปหลายที่เข้า แต่ละโรงพยาบาลที่ไปก็พูดไม่เหมือนกันเลยครับ โรคจิตเภทบ้างล่ะ เป็นเพราะโรคหลายบุคลิกบ้างล่ะ บ้างก็บอกว่าเป็นโรคไบโพลาร์, โรคหลงผิด, หรือภาวะผิดปกติจากเหตุการณ์ที่รุนแรง บางทีก็ว่าเป็นฮีสทีเรีย และยังมีอาการเครียดรุนแรงอีก ฮ่าๆ พวกเขาบอกว่าเดิมทีก็เป็นแบบนั้นน่ะครับ โลกของจิตใจมนุษย์น่ะลึกซึ้ง และเพราะซลซับซ้อนเป็นพิเศษ การจะสรุปผลวินิจฉัยขั้นสุดท้ายในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นจึงเป็นเรื่องยากครับ”
“…อย่างนี้นี่เอง แล้วภาวะสูญเสียความทรงจำนี่หมายความว่ายังไงเหรอ”
“อ้า…พี่รู้จักอาการที่เรียกว่าภาวะความจำบกพร่องเนื่องจากการกระทบกระเทือนทางอารมณ์อย่างรุนแรงหรือเปล่าครับ เอ่อ…ที่เมื่อก่อนเรียกกันว่า การลืมที่เกี่ยวข้องกับการกระทบกระเทือนทางจิตใจน่ะครับ”
ผมพยักหน้าลงอย่างยากลำบาก ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องโดยละเอียด แต่ก็พอรู้ถึงอาการของโรคบ้าง พูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นโรคที่ทำให้ไม่สามารถนึกถึงความทรงจำในอดีตที่สำคัญได้ ในกรณีที่อาการหนัก จะแสดงอาการอื่นๆ ออกมาด้วย เช่น สับสน, ซึมเศร้า, อาการวิตกกังวล, สภาพถดถอยทางอายุ, ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย, ความผิดปกติทางมนุษยสัมพันธ์ เป็นต้น
ผมรีบตั้งสติทันที และรีบควบคุมสีหน้าโดยเร็วเพราะคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก
“ถ้าอย่างนั้น…เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นล่ะ”
“เกิดเรื่องขึ้นกับอันซล…แน่นอนครับ”
“แล้วมันคือเรื่องอะไรล่ะที่ทำให้อันซลต้องเผชิญกับอาการผิดปกติทางจิตขนาดนี้”
อันฮยอนไม่ได้ตอบผมกลับมา เขาทำเพียงแค่หลุบตาลงมองพื้นด้วยใบหน้าหนักใจเท่านั้น แต่ก็เพียงครู่เดียว สายตาของเขาฉายแววเศร้าออกมา ราวกับว่าเขากำลังนึกถึงบางอย่าง จากนั้นเขาก็เริ่มเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมและอันฮยอน เราต่างสบตากัน
อันฮยอนพูดขึ้นมาหลังจากนั้น
“แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง…แต่ซลของพวกเราไม่ใช่เด็กที่ผิดปกติมาแต่กำเนิดหรอกครับ เธอทั้งใสซื่อและเปราะบางเหลือเกินตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มากเท่าตอนนี้ครับ”
ในที่สุดเรื่องราวในอดีตของอันฮยอนและอันซลก็เริ่มต้นขึ้นจนได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด ความอยากรู้อยากเห็นจึงพุ่งสูงขึ้น แต่ผมก็พยายามที่จะกดมันเอาไว้
นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่แค่ฟังให้จบๆ ไป แต่ผมจะต้องหาปมที่จะแก้ปัญหาของอันซลจากเรื่องที่อันฮยอนเล่ามาให้เจอ เพราะแบบนั้น ผมจึงจำเป็นต้องตั้งใจฟังคำพูดทุกคำอย่างลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะมีเบาะแสออกมาจากส่วนใด
ผมทำท่าตั้งใจฟังและให้ความสนใจกับรายละเอียดอย่างช้าๆ
“พี่ เมื่อก่อนที่บ้านของเราน่ะครับ เราเป็นครอบครัวที่ไม่ขาดเหลืออะไรเลย คุณพ่อที่มีงานการมั่นคง คุณแม่ที่มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล และผมที่ชอบสร้างปัญหาไปทั่วไม่เว้นแต่ละวันกับซล น้องสาวที่แม้จะขี้ขลาดไปมากแต่ก็ใจดี เป็นครอบครัวแสนธรรมดา…ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งครับ”
ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาการผิดปกติทางจิตของอันซลเกิดขึ้นในภายหลังจากปัจจัยบางอย่าง
ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วตั้งใจฟังต่อไป
“เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งครับ ผมกลับบ้านมาหลังจากเที่ยวเล่นอย่างเต็มที่ คุณพ่อกับคุณแม่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงอยู่ครับ ‘นี่ ไอ้ชาติหมา จะทำไมอีนี่’ ถึงขั้นที่มีคำด่าพวกนี้ออกมาด้วยครับ”
“นั่นรุนแรงมากทีเดียวนะ ทำไมจึงทะเลาะกันแรงขนาดนั้นล่ะ มีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของคุณพ่อครับ หากดูภายนอกท่านก็ปกติดี แต่หากรู้จักจริงๆ แล้วจะรู้ครับว่าท่านติดการพนันน่ะครับ พอคุณแม่รู้ความจริงข้อนี้ ในที่สุดท่านก็คิดเรื่องหย่าครับ”