Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 12
หลังจากการทานอาหารเสร็จสิ้นลง พวกเราก็เริ่มคุยเรื่องค่าอุปกรณ์กัน แต่ในตอนนี้มันคงไม่ได้มีความหมายมากเท่าใดนัก ผมเพียงแค่จะตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่เรามีเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง และถึงแม้จำนวนอุปกรณ์ของเราจะมีมากมาย แต่ถ้าหากเริ่มแจกจ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ล่ะก็ จะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นแน่
ดังนั้นเพื่อที่จะรักษาบรรยากาศดีๆ นี้เอาไว้ ผมจึงเลื่อนการแจกจ่ายออกไปโดยบอกให้แต่ละคนลองคิดถึงอุปกรณ์ที่ตนอยากได้ดู
การทานอาหารเป็นไปด้วยความสนุก และการสรุปผลเรื่องอุปกรณ์ก็จบลงแล้วเช่นกัน ผ่านไปสักพักแล้วหลังจากที่เราจัดงานรวมตัวขึ้น แม้ช่วงเวลาเย็นย่ำจะเปลี่ยนผ่านสู่ราตรีดึกสงัด แต่งานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่กลับกันพวกเขาต่างจับกันเป็นกลุ่มเล็กๆ สี่ห้าคนระหว่างคนที่คุยกันถูกคอ และสนุกไปกับการดื่มเหล้า
ผมเจอเข้ากับอันฮยอนที่กำลังเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติขณะกำลังมองไปที่เหล่าสมาชิกคนอื่นๆ
“ลูกผู้ชาย~ น้ำตา~ อ่อนแอ อย่าด่าผมมม~”
ดูเหมือนว่าเขาจะเมามากแล้ว อันฮยอนถือขวดเหล้าไว้ในมือพร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วย ข้างๆ กันนั้นมีชินแจรยงที่ดันเข้ากันพอดีอย่างไม่ได้ตั้งใจกำลังเหงื่อแตกพลั่กๆ อยู่
“พี่แจรยง พวกเราเป็นเกลอกันนะครับ เป็นสหาย”
“ฮะฮ่า ใช่ ใช่แล้วล่ะ”
“สหายผักห่อ! มา อีกแก้วพี่”
“แต่ว่านายน่ะ ดูจะเมามากแล้วนะ”
“ตอนนี้ยังหวายยย…”
ความจริง ผมมองดูอันฮยอนมาสักพักแล้ว เพราะผมต้องเฝ้ารอไทม์มิ่งว่าเมื่อไรจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะพูด
หลังจากกังวลอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เดินไปยังที่ที่วงเหล้ารวมตัวกันอยู่ ผมว่าตอนนี้ล่ะ ที่อันฮยอนกำลังสนุกเต็มที่ และความสนใจของสมาชิกคนอื่นๆ กำลังกระจัดกระจาย คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
เมื่อผมล้วงมือลงไปในกองขวดเหล้าที่กองพะเนินเป็นภูเขา ผมก็เจอเหล้าสองขวดที่ยังมีน้ำสีเขียวอ่อนอยู่ภายในที่เกือบล่างสุดของกอง นี่คือสิ่งที่ผมขอให้จองฮายอนทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูจะคล้ายโพชั่นมากกว่าจะเป็นเหล้า และมีผลในการทำให้ใจสงบและรวบรวมสติ
ผมก้มตัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถือขวดเหล้าไว้มือละขวด จากนั้นก็ยืดหลังตรงและหันไปมองอันฮยอน ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
“ทำยังไงดีล่ะ ฉันป้อนพี่แล้ว ทีนี้ก็เป็นสหายกันแล้วใช่ไหมคะ คุณชินแจรยง ทิ้งเจ้างั่งนี่แล้วไปสนุกกับเราดีกว่านะคะ เราใช้โอกาสนี้มาสนิทกันเถอะค่ะ”
“นี่ ไม่ได้นะ! เธอนี่มัน!”
เมื่อก่อนหน้านี้ อันฮยอนและชินแจรยงยังเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อันฮยอนถึงได้ล้มพับอยู่แบบนั้น และชินแจรยงที่กำลังถูกอียูจองลากไปด้วยความงุนงง ดูจากแก้มที่พองขึ้นและห่อผักที่ล้นออกมาจากปากของชินแจรยงแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าบางทีหล่อนอาจจะป้อนผักห่อให้เขาcล้วทำให้ความสัมพันธ์กับอันฮยอนร้าวฉานก็เป็นได้
นั่นนับว่าช่างน่าเศร้า แต่ในขณะเดียวกันผมว่านี่ล่ะไทม์มิ่งที่ดี ผมรู้สึกขอบคุณอียูจองอยู่ลึกๆ แล้วจึงก้าวเข้าไปหาอันฮยอนที่กำลังผิดหวัง เขาเอนหลังลงนอนพร้อมถอนหายใจยาวโดยที่ไม่รู้ว่าผมเข้ามาหา
จากนั้นใบหน้าของอันฮยอนก็ดูอารมณ์ดีขึ้นโดยที่ผมไม่คาดคิด นั่นเขามีความสุขอยู่เหรอ
ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่หยุดเดิน และผมก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว อันฮยอนยังคงฮัมเพลงอยู่
“ลูกผู้ชาย…น้ำตา…อ่อนแอ อย่าด่าผมมม…”
“อันฮยอน”
“อะไร…เอ๋? พะ พี่? ตายล่ะ คุณคนดังมาทำอะไรที่นี่…”
เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงผม อันฮยอนก็เงยหน้าขึ้นมองทันที
ผมยกขวดเหล้าที่ถืออยู่ขึ้นมาและพูดขึ้น
“ดื่มกับพี่เถอะ แค่เราสองคน”
“โอ๊ะ! พี่นี่มาช่วยชีวิตผมจริงๆ โฮะๆ”
บางทีอาจเป็นเพราะผมชวนเขาไว้ก่อนแล้ว อันฮยอนจึงพยักหน้าอย่างยินดี ผมชกสีข้างของเขาที่กำลังพูดฉอดๆ ว่า “ฮ่าๆ! พี่เลือกฉัน! เห็นหรือเปล่า อียูจอง?” แล้วจึงเดินออกมาให้ไกลที่จัดงานที่สุดเท่าที่จะไกลได้
หลังจากที่ย้ายมายังที่ที่ลับตาที่สุดแล้ว ผมก็ค่อยใจเย็นลงบ้าง ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งอันฮยอนและอันซลต่างก็หลีกเลี่ยงอย่างมากที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา แล้วถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร กุญแจสำคัญอาจจะเป็นการทำให้อันฮยอนยอมเปิดปากก็ได้
เราเดินมาประมาณสองนาที เป็นค่ำคืนที่เงียบสงัดแต่ผมก็ยังคงได้ยินเสียงอันฮยอนฮัมเพลงดังมาจากข้างหลัง ผมมองไปรอบตัวอย่างคร่าวๆ แล้วจึงหยุดเดินที่บ่อน้ำในสวน คงเป็นเพราะแสงจันทร์ที่ทอประกายสวยงาม แสงนั้นจึงสะท้อนสีเงินขาวนวลอยู่บนผิวน้ำและขับไล่ความมืดให้ออกไป
“โอ๊ะ เราจะดื่มกันที่นี่เหรอครับ แล้วทำไมต้องมาถึงนี่…”
อันฮยอนนั่งลงด้วยรอยยิ้มและหันมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นเขาก็สะดุ้งแล้วโอบกอดตัวเองไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง
“พี่ หรือว่า…?”
“…?”
“พี่ พี่ ถ้าทำแบบนี้จะลำบากนะครับ อ้า…ไม่สิ ถ้าเป็นพี่ล่ะก็…บางทีอาจไม่เป็นไร…”
“ขืนพูดออกมาอีกคำ ฉันทำให้นายสร่างเมาแน่”
ผมคำรามออกมาและขว้างขวดเหล้าที่ถืออยู่ในมือขวาออกไปอย่างแรง อันฮยอนหัวเราะคิกคักและแม้จะเป็นระยะใกล้ แต่เขาก็รับขวดเหล้าที่โยนไปได้พอดีเลยทีเดียว ผมนึกชื่นชมเขาในใจแล้วจึงเปิดฝาขวดในมือข้างซ้าย
“งั้น ชน”
“ครับ! แต่ว่าเราจะดื่มจากขวดกันเลยเหรอครับ”
ผมพยักหน้ากลับไปเงียบ ๆ
เสียงขวดกระทบขวดดังขึ้นให้ได้ยิน ผมดื่มก่อนหนึ่งอึก ทันทีที่ของเหลวเย็นจัดไหลผ่านลำคออย่างนุ่มนวล ความตื่นเต้นที่เคยมีก็เริ่มสงบลงและรู้สึกสบายมากขึ้น
ผมประเมินรสสัมผัสแสนสดชื่นภายในปาก แล้วมองตรงไปเบื้องหน้า และเห็นอันฮยอนกำลังหันหน้าไปดื่มพร้อมเอามือรองขวดไว้อย่างมีมารยาท
“อ้า ถึงจะไม่เข้มมาก แต่ก็ใช้ได้อยู่นะครับ ความรู้สึกตอนไหลผ่านคอก็ดี แถมเหมือนสมองจะปลอดโปร่งขึ้นด้วยนะครับ”
“งั้นเอาอีกไหมล่ะ”
อันฮยอนพยักหน้าด้วยใบหน้าสงสัย ผมกำลังรอเวลาให้ยาออกฤทธิ์ ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพเมามายเสียแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลุกจิตสำนึกของเขาขึ้นมา อย่างน้อยก็ให้มากพอที่จะคิดแบบปกติได้
ผมตั้งใจไม่พูดอะไรออกไปหลังจากนั้น ทำเพียงแค่ดื่มเหล้าไปเรื่อยขณะที่สนับสนุนคำพูดของอันฮยอนโดยไม่พูดไม่จา
และเมื่อดื่มหมดไปประมาณครึ่งขวด ผมก็รู้สึกได้ว่าการออกเสียงที่เคยยานคางนั้นค่อยๆ ฟังดูชัดเจนขึ้น รวมทั้งแววความเฉลียวฉลาดที่กลับคืนสู่นัยน์ตาที่เคยมองดูเลือนรางของเขา ผมคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่ผมจะเริ่มพูดเสียที
เสียงของอันฮยอนที่เคยบ่นงึมงำมาจนถึงเมื่อครู่ค่อยๆ เงียบหายไปจนผมสัมผัสว่าเขาเอาแต่เงียบอย่างน่าแปลก
และแล้ว
“พี่ พี่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ ตั้งแต่เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำนี่ครับ”
อันฮยอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงกว่าก่อนหน้านั้นมาก ผมพยักหน้าเงียบๆ พลางนึกไปว่ายาอาจจะค่อยๆ แพร่กระจายไปบางส่วนแล้ว
“ใช่แล้วล่ะ ฉันมีบางอย่างอยากจะถามนาย ดังนั้นจึงตั้งใจเตรียมสถานการณ์นี้ไว้ เพราะมีบางอย่างที่ฉันสงสัยเกี่ยวกับอันซล”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แหม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ลองถามมาเถอะครับ ถ้าเป็นพี่ล่ะก็ ผมจะตอบทุกอย่างเกี่ยวกับซลเลย… “
“อันฮยอน ฉันไม่ได้กำลังพูดเล่นนะ ฉันกำลังจะถามเกี่ยวกับอดีตและจิตใจของอันซล”
ทันทีที่ผมพูดจบ อันฮยอนก็ปิดปากฉับราวกับเป็นเรื่องโกหก ผมเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขา สีหน้ารื่นเริงที่ผมเคยเห็นหายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ใบหน้าของอันฮยอนตอนนี้มีแต่ความสับสนอยู่เต็มเปี่ยม
หากเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ถาม แต่ในครั้งนี้ผมคิดว่าผมไม่สามารถถอยหลังได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยความคิดนี้ทำให้เสียงที่พูดออกไปหนักแน่นมากขึ้น
“นายเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันจะสามารถถามได้ ดังนั้นหวังว่านายจะพูดออกมาแบบสบายๆ ได้นะ รู้ใช่ไหมว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“…”
จู่ๆ ก็มีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเราไป
อันฮยอนเงียบไปสักพัก เขาปิดปากแน่นแล้วเอาแต่เหม่อมองพื้นด้วยแววตาที่ว่างเปล่า แต่เปลือกตาของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย ปากที่ปิดสนิทถูกเม้มเบาๆ
ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ จู่ๆ อันฮยอนก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่มันกลับเป็นยิ้มกว้างที่ดูฝืนชอบกล
“ฮะ…ฮ่าๆ พี่เองก็ เดี๋ยวก่อนนะ อ้า ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับ ขอโทษนะครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ แต่ว่าเรื่องนั้นก็ยากที่จะบอกน่ะครับ มันมีคำว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ อยู่น่ะครับพี่ ผมขอให้พี่เคารพตรงนี้หน่อยนะครับ ฮ่าๆ”
“อันฮยอน”
“…พี่ ผมขอบอกพี่ทีหลังจะได้ไหมครับ ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย…ขอร้องนะครับ ได้โปรดให้เวลาผมคิดหน่อย ผมอยากจัดการความรู้สึกของตัวเอง และก็อยากสนุกไปกับบรรยากาศตอนนี้อีกสักหน่อยน่ะครับ”
น้ำเสียงของอันฮยอนในตอนนี้ กลายเป็นน้ำเสียงที่เกือบจะอ้อนวอน แม้ว่าตัวผมเองก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้จริงๆ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้แล้วตั้งแต่แรกออกไป ถ้าเช่นนั้น ตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีผมต้องโน้มน้าวใจเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียแล้ว
ผมหลับตาลงช้าๆ ค่อยๆ ทำให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นและพูดต่อ
“ฮยอน”
ในตอนนั้น ก็เป็นอีกครั้งที่อันฮยอนหยุดพูดไป เขาเบิกตากว้างแล้วจ้องมองมาที่ผม พร้อมๆ กับปากที่ค่อยๆ อ้าออกกว้าง ในดวงตาของเด็กชายเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ตกใจ
ผมไม่เคยเรียกชื่อเด็กๆ ไม่สิ แม้กระทั่งสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วยชื่อเฉยๆ เลยสักครั้ง ผมมักจะเรียกพร้อมนามสกุลเสมอ นั่นก็เพื่อเป็นการสร้างกำแพงให้กับตัวเองและรักษาระยะห่าง
บางทีผู้คนรอบตัวผมอาจจะรู้สึกถึงมันอย่างไม่ชัดเจนนัก ผมเคยสงสัยเมื่อจองฮายอนขอให้ผมเรียกเธอด้วยชื่อ แต่ในครั้งนี้ ผมเป็นฝ่ายทลายกำแพงนั้นลงด้วยตัวเอง
ผมพูดต่อเบาๆ ไปทางอันฮยอนที่ทำสีหน้าแบบไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
“ฉันว่า…ถ้าไม่ใช่วันนี้ ไม่สิ ตอนนี้ ฉันก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“พี่ ได้โปรด…”
“นายกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่ การเก็บซ่อนไว้ไม่ได้ช่วยแก้ให้ทุกอย่างดีขึ้นหรอกนะ”
“แต่ พี่ แต่ว่า…”
“ฮยอน นายจำสิ่งที่ฉันเคยบอกนายก่อนหน้านี้ได้ไหม ฉันบอกนายไปว่าอย่ากลัว บอกให้ข้ามผ่านความกลัวและเผชิญหน้ากับสาเหตุของความกลัวนั้นตรงๆ นั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้นายสามารถเอาตัวรอดและปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เรียกว่าฮอลล์เพลนนี้ได้”