Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 16
แก้มของอีกาอินเต็มไปด้วยรอยแดง ส่วนที่ปากนั้นมีเลือดกำลังไหลซึมออกมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ผมได้ยินเสียงตะโกนกรีดร้องเบาๆ ของแพคซอยอนอยู่แว่วๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย และจึงหันหน้าไปหาโกยอนจู
“โกยอนจู ช่วยแก้มัดทีครับ”
“คะ? แพคซอยอนน่ะเหรอคะ”
“ครับ มัดขาไว้เหมือนเดิม แต่ช่วยแก้มัดตรงส่วนอื่นๆ ทั้งหมดเลยครับ”
“ซูฮยอนนี่น้า ใช้ได้เลยนะคะเนี่ย รับทราบค่า~”
โกยอนจูขำกิ๊กและปัดมือไปมาเบาๆ ทันใดนั้นกลุ่มเงาที่ยึดร่างของแพคซอยอนจึงค่อยๆ หายไป วินาทีนั้นร่างของหล่อนเกิดกระตุกขึ้นมาครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นแพคซอยอนจึงเริ่มตะเกียกตะกายมาตรงกึ่งกลางโดยทันที อาจเพราะรู้ตัวว่าตัวเองหลุดพ้นพันธะแห่งกลุ่มเงานั้นแล้ว
“กำลังทำบ้าอะไรกันอยู่! ไอ้โง่เอ๊ย!”
ไม่ว่าแพคซอยอนจะตะโกนอย่างไร แต่ทว่ามือของชินอายองก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด จนในท้ายที่สุด แพคซอยอนตะเกียกตะกายมาถึงตรงกลางได้สำเร็จ และผลักชินอายองออกไปอย่างเต็มแรง เกมการต่อสู้ของทั้งสองจึงเกิดการหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
“ชินอายอง! แกบ้าไปแล้วหรือไง ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากำลังหลงคำพูดไอ้หมอนั่นอยู่น่ะ”
แพคซอยอนถลึงตาใส่ ชินอายองจึงก้มหน้ามองหล่อนเล็กน้อย พอศีรษะของอีกฝ่ายโน้มลงมาจนถึงหัวไหล่ แพคซอยอนจึงโผจับเข้าที่ใบหน้าของชินอายอง
“ตั้งสติหน่อยสิ! เธอ…”
และในนาทีที่แพคซอยอนกำลังจะเปิดปากเพื่อพูดอีกครั้งหนึ่ง มีเสียงหนึ่งเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาผ่านดวงหน้าที่กำลังถูกปกคลุมไปด้วยเส้นผม
“…ถอยไป”
“วะ ว่าไงนะ”
“บอกให้ถอยไป อีสารเลว!”
“แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย…?”
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นก็เพราะแกทั้งนั้น! ถึงแกจะไม่มาบังคับให้ฉันเป็นพวกสะกดรอยก็ตามเถอะ! แต่ที่ฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งหมดก็เพราะแก! แกคนเดียว!”
ชินอายองผลักแพคซอยอนที่กำลังคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงใกล้จะร้องไห้เต็มทีออกไปให้พ้นทางอย่างแรง แล้วเดินไปหาอีกาอินอีกครั้งหนึ่ง หล่อนมีสีหน้าเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงยื่นมือออกไป
ในวินาทีที่มือของชินอายองเอื้อมเข้าไปถึงตัวอีกาอินได้สำเร็จอีกครั้ง แพคซอยอนก็เข้ามาจับเปียยาวของชินอายอง ดวงหน้าของชินอายองไม่สามารถต้านทานกับพลังนั้นได้ จึงทำให้หน้าของหล่อนเงยขึ้นไปมองบนฟ้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้อันบ้าระห่ำ
“ปล่อย! ไม่ปล่อยใช่ไหม! บอกให้ปล่อยไงวะ!”
“เธอ…หยุดซะทีเหอะ! ตั้งสติหน่อย ยัยบ้าเอ๊ย!”
“ยะ…หยุด หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
ชินอายองส่ายหัวไปมา แล้วจึงค่อยหมุนกายหันไปประจันหน้ากับแพคซอยอน หล่อนดูทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อที่จะเอาชนะศึกในครั้งนี้ให้ได้ แต่แล้วในท้ายที่สุดเปียยาวของหล่อนก็ยังคงถูกจับตรึงไว้เช่นเดิม ต่างคนต่างขยุ้มหัวกัน เกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น ตบหน้ากัน และข่วนแก้มกันไปกันมาอยู่อย่างนั้น
“คิก”
ในตอนนั้นเองผมได้ยินเสียงขำน้อยๆ ดังขึ้นมาจากที่ใดสักที่ พอผมหันมองด้านข้างจึงพบเข้ากับนักบวชหญิงที่ผมรั้งไว้เมื่อครู่นี้ นักบวชหญิงกำลังมองดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้น พร้อมกับเอามือป้องปากกันเสียงหัวเราะ ไหล่สั่นตัวโยนเบาๆ
“สนุกหรือครับ”
นักบวชหญิงคนนั้นหยุดหัวเราะทันทีหลังจากที่ผมพูดออกไปอย่างเคร่งขรึม หล่อนลดมือลง แล้วจึงตอบคำถามกลับมาด้วยสายตาที่ผมรู้สึกได้ถึงความตรงไปตรงมาในแววตานั้น
“ค่ะ สนุกมาก ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ทั้งดีใจ หมดห่วง ในใจฉันรู้สึกสดชื่นมากๆ เลยแหละค่ะ จนถึงขนาดจะบ้าตายเลยก็ว่าได้”
“อย่างนั้นหรอกหรือครับ จะว่าไปก็แอบยากอยู่เหมือนกันนะครับ ดูยากเหมือนกันว่าใครจะชนะ”
“งั้นก็ฆ่าพวกมันทิ้งไปให้หมดๆ เลยไม่ได้หรือคะ”
“ไม่ได้น่ะสิครับ ผมให้สัญญาไว้แล้วนี่นาว่าจะไว้ชีวิตคนที่เอาชนะได้น่ะ”
“อ้าว น่าเสียดายแฮะ เอ๊ะ?”
นักบวชผู้นั้นอุทานออกมาเสียงใสแจ๋ว เหมือนกับค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่โตจนน่าตกใจ พอผมหันหน้ากลับไปมองตรงกลางอีกครั้งหนึ่ง จึงได้พบกับภาพเหตุการณ์ที่ตัวผมนั้นคาดไม่ถึง
“หยุด!”
สภาพของแพคซอยอนและชินอายองน่าขำกว่าที่คิด ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลือดกำเดาไหลทะลัก มิหนำซ้ำปากยังเยิน มีเลือดไหลอาบ และแล้วอีกาอินจึงโผล่พรวดเข้ามาแทรกระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน ไม่รู้ว่าหล่อนไปฮึดสู้เอาพลังมาจากไหนกัน ในระหว่างที่ต่างคนต่างกำลังถอนหายใจทิ้งยาวๆ อยู่นั้น ผมจึงค่อยๆ ยันกายขึ้น และในตอนนั้นเอง
“ฮึก…ฮือ”
อีกาอินส่งเสียงร้องไห้ ไม่ก็เสียงสะอึกสะอื้นเล็กๆ ออกมา หล่อนเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจึงมองมาที่ผม
ใบหน้าของอีกาอินนั้นเหม่อลอยและดูว่างเปล่ามากกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ทว่าผมกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างไป หล่อนกำลังจ้องผมด้วยแววตาที่มั่นคงและแน่วแน่ ซึ่งแววตาในครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่ก่อนโดยสิ้นเชิง
เราสองคนต่างคนต่างสบตามองกัน ต่อมาผมจึงก้าวย่างเข้าไปตรงกลางลานนั้น
อีกาอินหันหน้ากลับมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองไปยังทางที่อีแฮอินกำลังล้มพับอยู่
และแววตาที่หันกลับมามองผมอีกครั้งหนึ่งนั้น เหมือนมีประกายอะไรบางอย่างกำลังเปล่งออกมา ร่างกายของหล่อนเกิดอาการแข็งเกร็งครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นหล่อนจึงค่อยๆ อ้าริมฝีปากออกมาอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดอะไรแต่อย่างใดเลย สุดท้ายแล้วข้างในโพรงปากหล่อนนั้นมีของเหลวเหนียวข้นบางอย่างไหลพรวดออกมา
“กะ…กาอิน?”
“อ้า…”
“กาอิน! กาอิน!”
“หรือว่า…”
ไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้นักบวชกำลังอยู่รอดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่อย่างไร เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดได้บังเอิญเกิดขึ้นมา ทำเอาผมรู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แล้วผมก็ได้ตั้งสติ ควบคุมอารมณ์อย่างฉับไว แล้วจึงก้มมองสำรวจสภาพของอีกาอินอย่างรวดเร็ว
ผมบีบปากที่กำลังสั่นเทิ้มให้อ้าออกมา แล้วจึงสัมผัสเข้าที่ด้านใน ผมรู้สึกได้ว่าลิ้นของหล่อนถูกหั่นขาดไปเกือบครึ่ง พร้อมกับเลือดอุ่นๆ ในปาก หล่อนคงจะกัดลิ้นตัวเอง อาจเป็นเพราะไม่สามารถทนอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ผมได้แต่จิ๊ปากแล้วจึงค่อยยืดกายกลับมาตรงดั่งเดิม
“กัดลิ้นตัวเองเลยนะเนี่ย”
“กาอินน่ะเหรอ กาอิน! กาอิน!”
“โธ่เว้ย หนวกหูชะมัด”
พลั่ก!
“อึก!”
ทันทีที่เสียงโหวกเหวกโวยวายของแพคซอยอนดังขึ้น หล่อนก็โดนเตะเข้าที่ท้องอย่างจัง จากนั้นก็กลิ้งไปมาบนพื้น ผมถึงกับถอนหายใจพลางจ้องไปที่อีกาอิน ร่างกายของหล่อนยังคงสั่นอยู่เป็นระยะๆ แสดงให้เห็นว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่
ในกรณีที่กัดจนลิ้นขาดนั้น อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งในรูปแบบการช็อกตาย อาการเลือดไหลไม่หยุดและสิ้นใจจากการหายใจไม่ออก ถึงในตอนนี้หล่อนอาจจะยังไม่ตายก็จริง แต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้อย่างแน่นอน
รอบข้างเกิดความเงียบสนิท เสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหูนั้นมีเพียงแค่เสียงถอนหายใจติดต่อหลายครั้งเท่านั้น ผมได้แต่ยืนเกาหัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองแพคซอยอนกับชินอายองสลับกันไปมา หล่อนกำลังเจ็บปวด กุมท้องตัวเองไว้อยู่อย่างนั้น คงเป็นเพราะผลกระทบจากการโดนเตะยังคงหลงเหลืออยู่ ด้านชินอายองนั้นก็กำลังเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าแสนว่างเปล่า
ผมกำลังคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี และแล้วจึงบังเกิดความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว
‘ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดนี้มันจะโอเคไหม’
ผมรีบเรียบเรียงความคิดอย่างฉับไว แล้วจึงก้มหน้ามองชินอายอง ค่อยๆ เปิดปากพูดกับหล่อนว่า
“ทำไงได้เล่า เห็นทีเกมจะต้องจบแต่เพียงเท่านี้แหละ เนื่องจากแพคซอยอนบุกเข้ามา เพราะฉะนั้นผลในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นโมฆะ”
“งั้น…”
“ก็ตายไงล่ะ”
ใบหน้าของชินอายองฉาบย้อมไปด้วยความสิ้นหวัง ผมค่อยๆ หมุนกายอย่างใจเย็น แล้วจึงเดินไปหาโกยอนจู พูดกับหล่อนว่า
“บรรยากาศสนุกๆ ถูกทำลายซะเละเลยนะครับ โกยอนจู เดี๋ยวผมจะกลับไปดูที่ค่ายพักแรมนะครับ ช่วยจัดการให้อีกสี่คนที่เหลือรับทราบด้วย แล้วก็ช่วยจัดการที่นี่…”
วินาทีที่ผมตั้งใจจะหมุนตัวกลับนั้นเอง ผมรู้สึกได้ว่าใครบางคนเข้ามาจับข้อเท้าของผมเอาไว้
เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ผมเห็นแพคซอยอนที่ยังคงกุมท้องด้วยมือข้างเดียวอยู่ข้างใต้ หล่อนคืบคลานเข้ามาด้วยความตั้งใจอันแสนเด็ดเดี่ยว ผมได้แต่สะบัดเท้าเบาๆ
“งั้นใครล่ะที่บุกเข้ามา?”
“…”
แพคซอยอนปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาอีก ผมใช้เท้าบังคับให้หน้าของหล่อนหันไปอีกทางหนึ่ง ส่วนอีแฮยอนนั้นดูเหมือนคลานเข้ามาได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาพฟุบหน้าอยู่กับพื้น และดวงตาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่กำลังค่อยๆ เงยขึ้นมาอย่างยากลำบากนั้นก็อัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวต่อความตายอย่างเห็นได้ชัด
“เธอคนนั้นต้องมาตายเพราะเธอ ไม่สิ จะคนนี้ คนนั้น หรือไม่ก็ผู้ชายคนโน้น ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหรือไม่ ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเธอไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย ฝ่าฝืนกฏกติกาเช่นนี้ สองคนนั้นคงได้มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วล่ะ ว่างั้นไหม”
“…ช่วยด้วย”
ในที่สุดแพคซอยอนจึงได้เอื้อนเอ่ยคำแรกออกมาจากริมฝีปากอันแสนสั่นเทา น้ำเสียงที่เคยแข็งกร้าว กระแทกแดกดันเมื่อครู่ก่อนหน้านี้นั้นได้แผ่วลงไป
ผมรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ธาตุแท้ในจิตใต้สำนึกของผมที่ค่อยๆ ปะทุออกมาอย่างน่าประหลาดนั้นคือ ความทรงจำเมื่อสมัยแรกๆ นั่นเอง ลักษณะท่าทางของใครบางคนได้เข้ามาซ้อนทับลักษณะของแพคซอยอนที่กำลังหมอบอยู่ตรงหน้าผม ผมค่อยๆ ยกเท้าออกจากศีรษะหล่อน ส่วนหล่อนก็ได้แต่ค้างอยู่อย่างนั้นเช่นเดิม
“มันจะอวดดีเกินไปหรือเปล่า มาขอร้องให้ช่วยชีวิตกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้น่ะ”
“งั้นฉันจะให้โอกาสแล้วกันนะ อุ๊ยตาย ไหนลองพูดอีกทีสิจ๊ะ เทลมี~เทลมี~ ฮ่าๆๆ”
“ลองพูดอีกครั้งซิ”
“ช่วย…พวกเราด้วย…ได้โปรด”
ผมแอบขำเล็กน้อย แล้วจึงค่อยเปลี่ยนทิศทางการเดิน ขณะที่ผมก้าวไปได้แค่เพียงสามสี่ก้าว
จึงเกิดเสียง ‘ตึก’ และได้ยินเสียงเหมือนหัวกระแทกลงกับพื้นดินดังขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงอันแสนสั่นเทาที่ดังแว่วเข้ามาในหู
“ฉัน…ขอโทษจริงๆ…ที่เข้าไปขวาง…ระหว่างที่กำลังเล่นเกมกันอยู่…ขอความกรุณาให้ท่านเห็นใจ…ช่วยเมตตารักษาเหล่าสหายของข้าด้วยเถอะ…”
“…”
“ได้โปรด…ขอร้องล่ะค่ะ หากท่านช่วยเหลือพวกเราสักครั้งหนึ่งในตอนนี้…”