Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 9
ซ่า! ซ่า!
ในตอนเช้าท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆครึ้ม แต่เมื่อเราออกเดินทาง ฝนกลับเริ่มกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จู่ๆ ฝนก็ตกหนักโดยไม่มีวี่แววมาก่อนแม้แต่น้อย
แต่ผมก็ไม่ได้เลื่อนเวลาเดินทาง เราไม่ได้เตรียมเสื้อคลุมกันฝนไว้เพราะท้องฟ้าที่แจ่มใส แต่ก็สามารถหาซื้อได้จากร้านค้า และร้านค้าก็อยู่ในระหว่างทางไปวาร์ปเกต ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเลื่อนเวลาออกไป
“อุ๊ย ท่านพี่ ทำไมคนพวกนั้นถึงทำแบบนั้นล่ะคะ”
อันซลไม่สวมผ้าคลุมลงมาทั้งหมด การดึงเสื้อคลุมลงมาปิดบังใบหน้าคงจะทำให้อึดอัด เธอดึงเสื้อคลุมขึ้นเล็กน้อย
ผมและทั้งสามคนมาถึงวาร์ปเกตของโมนิก้าแล้ว ผู้เล่นมารวมตัวกันบริเวณวาร์ปเกตอย่างที่อันซลพูดและพวกเขากำลังตะโกนเป็นเสียงเดียวกันด้วยความไม่พอใจเกี่ยวกับการใช้วาร์ปเกต
“ทำไมถึงไปที่พาเมล่าไม่ได้! ฉันต้องรีบไปนะ!”
“พูดอะไรน่ะ เงียบไปเลยนะ ทางนั้นมัดมือชกตัดเส้นทางการสัญจรไปแล้ว พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ!”
“โอ๊ย! อากาศก็บ้าบอ ทำไมจู่ๆ ไอ้พวกตะวันตกก็พลอยเป็นบ้าไปด้วยเนี่ย! ฝนก็ตก จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่!”
‘ตะวันตกกับทางเหนือถูกปิดเส้นทางงั้นเหรอ เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่’
ผมสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเดินทางไปเมืองทางตะวันออกอยู่แล้ว ผมจับมืออันซลและเริ่มเดินแหวกพวกผู้เล่นเข้าไป
เมื่อไปถึงหน้าวาร์ปเกตก็เห็นผู้เล่นหญิงที่เหงื่อไหลโทรมกายคนหนึ่งกำลังอธิบายสถานการณ์อยู่ มีสัญลักษณ์ของเผ่าอีสตันเทลลอว์อยู่บนหน้าอกที่โค้งนูนของหล่อน
หญิงสาวสูดลมหายใจและหันมาหาพวกเรา
“ไม่ทราบว่าตอนนี้เดินทางไปที่มิวล์ได้ไหมครับ”
“ตอนนี้เส้นทางไปภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคเหนือถูกจำกัดหมดแล้วค่ะ ทางเราจะเปิดฝั่งนี้เอาไว้ก่อน ถ้าหลังจากนี้มิวล์เปิดเส้นทางจึงจะสามารถใช้ได้อีกครั้งค่ะ กรุณารอจนกว่าจะถึงตอนนั้นนะคะ”
“พรินซิก้าล่ะครับ”
“เดินทางได้ค่ะ ชำระค่าผ่านทางที่นี่และรอสักครู่นะคะ ฉันจะเปลี่ยนเส้นทางให้ค่ะ”
ผู้เล่นหญิงชี้ไปยังช่องสำหรับใส่เหรียญทองและวิ่งตึงตังไปทางวงแหวนวาร์ป ดูท่าทางยุ่งมากเพราะวิ่งไปวิ่งมาอยู่คนเดียว
หลังจากจ่ายเงินสำหรับสี่คนแล้ว ผมก็เหลือบมองใบหน้าของอันซล เดิมทีผมพาเธอมาด้วยเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ แต่เพราะเราไม่สามารถเดินทางไปที่มิวล์ได้จึงเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
ใบหน้าของอันซลสงบนิ่ง ไม่สิ บางทีก็หัวเราะเรื่อยเปื่อยเพราะผมจับมือของเธอเอาไว้ ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าเธอคงแค่อยากไปกับผมเฉยๆ เสียงของหญิงสาวที่วิ่งไปทางวงแหวนเวทก็ดังขึ้น
“พรินซิก้าใช่ไหมคะ เชิญค่ะ!”
บางอย่างถูกอำพรางด้วยเสียงฝนตก แต่เสียงนั้นดังมากจนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อหันไปมองด้านหน้าก็เห็นวาร์ปเกตถูกย้อมด้วยแสงสีน้ำเงิน
“ซูฮยอน ไม่เข้าไปเหรอคะ”
“ไปสิครับ”
เมื่อเห็นผมไม่เข้าไปและยืนมองนิ่งๆ โกยอนจูที่ก้าวขาไปแล้วก็หันมามองผม ผมเริ่มนับตัวเลขอย่างใจเย็น
“หนึ่ง สอง…”
และเมื่อถึงสาม ร่างของผมก็หายไปในวาร์ปเกต
* * *
ผู้เล่นคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว ดูท่าจะเชี่ยวชาญด้านความคล่องแคล่วเพราะความเร็วในการวิ่งของเขาสูงมากทีเดียว ชายคนนั้นซึ่งมาถึงหน้าอาคารสูงตระหง่านผลักบานประตูและวิ่งขึ้นบันไดไปทันที
หลังจากผ่านชั้นหนึ่ง ชั้นสองและชั้นสามมาจนถึงชั้นสี่ ไอเย็นจัดกระจายทั่วทางเดินกว้าง ชายผู้นั้นมองรอบๆ ด้วยสีหน้าร้อนใจ จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปทางขวาของทางเดิน
“แฮ่กๆ!”
ชายที่วิ่งไปตามทางเดินมาหยุดหน้าประตูบานหนึ่งซึ่งมีรอยแตกเล็กน้อย เขาหอบหนักและสูดหายใจเข้า จากนั้นก็เปิดประตูพลางตะโกนเสียงดัง
“คิมยูฮยอน! คิมยูฮยอน!”
ปัง!
ประตูเปิดผ่างเต็มแรง ทันทีที่ชายคนนั้นเข้ามา เขาก็ส่งเสียงดังและปิดประตู
มีผู้เล่นหลายคนในห้อง พวกเขายืนล้อมรอบเตียงด้วยสีหน้าหวั่นวิตกและค่อยๆ หันมามองทางประตู พวกเขาขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจนักกับเสียงโหวกเหวกโวยวายของชายคนนั้น
แต่แล้วสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาจากชายหนุ่ม
“มาแล้ว! เขามาแล้ว! คนที่สามารถรักษาคำสาปของแบนชีได้มาถึงแล้ว”
“ว่าไงนะ”
คิมยูฮยอนที่มักจะมีสีหน้าเย็นชาเบิกตากว้างและตะโกน ชายคนนั้นเดินไปที่เตียงและก้มมองหญิงสาวที่นอนอยู่ หล่อนดูอาการร่อแร่เสียจนไม่น่าแปลกใจนักถ้าจะไม่มีทางรอด จนถึงตอนนี้หล่อนเหลือเพียงลมหายใจแผ่วเบา
หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก็วางมือบนไหล่ของคิมยูฮยอนที่ถลึงตาเร่งเอาคำตอบ
“เขามาจากทางใต้ ถึงจะไม่มีอีลิกเซอร์แต่เขาสามารถรักษาคำสาปแบนชีได้”
“ไม่มีอีลิกเซอร์ แต่รักษาได้งั้นเหรอ ผู้เล่นคนนั้นชื่ออะไร”
“ฉันไม่รู้ชื่อเขา อ๊ะ! เขาบอกว่ามาจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ เป็นเผ่าที่โด่งดังมากในโมนิก้าในช่วงนี้”
“ถ้าเป็นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่…ฉันเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง ว่าแต่เผ่าอีสตันเทลลอว์ติดต่อมาบ้างไหม”
ผู้เล่นทุกคนในห้องส่ายหน้ากับคำถามของคิมยูฮยอน ชายคนนั้นพูดด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขารู้สึกอึดอัดใจกับสถานการณ์นี้มาก
“เรื่องนั้นมันสำคัญอะไรเล่า! ในเมื่อสามารถรักษาได้น่ะ!”
“นายพูดถูก ตอนนี้ผู้เล่นคนนั้นอยู่ที่ไหน เราไป…”
“เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับสมาชิกเผ่าสองสามคน ฉันรีบมาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้ ฮเยรินกำลังนำทาง…”
“ขอโทษนะคะ”
ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นและประตูก็ถูกเปิดออก
ผู้เล่นที่สวมเสื้อคลุมซึ่งมีหยดน้ำฝนเกาะพราวปรากฏตัวหน้าประตู พวกเขายังคงสวมเสื้อคลุมบดบังใบหน้าแม้ว่าจะอยู่ในที่ร่มแล้วก็ตาม
* * *
ลมแรงพัดผ่าน เมื่อฝุ่นดินบนพื้นกระทบใบหน้า ผมก็หลับตาลงโดยอัตโนมัติ
ถึงแม้ลมจะพัดผ่านไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดนอกจากการมองเห็นก็ตื่นตัวขึ้น หัวใจที่หวาดหวั่นจากอาการกลัวความตาย ริมฝีปากสั่นระริก เงื้อมมือของปีศาจที่กำลังคว้าศีรษะของผมและพลังความมืดนับไม่ถ้วนที่กำลังเยื้องย่างบนพื้นโลก
ตึง ตึง ตึง
ในตอนนั้นสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินที่นั่งคุกเข่าอยู่ ย่างก้าวที่ผ่านไปนั้นรุนแรงจนเหมือนแผ่นดินจะแยกออกจากกัน แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันเข้ามาใกล้ เสียงแหลมราวกับเสียงขูดแท่งเหล็กก็ดังบาดหู
“ท่านเบลเฟกอร์ มีบางอย่างจะให้ท่านดูครับ หน่วยลาดตระเวนติดต่อเข้ามา ยืนยันการปรากฏตัวของราชาแห่งสายฟ้าครับ”
“อึก!”
ความเจ็บแปลบแล่นริ้วบริเวณศีรษะ แต่แล้วความเจ็บปวดนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความตกใจมากกว่าความเจ็บปวดเมื่อได้ยินข่าวที่ไม่น่าเชื่อเมื่อครู่
“งั้นเหรอ ถึงจะคาดไว้แล้ว แต่ก็มาจริงๆ ด้วยสินะ ฮึ! ว่าแต่ว่าราชาแห่งสายฟ้าไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม”
“เราถูกตัดการติดต่อไปหลังจากยืนยันการปรากฏตัวครับ แต่ครั้งสุดท้ายที่เห็นมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคน…”
“หนึ่งพันคนเหรอ ถ้างั้นพวกแฮมิลก็คงจะมากันหมด เข้าใจแล้ว ถึงเราจะมีจำนวนมากกว่าก็อย่าได้ประมาทเชียว พวกมันทุกคนไม่อาจดูแคลนได้”
“ครับ ผมจะจำไว้”
ตึง ตึง ตึง
เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปอีกครั้ง ผมถอนหายใจสั้นๆ พยายามควบคุมความตกใจ
พี่ชายกำลังจะมา พี่และพรรคพวกกำลังจะมาช่วยผมแล้ว ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกซึ่งไม่อาจอธิบายได้ก็เริ่มเกิดขึ้นในจิตใจที่กำลังหวาดกลัว
แต่ก็แค่ชั่วขณะเท่านั้น เสียงหัวเราะของเบลเฟกอร์ที่วางมือไว้บนศีรษะของผมก็ดังขึ้น
“เฮ้ คิมซูฮยอน ลืมตาขึ้นสิ พี่ชายของนายกับพรรคพวกกำลังจะมาช่วยนายไงละ”
“…”
“น่าทึ่งจริงๆ คนตั้งมากมายกำลังจะมาช่วยเจ้าทึ่มอย่างนายแค่คนเดียว ถ้าเป็นราชาแห่งสายฟ้าก็น่าจะรู้นี่ว่ามันเป็นกับดัก นายไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”
“…”
ผมไม่ตอบเบลเฟกอร์ เพราะในใจกำลังสับสนวุ่นวายมาก ความรู้สึกมากมายทั้งความโกรธ ความอับอาย ความโล่งอก ความกังวลต่างก็กำลังรบกวนความรู้สึกข้างในของผม
นอกจากนี้ผมไม่มีอะไรจะพูด ทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องกันและเป็นสิ่งที่เลือกด้วยตนเอง การตกลงไปในหลุมพรางนั้นเป็นความผิดที่ไม่สามารถโทษใครได้ของผม เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมหลับตาแน่นและกัดริมฝีปากล่างจนเลือดซิบ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมา ผมไม่อยากดูอ่อนแอต่อหน้าไอ้หมอนี่ ถึงแม้จะพยายามอดทน แต่ในที่สุดความรู้สึกอยากร้องไห้ก็ตีขึ้นมาถึงลำคอ
ครืน! ครืน!
“หือ”
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาจากด้านหน้า ผมนึกว่าหูฝาดไป แต่ดูจากการที่เบลเฟกอร์เองก็ได้ยินเช่นกันจึงดูท่าว่าจะฟังไม่ผิด
“อะไรกัน มาแล้วเหรอ ไม่น่านะ เป็นไปไม่ได้ พวกทหารกองหน้า…”
รอบด้านเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการปรากฏตัวของราชาแห่งสายฟ้า พวกปีศาจที่นิ่งเงียบมาตลอดจนถึงเมื่อครู่นี้กำลังกระสับกระส่ายอย่างหนักจนสามารถรับรู้ได้ ในตอนนั้นเอง
หวืด!
ผมรู้สึกถึงกระแสพลังเวทแปลบปลาบที่คุ้นเคย มันเป็นคลื่นพลังเวททรงพลังที่สั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่ เมื่อคลื่นที่โถมซัดจางหายไป เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องลืมตา
[เบลเฟกอร์]
“โอ้! เสียงนี้มัน…ราชาแห่งสายฟ้าสินะ! ดูเหมือนจะอยู่ไกลพอควรเลยนี่ ถึงได้ใช้วิธีส่งสาร เยี่ยมจริงๆ ฮึ!”
[นี่คือคำเตือน เอามือของแกออกไปจากซูฮยอนเดี๋ยวนี้]
“ว่าไงนะ ฉันเตรียมการไปตั้งเท่าไหร่เพื่อวันนี้ จะให้ปล่อยไปงั้นเหรอ ฮ่าๆ! ล้อกันเล่นหรือเปล่าราชาแห่งสายฟ้า”
[ฉันไม่ได้หมายความว่า…]
หวืด! หวืด!
กระแสพลังเวทยังคงดำเนินต่อไป ผมมองไปรอบๆ ตัวแต่ก็ไม่พบวี่แววใดๆ แต่เมื่อสังเกตเห็นความมืดครึ้มปกคลุมพื้นโลก ผมก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแม้ว่าเส้นผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจะบดบัง แต่เมื่อสะบัดศีรษะเล็กน้อย ผมก็มองเห็นได้ชัดเจน
ก้อนเมฆดำทะมึนกระจายไปทั่วท้องฟ้า
เบลเฟกอร์ที่รู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ก็เงยหน้าขึ้นเช่นเดียวกับผม และผมรู้สึกได้ถึงมือแข็งแกร่งที่ขยับอยู่บนศีรษะของผมพร้อมกับแสงสีทองท่ามกลางหมู่เมฆครึ้ม
ครืน! ครืน!
ตอนนั้นเองเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งและได้ยินเสียงของพี่ที่ดังอย่างต่อเนื่องว่า ‘เอามือสกปรกออกไปจากหัวของซูฮยอนซะ’
ในขณะเดียวกันแสงสีเหลืองมากมายก็กระจายไปทั่วท้องฟ้าและฟาดลงมาบนพื้นดิน
* * *