Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 10
ทันทีที่เห็นผู้คนในห้อง หัวใจของผมก็เต้นแรง
พี่จินฮาที่บอกผมว่าให้รออีกนิดและจะช่วยผมเดี๋ยวนี้
กาฮี คนเย็นชาที่เคยบอกว่ารักตัวเองยังจะดีเสียกว่า
ลุงแทวอนที่บอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ไม่ต้องกังวล
พี่จุนซองที่บอกให้ผมรีบหนีไปไกลๆ ก่อนที่เขาจะจัดการกับมัน
พี่ฮเยริน คนที่โบกมือให้อย่างสดใสแล้วบอกว่าเดี๋ยวค่อยเจอกัน คนที่นำทางพวกเรามาถึงที่นี่
และคนที่บอกให้ผมมีชีวิตรอดต่อไป พี่ชายของผม คิมยูฮยอน
พวกเขาทุกคนเป็นคนที่ผมคุ้นเคยและเป็นคนที่คอยดูแลผม ที่ผ่านมาผมคิดถึงพวกเขาแทบบ้าและหากได้พบกัน ผมก็มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด ทว่าผมกลับพูดอะไรไม่ออกเลยราวกับถูกแช่แข็ง
ผมต้องพูดอะไร ควรจะพูดอย่างไรดี
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะทุกคน ไม่ อันนี้ไม่ได้
ฉันขอโทษจริงๆ ไม่ๆ อันนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่
พี่ ผมคิดถึงพี่ อันนี้ก็ไม่ได้
สวัสดีครับ ผมคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดเผ่าเมอร์เซนต์นารี่…
“คุณบอกว่าสามารถรักษาคำสาปของแบนชีได้งั้นเหรอครับ”
“…ครับ”
ความคิดมากมายในหัวกลายเป็นคำตอบเดียวว่า ‘ครับ’ คำพูดต่างๆ นานาที่คิดมาตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องอาหาร ไม่สิ ตั้งแต่ตอนที่ฝันว่าจะได้พบพี่ชายอีกครั้ง หายไปหมดแล้วในตอนนี้
“ผมได้ยินว่าคุณไม่มีอีลิกเซอร์มาด้วย ไม่ทราบว่าคุณจะรักษาด้วยวิธีไหน แล้วคุณสามารถรักษาได้ทันทีหรือเปล่า”
เสียงของพี่ชายเย็นชาและแห้งผาก ที่ผ่านมาเขาคงหนักใจมาก ดวงตาของเขาดูอิดโรยและใบหน้าซูบผอม แต่แววตาที่เยือกเย็นนั้นยังคงเหมือนเดิม
“ฟังผมอยู่หรือเปล่าครับ”
“ซูฮยอน! ทำไมจู่ๆ เป็นแบบนี้ล่ะคะ”
โกยอนจูกระซิบพร้อมกับสะกิดแผ่นหลังของผม ผมตั้งสติและถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตอนที่พบกับฮันโซยองครั้งแรก ผมก็เป็นแบบนี้ จิตใจไม่มั่นคงและไม่สามารถสบตาได้ มังคงจะดูไม่ดีนัก
ตอนนี้ก็เหมือนกัน ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจล้นทะลักออกมาไม่หยุด แม้จะสวมเสื้อคลุมตัวหนาแต่ผมก็รู้สึกว่าริมฝีปากและมือกำลังสั่นเบาๆ
เมื่อผมถอนหายใจแล้วหยุดพักครู่หนึ่ง ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มก้าวเข้าไปในห้อง
จู่ๆ ผมก็คิดได้ว่าในการพบกันใหม่คราวนี้อาจจะมีความหมายพิเศษบางอย่างก็ได้ มันอาจไม่ใช่การพบกันแสนงดงามอย่างที่เคยวาดฝันไว้ มันก็จริงที่ผมคิดถึงพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ต้องการสถานการณ์ชวนฝัน กอดคอกันร่องห่มร้องไห้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วที่จะคาดหวังสถานการณ์แบบนั้นและไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วย
ดังนั้นสนใจแค่จุดประสงค์ที่ผมกลับมาในรอบที่สองก็พอ ใช่ แค่นั้นก็พอ
ผมหยุดเดิน ห่างจากพี่ชายไปไม่กี่ก้าว หลังจากลูบคอเล็กน้อย ผมก็เอ่ยเสียงเบา
“วิธีที่ผมจะใช้รักษาเรียกได้ว่าเป็นการลบล้างคำสาป เพียงแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นการรักษาที่สมบูรณ์แบบ ผมสามารถรักษาได้แค่คำสาปของแบนชีที่อยู่กับผู้เล่นเท่านั้น คุณมั่นใจได้ว่าผมสามารถรักษาได้ครับ แต่ต้องเฝ้าดูอาการที่ตามมาจากผลของคำสาปอีกสักระยะ”
“ขอแค่ปลดปล่อยคำสาปของแบนชี ก็จะสามารถช่วยชีวิตเธอได้แล้วค่ะ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ คุณสามารถรักษาได้ทันทีเลยไหมคะ หรือว่าต้องใช้เวลาสักครู่”
คนที่ตอบคือพี่จินฮา ผมยิ้มบางๆ แต่นึกได้ว่ายังสวมเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าอยู่จึงรีบพูดขึ้นแทน
“ผมสามารถทำได้ทันทีครับ”
“จริงเหรอคะ ถ้างั้นรีบ…!”
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเงื่อนไขหนึ่งข้อก่อนเริ่มการรักษา”
“ตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนะคะ! เธออาจจะตายตอนไหนก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องค่าตอบแทน เรามีให้…”
ผมยกมือขึ้นอย่างใจเย็นเพื่อหยุดคำพูดของพี่จินฮา จากนั้นก็หันไปทางพี่ชายอีกครั้ง
“ผมจะทำการรักษาทันที ดังนั้นนอกจากแคลนลอร์ดแฮมิลแล้ว ขอให้ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ออกไปสักครู่ครับ”
“พวกเราอยู่ดูการรักษาไม่ได้งั้นเหรอ”
“หลังจากการรักษาสิ้นสุดลง ผมมีเรื่องจะคุยกับลอร์ดแฮมิลสักหน่อยครับ”
“เดี๋ยวก่อน”
สีหน้าของทุกคนดูแปลกใจเมื่อพี่จุนซองพูดขัดผมขึ้นมา
“ได้ยินว่าคุณมาจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ เมืองโมนิก้าทางภาคใต้ ถ้าไม่รังเกียจ คุณช่วยบอกชื่อและเปิดเผยใบหน้าได้ไหมครับ”
“แน่นอนครับ”
‘คงจะดูน่าสงสัยสินะ’
แม่ว่าภายนอกจะดูแข็งกระด้างและมีท่าทีเย็นชา แต่ความจริงแล้วคนที่เอาใจใส่คนรอบข้างมากๆ ก็คือพี่จุนซองนี่แหละ
“ผมคือคิมซูฮยอน แคลนลอร์ดแห่งเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ”
“คะ แคลนลอร์ดมาเอง…เหรอ”
“แคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ คิมซูฮยอนครับ”
“คิม…ซูฮยอน”
พี่จุนซองเอียงคอไปมาพลางจ้องมองพี่ยูฮยอน
ผมยกมือขึ้นเพื่อถอดฮู้ดออก สีหน้าที่เคยเยือกเย็นของพี่ยูฮยอนก็เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก
เขาไม่ใช่คนที่จะหวั่นใจเพียงเพราะเรามีชื่อที่คล้ายคลึงกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่เห็นนั้นมันหมายความว่าเขาจำเสียงของผมได้ ทีแรกเขาคงไม่คิดอะไร แต่เมื่อได้ยินชื่อ ‘คิมซูฮยอน’ ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างขึ้นมา
พี่ชายดูสับสน เขาส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับพึมพำคนเดียวว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ แต่สายตาก็ยังจับจ้องมาที่ผม
ตอนนี้ถึงเวลาเผยตัวแล้วสินะ
“พี่ครับ”
“…เอ๊ะ”
“พี่จริงๆ ด้วยสินะ”
“อ๊ะ นาย…เอ่อ…”
สีหน้าที่เคยนิ่งสงบกลายเป็นตกใจในพริบตา สายตาจากรอบด้านจับจ้องมาที่เรา แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมกำลังมองพี่ชายเช่นเดียวกับที่เขามองผมกลับมา
ถึงแม้จะเรียกเขาว่าพี่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผมจึงค่อยๆ ดึงฮู้ดที่สวมไว้ลง
อากาศที่ปลอดโปร่งทำให้ใบหน้าที่ถูกปิดบังไว้จนน่าอึดอัดกลับมาสดชื่นขึ้นอีกครั้ง และตอนนั้นเองดวงตาและปากของพี่ชายก็เบิกกว้าง
“มะ ไม่จริงน่า…”
“ผมเอง น้องชายของพี่ คิมซูฮยอน”
“ซูฮยอนเหรอ ซูฮยอน…”
พี่ชายทำปากพะงาบๆ อยู่พักหนึ่งและเดินโซเซเข้ามาหาผมราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขายื่นมือทั้งสองมาแตะที่ไหล่ของผม มือที่อยู่บนไหล่เลื่อนมาสัมผัสแก้ม ปาก จมูก ดวงตา หน้าผากจนถึงศีรษะ จากนั้นสีหน้าลังเลของพี่ก็เปลี่ยนเป็นมั่นใจ
ผมรับสัมผัสที่ไม่ได้รู้สึกมานานของพี่พลางพูดนิ่งๆ
“พี่”
“นาย นาย…”
“ตอนได้ยินว่าแคลนลอร์ดแห่งเผ่าแฮมิลชื่อคิมยูฮยอน ผมก็คิดไว้แล้ว พอมีโอกาสก็เลยมาหา…แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่จริงๆ”
เป็นท่าทีตอบสนองที่แตกต่างไปจากปกติแต่ผมก็พอจะเข้าใจได้ ไม่สิ ผมที่พูดด้วยความใจเย็นแบบนี้อาจจะดูแปลกกว่าก็ได้ เพราะเป็นการพบกัน ‘ครั้งแรก’ ของผมกับพี่ชายในโลกที่เรียกว่าฮอลล์เพลน
มือของเขาเลื่อนลงมาวางบนไหล่ของผมอีกครั้ง สีหน้าของพี่แปลกมาก ผมไม่รู้สึกว่าเขา ‘ยินดี’ เลยสักนิด
หลังจากยืนยันว่าผมคือน้องชาย ดวงตาของพี่ก็เต็มไปด้วยความเศร้า ความละอายใจ ความเจ็บปวด ความอึดอัดใจ ความกังกวลและความเสียใจ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับ ‘เป็นห่วง’
“ซูฮยอน”
“…”
“นาย ทำไมนาย…”
“…”
ลำคอของเขาขยับเล็กน้อยราวกับคำพูดติดอยู่ในลำคอไม่ยอมออกมา เขาบีบไหล่ของผมแน่น ใบหน้ายับย่นและตะโกนเสียงดังลั่น
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่!”
เสียงของพี่ที่ดังลั่นห้องแฝงไปด้วยความขมขื่นคล้ายจะกรีดร้อง
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1. ชื่อ (Name) : อีฮโยอึล (ปีที่ 8)
2. คลาส (Class):
① ผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือ (Guardian of the Northern Continent) : มีพลัง
② นักเวททั่วไป (Normal, Mage, Master) : ไม่มีพลัง
3. ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า
4. ชนเผ่า(Clan) : แฮมิล (ระดับเผ่า: อยู่ในระหว่างประเมินผลงาน)
5. นามแท้ · สัญชาติ : ผู้น้อมนำแสงสว่าง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้
6. เพศ (Sex) : หญิง (27)
7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 168.7 ซม. · 49.3 กก.
8. อุปนิสัย : ยุติธรรม · ทางสายกลาง (True · Neutral)
[พละกำลัง 25(-22)] [ความทนทาน 40(-23)] [ความคล่องแคล่ว 48(-21)][ความแข็งแกร่ง 20(-21)(+2)] [พลังเวท 82(-17)(+3)] [โชค 89(-10)]
คะแนนความสามารถเหลืออยู่ 0 พอยต์
ลบล้างคำลาปของแบนชี คืนค่าความสามารถที่ลดลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง แต่ผลที่ตามมายังคงอยู่ สูญเสียค่าความสามารถส่วนหนึ่งของพละกำลัง (-3) และความแข็งแกร่ง (-5) อย่างถาวรเนื่องจากถูกสาปเป็นเวลานาน แต่หากในอนาคตสามารถจัดการได้ดีก็สามารถฟื้นฟูค่าความสามารถที่ลดลงจากสถานการณ์นี้ได้
การรักษาไม่ได้ยากเย็นมากนัก เพราะมีความแตกต่างของ ‘ระดับ’ ตามที่เซราฟบอกเอาไว้ คำสาปของแบนชีจึงไม่สามารถต้านทานและถูกเผาไหม้โดยฮวาจองได้
สภาพร่างกายของผมไม่เป็นอะไร ถึงจะรู้สึกตึงๆ ที่แขนขวาเล็กน้อย แต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระเหมือนแต่ก่อนแล้ว
‘ค่าความสามารถที่ลดลงก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้อีลิกเซอร์แฮะ ว่าแต่ว่าเป็นผู้พิทักษ์ทวีปเหนืองั้นเหรอ ผู้น้อมนำแสงสว่างเหรอ’
“ไม่อยากจะเชื่อเลย คุณรักษาเธอได้ยังไงคะ พลังของคำสาปที่เคยโอบล้อมเธออยู่หายไปหมดแล้ว! การไหลเวียนของพลังเวทกับสภาพร่างกายก็เป็นปกติขึ้นด้วย!”
“จริงเหรอ ฮึก!”
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณมากๆ ค่ะ!”
ระหว่างที่กำลังคิดทบทวนเกี่ยวกับข้อมูลผู้เล่นที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน กาฮีที่พิจารณาสภาพของอีฮโยอึลอยู่ก็พูดขึ้น น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความดีใจและความยินดี ในตอนที่ผมตั้งใจจะตอบกลับไป ผมก็รู้สึกว่ามีใครบางคนแตะข้อศอกของผม
“ซูฮยอน ซูฮยอน”
“พี่เองเหรอ อ้า รักษาเสร็จแล้วละ ช่วยชีวิตไว้ได้ก็จริง แต่ก็ยังมีผลที่ตามมาอยู่นะ โดยเฉพาะการฟื้นฟูในอนาคต…”
“ซูฮยอน คุยกับพี่หน่อยได้ไหม”
“อ๋อ อืม”
ความกังวลเกี่ยวกับอีฮโยอึลเมื่อครู่เปลี่ยนเป้าหมายเป็นผมแทน เมื่อผมพยักหน้ารับคำขอพลางมองไปรอบๆ ทุกคนก็มองมาด้วยแววตาไม่คุ้นชิน พี่ชายมีท่าทีกระสับกระส่ายตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเคยเห็นแต่ท่าทีเยือกเย็นและสง่างาม แต่เมื่อได้เห็นท่าทางแบบนี้ พวกเขาจึงส่งสายตาแบบนั้นมาให้
“อีจุนซอง ขอโทษที่ต้องให้นายไปนู่นไปนี่อยู่เรื่อย แต่ช่วยพาสมาชิกเผ่าออกไปก่อน…ซูฮยอน คนที่อยู่ด้านหลังนั่นคือพรรคพวกของนายใช่ไหม”
“อืม”
หลังจากพบกับพี่แล้ว โกยอนจู คิมฮันบยอลและอันซลไม่ได้ยิ้มออกมาเลย ทุกคนดูตกใจที่รู้ว่าแคลนลอร์ดแฮมิลก็คือพี่ชายของผม
“ถ้างั้นพวกเราออกไปคุยกันเถอะ กาฮีกับฮเยรินอยู่ที่นี่ดูแลฮโยอึล ส่วนจุนซอง ลุงแทวอน แล้วก็จินฮาพาพรรคพวกของน้องชายไปที่ห้องรับรองที”
“ทราบแล้วค่ะ”
เมื่อพี่จินฮาตอบรับ พี่ชายก็ลากผมออกไปข้างนอกทันที ก่อนที่จะถูกพี่คว้าและลากออกไป ผมเกือบไม่ทันส่งสัญญาณให้ทั้งสามคนรอสักครู่ ทั้งสามคนยังไม่ได้ถอดเสื้อคลุมหรือแม้แต่ฮู้ดออกเลยด้วยซ้ำ