Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 12
เสียงพูดคุยเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อมีเสียงดังมาจากปลายโต๊ะ
“จุนซอง”
“ไม่ต้องพูดเลยครับ ผมรู้ว่าลุงจะพูดอะไร”
“ชาติที่แล้วพี่น้องคู่นี้ต้องกู้ชาติไว้แน่ๆ”
“อ้า ก็บอกว่าไม่ต้องพูดไงครับ”
พี่จุนซองและลุงแทวอนค่อยๆ เคี้ยวอาหารพลางพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“อะแฮ่มๆ”
พี่กระแอมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ดื่มน้ำที่วางอยู่ตรงหน้า เขาวางแก้วลงกับโต๊ะเสียงดังและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอึดอัดใจเล็กน้อย
“น่าจะเร็วเกินไปที่จะเรียกผมว่าคุณพี่ชายนะครับ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าทำให้คุณไม่สบายใจ แต่คนอื่นๆ ยังเรียกแคลนลอร์ดของเราว่าคุณน้องชายเลยนี่คะ”
“ผมจะจัดการเองครับ”
“โฮะๆ”
พี่หันไปมองพี่จินฮาและพี่ฮเยรินด้วยสายตาคมกริบ ทั้งสองคนก้มลงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
หลังจากโกยอนจูแนะนำตัวแล้ว คิมฮันบยอลก็แนะนำตัวเป็นคนถัดไป มีผู้เล่นบางคนในเผ่าแฮมิลที่จำหล่อนได้ ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไร เพราะตอนที่หล่อนอยู่ในเผ่าสิงโตทอง พวกเขาก็ประกาศไปทั่วว่าหล่อนคือจอมขมังเวทอัญมณี
คิมฮันบยอลแนะนำตัวด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่เมื่อไม่มีใครถามว่าทำไมจึงออกจากเผ่าสิงโตทองมาอยู่กับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ หล่อนก็จบการแนะนำตัวด้วยสีหน้าโล่งใจ
การแนะนำตัวจบลงอย่างง่ายดาย ผมรู้สึกขอบคุณคิมฮันบยอลอยู่ไม่น้อย ในที่สุดก็ถึงตาของอันซล
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออันซลค่ะ ฉันอยู่กับท่านพี่มาตั้งแต่ตอนพิธีเปลี่ยนสภาวะแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินที่อันซลพูด ผมที่เพิ่งจะโล่งใจก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไมถึงเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ผมล่ะ ผมบอกให้แนะนำตัวเอง ไม่ได้บอกให้สาธยายความเกี่ยวข้องกับผมสักหน่อย
ผมนวดขมับที่ปวดตุบๆ ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับเรื่องนี้ ก่อนที่จะเกิดพายุเราควรจะจบเท่านี้…
“โอ้ อยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนพิธีเปลี่ยนสภาวะเลยเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ! ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ก็~ อยู่ด้วยกันมาตลอดเลยค่ะ”
ตอนที่พูดว่า “ก็~” เธอหลับตาลงและลากเสียงยาวด้วยท่าทางน่ารักจนได้ยินพวกพี่สาวส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ
“อยู่ด้วยกันตลอดเหรอ ผมมีเรื่องที่อยากรู้ครับ พอจะบอกได้ไหมว่าที่ผ่านมาน้องชายของผมเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ เดี๋ยวสิ จะถามเธอทำไม เรื่องนั้นน่ะ…”
“ท่านพี่ซูฮยอนน่ะเก่งมากๆ เลยค่ะ~”
“ฮ่าๆ ว่าแล้วเชียว แต่ว่าเก่งขนาดไหนล่ะ ช่วยบอกให้ละเอียดกว่านี้…”
พี่ชายยกมือขึ้นราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไรและแสดงความสนใจเป็นพิเศษ อันซลส่งยิ้มคล้ายจะโอ้อวดไปทางโกยอนจู จากนั้นก็พูดพลางโบกไม้โบกมือไปมา
“ท่านพี่น่ะ ตอนพิธีเปลี่ยนสภาวะช่วยล่อมอนสเตอร์เพื่อพวกเรา ตอนอยู่ที่สถาบันผู้เล่นก็~เป็นอันดับหนึ่งด้วย อ๊ะ! เขาได้รับข้อเสนอจากเผ่าสิงโตทองแต่ก็ปฏิเสธทางนั้นและรับพวกเราไว้ค่ะ! ตอนที่ออกมาจากสถาบันผู้เล่นก็~ไปขุดค้นโบราณสถานแล้วก็~ออกสำรวจ และก็ยังสร้างแคลนเฮาส์ด้วยค่ะ!”
หยุดสักทีเถอะ ขอร้องล่ะ
ในที่สุดผมก็ก้มหน้าลง ทั้งที่ไม่ได้ต่อสู้อยู่แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้
หลังจากมื้ออาหารที่เหมือนมรสุมผ่านไป พวกเราก็มีเวลาว่างจิบน้ำชา อันซลดูมีชีวิตชีวา(?)มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับผม
ในขณะเดียวกันพี่ชายก็แสดงท่าทีว่าจะปกป้องผมเองและบอกว่าไม่ต้องกังวล ในอนาคตเขาจะดูแลผมเอง โชคดีที่พี่จินฮากับพี่ฮเยรินช่วยห้ามไม่ให้ทะเลาะกัน เราจึงวนกลับไปเรื่องเดิมได้
“ผมเองก็อยากอยู่ที่นี่รอดูความคืบหน้านะ แต่ตอนนี้ผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นจึงต้องไปแล้ว อย่างไรก็ตามคำสาปของแบนชีถูกลบไปแล้วแน่นอน ช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว”
“ซูฮยอน นายมาเข้าร่วมเผ่าของพี่ไม่ได้เหรอ นายก็รู้ว่าฮอลล์เพลนเป็นโลกที่น่ากลัวมาก พี่เป็นห่วง…”
“เฮ้อ…”
พี่ชายเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมา เมื่อผมถอนหายใจเบาๆ พี่จินฮาและพี่ฮเยรินก็รีบพูดขึ้น
“แคลนลอร์ด! ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ นั่นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่นะคะ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่! เขาก็เป็นแคลนลอร์ดเหมือนกัน!”
“ซูฮยอนเป็นน้องชายของฉันนะ น้องชายแท้ๆ ด้วย พวกเธอจะมาเข้าใจความรู้สึกของฉันได้ยังไง…”
“ช่วยดูความเป็นจริงหน่อยเถอะค่ะ พวกเขาเป็นเผ่าที่ขุดค้นโบราณสถานสี่แห่ง มีคลาสลับห้าคนและคลาสหายากอีกสี่คนทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ครบหนึ่งปีเลยด้วยซ้ำ แถมยังมีราชินีแห่งเงามืด…”
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วน่า”
“คุณรู้อะไรคะ! สิ่งที่แคลนลอร์ดพูดอยู่ก็คือให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่มาเข้าร่วมกับเผ่าแฮมิลนี่คะ ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ แต่ต่อหน้าสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ แบบนี้ คุณไม่รู้เหรอคะว่ามันเสียมารยาทแค่ไหน”
พี่อ้าปากค้างราวกับยังมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่เมื่อผมมองอย่างเชือดเฉือน เขาก็เงียบลงด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ
“ขอโทษนะคะแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ แคลนลอร์ดของพวกเราคงจะดีใจมากที่ได้พบกับคุณน้องชาย ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้หรอกนะคะ พวกเราเองก็แปลกใจเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรครับ เดิมทีในยุคปัจจุบันเขาก็เป็นห่วงผมอยู่เสมอ ผมเข้าใจ อย่างไรก็ตามต่อจากนี้ผลที่ตามมายังคงเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าจะรักษาได้แล้ว แต่มันก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าดูแลอย่างต่อเนื่องก็สามารถฟื้นฟูได้ครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ พวกเรามีนักบวชที่มีความสามารถอยู่หลายคน ดังนั้นเราน่าจะรักษาอาการที่ตามมาได้”
“นอกจากคาถาศักดิ์สิทธิ์แล้ว การผสมผสานระหว่างยากับการรักษาจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นครับ ต้องดูแลในส่วนนั้นด้วยนะครับ”
“ค่ะ ถ้างั้นตอนนี้ต้องตอบแทนสำหรับการช่วยรักษา…ไม่ทราบว่าพอจะบอกคร่าวๆ ได้ไหมคะว่าคุณรักษาเธอด้วยวิธีไหน”
พี่จินฮาเสียงแผ่วลงในช่วงท้ายและเหลือบมองพี่ชาย ตอนนี้หล่อนเป็นคนเริ่มบทสนทนา แม้จะอยู่ในคลาสนักธนู แต่หล่อนมีนิสัยรอบคอบและคิดคำนวณรวดเร็วจึงรับหน้าที่ตัดสินใจเรื่องทั่วไปของเผ่าแฮมิลด้วย
“ซูฮยอน เมื่อกี้นายบอกว่ามีคลาสลับผู้ชำนาญดาบ ไม่ใช่นักบวชนี่ ถ้างั้นพลังที่ใช้รักษาฮโยอึลคืออะไรเหรอ”
ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนมันไม่ชัดเจน หากไม่ใช่คนที่รู้จักกัน ผมก็จะขูดรีดเต็มที่ แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้นต่อหน้าพี่ชาย อันที่จริงผมอยากจะทำให้ฟรีด้วยซ้ำ
แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่ผมพูดไปในที่ประชุมก่อนจะมาที่นี่ ดังนั้นการพูดและหยุดพูดเมื่ออยู่ในระดับที่พอดีน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“ก็แค่พลังที่อยู่นอกเหนือจากมาตรฐานน่ะ ทำให้ร่างกายแข็งแรงจนเกินค่าความแข็งแกร่งก็ไม่ลำบากอะไรสำหรับการรักษาแบบง่ายๆ”
“อะไรนะ”
“เปล่า วิธีรักษาไม่มีอะไรหรอก”
“อืม…ผู้ชำนาญดาบก็คือคลาสต่อสู้ระยะประชิดสินะ”
พี่ชายทำสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาเคาะนิ้วชี้กับโต๊ะ จากนั้นก็หันไปพูดกับพี่จินฮาที่กำลังกลืนน้ำลายลงคอ
“แพคจินฮา เรามีดาบที่ได้รับมาตอนขุดค้นหลุมศพของกษัตริย์คราวที่แล้วใช่ไหม ไปเอามาหน่อยสิ”
“ถ้าเป็นหลุมศพของกษัตริย์…เกียรติยศแห่งวิคตอเรียเหรอคะ ตอนนี้พี่ฮโยอึลเอาไปใช้เป็นต่างหูไงคะ”
“ยังไงก็โดนคำสาปแบนชีแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า”
พี่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หันมาทางผม
“ซูฮยอน ถ้าใช้พลังนั้นจะทำให้ร่างกายทำงานหนักใช่ไหม”
“หือ อืม แต่แค่ปรับพลังก็พอแล้วละ”
“อืม ก่อนหน้านี้พี่ขุดค้นโบราณสถานที่เรียกว่าหลุมศพของกษัตริย์ มันเป็นดาบที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งชื่อว่า เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย เป็นดาบที่น่าจะเหมาะกับคลาสของนาย นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกอื่นๆ อีกเยอะแยะ นายน่าจะชอบ”
‘ดาบล่องหน, ดาบเทพแห่งสุริยันจันทรา, คาลิโก อาบรักซัส ผมมีดาบแค่สามเล่มเท่านั้น…’
แต่ที่บอกว่าช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจทีเดียว มันยิ่งดึงดูดความสนใจมากขึ้นไปอีกเพราะสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นต่างหูได้ด้วย
“แล้วนายมีหมวกหรือยัง”
“หือ อืม มันอึดอัดน่ะแล้วก็ไม่จำเป็นด้วย”
“ไม่ได้สิ พวกนักสู้ระยะประชิดต้องระวังหัวตลอดนะ”
“ไม่หรอก มันไม่ได้…”
“ชุดเกราะก็ไม่ใส่ ชิ ถุงมือที่ใช้ก็ไม่ได้ดีมาก”
นี่ถ้าผมอวดเกียรติยศแห่งสวรรค์กับเกียรติยศแห่งตะวันไป เขาจะไม่เกรี้ยวกราดกว่านี้เหรอ
พี่กวาดตามองอุปกรณ์ทั้งหมดของผมพลางจิ๊ปาก จากนั้นก็ลุกขึ้นและขยับมาใกล้
“ไม่ได้การแล้ว แพคจินฮา ไปเอาเกียรติยศแห่งวิคตอเรียมาก่อน แล้วก็ซูฮยอน นายน่ะ ไปที่คลังอปกรณ์กับพี่แป๊บหนึ่ง ดูรวมๆ แล้วมันใช้ไม่ได้เลย”
“…”
ผมมองพี่ชายคว้ามือของผมไปเต็มแรงและนึกขึ้นมาได้
ผมนึกถึงสมัยที่ได้รับการปกป้องจากพี่
ที่จริงแล้วพี่ชายของผมเป็นพวกติดน้องชายขั้นรุนแรงเลยละ
* * *
“แฮ่กๆ แฮ่กๆ!”
ชายคนหนึ่งวิ่งหนีความตายเข้าไปในป่า เมื่อวิ่งไปได้สักพักเท้าของเขาก็พลิก ทำให้ตัวถลาไปด้านหน้าอย่างแรง เขาวิ่งมาด้วยความเร็วสูงจึงกลิ้งอยู่สามสี่รอบก่อนจะหยุดลง
“อึก อุ๊บ!”
เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแต่แล้วก็รีบปิดปากทันที ใบหน้าบิดเบี้ยว เหงื่อไหลโทรมกาย แม้ว่ามือจะสั่นเทาแต่ก็ยังปิดปากเอาไว้อย่างนั้น เมื่อมือหยุดสั่น ชายคนนั้นจึงค่อยๆ ลดมือที่ปิดปากเอาไว้ลง
“เฮ้อ…”
ชายคนนั้นหายใจเสียงเบามากราวกับกลัวใครจะมาได้ยินเข้า เขาพยายามยืนขึ้นทันทีแต่ก็ล้มลงไปอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงก้มลงมองข้อเท้า ข้อเท้าของเขาบวมเป่งเพราะหกล้มเมื่อครู่นี้ สิ่งที่แปลกก็คือ ถ้าเป็นอาการบวมตามปกติ บริเวณนั้นจะแดงหรือเหลืองจัด แต่ข้อเท้าของเขากลับเป็นสีเขียวช้ำ
“ไอ้พวกขอทาน”
ชายคนนั้นสบถออกมาพลางค้นกระเป๋าเสื้อ ในระหว่างนั้นก็หันมองไปรอบๆ ท่าทางระแวดระวังเป็นพิเศษราวกับกลัวใครบางคนจะโผล่มา
เขามีสภาพที่ไม่ค่อยน่ามองนัก แม้ว่าจะสวมเสื้อเกราะหนังตัวหนา แต่มันมีร่องรอยถูกเผาและฉีกขาดอย่างหนักไปทั่ว มองดูแล้วน่าจะเรียกว่าเศษผ่ามากกว่าเสื้อเกราะ
นอกจากนี้เลือดยังไหลผ่านช่องว่างของเสื้อเกราะที่ฉีกขาดในปริมาณที่มากพอสมควร มันร้ายแรงเกินกว่าจะบอกว่าเป็นอาการบาดเจ็บจากการสะดุดล้ม ดูก็รู้ว่าเขาถูกใครสักคนโจมตีโดยเจตนา
“อึก อึก”
เขาเทโพชั่นที่หยิบออกมาจากกระเป๋าลงบนข้อเท้า จากนั้นไม่นานเมื่ออาการบวมลดลง เขาก็พรมโพชั่นลงบนบาดแผลทั่วร่างและเหลือไว้ประมาณอึกหนึ่ง เขาดื่มมันลงไป เขากลืนโพชั่นและลุกขึ้นขยับตัวทันที ยังหลงเหลือบาดแผลอยู่บ้าง แต่สีหน้าของเขาดูดีกว่าเมื่อครู่นี้มาก ชายหนุ่มเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง
เขาวิ่งแบบนี้มาประมาณหนึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง เมื่อมาถึงถนนแคบๆ ชายคนนั้นก็หยุดชะงัก เขาลดตัวลงต่ำและเดินไปตามทางเปลี่ยว เขายื่นศีรษะออกมาเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องไปทิศทางหนึ่ง เมื่อดวงตาของเขาเป็นประกายสีฟ้าก็มีคนมากมายปรากฏตัวขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของถนน
ชายหนุ่มมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ผู้เล่นที่ปรากฏตัวขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งมีทั้งหมดหกคน เขาเลื่อนสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สีหน้าของเขาซีดเผือดทันที
“ดะ เดี๋ยวก่อนครับ! แฮ่กๆ”
“ทุกคนหยุด”
“มะ ไม่ทราบว่าพวกคุณคือเผ่าสมาชิกเผ่าสวรรค์บนดินที่เป็นตัวแทนแห่งมิวล์ใช่ไหมครับ”
“…”
ท่าทางของผู้เล่นทั้งหกคนนั้นคล่องแคล่ว ทันทีที่ชายคนนั้นวิ่งออกมา พวกเขาก็เตรียมพร้อมป้องกันตัว ผู้เล่นที่อยู่ด้านหน้าสุดหันไปมองชายคนนั้นครู่หนึ่งและค่อยๆ ยกมือขึ้น ดูจากสภาพของเขาแล้วก็ไม่น่ามีอันตรายอะไร
“ใช่ครับ แต่ดูเหมือนคุณจะบาดเจ็บนะ ก่อนอื่นให้เรารักษา…”
“ไม่! ไม่เป็นไรครับ! ก่อนอื่น ก่อนอื่นเราต้องรีบกลับไปที่เมืองครับ!”
“หืม…กลับไปที่เมืองเหรอ”
“ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้นในป่าแห่งนี้! พรรคพวกของผมถูกโจมตีและมีแต่ผมที่หนีมาได้! ผมต้องรีบบอกเรื่องนี้ก่อนที่พวกมันจะตามผมมา!”