Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru - ตอนที่ 73 งานเลี้ยงของเหล่าวิญญาณผู้ล่วงลับ 1
- Home
- Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru
- ตอนที่ 73 งานเลี้ยงของเหล่าวิญญาณผู้ล่วงลับ 1
ผู้หญิงที่ผมช่วยเอาไว้ขอบคุณผมก่อนจะวิ่งไปหาที่ปลอดภัย พอเธอไปผมจึงกลับมาดูที่ศพอีกครั้ง
“ให้ตายสิ หมอนี้มันอะไรกัน?”
“เราไม่สามารถตรวจจับนักเวทที่ควบคุมในบริเวณใกล้เคียงของเราได้เลย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ” เลฟี่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “เจ้าพวกนั้นจะต้องเฝ้ามองสถานการณ์ผ่านเวทมนต์จากที่ไกลๆอยู่แน่นอน”
“แล้วมีความเป็นไปได้อื่นๆอีกไหม?”
“สิ่งเดียวที่เรารู้คือเจ้าอันเดดตัวนี้มันหนีจากการควมคุมของเจ้านายมันได้”
“เหมือนจะมีคนพูดแรงกว่าปกตินะเนี่ยวันนี้”
“ช่วยไม่ได้นิ เรารู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่งที่รู้ว่ายังคนเลวมากพอที่จะดูหมิ่นคนตายและปฏิบัติต่อซากศพของพวกเขาเป็นดังเครื่องมือ เจ้าไม่รู้สึกเหมือนกันหรือไง?”
“ที่เธอพูดก็ไม่ผิดละนะ”
ผมรู้สึกว่าจะปล่อยศพของชายคนนี้ทิ้งเอาไว้ไม่ได้ เลยคิดที่จะเรียกทหารซักคนสองคนออกมาจัดการพาเขาไปที แต่ผมก็ถูกรบกวนเข้า
ระฆังมากหลายอันเริ่มส่งเสียงดัง เสียงดังก้องส่งไปยังทั่วทั้งตัวเมือง ผู้คนที่ผ่านไปมาและกำลังส่งสัยในสิ่งที่พวกเราทำเริ่มจะตื่นตระหนก พวกเรารีบที่จะไปยังจุดหมายของตนเองอย่างหวาดกลัว บรรยากาศสบายๆ ที่เราเคยเพลิดเพลินเมื่อไม่กี่นาทีก่อนได้หายไป แทนที่ด้วยบรรยากาศที่มีแต่ความตึงเครียด
“เสียงระคังพวกนี้มันหมายถึงอะไรกันนะ?” ผมถามชายคนนึงที่ผ่านทางมา
“พวกเธอคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ” เขาตอบกลับ “นั่นคือประกาศการอพยพ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ครั้งล่าสุดคือตอนที่เราโดนบุกโดนฝูงมังกร! ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ฉันต้องรีบไปแล้ว! พวกนายก็ควรจะรีบไปด้วยล่ะ”
หลังจากอธิบายจบ เขาก็รีบวิ่งไปเหมือนคนอื่นๆทันที
“ปั๊ดโถ่เอ๊ย” ผมถอนหายใจ “นี้จะเจอแต่เรื่องอย่างเดียวเลยใช่ไหมเนี่ย? ให้ตายสิ”
อย่าให้เจอตัวนะไอคนที่มาป่วนวันหยุดเราเนี่ย… ให้ตายสิ ทำไมต้องมาสร้างเรื่องในวันที่เรามาเที่ยวกันด้วยนะ?
“เมืองของมนุษย์นี้เป็นที่ที่อึกทึกดีนะ” เลฟี่พูด
“ใช่ไหมล่ะ?” ยังไงก็เถอะ เดี๋ยวชั้นจะบินไปดูสถานการณ์ซักแปปนึง เธอรอได้นะ?”
“ได้สิ” เลฟี่พูดพร้อมพยักหน้า
ผมเดินเข้าไปในซอยใกล้ๆ ตรวจสอบดูว่าไม่มีใครเห็นผม แล้วจึงเปิดใช้งานสกิลซ้อนเร้นและกางปีกออกบิน
***
แสงสีเงินแวบผ่านอากาศขณะที่เนลล์ชักดาบศักดิ์สิทธิ์และตัดศีรษะชายตรงหน้าเธอ แม้ว่าบาดแผลน่าจะถึงแก่ชีวิต แต่เธอก็ยังคงทำการโจมตีต่อไป เธอส่งลูกเตะไปยังหน้าอกของเขาแล้วส่งเขากระเด็นห่างออกไปจากคู่แม่ลูกที่เขาคิดจะเข้าทำร้าย
ความก้าวร้าวที่ดูเหมือนมากเกินไปของเนลล์ได้รับการพิสูจน์ในครู่ต่อมา ชายไร้หัวมีท่าทีที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงทำการขึ้นคล่อมและเสียบดาบลงบนหน้าอกเพื่อล็อคตัวเอาไว้
“หนีไปค่ะ! ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะวิ่งได้เลย!” เนลล์ตะโกนไปยังทั้งสองที่ถูกช่วยเอาไว้ในขณะที่เฝ้าระวังศัตรูที่อยู่ข้างใต้
“ขอบคุณ! ขอบคุณมากจริงๆนะคะ!” คนแม่อุ้มลูกสาวขึ้นอกก่อนจะออกตัววิ่งไป
เนลล์หันความสนใจของเธอกลับไปที่ศพไร้หัวและร่ายมนตร์ “โอ้ เจ้าผู้หลงทางจากเส้นทางที่ถูกต้อง จงกลับไปสู่ที่ที่เจ้าจากมา! เทิร์น อันเดด!”
[TL:Oh ye who hath strayed from the rightful path, return to whence you belong! Turn Undead! จุดนี้ใครมีคำที่ดูดีกว่านี้ก็บอกได้นะจิ นี้ทำผมปวดหัวเป็นชั่วโมงเลยจิ]
แสงสว่างปกคลุมร่างของชายไร้หัว ปกคลุมไปทั้งตัว เขาคร่ำครวญและดิ้นรน แต่ในที่สุด สัญญาณชีวิตทั้งหมดก็หมดไป เมื่อแสงดับไป เนลล์จึงมองดูเขาอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเขาไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป ก่อนที่จะย้ายไปหาศัตรูที่คล้ายคลึงกันอีกราย
การอาละวาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและฉับพลัน
ครั้งแรกที่เนลล์รู้สึกถึงความผิดปกติก็เป็นหลังจากแยกกับจอมมารและมุ่งหน้าไปที่โบสท์ ซึ่งเป็นที่พักของเธอ เธอลงเอยด้วยการไปเจอคนร้ายที่วิ่งอาละวาดไปทั่ว ดังนั้นเธอจึงรีบเข้า ปราบปรามเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำอันตรายใดๆ อีก
เธอโจมตีไปที่ลิ้นปี่ด้วยแรงที่มากพอจะทำให้ชายตัวโตทั่วไปสลบไปได้ ซึ่งนั้นก็ไม่น่าจะทำให้เขาสามารถขยับไปไหนได้ แต่หน้าแปลกใจที่เขายังสามารถขยับตัวได้อยู่ ด้วยความตกใจ เธอจึงชักดาบออกและฟันเข้าช่วงท้องโดยไม่รู้ตัว แย่ล่ะสิ! ฉันเผลอฆ่าเขาไปหรอ!?
เธอตื่นตระหนก บาดแผลที่เธอทำค่อนข้างสาหัส เป็นรอบแผลเปิดท้องจนเลือดไหลทะลักออกมา เธอคิดว่าเธอทำผิดที่ฆ่าคนที่เป็นแค่นักเลงทั่วไปเท่านั้น
แต่ความกังวลทั้งหมดที่เธอมีก็ถูกเป่ากระเด็นหายไป เพราะชายผู้นั้นยังคงเคลื่อนไหวได้อยู่ ผู้กล้าจึงได้ทำการโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเล็งไปที่คอ แต่ผลลัพก็ยังเหมือนเดิมแม้จะสูญเสียหัวไปแล้วก็ตาม
เนลล์เกิดอาการขนลุก ชายตรงหน้าเธอได้ตายไปแล้ว เธอได้โจมตีเข้าจุดตายถึงสองครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจหยุดเขาลงได้ ทำให้เธอรู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่เพียงนักเลงข้างถนน แต่เป็นอันเดด
เป็นที่รู้กับว่าอันเดดริษยาต่อผู้ที่ยังมีชีวิต พวกเขาถูกดึงดูดโดยชีวิตราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ พวกเขาเข้าโจมตีสิ่งมีชีวิตและกินเลือดเนื้อเพื่อจะเติมเต็มพลังชีวิตภายในตัวพวกเขา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะกลืนกินไปมากเพียงใด จะโหยหาการมีชีวิตมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจจะหลีกหนีจากความตายไปได้ตลอดกาล เป็นสภาพที่สิ้นหวังอย่างน่าสมเพช
เนลล์สามารถรับมืออันเดดด้วยตัวคนเดียวได้สบายๆ แต่เหตุการณ์คล้ายๆกับก็เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายที่ภายในตัวเมือง เพียงแค่พริบตาเดียวทั่วทั้งเมืองเอลฟิโร่ก็เต็มไปด้วยฝูงอันเดด
มีสองปัจจัยหลังที่ก่อให้เกิดการระบาดของอันเดดที่มากขนาดนี้ อย่างแรกคือพวกอันเดดสร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ที่ต้องการจัดการกับพวกมัน การโจมตีของมันนั้นไร้พลัง การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าและติดขัด แต่ไม่เหมือนกับมอนเตอร์ พวกมันระบุตัวได้ยากกว่า แล้วยิ่งการที่ศพส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ คนส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตีโดยคนรู้จัก บ้างอาจจะไม่สามารถสู้กลับได้ ไม่เป็นเพราะโดนแบบไม่ทันตั้งตัวก็ไม่เต็มใจที่จะทำ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผลลัพท์ที่ได้ก็เหมือนเดิม คือมีศพเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยที่สองคือการที่ศพที่เพิ่มขึ้นกลับขึนมาเป็นอันเดด ซึ่งเป็นอะไรที่เนลล์คิดว่ามันไม่สมเหตุผลเลย
อันเดดจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขที่ต้องการได้รับการเติมเต็ม คือการที่อนุภาคเวทมนต์มีประติกิริยากับผู้ตายที่จิตใจยังเต็มไปด้วยความเคร้าโศก ไม่มีใครทราบว่าวิธีการเป็นเช่นใด แต่หลักฐานตามสถานการณ์ทำให้เหล่านักวิชาการสรุปได้ว่ามันมักเกิดในสงครามสมัยก่อนและพื้นที่ที่มีอนุภาคเวทย์มนตร์เข้มข้นสูงเท่านั้น
ซึ่งเอลฟีโร่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
หากเมืองอย่างเอลฟีโร่เกิดอันเดดได้มากขนาดนี้ สุสานของเมืองนั้นจะเต็มไปด้วยหลุมศพ ประตูของมันจะมุ่งตรงไปยังโลกหลังความตายที่ซึ่งศพเดินเตรจเตร่ได้อย่างอิสระ แต่ที่นี้ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีทางที่พวกอันเดดในที่แห่งนี้ที่โจมตีผู้อยู่อาศัยในเมืองจะเกิดด้วยวิธีธรรมชาติได้
มันต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝงเป็นแน่
เธอไม่มีหลักฐานสนับสนุนสมมติฐานของเธอ แต่เธอมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุดก็มีบางอย่างผิดปกติ
รู้สึกอยากให้เลฟี่กับยูกิอยู่ด้วยจัง
ผูกล้าพบว่าตนเองได้นึกถึงคู่ขาที่้พิ่งจะแยกันไม่กี่นาทีก่อนหน้า เธอแทบจะเห็นภาพชายคนนั้นยิ้มให้เธอในขณะที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขามองดูเขาด้วยสีหน้าที่ผสมทั้งความสุขและความขุ่นเคือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารอยยิ้มของพวกเขาจะช่วยฟื้นฟูความมั่นใจของเธอ และพวกเขาจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ในพริบตา ขณะที่เธอยังคงตัวแข็งทื่อ ตกตะลึงไปกับการท่าทีแปลกๆของพวกเขา แต่ฉันไม่สามารถพึ่งพาพวกเขาต่อไปได้
เนลล์หลับตาและสูดหายใจเข้าหลังจากจัดการอันเดดอีกตัวลงได้
ฉันต้องเริ่มคิดได้ด้วยตัวเองและจัดการอะไรเองได้แล้ว ถ้างั้นอย่างแรกเลยก็คือ ต้องช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้!
ด้วยดาบและเวทศักดิ์สิทธิ์ในมือ ผู้กล้าตรงไปยังใจกลางเมือง ที่เป็นจุดที่มีเสียงกรีดร้องมากที่สุด แม้จเป็นสถานการณ์ที่อาจถึงตายแต่เธอก็ต้องเตรียมใจเอาไว้
[TL:ชี้แจงจิ โน๊ตบุ็คที่ใช่แปลประจำเริ่มที่จะมิไหวล่ะจิ และผมก็มิมีตังจะเอาไปซ่อมในตอนนี้ด้วย เลยต้องเปลี่ยนมาแปลในโทรศัพท์แทน ซึ่งผมมิถนัด ทำให้ความเร็วในการแปลจะช้าลงอย่างมากนะจิ แค่นี้ล่ะจิ บัย]