พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าและดวงจันทร์เริ่มลอยขึ้นมาในยามพลบค่ำที่มาเยือนตัวเมือง ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีส้มและดำที่ผสมเข้ากันอย่างกลมกลืน ชาวเมืองเริ่มที่จะกลับเข้าไปในตัวอาคาร
จำนวนผู้คนบนถนนนั้นลดหายไปจนเทียบไม่ได้กับช่วงกลางวันที่ผ่านมาเลย บรรยากาศในตัวเมืองให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ถนนที่ว่างเปล่าและสถาปัตยกรรมที่สวยงามรวมกัน เป็นทิวทัศน์ของเมืองที่ชวนให้รู้สึกน่าหลงใหล
เลฟี่และผมค่อยๆหลอมรวมไปกับทัศนียภาพของเมืองเหมือนกับคนอื่นๆที่ยังอยู่ข้างนอก เราค่อยๆเดินอย่างช้าๆเคียงคู่กัน กลับไปยังโรงแรมที่ไปพักมาเมื่อคืน
เราได้บอกลากับผู้กล้าเป็นที่เรียบร้อย—อย่างน้อยก็ของวันนี้ ซึ่งก็น่าแปลกใจที่เธอก็สนุกไปกับเวลาที่ใช้ร่วมกับพวกเรา จนเธอขอให้เรามาเจอกับ ณ ที่เดิมพรุ่งนี้เช้าโดยไม่ได้ถามแผนของฝั่งเราเลย สงสัยการฝึกเป็นผู้กล้าของเธอคงยุ่งจนไม่มีเวลาให้เธอได้พักผ่อนมากนัก ผมก็คงต้องช่วยเธอคลายความเครียดออกซักหน่อยละนะ สงสัยครั้งต่อไปที่เธอมาที่ดันเจี้ยนต้องหาอะไรสนุกๆให้เธอทำซะแล้ว
“เราต้องพูดเลยนะ” เลฟี่พูดทำลายความเงียบ “เรารู้สึกเสียดายที่คนอื่นๆในดันเจี้ยนไม่ได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ด้วยกัน”
“ก็จริง ถ้าพวกนั้นมาด้วยคงจะครึกครื้นกว่านี้อีกเยอะเลย” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าในระหว่างที่ผมจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่คิดไว้ ผมนึกภาพอิลูน่าวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานตามซอกซอย ในขณะที่ลูก็วิ่งตามด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก ส่วนเลเลียก็ยืนเฝ้ามองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
ริร์กับชิอิด้วย… ไม่สิ พาทั้งสองมาก็จะสร้างความวุ่นวายเปล่าๆ เหล่าวิญญาณเด็กทั้งสามก็เช่นกัน
“หึ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“อะไรรึ?”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก ก็แค่…ไม่คิดว่าเธอจะพูดเรื่องแบบนี้ด้วยนะ”
“เราเห็นด้วย.” เลฟี่พยักหน้า “เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่เรารู้สึกโหยหาถึงคนอื่น”
“นั้นก็จริง แต่พูดตรงๆชั้นก็ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ นี้มันก็นานมาแล้วนะที่เราได้มาทำอะไรกันแค่สองคน”
“น-นั้นก็ เราไม่ปฏิเสธ” เลฟี่พูดติดอ่างขณะที่เธอพยายามรักษาความสงบของเธอให้ดีที่สุด “เราก็รู้สึกแปลกๆนะที่เรารู้จักเจ้ามาแค่ครึ่งปีเท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนเจ้าอยู่ข้างกายเรามาเป็นทศวรรษแล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ? นั้นเป็นคำพูดที่ดีเลยนะ เกือบจะทำให้ชั้นคิดว่าเธอทำอย่างอื่นนอกจากนอนขี้เกียจไปวันๆเลย”
“ที่เจ้าพูดแบบนั้นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่าสมัยของเราเป็นอย่างไรก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น รังเดิมของเราเป็นรังที่เราใช้เวลาหลายต่อหลายวันล่องลอยไปมาระหว่างดินแดนนี้กับดินแดน
แห่งความฝัน”
“เธอจะบอกว่าเธอขี้เกียจน้อยกว่าแต่ก่อนแล้วหรอ…?”
“แน่นอน ช่วงเวลาที่เราได้ใช้กับเจ้านะสิ้นเปลืองพลังงานกว่าแต่ก่อนซะอีก ช่วยไม่ได้หรอกที่เราจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะช่วยงานบ้านอะไรได้”
“ไปเอาตรรกะผิดๆแบบนั้นมาจากไหนกัน…” ผมหันไปทางเลฟี่และยิ้มให้กับเธอ
เรายังคงเดินกันเงียบๆต่อไป สัมผัสถึงบรรยากาศอันอบอุ่นของตัวเมือง แต่น่าเสียดายที่ความเงียบนั้นได้ถูกทำลายลง
โดยเสียงกรีดร้อง
ผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าตามแบบฉบับของผู้ใหญ่ที่ออกไปเพลิดเพลินกับสถานบันเทิงยามค่ำคืนของเมืองส่งเสียงร้องขณะที่เธอวิ่งออกมาจากตรอกที่อยู่ใกล้ๆ ข้างหลังเธอมีชายถือมีดเปื้อนเลือดไล่ตามมา พร้อมกับดวงตาที่ขาดสติ
ให้ตายสิว่ะ วันนี้อุตสาห์เป็นไปได้ด้วยดีแท้ๆ แต่ไอหมอนี้ก็โผล่มาพังทิ้งไปหมด
“ไปไกลๆไป๊ โผล่มาไม่ดูเวล่ำเวลาเลย!” ผมตะโกนและข้างก้อนหินไปยังใบหน้าของชายคนนั้นอย่างเต็มเหนี่ยว ก้อนหิวพุ่งเข้าไปกระแทกเข้าที่หัว ราวกับจะทะลุกระโหลกไปยังอีกฝั่งนึง
ด้วยการไม่อาจป้องกันตนเองจากการโจมตีกระทันหันได้ ส่งผลให้ชายคนนั้นปลิวไปชนกำแพงตึกใกล้ๆก่อนจะล้มลง บาดแผลค่อนข้างสาหัสอยู่ มีเลือดกระเด็นเต็มไปหมด ผมมั่นใจว่าไม่ตายก็พิการอย่างแน่นอน แต่มันกลับลุกขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ
ศีรษะของเขาบิดเบี้ยวมาทางผมอย่างไม่เป็นธรรมชาติและน่าขนลุก ขณะที่ร่างกายของเขาลุกขึ้นในลักษณะที่เกือบจะทำให้ผมนึกถึงเจียงซี [TL:ผีจีนที่โดดดึ๊งๆอ่ะจิ]
“อะไรว่ะเนี่ย? น่ากลัวชิบ” ผมพูด
“เจ้าควรจะใช้ตาเวทมนต์ของเจ้านะ” เลฟี่แนะนำ
“เอ่อ… โอเค…”
บ้าอะไรเนี่ย? ทั่วร่างของหมอนี้มีพลังเวทปกคลุมเต็มไปหมด ราวกับโดนผูกมัดอะไรอย่างนั้นเลย
“เราเชื่อว่าจะนับชายที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นศพก็คงไม่ผิดนัก” เธอพูด
“พูดจริงดิ?”
“จริงสิ เนโครแมนเซอร์เป็นหนึ่งในศัตรูที่เราเคยเผชิญหน้ามาก่อน วิญญาณที่พวกเขาใช้นั้นถูกควบคุมโดยพลังเวท โซ่ตรวนที่ผูกมัดเขาไว้ทำให้เรานึกถึงฝีมือของพวกนั้นมาก”
“งี้นี้เอง…” เข้าใจล่ะ สรุปคือซอมบี้สินะ
ถึงผมจะเรียกหมอนี้ว่าซอมบี้ แต่ก็ไม่ใช่ซอมบี้ที่ถูกควบคุมโดยไวรัส แต่เป็นเวทมนต์ เขาถูกใครบางคนเข้าควบคุม เป็นเหมือนกับขวานที่ผมมี หมอนี้เป็นหุ่นเชิดของคนคนนั้น
ถึงผมจะรู้ว่ามีคนคอยควบคุมอยู่ แต่สกิลตรวจจับศัตรูของผมก็ไม่แสดงผลอะไรเลย ช่างเถอะ จัดการปัญหาตรงหน้าก่อนแล้วค่อยคิดที่หลังก็แล้วกัน
ถ้าหมอนี้มันเป็นรูปแบบไวรัสก็ดีสิ จะได้เป่าหัวทิ้งและก็จบไปเลย แต่ในกรณีนี้ต่อให้สมองหาย มันก็คงยังเคลื่อนที่ได้โดยตัวเวทมนต์อยู่ดี
“แล้วเธอรับมือกับพวกนี้ยังไงหรอ?” ผมหันไปขอคำแนะนำจากเลฟี่
“งานง่ายๆ เราก็แค่เผาเจ้าเนโครให้ไหม้เป็นจุ่นก็เท่านั้น”
“ป-เป็นงั้นนี้เอง..”
จุดไฟฆ่าหัวเชื้อสินะ มีเหตุผลอยู่
ในท้ายที่สุด ข้อสรุปเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้ ก็คือการเขียนทับพลังเวทที่ทำให้ศพเคลื่อนไหวด้วยพลังเวทของผมเองโชคดีที่มันเปลี่ยนเป้าหมายแล้วและเริ่มเดินเข้ามาหาผม ท่าทางที่มันเดินมาหาผม มันน่าขยะแขยงไร้ความเป็นมนุษย์
ผมเตะตัดขาให้มันล้มและจับเข้าที่หลังหัวของมัน ผมรวบรวมพลังเวทและฝื่นส่งเข้าหัวมันไป ตัวพลังเวทที่อยู่ข้างในพยายามที่จะต้อต้าน แต่แค่นั้นหยุดผมไม่ได้หรอก
ไม่นานนักหลังจากที่ผมเขียนทับพลังเวทลงไป การเคลื่อนไหวของมันก็หยุดลง ราวกับตุ๊กตาที่โดนตัดเส้นด้าย
MANGA DISCUSSION