“เธอรู้อะไรไหม?” ผมเอียงคอไปทางเลฟี่ และพูดกับเธอขณะที่เราสองคนออกจากโรงแรม ฌ ตอนนี้เป็นเวลาตอนเช้า เราเพิ่งเสร็จสิ้นขั้นตอนการเช็คเอาท์และออกเดินทาง จุดหมายของเราคือคฤหาสน์ของเจ้าเมือง ซึ่งเราจะไปพบกับผู้กล้า ไกด์นำเที่ยวของเรา “โรงแรมนี้ก็ไม่ได้แย่เลยนะ ค่อนข้างดีเลยด้วยซ้ำ”
“เราก็ชอบอยู่ระดับนึง” มังกรสาวตอบ “แต่ก็เทียบเท่าบ้านของเราไม่ได้อยู่ดี”
“ก็จริง”
ลึกๆภายใจในผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ยินเลฟี่พูดแบบนั้น มันเป็นการพิสูจน์ว่าเธอมองปราสาทของผมเป็นมากกว่าที่พักปีก แต่มันคือบ้านของเธอ แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกนี้มันแสดงออกมา
โรงแรมที่เราเลือกมาพักกันเป็นโรงแรมที่แพงที่สุด และพนักงานภายในโรงแรมก็เป็นมือโปรกันหมดเลยด้วย ถึงเราจะเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าเมืองมา แต่ก็ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี และเตรียมห้องให้เราแทบจะทันที การตกแต่งภายในก็ทำได้ดี อาหารก็อร่อย ถึงจะเป็นอาหารที่ผมไม่เคยพบเห็นหรือได้กินมาก่อนก็ตาม ข้อติเดียวเลยคือเขาให้เราอยู่ในห้องใหญ่เตียงเดี่ยว ไม่ใช่ห้องเล็กสองห้อง การที่เตียงหายไปเตียงนึงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรซักเท่าไหร่ เพราะเลฟี่กับผมก็อาศัยอยู่ร่วมกันมาช่วงเวลานึงแล้ว แถมยัยนี้ก็ชอบเข้ามาในช่วงเวลาอาบน้ำของผมเพราะต้องการให้ผมสระหัวให้ ทำให้การนอนร่วมกันนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือสายตาที่เหล่าพนักงานมองมาที่ผมมันช่างเจ็บปวดไปถึงกระดูกซะเหลือเกิน
ส่วนไอเรื่องเจ้าชายเส็งเคร็งนั้นนะหรอ? ผมเลิกคิดเรื่องของมันไปก่อน เพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะมาวางแผนแปปๆแล้วก็ทำเลยไม่ได้ เพราะการออกเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อระบุตัวเท่านั้น ซึ่งเรื่องนั้นก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงหยุดคิดและหันมาพักผ่อนหย่อนใจ เที่ยวให้เต็มทีไปก่อนแล้วค่อยไปคิดต่อหลังจากนี้
“อยู่นั้นไง” ผมพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นผู้กล้า “เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเขามาอยู่ด้วยล่ะเนี่ย?”
ไม่นับทหารที่ยืนอยู่ ตอนนี้มีคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เจ้าเมือง คนแรกก็คือเนลล์ ผู้กล้าของเรานี้เอง ส่วนอีกคนคือตาแก่เจ้าเมือง เลย์โลว
“เฮ้ ว่าไงตาแก่? มีไรหรอ?” ผมทักทายก่อนจะหันสลับไปมาระหว่างทั้งคู่ “หืม นี้ชั้นคิดไปเองหรือพวกนายดูเหนื่อยๆกัน?”
“แล้วคิดว่าเป็นความผิดใครกันล่ะ…? ที่คุณเลย์โลวเขาอยู่ด้วยเพราะมีเรื่องอยากจะถามนายนะ”
“งั้นหรอ ว่ามาสิ?”
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบเป็นทางการและให้ความเคารพ “ผมได้ยินว่าคุณไปเจอกับอาวุธต้องสาบเข้า ผมเลยอยากจะสอบถามเกี่ยวกับมันนะครับ”
อาวุธต้องสาบ? อ้อ เขาหมายถึงขวานนี้เอง หืมมมม เป็นชื่อที่เหมาะกับมันดีแหะ เลฟี่ก็พูดถึงการที่ผมไม่โดยกลืนกินโดยอาวุธอยู่นี้น่า
“หมายถึงเจ้านี้นะหรอ?” ผมหยิบขวานออกมาให้เขาดู
“อะไรกัน!? ท่านเจ้าเมือง ถอยไปครับ!” ทหารยามที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าซักอาวุธออกมาและเข้าประจันหน้ากับผมทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้! เก็บดาบลงไปซะ!” ตาแก่ตะโกนสั่งใส่ลูกน้องของตนเอง “ผมต้องขอโทษในความหยาบคายของพวกเขาด้วยครับ”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นไม่คิดมากหรอก”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ… คุณไม่เป็นอะไรจริงๆหรอครับที่จับอาวุธแบบนี้? คำสาปไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจบ้างหรอครับ?”
“มันก็ค่อนข้างเชื่องไปแล้วล่ะ”
“น่าเหลื่อเชื่อจริงๆ… ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถฝึกอาวุธเวทมนต์ต้องสาปให้เชื่องได้ ขอบคุณมากเลยครับ ผมอยากทราบแค่นี้แหละ แต่คุณช่วยเก็บมันไปทีได้ไหมครับ? ให้พูดตรงๆเลยแค่มองมันผมก็รู้สึกกระอักกระอวนแล้วล่ะครับ”
“โว้ว เอ่อ… ไอเจ้านี้มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”
“สุดๆเลยครับ มันแข็งแกร่งจนผมยังแปลกใจว่าทำไมมันยังไม่เข้าควบคุมจิตใจคุณอยู่เลย”
สงสัยที่เคยบอกผู้กล้าไปว่าจอมมารจะรับมือเรื่องคำสาปเก่งจะเป็นมากกว่าแค่เรื่องตลกแล้วแหะ แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าใช่นะ
ผู้กล้าก็รู้สึกกดดันกับตัวอาวุธอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีกระอักกระอวนหรืออะไร ทางเลฟี่เหมือนจะตรงกับข้ามเลย ตัวตนของเธอมันทำเอาตัวอาวุธอึดอัดแทนซะงั้น เจ้าขวานที่น่าสงสารนี้ถึงกับอยู่นิ่งไม่ไหวติ่ง ราวกับเป็นอาวุธธรรมดาทั่วๆไปในตอนที่เธอถือมัน ราวกับเป็นสัตว์ตัวจิ๋วที่สั่นกลัวต่อนักล่าเลย พอคิดแบบนั้นก็ออกจะดูน่ารักดีแหะ
ด้วยความไม่พอใจ เธอถึงกับขู่ในอาวุธสาบเธอด้วยซ้ำ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ด้วยความสงสาร ผมเลยเข้าไปหยุดก่อนเธอจะทำอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่ออาวุธนี้คงจะขึ้นอยู่กับค่าสถานะว่าสูงแค่ไหนนั้นแหละ
ผมเก็บเจ้าขวานเข้าช่องเก็บของไปในระหว่างที่คิด
“ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณ… ผิดปกติ ดังนั้นเราจะผ่านเรื่องความสามารถของคุณไปก่อน คุณช่วยบอกข้อมูลของชายที่ใช้มันมาก่อนได้ไหมครับ?”
“ผิดปกติ? ฟังดูหยาบคายไปหน่อยแต่จะยอมปล่อยๆไปก่อนละกัน ไอเจ้าอาวุธมันเพิ่มพลังให้กับมันเยอะเลยล่ะ แต่ถึงมันยังไม่หยิบอาวุธออกมามันก็ดูเก่งกว่ากุ๊ยทั่วๆไปอยู่แล้วนะ”
พูดตรงๆผมคิดว่ามันแข็งแกร่งพอที่จะทำงานสุจริตก็ยังใช้ชีวิตสบายๆได้เลย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะอาวุธเลยทำให้มันมาเดินเส้นทางนั้น แต่พอมาได้ถือเองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ มันต้องเพิ่งได้อาวุธชิ้นนี้มาไม่นานแน่ๆ ไม่งั้นเป็นบ้าไล่ฆ่าคนไปทั่วไปนานแล้ว
แม้จะต้องสาป แต่มันก็เป็นขวานที่ทรงพลัง ถึงจะมีความต่างในค่าสถานะแค่ 10 ก็สร้างความแตกต่างได้มากแล้ว แต่การแค่ถือเจ้าขวานนี้ก็เพิ่มไป 200 ทุกค่านี้มันบ้าชัดๆ กับการเสียสติไปนี้กลายเป็นเรื่ยงที่คุ้มค่าขึ้นมาเลย
“คร่าวๆก็ประมาณนั้นแหละ”
เจ้าเมืองเริ่มขมวดคิ้วหลังจากที่ผมบอกข้อสันนิษฐานออกไป “เหมือนนายมีอะไรคาใจนะ?”
“…ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ แค่คำพูดของคุณพลางให้ผมนึกถึงเรื่องอื่นนะครับ” ตาแก่พูด “ตายจริง ผมเผลอพูดนอกเรื่องไป ขอโทษที่มารั้งตัวคุณไว้ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“ถึงผมอยากจะให้คุณกลับเข้าป่าไปในทันทีเลยก็เถอะ แต่ผมก็ไม่มีข้อแย้งอะไรถ้าคุณจะทำธุระในนี้ต่อ แต่ช่วยอยู่ห่างจากปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ด้วยนะครับ”
“เอ่ออ นายเลิกตีหน้าเข้าหาอะไรพวกนั้นแล้วหรอ? รู้สึกหลังๆนี้จะพูดกันตรงๆขึ้นนะ”
“ผมว่าคุณน่าจะชอบแบบนี้มากกว่านะครับ”
“หึ ก็จริง” ใต้ตายสิ ตาแก่นี้มันรู้ใจดีจริงๆ ผมชอบคนที่พูดตรงๆกันมากกว่าพูดอ้อมค้อมไปเรื่อยล่ะนะ
“ยังไงก็ไม่ต้องห่วงหรอก ที่พวกเราจะทำกันก็แค่ชมวิวในเมืองก็เท่านั้น พอเดินดูกันเต็มที่เดี๋ยวก็กลับ ใช่ไหมเลฟี่?”
“ถูกต้อง” มังกรสาวตอบกลับ “อาหารที่ชาวเมืองของเจ้าทำนั้นอร่อย เราจะพยายามหลีกเลี่ยงการทำลายให้สิ้นซากถึงแม้เราจะโกรธก็ตาม”
“ไม่เคยรู้สึกดีใจมากเท่านี้มาก่อนเลยที่พ่อครัวของเราทำอาหารเก่ง” ตาแก่พึมพัมอย่างจริงจัง
เมื่อเราเสร็จกิจกับเจ้าเมืองเสร็จ พวกเราก็โบกมือลาและเตรียมตัวไปเดินเที่ยวชมเมืองโดยมีผู้กล้าเป็นไกด์นำเที่ยว
MANGA DISCUSSION