ตอนที่ 5:
สถานที่ที่ฉันอยู่
☆ คัลโคโระ
เธออยากให้ตัวเองแสร้งทำเป็นไม่เห็นการทะเลาะกันระหว่างเมฟิสกับเท็ตตี้ แต่นักเรียนคนอื่นก็เริ่มโวยวายและพยายามจะหยุดทั้งสองคน จนในตอนนี้มันกลายเป็นความวุ่นวายไปแล้ว ดังนั้นคัลโคโระจึงไม่สามารถแสร้งเป็นมองไม่เห็นและเพิกเฉยได้อีก
คัลโคโระแยกทั้งคู่ออกจากกัน และในฐานะคนที่เป็นตัวกลางแบบขอไปที เธอก็ให้ทั้งคู่จับมือและโค้งตัวให้กันและกัน จริงๆแล้วมันไม่ใช่การต่อสู้ เป็นแค่เมฟิสโจมตีเท็ตตี้มากกว่า แต่เท็ตตี้เองก็ไม่ได้บ่นอะไรและรับฟังคำแนะนำจากอาจารย์อย่างว่าง่าย อีกฝั่งหนึ่งที่เป็นคนโจมตีเอาแต่ก่นด่า สบถออกมาไม่หยุดหย่อน “ทำไมต้องเป็นชั้นวะ?” “แม่งเอ๊ย” ไม่ก็ “ไอ้ห่า” โดยไม่ได้ทำอะไรเพื่อขอโทษเลย คัลโคโระจึงใช้ที่พึ่งสุดท้าย —โดยการประกาศว่าหากเมฟิสไม่ขอโทษคาบนี้ก็จะไม่จบ— จนในที่สุดคำขอโทษแบบขอไปทีก็ออกมาจากปากเธอ เห็นชัดว่าเมฟิสไม่ได้ชอบแต่ต้องพูดออกมาแบบช่วยไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำแบบไม่เต็มใจ
พวกเธอกลับไปยังห้องเรียน และเมื่อชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์อาชญากรรมของเมจิคัลเกิร์ลยุคใหม่เริ่มต้นเป็นคาบที่หก ทั้งห้องเรียนก็ยังคงรู้สึกตึงเครียดด้วยเมฟิสที่ทำหน้าบูดบึ้งและหงุดหงิด ส่วนเท็ตตี้เองก็มองมาที่เธอในเชิงขอโทษ หากเป็นแบบนี้ห้องเรียนก็จะสงบลงไม่ได้
“หลังจากการตายของนักดนตรีแห่งพงไพรแครนเบอร์รี่ มันส่งผลให้เมจิคัลเกิร์ลหลายคนสร้างความวุ่นวาย แก็ทลิ่ง พาราโกะและฮัลเบิร์ด เอมิลินได้เดินทางไปด้วยกันพร้อมกับทำการปล้น —อ๊ะ ขออภัยค่ะ ที่ถูกต้องเป็นแก็ทลิ่ง พาราโกะกับฮัลเบิร์ด เอมิมิน ต่างหาก”
แม้แต่อาจารย์เองก็ยังไม่ไหว คัลโคโระจึงตัดสินใจว่าหากจะจบเรื่องนี้ เธอต้องขีดเส้นเอาไว้ที่ไหนซักแห่ง
คัลโคโระสั่งให้เมฟิสเขียนเรียงความสำนึกผิดสองหน้ากระดาษที่สะท้อนถึงการกระทำของตัวเองก่อนกลับบ้าน เมฟิสมองคัลโคโระด้วยสายตาอาฆาต แต่คัลโคโระก็ไม่ได้ใส่ใจ —หรืออย่างน้อย เธอก็ยืนยืดตัวตรงเพื่อทำให้ดูว่าเป็นแบบนั้น— แล้วก็สั่งเมฟิสอีกครั้ง เด็กสาวในกลุ่มของเธอลากเธอกลับไปยังที่นั่ง
เนื่องจากว่าเท็ตตี้เป็นผู้ถูกกระทำ การตักเตือนด้วยวาจาจึงเพียงพอแล้ว
แต่เรื่องที่สำคัญกว่าเท็ตตี้ก็คือคานะ คัลโคโระพาเธอมาที่ห้องพักอาจารย์เพื่อถามว่าทำไมถึงไม่โจมตีโฮมุนครูสตลอดช่วงการจำลองการต่อสู้ คานะที่ท่าทางยังคงไร้อารมณ์แต่อย่างน้อยเธอก็ตอบกลับมาอย่างเชื่อฟัง
“เพราะว่าไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวของโฮมุนครูส ดังนั้นเราเลยคิดว่าสามารถใช้เวทมนตร์ของตัวเองแบบเต็มที่ได้ เราถามโฮมุนครูสไปว่าให้บอกจุดอ่อนของตัวเองมาหน่อย และก็พูดได้ว่าความพยายามของเรามันประสบความสำเร็จ โฮมุนครูสมีจุดอ่อนใหญ่ๆอยู่สามอย่าง พวกนั้นไม่สามารถเพิกเฉยคำสั่งของผู้สั่งการได้ เมื่อโดนแสงจ้าโดยเฉพาะแสงแดด พวกมันจะเคลื่อนที่ช้าลง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันก็มีสัญชาตญาณในการหลีกเลี่ยงการโจมตีใส่พวกเดียวกัน ส่วนอย่างสุดท้ายคือเรื่องเกี่ยวกับสัญชาตญาณ พวกมันคงต้องมีเพราะโฮมุนครูสไม่ได้ฉลาดนัก ดังนั้นแทนที่จะสอนว่าไม่ให้โจมตีพวกเดียวกัน พวกมันเลยถูกตั้งค่าด้วยตรรกะที่ให้ทำตามสัญชาตญาณเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีใส่กันเอง แต่เพราะได้เห็นว่าพวกมันฉลาดพอที่จะเข้าใจคำพูดของเราได้ เราเลยคิดว่าบางทีการสอนอาจจะดีกว่าใช้สัญชาตญาณก็ได้ เราคิดว่าส่วนใหญ่แล้วคงเป็นปัญหาเรื่องงบประมาณน่ะ”
คัลโคโระไม่รู้ว่าคานะกำลังเยาะเย้ยเธอ กำลังพูดอย่างจริงจัง หรือสติหลุดไปแล้วกันแน่ คัลโคโระสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างมากจากตัวของเธอ คัลโคโระบอกเธอไปว่าไม่เป็นไรตราบใดที่ไม่เอื่อยเฉื่อย จากนั้นก็ส่งเธอกลับ
ดูจากวิธีที่คานะพูด ร่างก่อนการแปลงร่างของเธอคงอายุมากแล้ว คัลโคโระที่ใช้นิ้วหมุนปากกายังตระหนักได้อีกว่าเธออาจจะเป็นจอมเวทก็ได้ คัลโคโระแอบมองคานะในโรงยิม คานะที่ชี้ไปยังพื้นโรงยิมและพูดว่าไม่เคยเห็นเวทมนตร์บันทึกแบบนี้มาก่อน นั่นฟังดูเป็นเหมือนเรื่องของจอมเวทที่ไม่สนใจความรู้ทั่วไปของโลกภายนอกจะพูดออกมาไม่มีผิด
คัลโคโระรายงานเรื่องพฤติกรรมของคานะ พร้อมกับบอกส่วนที่เป็นความคิดของเธอเองให้กับฮัลน่าที่ยังคงอยู่ในห้องอาจารย์ใหญ่และทำงานนั่งโต๊ะตามปกติ
จากนั้นฮัลน่าก็หัวเราะออกมา “ความคิดบ้าๆ”
“ไม่ค่ะ เอ่อ ค่ะ ขอโทษค่ะ” คัลโคโระตอบ “หวังว่าจะปล่อยมันให้เป็นแค่เรื่องความคิดโง่ๆของดิฉันไปนะคะ”
“แหงสิ ความคิดโง่ๆมันก็ดีด้วยตัวของมันนั่นแหละ แค่คิดอะไรง่ายๆก็พอแล้ว หากมีคนจับคำตอบจากหนึ่งในร้อยว่าเป็นตอบที่ถูกต้องได้ล่ะก็ แบบนั้นความคิดโง่ๆมันก็คุ้มค่าแล้ว”
คัลโคโระรู้ตัวว่าฮัลน่าไม่ได้โกรธ เธอรู้สึกโล่งอกและเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าตัวเอง แต่ไม่ว่าฮัลน่าจะเล็งจังหวะไว้หรือว่ามันแค่เกิดพร้อมกันก็ตาม ฮัลน่าเอานิ้วชี้ยื่นมาตรงด้านหน้าดวงตาของคัลโคโระ จนคัลโคโระต้องถอยหลังกลับแต่ก็ยังดีที่ไม่ล้มลง
“ตอนมองดูพวกนั้นไม่มีอะไรโผล่ขึ้นมาในใจบ้างเหรอ?” ฮัลน่าถาม
“เอ่อ…ก็”
“ชั้นไม่ได้หมายถึงแค่คานะ บอกเรื่องนักเรียนคนอื่นมาด้วย ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากปกติบ้างรึไง?” คำพูดของฮัลน่า ท่าที และการที่เอนตัวมาด้านหน้ามันล้วนบ่งบอกว่าคัลโคโระมีคำตอบที่ฮัลน่าต้องการอยู่แล้ว และคัลโคโระก็ต้องบอกเรื่องคำตอบที่ฮัลน่าอยากจะได้ หากเธอพูดอะไรที่มากเกินไป ฮัลน่าก็จะดุเธอแน่
“อ๊ะ ค่ะ” คัลโคโระพูด “เอ่อ ก่อนอื่นก็… คานะที่อยู่ในกลุ่มสอง ดิฉันพูดไม่ได้เลยว่าเธอทำอะไรได้ดี…”
“ไม่ต้องพูดเจาะจงขนาดนั้นก็ได้”
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ… เอ่อ นอกจากเธอแล้ว… ค่ะ มีเด็กคนนึงที่ทำอะไรรุนแรงเกินไป…”
ตาขวาของฮัลน่ากระตุก นี่เองก็ไม่ใช่คำตอบที่เธอต้องการ เหงื่ออันเย็นยะเยือกไหลผ่านหลังคัลโคโระ
“ก็ นั่นเองก็เป็นเรื่องนึง แต่มันก็ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่า… ใช่ค่ะ มีการใช้ความคิดกันมากขึ้น เหมือนกับเป็นความชอบ…การแข่งขัน ฉันเรียกมันว่าแบบนั้นค่ะ เมฟิส เฟเลสกระตือรือร้นเรื่องเกมมาตลอด แต่สำหรับกลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสาม… กลุ่มสามนั้นทำให้ดิฉันสัมผัสได้ว่าพวกเธอใช้เวทมนตร์ในเกมได้ดีกว่าคราวที่แล้ว คราวที่แล้วนั้นมันดู …เรียบง่ายไปค่ะ ดิฉันคิดว่าพวกเด็กสาวควรจะชนะด้วยความสามารถด้านกีฬาและชำนาญเวทมนตร์ของตัวเอง และในคราวนี้ กลุ่มสามก็แสดงเวทมนตร์ของตัวเองออกมาโดยที่ไม่ได้ยั้งมือเลย ในขณะที่กลุ่มหนึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ก็จริง แต่การเอาเวทมนตร์มาใช้ในเกมเหมือนว่าจะทำได้ไม่ดี”
ฮัลน่าเอนหลังกลับ เธอจมตัวลงไปในเก้าอี้มากกว่าปกติพร้อมกับไขว้นิ้วมือเข้าหากันและวางสองมือลงบนโต๊ะ “พวกเธอเริ่มกระหายชัยชนะมากขึ้นแล้วสินะ”
“ดิฉันคิดว่า… พูดแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ”
สีหน้าของฮัลน่าบิดไปมาราวกับว่ารู้สึกแย่มาก ความงดงามของหน้าตาและตำแหน่งหน้าที่ทำให้ท่าทางทุกอย่างดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คัลโคโระเข้าใจว่าความโกรธไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าจะเป็นแบบนั้นไปตลอด
ไหล่ของคัลโคโระสั่นเทาจนตัวของเธอหดลีบ
ฮัลน่าดันเก้าอี้ไปด้านหลัง นิ้วของเธอที่ยังไขว้เข้าหากันก็เอาลงมาวางไว้ที่ตัก “เหมือนว่าจะมีบางคนที่มีความคิดสกปรกอยู่… และพวกมันก็เล็งโรงเรียนนี้เป็นเป้า”
“หือ? ค่ะ”
คัลโคโระไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดกลับไปว่า “แค่มองดูพวกเธอก็ทำให้สภาพจิตใจดิฉันย่ำแย่แล้วค่ะ” ทางเลือกเดียวของเธอคือการพยักหน้าอย่างรวดเร็วราวกับจะบอกว่าตัวเองก็คิดแบบเดียวกัน
ทันทีที่ออกมาจากห้อง เธอก็ถอนหายใจออกมา เริ่มด้วยการมาของคานะ จากนั้นก็เวลาอาหารกลางวันแล้วก็คาบนันทนาการ มันเป็นวันที่แสนยาวนานจนหัวใจของเธอแทบไม่มีโอกาสจะได้พัก พอคิดแบบนี้แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
วันนี้ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และเธอเองก็เหนื่อยมากด้วย
เมฟิสต้องอยู่ต่อเพราะต้องเขียนเรียงความสำนึกผิด ส่วนคานะก็ถูกเรียกตัวไปยังห้องพักอาจารย์เพราะทำตัวเอื่อยเฉื่อยในตอนฝึกซ้อม ฟูจิโนะเองก็บ่นกับมิส ริลและแรปปี้เรื่องวันนี้ที่เหนื่อยยากเช่นกัน
“จริงสิ คืนไปรึยังคะ?” ฟูจิโนะถามมิส ริลเบาๆ
“ฉันพลาดโอกาสน่ะค่ะ” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลยิ่งกว่า
ก่อนที่การจำลองการต่อสู้จะเริ่มต้น ปรินเซสไลท์นิ่งได้เข้ามาหากลุ่มหนึ่งและยื่นมีดสั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดให้กับมิส ริล “เอ้านี่”
“นี่มันอะไรเหรอคะ?” มิส ริลถามออกไปโดยไม่เข้าใจมันหมายถึงอะไร และปรินเซสไลท์นิ่งเองก็ยื่นเศษกระดาษมาให้ด้วยราวกับเตรียมไว้แล้วล่วงหน้า
เธอเขียนโน๊ตบอกมาว่า : กลุ่มสองน่ะมีคนที่แข็งแกร่งเยอะ ถ้าพวกเราทำอะไรแบบธรรมดา พวกนั้นจะได้เปรียบ ทำไมพวกเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ? เธอไม่จำเป็นต้องขัดขวางกลุ่มสองแบบโจ่งแจ้งหรอก แค่เข้าไปขวางกลุ่มสองในตอนที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าฝ่ายไหนเป็นอุปสรรคก็พอแล้ว ฉันจะให้ยืมมีดสั้นเล่มนี้เพื่อเป็นหลักฐานถึงความตั้งใจ หวังว่ามันจะช่วยเธอได้นะ
แม้โดรี่กับอาร์ลี่จะคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่คนอื่นนั้นก็ดูสับสน การที่ทั้งสองกลุ่มร่วมมือกันเพื่อเล่นงานอีกกลุ่มมันขัดแย้งต่อการเล่นแบบยุติธรรม
กลุ่มหนึ่งจึงสุมหัวเพื่อพูดคุยกัน
“พวกเราจะทำยังไงดีคะ?” เท็ตตี้ถาม
“ถ้ารู้สึกว่าจะทำยังไงดีล่ะก็ คืนกลับไปตอนนี้เลยนะ!” แรปปี้พูด “ถ้าไม่ล่ะก็ เอาล่ะ ช่างเถอะ จะใช้ยังไงล่ะ?”
“แต่ฉันรู้สึกไม่ดีเลย…” มิส ริลพูด “ดูเหมือนเมฟิสตั้งใจจะเอาชนะมากด้วย”
“แต่ว่า แล้วพวกเราจะใช้ยังไงล่ะ? ไม่ได้จะใช้มีดนั่นจริงๆใช่ไหม?”
เรื่องที่พวกเธอพูดคุยกันว่าควรจะใช้มันหรือไม่ ได้กลายเป็นว่าควรจะใช้มันยังไงโดยที่ไม่ทันรู้ตัว พวกเธอได้แผนการของมิส ริลที่จะถือเอาไว้ในมืออย่างลับๆเพื่อเปลี่ยนสสารของตัวเองให้เหมือนกับมีดสั้นของไลท์นิ่ง จากนั้นก็จะสร้างแสงจ้าที่ทำให้มองไม่เห็นในทันที และนั่นก็ทำให้เท็ตตี้อยากลองใช้ ดังนั้นพวกเธอจึงตัดสินว่าต้องโหวตเพื่อทำการตัดสินใจกันก่อน และผลก็คือมีคนที่เห็นด้วยสามคนคือโดรี่ อาร์ลี่ และแรปปี้ ไม่เห็นด้วยสองคนคือมิส ริลและเท็ตตี้ เพราะแบบนั้นพวกเธอจึงตัดสินใจใช้มีดสั้นของไลท์นิ่ง
เท็ตตี้รู้สึกผิดตลอดทั้งเกม เท็ตตี้รู้ว่าเมื่อทำการโหวตพวกเธอก็จะลงคะแนนว่าจะใช้ แรปปี้นั้นทำตัวเหมือนกับว่าไม่ได้ต่อต้านการใช้ โดรี่กับอาร์ลี่เองก็ดีใจที่มีอาวุธเพิ่มขึ้น มิส ริลดูเหมือนไม่ได้กระตือรือร้นเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเท็ตตี้โหวตฝ่ายเดียวกับเธอ ผลมันก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นสามต่อสอง ฝ่ายที่ “จะใช้” จะเป็นฝ่ายที่ชนะ
เธออยากชนะ เธอมองกลุ่มสองเป็นคู่แข่ง และเธอยังรู้สึกไม่พอใจว่าไลท์นิ่งไม่ได้มองกลุ่มหนึ่งในฐานะคู่แข่งที่เท่าเทียมเลย มันจริงที่กลุ่มของพวกเธออาจตามหลังอยู่ในบางเรื่อง แต่ถ้าพวกเธอรวมหัวกันคิดกลยุทธ์ที่เหมาะสม แบบนั้นต่อให้เป็นกลุ่มหนึ่งก็สามารถต่อสู้ได้ดี เมื่อพวกเธอได้แผนการของมิส ริลว่าจะถือมีดสั้นของไลท์นิ่งเอาไว้แบบลับๆและใช้เวทมนตร์ของเธอ ภายในใจของเท็ตตี้ก็ร้องออกมาว่า เยี่ยม! ด้วยความดีใจ และมันก็ทำให้เธออยากใช้แผนการที่คิดขึ้นมาจริงๆ
เธอแค่คิดว่าหากเพื่อหน้าตาและชื่อเสียงแล้ว พวกเธอก็ไม่ควรจะใช้ เพราะแบบนั้นเธอจึงเลือกให้เสียงข้างมากทำการตัดสิน ในขณะที่ความต้องการของคนในกลุ่มจะโหวตให้ใช้ แบบนั้นเธอก็สามารถแสดงตัวว่าต่อต้านได้ มันเป็นวิธีการที่ไม่ซื่อตรงมากกว่าการคิดอย่างตรงไปตรงมา และมันก็เป็นสิ่งที่ คิวตี้ฮีลเลอร์ หรือ ฮิโยโกะ จะไม่มีวันทำ
สมาชิกที่มีจิตใจดีงามของกลุ่มฟูจิโนะไม่เคยจินตนาการเลยว่า หัวหน้ากลุ่มของตัวเองได้คิดว่าจะทำอะไรเอาไว้หมดแล้ว ทุกคนล้วนแต่พูดออกมาว่า “วันนี้ลำบากจังนะ” แล้วมันก็จบแค่นั้น
เนื่องจากนักเรียนทุกคนจะใช้ประตูของตัวเองในการไปและกลับโรงเรียน พวกเธอจึงไม่ได้อยู่ด้วยกันระหว่างทางกลับบ้านและไปกันคนละทางหลังจากเลิกเรียน แต่ฟูจิโนะไม่ได้รู้สึกอยากกลับบ้าน —และไม่ได้อยากอยู่ในห้องเรียนที่เมฟิสกำลังใช้ดินสอเขียนอะไรบนกระดาษเช่นกัน ฟูจิโนะจึงลากเท้าตัวเองที่เดินอยู่ที่ทางเดินเข้าไปยังห้องน้ำเมื่อเธอไม่มีที่จะไป จากนั้นก็ออกมาด้านนอก และหยุดอยู่หน้าโรงยิมครู่หนึ่ง
ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง มันก็มีบ้านเพียงแค่ที่เดียวที่เธอกลับไปได้ เธอถอนหายใจออกมาและกำลังจะมุ่งหน้าไปยังประตูที่อยู่ในสวน ตอนนั้นเองก็มีใครบางคนเรียกเธอ
คัลโคโระนั่นเอง “เท็ตตี้ ดิฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อย มีเวลาไหมคะ?”
“ได้ค่ะ… ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ?” เธอตอบ
“เรื่องที่เกิดขึ้นตอนจำลองการต่อสู้น่ะ”
หัวใจของเธอเต้นแรงอยู่ในอก เรื่องที่เธอกังวลมากที่สุดจู่ๆก็ถาโถมเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัวราวกับสึนามิ
“กลุ่มหนึ่งมีความคิดอะไรออกมาหลายอย่างเลยเมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว” การที่อาจารย์พูดว่า ‘มีความคิดอะไรออกมาเยอะ’ มันคือคำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจของฟูจิโนะ คนที่กำลังคิดว่าจะตอบกลับไปยังไง
คัลโคโระพูดต่อ “แรปปี้ใช้แรปของตัวเองห่อพื้น และเรื่องที่มิส ริลทำตอนท้าย—”
หัวใจของเธอเต้นรัวไม่หยุด นี่คัลโคโระรู้เรื่องและกำลังด่าว่าเธอ หรือเพียงแค่กำลังชื่นชมกันนะ? แต่อาจารย์คนนี้ไม่เคยชื่นชมนักเรียนของตัวเองเลย —และฟูจิโนะก็แน่ใจว่าไม่เคยมีใครที่อาจารย์เข้าหาหลังเลิกเรียนเพื่อทำอะไรแบบนั้นด้วย
เธอมองหน้าคัลโคโระอีกครั้ง จากท่าทางแล้วเธอบอกไม่ได้ว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่ ใจเย็นก่อน เธอบอกกับตัวเองแบบนี้
“มิส ริลสร้างแสงจ้าขึ้นใช่ไหม? นั่นเธอทำได้ยังไงน่ะ?” คัลโคโระถาม
ฟูจิโนะมองไม่เห็นความประสงค์ร้ายจากท่าทางของอาจารย์ นี่อาจารย์แค่ถามเฉยๆงั้นเหรอ? แต่มันกลับแทงลึกลงไปในหัวใจของฟูจิโนะ เธอหายใจเข้าลึกๆและเอามือทาบอก เธอได้ยินเสียงภายในใจที่บอกว่า นี่คือโอกาสแล้ว ไม่ว่าคัลโคโระจะรู้หรือไม่ หากฟูจิโนะสารภาพสิ่งที่ตัวเองทำผิดออกมาตอนนี้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วมันก็จะกลายเป็นการสำนึกผิด แสงสว่างนี้เสมือนกับส่องลงมาจากสรวงสวรรค์ที่ทำให้หัวใจภายในอกกระโดดโลดเต้นอย่างรุนแรง
“พวกเราใช้มีดสั้นที่ยืมมาจากปรินเซสไลท์นิ่งค่ะ” เสียงของเธอไม่ได้แตก เธอพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ อ่าา พูดออกไปแล้วสิ เธอคิด แต่มันก็เหมือนการยกภูเขาออกจากอกไปด้วย “ฉันให้มิส ริลถือเอาไว้ค่ะ จากนั้นก็ให้เธอใช้แบบถูกจังหวะ”
คิ้วของคัลโคโระเลิกขึ้น ปากเองก็เผยอออกเป็นวงกลม เธอดูประหลาดใจ
ฟูจิโนะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดเธอก็สารภาพออกไปแล้ว การไม่พูดอะไรเลยมันจะกลายเป็นการโทษไลท์นิ่ง เธอจึงพูดมันออกมาราวกับว่าเธอเป็นคนที่ทำมันเองอย่างเต็มใจ ซึ่งความจริงแล้วเท็ตตี้ก็เป็นคนที่ทำการตัดสินใจด้วย หากใครบางคนอยากจะแบกรับบาปเอาไว้ มันก็ไม่ควรเป็นไลท์นิ่งหรือคนอื่นในกลุ่มหนึ่ง มันควรจะเป็นเท็ตตี้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
สีหน้าของคัลโคโระค่อยๆกลับมาเป็นปกติ เธอหลับตาลงจากนั้นก็พยักหน้าสองครั้ง “ร่วมมือกันกับกลุ่มอื่นงั้นเหรอ?”
“ค่ะ… ใช่แล้ว”
“แล้วกลุ่มสามได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ล่ะ?”
คำถามนั้นทำให้ความคิดของฟูจิโนะหยุดนิ่ง เธอคิดอะไรไม่ออกเลย แต่เธอก็เปิดปากโดยคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรบางอย่าง และสิ่งที่ออกมาก็เหมือนกับสิ่งที่ไลท์นิ่งบอกเธอ “กลุ่มสองแข็งแกร่งที่สุด ทุกคนล้วนเป็นนักสู้ ถ้าร่วมมือกันก็จะจัดการกลุ่มสอง เอ่อ กลุ่มสามก็จะ… อ๊ะ ประโยชน์ค่ะ หากกลุ่มสองได้ที่โหล่ แบบนั้นพวกเธอก็จะกลายเป็นที่สองหรือหนึ่งได้”
คัลโคโระเอานิ้วไปแตะที่คางแล้วก็พึมพำ “ต่างคนต่างแข่งกันสินะ” จากนั้นก็กดริมฝีปากตัวเองราวกับว่ากำลังคิดแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“เอ่อ คุณคัลโคโระ”
“อ๊ะ ขอโทษนะ โทษทีที่รั้งตัวเอาไว้ เอ่อ…อ๊ะ ใช่แล้ว ดิฉันไม่ได้คิดว่าเธอจะร่วมมือกับกลุ่มสามเลย บางทีดิฉันคงคาดหวังอะไรจากเมจิคัลเกิร์ลของฝ่ายข้อมูลน้อยเกินไปหน่อย”
คัลโคโระโบกมือและเดินออกไป ฟูจิโนะเองมองดูเธอเดินไปอย่างงุนงง ฟูจิโนะตั้งใจสารภาพความผิดของตัวเอง แต่อาจารย์ไม่ได้คิดว่ามันผิดอะไร และถ้าจะมีอะไรล่ะก็ มันก็เป็นการที่อาจารย์ชมเธอด้วยซ้ำ
ฟูจิโนะหลับตาลง สำนึกเรื่องความถูกผิดของเธอกำลังสั่นคลอน ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วยนะ? เธอถูกบอกว่ามาจากฝ่ายข้อมูล แต่คนที่ไม่ได้รู้จักแม้กระทั่งชื่อของฝ่ายข้อมูลจะเป็นสมาชิกของทางนั้นได้ยังไงกัน? เธอไม่เข้าใจเรื่องที่คานะหรือคุณคัลโคโระพูดออกมาเลย
เธอเดินออกไปยังสวนด้วยก้าวที่ไม่มั่นคง ดันประตูเพื่อเข้าไป ที่ด้านข้างของถนนที่ปูด้วยอิฐยาวจนถึงประตูมีใครบางคนที่สวมชุดเอี๊ยมนั่งหันหลังให้เธอ ฟูจิโนะสูดหายใจเฮือกใหญ่ และคนๆนั้นก็หันมา
“โอ๊ะ เท็ตตี้ไม่ใช่เหรอนั่น”
ฟูจิโนะนั่งลงข้างๆจอมเวทที่กำลังถอนหญ้า จอมเวทพยายามจะห้ามเธอ แต่ฟูจิโนะก็ยืนกรานว่า “ขอร้องล่ะค่ะ ให้ฉันทำเถอะ” เธอพูดแบบนั้นพร้อมจับต้นหญ้าเอาไว้แล้วก็ดึงขึ้นมาจากดิน
“เอ่อ คือ…” ฟูจิโนะเริ่มพูด
ในตอนที่จอมเวทเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่ห้อยอยู่รอบคอ ฟูจิโนะก็ตัดสินใจและถามไปว่า “รู้จักสถานที่ที่เรียกว่าฝ่ายข้อมูลรึเปล่าคะ?”
“อื้อ รู้สิ” จอมเวทตอบ “ฉันรู้ แต่…ทำไมถึงถามเหรอ?”
“หลายคนบอกว่าฉันมาจากฝ่ายข้อมูล แต่ฉันไม่รู้เลยค่ะว่ามันคืออะไร พวกนั้นเองก็ยังคงคิดว่าฉันเกี่ยวข้องกับฝ่ายนี้ด้วย —มันคืออะไรเหรอคะ?”
“อืม” จอมเวทแหงนหน้ามองขึ้นไปทำให้ฟูจิโนะเองก็ทำแบบเดียวกัน อีกาหลายตัวกำลังบินผ่านดวงอาทิตย์สีแดงที่กำลังลับขอบฟ้า จอมเวทยังคงมองดูท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง เหงื่อที่ไหลลงมาตามคางถูกเช็ดออกไปด้วยหลังมือที่สวมถุงมือทำสวนเอาไว้ แต่เศษดินก็เปื้อนไปตามคางจนมันดูราวกับเป็นหนวด และมันก็หายไปเมื่อจอมเวทเช็ดด้วยถุงมืออีกด้าน
จอมเวทหันกลับมาหาฟูจิโนะ รอยยิ้มตามปกติในตอนนี้มันทำให้ดูตึงเครียดและกดดัน เป็นท่าทางที่ดูจริงจัง จนทำให้ใบหน้าของฟูจิโนะตึงขึ้นไปด้วยเช่นกัน
“เธอรู้รึเปล่าว่าดินแดนเวทมนตร์มีหลากหลายหน่วยงาน?” จอมเวทพูด
“รู้ค่ะ แต่ก็… ไม่ได้รู้เรื่องข้อมูลแบบเจาะจงมากเท่าไหร่”
“ฝ่ายข้อมูลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น งานของพวกนั้นคือการรวบรวมข้อมูลจากหลายๆที่” จอมเวทพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็ชี้ไปที่ม้านั่งและพูดว่า ‘แบบนี้คงจะยาว นั่งกันก่อนดีไหม’ จากนั้นจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลก็นั่งอยู่ข้างกัน
“เท็ตตี้ เธอไม่ใช่สมาชิกของฝ่ายข้อมูลหรอกนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องไปซะทั้งหมด ซึ่งมันหมายถึง… ทางฝ่ายข้อมูลเป็นคนแนะนำให้เธอมาที่โรงเรียนนี้”
ฟูจิโนะปรบมือพร้อมส่งเสียง อ๊ะ “เพราะแบบนั้นคนอื่นถึงคิดว่าฉันมาจากฝ่ายข้อมูลสินะคะ?”
“ก็คงแบบนั้นแหละ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนนี้ต่างก็ถูกแนะนำมาจากหน่วยงานไม่ก็ขุนนางของดินแดนเวทมนตร์ทั้งนั้น ส่วนใหญ่… ก็จะแนะนำลูกน้องของตัวเองแล้วก็ส่งมา ดังนั้นคนที่รู้ว่าเธอถูกแนะนำมาจากฝ่ายข้อมูลก็จะคิดว่าเธอเกี่ยวข้องกับทางนั้นไปด้วย”
“เอ่อ ฉัน…ไม่รู้อะไรเรื่องฝ่ายข้อมูลเลยค่ะ และฉันก็เพิ่งรู้ว่าทางนั้นทำอะไรบ้างเพราะคุณบอก… แล้วทำไมพวกเขาถึงแนะนำฉันล่ะคะ?”
“ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าเป็นฝ่ายที่รวบรวมข้อมูลน่ะ? พวกนั้นเองก็รวบรวมข้อมูลของเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน แต่การที่ได้ยินว่าข้อมูลของตัวเองถูกรวบรวมนี่ฉันคิดว่าคงทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นะ…”
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ฉันคิดว่ามันจำเป็น”
“ดีใจนะที่เธอพูดแบบนั้น”
จากที่จอมเวทพูดออกมา ฟูจิโนะก็ตระหนักได้ว่า —จอมเวทคนนี้ที่เธอพูดด้วยเป็นสมาชิกของฝ่ายข้อมูล คานะพูดออกมาก่อนหน้านี้ว่าคนที่มีสังกัดจะไม่ยอมรับว่ามี
จอมเวทยืดตัวตรงพร้อมวางมือลงบนตัก “ฉันเองก็ไม่อยากพูดอะไรให้เธอรู้สึกไม่ดีนะ แต่ก่อนอื่นเลย เรื่องที่สำคัญก็คือเงิน คนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลและขัดสนเรื่องเงินทองจะถูกจัดให้มีความสำคัญเมื่อพิจารณาเรื่องแคนดิเดท—”
ฟูจิโนะไม่ได้รู้สึกโกรธ ความจริงแล้วในหัวใจของเธอยังรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยด้วยซ้ำ ใครบางคนรู้ว่าฟูจิโนะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การสูญเสียผู้เป็นแม่ทำให้เธอไม่สามารถไปโรงเรียนหรือเป็นเมจิคัลเกิร์ลต่อไปได้ มือของฟูจิโนะวางแนบอยู่ตรงหน้าอกในตอนที่ฟังจอมเวทพูด
“—แล้วก็ พวกนั้นจะจำกัดวงให้แคบตามนิสัยและการใช้ชีวิต… จริงสิ เท็ตตี้ เธอมาหาพวกเราพร้อมความคิดมากมายไม่ใช่เหรอ?”
“หือ? เรื่องนั้นขึ้นไปถึงเบื้องบนด้วยเหรอคะ?”
“ฝ่ายข้อมูลน่ะจะหยิบเอาทุกอย่างที่อาจเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลมาทั้งหมด ทางฝ่ายประเมินเธอเอาไว้สูงเพราะมีท่าทีเชิงรุกด้วยการแนะนำความคิดการปรับปรุงในเรื่องต่างๆ”
ฟูจิโนะรู้ว่าตัวเองกำลังกัดริมฝีปาก เธอต้องทำไม่งั้นน้ำตาจะไหลออกมา เธอคิดว่ารายงานที่ตัวเองเขียนคงไม่ได้มีความหมายและทำให้ทุกคนรำคาญ แต่ใครบางคนก็มองเห็นมัน
จอมเวทมองลงมาที่ฟูจิโนะก่อนที่สีหน้าจะกลายเป็นโล่งใจ พวกเธอมองดูความเขียวขจีของใบแปะก๊วยที่พริ้วไหวไปตามลม —ฟูจิโนะชอบสีเหลืองของฤดูใบไม้ร่วง แต่แบบนี้เองก็ดีไปอีกแบบเช่นกัน
“มีอะไรที่อยากถามอีกรึเปล่า?” จอมเวทพูด
“ก็…”
“เธอพูดกับฉันได้ทุกเรื่องนะ —จะเป็นปัญหาหรือเรื่องอะไรที่กังวลก็ได้ จริงๆแล้วมันก็ช่วยฉันด้วยเหมือนกัน หากอยู่ที่โรงเรียนแล้วมีช่วงเวลาที่รู้สึกสบายขึ้น มันก็จะทำให้โรงเรียนดีขึ้นไปด้วย”
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมจอมเวทถึงพูดเป็นนัยว่าเกี่ยวข้องกับฝ่ายข้อมูล จอมเวทพยายามบอกเธอว่า “พึ่งพาฉันได้นะ” ในตอนนี้ฟูจิโนะรู้สึกอยากที่จะร้องไห้ออกมาจริงๆ แต่เธอก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอรู้สึกว่าหากร้องไห้ออกมาในตอนนี้ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องไม่เหมาะสม แต่มันยังทำให้ความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาของคนๆนี้เสียเปล่าด้วย
แทนที่จะตอบแทนน้ำใจของจอมเวท —ที่บางทีคงแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมามากเท่าที่ทำได้— ด้วยน้ำตา ฟูจิโนะก็พูดออกมา เธอบอกจอมเวทไปทุกเรื่อง เรื่องที่เธอใช้มีดสั้นที่ได้รับมาจากไลท์นิ่ง เรื่องที่เธอใช้เสียงข้างมากในขณะที่เข้าใจว่าสิ่งที่เธอต้องการนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิด และเรื่องที่เธออยากขอโทษเมฟิส —เธอพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้สึกกังวลอยู่ในใจออกมา
จอมเวทรับฟังทุกอย่างที่เธอพูดออกมา คอยส่งเสียงว่า หืมม หืมม เพื่อจะบอกว่าฟังเธออยู่ จอมเวทถอดถุงมือออกและวางไว้ด้านข้าง กำมือขวาไว้และยื่นนิ้วโป้งออกมาสัมผัสกับคาง จมอยู่ในความคิดอยู่ครู่หนึ่งในท่านั้น เมื่อผ่านไปหนึ่งนาทีเต็ม จอมเวทก็พยักหน้าพร้องส่งเสียง หืมม หืมม “นี่เป็นครั้งแรกที่ไลท์นิ่ง… เสนอความร่วมมือรึเปล่า?”
“ค่ะ เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย” ฟูจิโนะตอบ
“แบบนั้นสินะ…? งั้นเหรอ งั้นเหรอ”
“เรื่องนั้นมีอะไรรึเปล่าคะ…?”
“อ่า ไม่หรอก ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติรึเปล่าน่ะ ที่สำคัญคือ… เธออยากคืนดีกับเมฟิสใช่ไหม?”
คำพูดของฟูจิโนะติดอยู่ในลำคอ นี่เธออยากคืนดีกับเมฟิสรึเปล่านะ? อยากแก้ไขความขัดแย้งในห้องเรียน รู้สึกดีที่เรื่องต่างๆเป็นไปอย่างราบลื่น —เรื่องพวกนี้มันคือความปรารถนาของเธอในฐานะหัวหน้าห้อง แต่สำหรับตัวของฟูจิโนะแล้ว เธออยากจะคืนดีกับเมฟิสจริงๆรึเปล่า?
ฟูจิโนะกอดอกและพยายามคิด —และเธอก็รู้ตัวว่าไม่เห็นจำเป็นจะต้องคิดเลย “อยากค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ”
“แต่… ฉันคิดว่ามันคงยาก”
“รู้ไหม ในเวลาแบบนี้ มันมีวิธีการที่ตรงไปตรงมาที่จะแก้ไขได้อยู่นะ”
“มีวิธีแก้ด้วยเหรอคะ?”
“ของขวัญยังไงล่ะ เธอต้องหาของที่สมบูรณ์แบบ”
“ของ…ที่สมบูรณ์แบบ?”
“บางอย่างที่แพงจนทำให้สับสน ในขณะเดียวกันมันก็ไร้ค่าจนทำให้ผิดหวัง แต่ดูสิ สิ่งบางสิ่งก็ไม่ได้โอ้อวดตัวเองแต่ก็ยังยอดเยี่ยมอยู่นะ ตัวอย่างเช่น —ทิวทัศน์ที่งดงาม”
จอมเวทพูดว่า “ระหว่างเธอกับฉัน” และก็ยิ้มออกมา “การดูแลต้นไม้ในสวนและถอนหญ้าส่วนใหญ่แล้วก็เป็นงานอดิเรกส่วนตัว มีเพียงไม่กี่คนที่จะเข้ามาด้านในนี้ ดังนั้นเวลาที่ไม่มีใครเห็นฉันก็เอาดินมาเล่น”
เครื่องหมายคำถามลอยขึ้นมาในใจของฟูจิโนะ ในตอนนี้พวกเธอนั่งอยู่บนม้านั่งในสวน ฟูจิโนะเดินผ่านสวนนี้วันละสองครั้งในตอนที่ไปและกลับโรงเรียน ยกเว้นสุดสัปดาห์และวันหยุด ซึ่งมันไม่ได้มีข้อจำกัดอะไร
“เธอคงสับสนสินะ คนเดียวที่ใช้ประตูเชื่อมต่อในสวน —ซึ่งก็คือเธอ เท็ตตี้— สามารถไปและกลับได้โดยที่เป็นข้อยกเว้น ปกติแล้วเธอเข้ามาไม่ได้หรอก” จอมเวทโยนถุงมือทำสวนลงไปบนทางเดินอิฐ มันร่วงลงไปอย่างนุ่มนวล และในทันใดนั้น สิ่งสีดำบางอย่างที่เหมือนของเหลวก็ทะลักออกมาแต่มันก็ดูเหมือนของแข็งที่โผล่ออกมาระหว่างก้อนอิฐด้วย ได้จับถุงมือเอาไว้แล้วก็โยนกลับมาบนม้านั่งก่อนที่จะเลื่อนตัวกลับเข้าไประหว่างก้อนอิฐตามเดิม
ฟูจิโนะชี้ไปที่ทางเดินอิฐด้วยมือที่สั่นเทา “นะ-นั่นมัน—”
“โฮมุนครูสรักษาความปลอดภัยน่ะ โดยปกติแล้วมันไม่ออกมาให้เห็นหรอก พวกมันช่วยฉันแบบนี้แล้วยังสามารถจับผู้ที่บุกรุกเข้ามาแบบงี่เง่าได้ด้วย อ๊ะ ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าไม่ได้ทำอะไรไม่ดี พวกมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร”
ฟูจิโนะไม่ได้รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกมันเลยตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่เมื่อเดือนก่อน เธอกลืนน้ำลายจนมีเสียงดัง หายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เอนตัวเข้าหาพนักพิงของม้านั่ง “ฉันไม่รู้เลยค่ะ…”
“นักเรียนไม่รู้เรื่องนี้หรอก แต่เธอต้องเข้าใจว่าพวกเรามีเจ้าพวกนี้ไว้เพื่อรักษาความปลอดภัย ดังนั้นเรื่องของขวัญที่ฉันพูดถึง —เอาเป็นว่าคือการพาเมฟิสมาที่สวนนี้เป็นไง?”
“สวนนี้เหรอคะ?”
“มันอาจจะไม่ได้น่าประทับใจนัก… แต่ฉันก็คิดว่ามันเป็นสวนที่สวยนะ แล้วฉันก็ปล่อยให้เธอเข้ามาพร้อมเก็บเป็นความลับได้ด้วย”
สนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างประณีต ม้านั่งไม้โค้งมนดูมีเสน่ห์ ทางเดินอิฐเล็กๆ ประตูโค้งที่มีรูปหัวใจอยู่ด้านบน ถึงพื้นที่ของสวนจะเล็ก แต่มันก็สมกับเป็น “สวนแห่งความลับ” เพราะทั้งสถานที่และบรรยากาศไปในทางนั้น ฟูจิโนะไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับรสนิยมของเมฟิสรึเปล่า แต่มันคงแย่หากไม่มีคนอื่นนอกจากเธอที่ได้เห็นที่นี่
“และเมื่อถึงตอนนั้น” จอมเวทพูดต่อ “เธอก็ควรขอโทษเมฟิสอย่างจริงใจ”
“ขอโทษอย่างจริงใจ…”
“บางครั้งเธออาจอารมณ์เสีย แต่ก็เป็นคนใจกว้าง เป็นเด็กดี หากขอโทษไปอย่างเหมาะสม เธอก็จะยกโทษให้ แล้วก็จะไม่ลากไปมากกว่านั้น”
คำพูดนั้นทำให้ฟูจิโนะคิดย้อนกลับไปว่าเมฟิสเคยเป็นยังไง ตอนที่อยู่โรงเรียนประถม ตอนที่เธอยังไม่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล —ตอนที่เธอยังเป็นแค่ฟูโกะ ซายามะ เธอเป็นคนที่เรียกได้ว่าเด็กเกเรในละแวกบ้าน หากเกิดอะไรขึ้นก็ใช้กำลัง แต่เธอไม่ได้ลากการทะเลาะกันไปตลอด หลังจากที่แลกหมัดกับใครซักคนแล้ว วันต่อมาพวกเธอก็จะหัวเราะอยู่ด้วยกัน
ฟูจิโนะตัดสินใจว่าจะขอโทษเมฟิส หัวใจที่หนักอึ้งของเธอเบาลงราวกับมีลูกโป่งผูกติดเอาไว้ ไม่ใช่แค่เมฟิส การได้ยินเรื่องของฝ่ายข้อมูลก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเช่นกัน เหมือนกับเป็นเวทมนตร์ไม่มีผิดเลย พอนึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือจอมเวท เธอก็พยักหน้าพร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย “จริงด้วยค่ะ ฉันจะขอโทษ แบบนั้นมันดีที่สุดแล้ว”
“หืมม หืมม” จอมเวทยิ้มออกมาเล็กน้อยและพยักหน้าเหมือนกับว่าโล่งอก เมื่อได้เห็นแบบนั้น ฟูจิโนะเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ทั้งสองคนมองดูใบของต้นแปะก๊วยที่พริ้วไปตามลมอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดจอมเวทก็พูดออกมาว่า “เอาล่ะ” ตบเข่าและยืนขึ้น “ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว”
“อ๊ะ… ขอโทษค่ะ ฉันคงมารบกวนแน่เลย”
“ไม่ ไม่ ไม่เลย วันนี้ได้ฟังอะไรดีๆด้วย ขอบคุณมากนะ”
☆ รันยุย
เสียงที่เคาะประตูฟังดูลังเล รันยุยที่นอนแผ่อยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “เข้ามาเลย” จากนั้นประตูก็เปิด และภาพของคนที่ไว้ผมทรงโมฮอร์คก็โผล่ขึ้นมา
“มาเลย มาเลย” รันยุยลุกขึ้น เธอดึงเก้าอี้ล้อเลื่อนที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ของตัวเองออก โยนหมอนจากเตียงไปที่เก้าอี้แล้วหมุนมันไปอีกทาง จากนั้นก็ใช้เท้าเตะกล่องทิชชู่เปล่าและถุงขยะพลาสติกที่กองอยู่บนพื้นออก เธอพูดว่า “เข้ามาไหม?” ซ้ำอีกครั้ง แล้วก็ยื่นเก้าอี้ไปให้ “โทษทีนะ ห้องรกมากเลย”
ดิโกะนั่งลงบนเก้าอี้ วางศอกลงบนโต๊ะ แต่ความสูงของเก้าอี้มันไม่ได้ระดับ เธอจึงพยักหน้าแล้วก็ทำการปรับ จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้ง หากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของเธออาจจะดูเป็นคนที่แหกคอก แต่เธอกลับรอบคอบจนน่าประหลาด “ชั้นมีเรื่องอยากจะถามหน่อย”
รันยุยหลับตาข้างขวา วางศอกลงบนเข่า มองดิโกะพร้อมเอนตัวไปด้านหน้า พวกเธอสองคนคือตัวแทนในภารกิจลับสุดยอด พวกเธอใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนของห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ลที่ตั้งเป้าจะจบการศึกษาเพื่อหน้าที่การงาน แต่เมื่อมีคำสั่งมามันก็จะต่างออกไป เพราะพวกเธอจะทำตามคำสั่งนั้น
“ถ้าเธอรู้เหตุผลว่าทำไมไลท์นิ่งถึงร่วมมือกับกลุ่มหนึ่งล่ะก็ อยากให้บอกชั้นหน่อย” ดิโกะพูด
รันยุยเอนศอกลงบนเสาเตียงจนมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา เพราะแบบนั้นรันยุยจึงกลับมานั่งตัวตรงอย่างอัติโนมัติ การตอบสนองกับเสียงที่ทำขึ้นเองอาจจะดูโง่ แต่ดิโกะก็ไม่ได้หัวเราะและมองดูรันยุยอย่างเงียบๆ รันยุยปล่อยให้ผมทรงโพนี่เทลของเธอสะบัดไปมาและมองดูดิโกะ ทั้งสองคนยังคงจ้องมองกันและกัน
จากนั้นไม่ถึงสามสิบวินาที รันยุยก็หันหน้าไปทางอื่นพร้อมพ่นลมหายใจดัง ฟู่ว ออกมา “เธอไม่ได้บอกฉัน”
คำพูดเพียงแค่คำพูดเดียวก็ต้องเตรียมใจนานกว่าจะพูดออกมาได้ ดิโกะรู้ว่ารันยุยพยายามเข้าข้างไลท์นิ่ง —และเธอก็รู้ด้วยว่ามันคงไปได้ไม่ดี รันยุยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองยังไปไม่ถึงจุดที่ได้รับความเชื่อใจจากไลท์นิ่ง หากรันยุยไม่ได้คิดว่า ถ้าเป็นลาซูไลน์ล่ะก็คงพูดแบบนั้นได้ง่ายๆราวกับไม่มีอะไร เธอก็คงพูดออกมาได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เธอต้องใช้เวลากว่าที่จะพูดออกมาได้ว่าตัวเองห่างไกลกับการถูกเรียกว่าลาซูไลน์เหลือเกิน
ดิโกะเอามือสัมผัสกับรอยสักนูเอะที่ด้านขวาของศีรษะ
รันยุยคิดว่าดิโกะคงเข้าใจเรื่องท่าทีที่ไม่แน่นอนและคำพูดที่คลุมเครือได้ ซึ่งมันน่าเศร้า ทั้งสองคนรู้จักกันมานานแล้ว และทั้งคู่ก็เป็นแคนดิเดทของลาพิส ลาซูไลน์รุ่นที่สามเพราะว่ามีสัญชาตญาณที่ดีด้วย รันยุยรู้ดีในตอนที่ตัวเองจะพูดออกมา
“ฉันเดาเอานะ ฉันคิดว่าเธอพยายามสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่างกลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสอง ซึ่งแผนของเธอก็ไปได้ไม่ดีตามที่คิด แต่เมฟิสกับเท็ตตี้เกิดทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นคงพูดได้ว่าแผนของเธอสำเร็จแล้ว”
ดิโกะเงยหน้าขึ้นมา รันยุยเองก็สบตาดวงตาสีดำของเธอแบบตรงๆ
“ทำไมไลท์นิ่งต้องสร้างความบาดหมางระหว่างกลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสองด้วยล่ะ?” ดิโกะถาม
“ก็นะ… ฉันไม่รู้หรอก มันเหตุผลเยอะแยะเลย บางทีไลท์นิ่งอาจจะเหมือนกับพวกเรา ใครบางคนอาจจะส่งเธอเข้ามา… จริงๆแล้วอาจใช่ก็ได้ แค่มองดูเธอ มันก็บอกได้แล้วว่าไม่ธรรมดาใช่ไหมล่ะ?”
ดิโกะมองมาที่รันยุย รันยุยพ่นลมหายใจออกมา แต่เพราะริมฝีปากของเธอแห้ง เสียงที่ออกมามันจึงแหลม
ดิโกะพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ หลังจากที่ปรับความสูงของเก้าอี้ลงแล้ว เธอก็ยืนขึ้นอย่างช้าๆ “พวกเราได้รับคำสั่งมา”
“หือ? ฉันไม่เห็นจะรู้เลย”
“ชั้นจะบอกตอนนี้แหละ ทางนั้นอยากให้พวกเราทำแผนที่ของโรงเรียน ดูเหมือนว่าจะตามหาสถานที่บางแห่งอยู่ แต่เรื่องรายละเอียดชั้นไม่ได้ถูกบอกมา”
ทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครู่หนึ่ง และหลังจากเวลาผ่านไปราวครึ่งหนึ่งของครั้งก่อนหน้า ดิโกะหันกลับไปเปิดประตูและเดินออกจากห้องโดยไม่ได้บอกลา ทิ้งรันยุยที่เลียริมฝีปากเอาไว้บนเตียง ริมฝีปากมันแห้งมาก จนเธอสัมผัสบางอย่างที่ริมฝีปากได้
เธออยากถูกเลือกเป็นลาซูไลน์ เธอรู้ดีว่าทุกคนคิดว่า “รันยุยไม่เหมาะสม” แต่เธอก็ยังคงอยากเป็น เธออยากเป็นใครบางคน และเธอเชื่อว่าลาซูไลน์คือคนๆนั้น เธออยากมั่นใจในตัวเองเหมือนกับไลท์นิ่ง แต่เธอก็ทำไม่ได้ ยิ่งเธอพยายามมากเท่าไหร่ สิ่งต่างๆก็ยิ่งหลุดรอดไปมากขึ้นเท่านั้น เธอรู้ดีว่าถึงแม้จะทำตัวเหมือนลาซูไลน์และพูดจาเหมือนกับเธอ มันก็ไม่มีประโยชน์ เธอรู้เรื่องนั้นดี แต่เธอก็หยุดไม่ได้
แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นแคนดิเดทในการเป็นลาซูไลน์ แต่ดิโกะก็ยอมแพ้อย่างง่ายๆ หัวหน้าของพวกเธอก็ประเมินดิโกะในเชิงบวก จนเธออยู่ในตำแหน่งที่ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าโดยตรง ถึงจะรู้แบบนั้นรันยุยก็ไม่ยอมแพ้ หากเธอเป็นรุ่นที่สามไม่ได้ เธอก็จะเป็นรุ่นที่สี่ และถ้าเธอทำภารกิจได้สำเร็จ เธอก็แน่ใจว่าจะเข้าใกล้มันไปอีกก้าว
☆ คานะ
เมื่อคานะกลับมายังห้องเรียนมันก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ห้องเรียนที่คานะรู้จักมันเต็มไปด้วยเมจิคัลเกิร์ลมากมาย เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย จนห้องดูเล็ก แต่เมื่อทุกคนหายไปแบบนี้มันกลับกว้าง มันว่างเปล่า บางทีเธอคงมีความรู้สึกอย่างความโดดเดี่ยวเกิดขึ้น ความรู้สึกของเราเริ่มเติบโตขึ้นแล้วสิ เธอคิดราวกับภูมิใจในตัวเอง เธอเดินไปรอบห้องเรียนพร้อมกอดอก ปล่อยให้ “ความโดดเดี่ยว” ไหลซึมเข้ามาภายในตัว —และภายในสิบวินาทีก็ทนไม่ไหว ความโดดเดี่ยวมันไม่สนุกเลย
ในตอนที่เธอคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง เธอก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียก “เฮ้” มันไม่ใช่เสียงของเมจิคัลเกิร์ล ในวันนี้คานะเจอสายตาที่มองเธออย่างสงสัยผ่านประตูห้องเรียนเช่นนี้มาสามครั้งแล้ว ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่คานะมองผู้หญิงคนนี้ เธอก็จะดูฉุนเฉียวอยู่เสมอ
เธอคือฮัลน่า มิดิ เมเร็น คนที่รับผิดชอบโรงเรียนเมจิคัลเกิร์ลนั่นเอง “อย่ามัวมาเอ้อระเหยแถวนี้ ไปได้แล้ว”
“ไป?” คานะ “นี่เราควรไปที่ไหนเหรอ?”
“บ้านไงล่ะ ไม่ต้องมายอกย้อนชั้นหรอกนะ”
“เราไม่มีบ้าน”
ความรุนแรงหายไปจากใบหน้าของฮัลน่า เธอพึมพำออกมาแค่คำเดียวว่า “งั้นเหรอ” ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไร ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินอะไร จากนั้นก็ตามด้วย “ก็นะ แค่ออกไปจากโรงเรียนพอก็แล้ว” แต่พอคานะถามกลับไปว่า “แล้วเราควรไปที่ไหนเหรอ?” ฮัลน่าก็หายไปเรียบร้อยแล้ว
คานะวิ่งไปยังประตูห้องพักอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าฮัลน่า คนที่กำลังเดินอยู่ตามทางเดิน จอมเวทที่จู่ๆก็ถูกขวางทางดูตกใจ แต่จากนั้นใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ เธอพยายามเดินวนออกไปให้พ้นจากคานะ แต่คานะก็เข้ามาขวางเธออีกครั้ง
ฮัลน่าหยุดเดินก่อนที่จะสัมผัสตัวอีกฝ่าย “ทำอะไรของเธอ? คิดจะอยู่ในโรงเรียนไปตลอดรึไง”
“เราถึงบอกอยู่ไงว่าเราไม่มีที่ไป”
“อย่างแรกเลยนะ เธอทำตัวเสียมารยาทมาก”
“ก็เราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แถมคุณก็ไม่ได้บอกว่าใครมีฐานะทางสังคมเหนือกว่าแบบชัดเจนด้วยนี่นา?”
“ต่อให้เธอเป็นปฐมจอมเวทชั้นก็ไม่สน เพราะในตอนนี้พวกเราคืออาจารย์กับลูกศิษย์”
“งั้นเหรอ แบบนั้นมีเหตุผลนะ แต่ว่า เรื่องสถานที่ที่เราควรไป…”
ฮัลน่าชักคางกลับ เอนศีรษะไปด้านหน้าพร้อมเกาท้ายทอย เส้นผมของเธอยุ่งไปหมดแต่เธอก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นก็เอานิ้วชี้แตะกับขมับขวา “แค่กลับไปฐานของฝ่ายแคสปาร์ สำนักงานใหญ่ หรืออะไรก็ได้”
“จากภารกิจของเรา เราคิดว่าไม่ควรกลับที่ฐานจนกว่าจะเสร็จสิ้น แถมเราเองก็ไม่รู้ว่าฐานอยู่ที่ไหนด้วย” คานะตอบ
“กลับไปคุกซะไป”
“คุกไม่ใช่บ้านของเราซักหน่อย แถมเราเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนด้วย”
“งั้นไปถามใครก็ได้ที่รับผิดชอบ”
“เราไม่รู้ว่าจะติดต่อเธอยังไง”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของชั้น”
“แบบนั้นไม่รับผิดชอบไปหน่อยเหรอ?”
“ไปถามคัลโคโระไป”
“ถ้าการตัดสินใจของคุณคัลโคโระต้องการการอนุญาตจากคุณล่ะก็ เราเชื่อว่าถ้าคุณตัดสินใจที่นี่ตอนนี้มันก็จะยุ่งยากน้อยลงนะ”
“ชั้นยุ่งจะตายชัก งานที่ต้องทำกองกันเป็นภูเขาแล้วเนี่ย”
“แบบนั้นตัดสินใจเร็วๆจะไม่ดีกว่าเหรอ? ว่าแต่เราพักค้างคืนที่โรงเรียนแทนได้ไหม?”
“ไม่ได้!”
“ถ้าแบบนั้น เราไปอยู่บ้านฮัลน่าได้ไหม?
ดวงตาของฮัลน่าเบิกกว้าง ไม่ใช่ว่าเธอจ้องเขม็งไปที่คานะ —การเรียกว่าไม่อยากจะเชื่อคงจะถูกกว่า— เธอกระพริบตาสองครั้ง สามครั้ง ก่อนที่จะส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอทุบหลังคอตัวเองหลายครั้ง จนมันทำให้มวยผมและหูยาวๆส่ายไปมา “อะไร… ของเธอเนี่ย?”
“เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” คานะตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ชั้นไม่อยากคุยกับเธอ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวแม้แต่วินาทีเดียว แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ของชั้น ชั้นจะตอบให้”
“ขอบคุณนะ”
“มันจะเป็นเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่หากอาจารย์และลูกศิษย์อยู่บ้านหลังเดียวกัน”
“…พอพูดแบบนั้นแล้ว มันก็จริงนะ”
“ถ้าเข้าใจก็ออกไปได้แล้ว”
“งั้นเราจะไปนอนข้างนอกแล้วกันนะ”
“ทำไมต้องนอนข้างนอกด้วยล่ะ? ไปนอนในโรงแรมซะสิ”
“ก็เราไม่มีเงิน”
“ฝ่ายแคสปาร์มันคิดอะไรอยู่เนี่ย?”
“เราเองก็อยากจะถามเหมือนกัน”
“ต่อให้มีโอกาสหนึ่งในล้านที่เธอจะก่อปัญหาขึ้นมาก็อย่าไปนอนข้างนอก เพราะมันก็จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของโรงเรียน ชั้นทนไม่ได้หรอกนะ ไม่ได้แน่นอน”
“แล้วแบบนั้นจะให้เราทำยังไง—?”
คานะละสายตาจากฮัลน่าแล้วมองไปตามทางเดิน ฮัลน่าจึงมองตามไปยังที่ที่คานะมอง เสียงของรองเท้าที่ใช้ในอาคารสัมผัสกับพื้นค่อยๆเข้ามาใกล้ หลังจากที่เด็กสาวเดินพ้นหัวมุมออกมา พวกเธอก็เห็นภาพของคนที่สวมแว่น ถักเปีย และแววตาที่ดุดัน —เมฟิส เฟเลสนั่นเอง คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันราวกับสับสนเพราะเห็นคานะและฮัลน่ามองมาที่เธอ แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้จะมาถามอะไรกับอาจารย์ เธอกัดริมฝีปาก เชิดอก ก้าวขาออกกว้างจนเสียงก้าวเท้ามันฟังดูหยาบคาย
คานะมองกลับมายังฮัลน่า ฮัลน่าเองก็มองไปที่คานะเช่นกัน คานะพยักหน้า ฮัลน่าพยักหน้าตอบ เมฟิสมองทั้งคู่ด้วยความสับสน แต่เธอก็ไม่ได้ถามว่าทำอะไรกัน ถึงเธอจะอยากรู้ เธอก็ทำตัวเหมือนกับว่าไม่ได้คิดอะไรในตอนที่เดินไปยังประตูห้องเรียน แต่ฮัลน่าก็ส่งเสียง “เฮ้” เพื่อหยุดเธอเอาไว้
“หา?” จากที่คานะมองดู เหมือนว่าเมฟิสจะอารมณ์เสียมากเป็นอันดับสองเท่าเธอที่เคยเห็น ซึ่งอันดับนั้นมันต่ำกว่าตอนที่คานะพูดเรื่องสีชุดชั้นใน
แต่กระนั้นด้วยหน้าที่การเป็นอาจารย์แล้ว เหมือนว่าฮัลน่าที่เหนือกว่าจะไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร แถมยังสั่งการลงมาด้วย “เหมือนว่าคานะจะมีปัญหาเพราะเธอไม่มีที่ไป ให้เธอไปอยู่ด้วยแล้วกัน”
ท่าทางของเมฟิสบิดเบี้ยวไปในทิศทางที่ต่างจากอารมณ์ที่ไม่ดี คานะคิดว่ามันคือการผสมกันระหว่างความตกใจ ความโกรธ และความไม่เข้าใจ พอรู้สึกว่าตัวเองประเมินเรื่องจิตวิทยาเก่งขึ้นมาบ้างแล้ว คานะก็ยกมือขวาขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณนะ”
“เชี้ยอะไรวะ?!” เมฟิสไม่ต้อนรับคานะ เธอต่อยเข้าไปที่กำแพงและเอนตัวเข้าหาฮัลน่าราวกับจะข่มขู่ “อีดอกนี่ แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ? ว่าแต่ แกแม่งเป็นใครเนี่ย? เมจิคัลเกิร์ล…? ไม่ ดูไม่เหมือน เป็นพวกกลับชาติมาเกิดใหม่จากต่างโลกรึไง?”
คานะรู้ว่าที่เมฟิสพูดแบบนั้นเพราะเธอไม่รู้ว่าจอมเวทที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร พอคิดว่าเธอควรจะรู้ คานะก็แบมือเข้าหาฮัลน่าและบอกว่า “เธอคืออาจารย์ใหญ่น่ะ”
ใบหน้าของเมฟิสที่เต็มไปด้วยความโกรธ ในตอนนี้ดูราวกับเธอกำลังกลืนดินสอทั้งแท่งลงไป
สำหรับฮัลน่า ท่าทางของเธอดูโกรธอย่างไม่ต้องถามและสงสัยเลย “เชี้ย อีดอก แม่ง งั้นเหรอ? พูดเพราะดีจังนะ เมฟิส เฟเลส”
เมฟิสถอยกลับพร้อมพูดอะไรออกมาไม่เป็นภาษา เธอมองมาที่คานะ แต่คานะก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง
ฮัลน่าก้าวไปข้างหน้าเพื่อย่นระยะห่าง เธอเอานิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของเมฟิส แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงราวกับที่ดังก้องขึ้นจากส่วนลึกของพื้นดิน “นี่คือคำสั่ง เมฟิส เฟเลส คานะจะไปอยู่ที่บ้านของเธอ”
เมฟิสพึมพำเบาๆ “เผด็จการชัดๆแบบนี้” แต่ก็เงียบไปทันทีเพราะฮัลน่า คานะไม่รู้ว่าฮัลน่าได้ยินที่เมฟิสพูดรึเปล่า แต่คานะก็คิดว่าอาจารย์ใหญ่จอมฉุนเฉียวคนนี้จะพูดอะไรตามที่ตัวเองอยากพูด
“อย่าคิดว่าการเป็นอะไรเล็กน้อยอย่าง —ผู้คุ้มกันชั้นยอด— ของฝ่ายแคสปาร์จะมาปกป้องตัวเองแล้วกัน เจ้าปีศาจตัวน้อยน่าขยะแขยง รับข้อเสนอนี้ไปซะในขณะที่ชั้นยังใจดีอยู่แล้วก็ไสหัวไปให้พ้น ทำตัวให้มันดีกับเพื่อร่วมห้องด้วย เข้าใจไหม?” จากนั้นฮัลน่าก็หมุนตัวและเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รอการตอบกลับ
เมฟิสไม่ได้พูดอะไรกลับ ความจริงแล้วในตอนที่มองดูฮัลน่าเดินไปเธอดูเหมือนกับจะหยุดหายใจด้วยซ้ำ หลังจากที่อาจารย์ใหญ่ไปทางขวาของทางแยกรูปตัว T ที่เป็นทางไปยังห้องของเธอจนลับสายตาแล้ว ในที่สุดเมฟิสก็ถอนหายใจออกมา ไหล่ของเธอเองก็ลู่ลง “ชั้นควรจะกลับบ้านแท้ๆ ไม่น่าแวะมาห้องน้ำเลย…”
“เราดีใจนะ เพราะมันช่วยเราได้มากเลย” คานะพูด
“เอลฟ์นั่นคืออาจารย์ใหญ่เรอะ? ชั้นได้ยินว่าตอนพิธีเปิดว่าเธอก็อยู่ด้วย แล้วเรื่องฉายาก็เหมือนกับ —ผู้ยิ่งใหญ่อะไรซักอย่างจากดินแดนเวทมนตร์ …รองหัวหน้าฝ่ายข้อมูลใช่ไหม? ได้ยินว่าที่นั่นโคตรน่ากลัวเลย”
“อ่า จริงเหรอ? ยอดเลย”
เมฟิสจ้องมาที่คานะ ท่าทางของเธอดูค่อนข้างจะอาฆาตแค้นไม่น้อย
MANGA DISCUSSION