บทนำ
เมื่อมองไปจนสุดสายตา เมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ใต้สั่งการของพัคพั๊คกำลังทำงานหนักกันอย่างไม่หยุดหย่อน กลุ่มหนึ่งกำลังฝึกซ้อมกันและกันอยู่ในโรงฝึก กลุ่มหนึ่งกำลังฝึกขับร้องประสานเสียงอยู่ในสตูดิโอ กลุ่มหนึ่งกำลังแบกยางรถขนาดใหญ่ และอีกกลุ่มหนึ่งกำลังแยกชิ้นส่วนของโทรทัศน์ ในตอนนั้นเสียงกู่ร้องอันกล้าหาญอย่าง “ถ้าไม่พยายามตอนนี้แล้วจะไปพยายามตอนไหนกันล่ะ?” ก็ดังออกมาอยู่ตลอดเวลา
เหล่าเมจิคัลเกิร์ลที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเป็นประกายหลากสีสรรถูกบังคับให้ทำอะไรที่น่าเบื่อ ทำในสิ่งที่ไม่น่าดู แต่กระนั้นก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่คร่ำครวญหรือบ่นอุบอิบออกมา —ไม่ใช่แค่หลีกเลี่ยงการพูดคุยแบบเป็นกลุ่ม แต่การพูดคุยแบบส่วนตัวก็เช่นกัน ความจริงแล้ว พวกเธออาจจะไม่คิดที่จะบ่นก็ได้ พวกเธอใช้ทุกสิ่งที่ตัวเองมีลงไปในงานชิ้นนี้เพื่อพัคพั๊ค ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเธอ สำหรับเด็กสาวแล้ว งานนี้มันคือความปิติยินดีและไม่ได้เหนื่อยยากอะไรเลย
เด็กสาวบางคนแบกของออกมาจากโกดัง
กล่องเหล่านี้เต็มไปด้วยงานศิลปะทรงคุณค่าและไอเท็มเวทมนตร์หายาก แต่สิ่งที่สำคัญกว่ามูลค่าของมันก็คือความทรงจำสุดพิเศษที่พัคพั๊คมีต่อสิ่งเหล่านั้น เหล่าเด็กสาวพากันเอากล่องไม้ขึ้นไปบนรถบรรทุกตรงสวนด้านหน้า บางคนถอนหายใจออกมาอย่างโศกเศร้าตรงรอยล้อรถบนผืนทรายสีขาวที่ดูงดงาม หรือไม่ก็จ้องมองโกดังที่ว่างเปล่าพร้อมกับน้ำตา ในขณะที่คนอื่นนั่งอยู่บนเบาะของรถบรรทุก เอนตัวลงบนพวงมาลัยพร้อมกัดริมฝีปาก
สำหรับพวกเธอแล้ว คฤหาสน์แห่งนี้มันเต็มไปด้วยความทรงจำ พวกเธอถกเถียงกันเรื่องการต่อสู้ในอนิเมเมจิคัลเกิร์ล จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็จำลองมันขึ้นมา เมื่อเด็กสาวคนหนึ่งบันทึกการฝึกซ้อมต่อสู้เอาไว้ ทุกคนก็ชื่นชมเธอ ในช่วงเวลานั้นทุกคนสุมหัวกันอยู่รอบกองไฟภายในสวนพร้อมเงยหน้ามองดูอิกดราซิลล์และกินบาร์บีคิวเสียบไม้ไปด้วยกัน ตอนนั้นเองมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องความน่ารักของท่านหญิงพัคพั๊ค จนสุดท้ายเธอก็เขินอายเมื่อท่านหญิงพัคพั๊คพูดกับเธอเข้า สถานการณ์อันเลวร้ายที่แผ่ขยายอยู่ในคฤหาสน์มันพยายามทำลายความทรงจำเหล่านั้น มันจึงช่วยไม่ได้ที่อารมณ์ของเหล่าเด็กสาวจะแปรปรวน
แต่กระนั้นพวกเธอก็ยังคงทำงานต่อโดยไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง พวกเธอมีพรรคพวกที่คอยให้กำลังใจ มีหัวหน้าคอยลูบหลังให้ หรือมีภาพของพัคพั๊คโผล่ขึ้นมาในใจของพวกเธอ ไม่ว่าในตอนนี้จะเจ็บปวดแค่ไหน เมื่อฝ่ายพัคบรรลุเป้าหมายแล้ว พวกเธอก็จะมีอนาคตที่สดใสไปเอง และนี่ก็เป็นหลักของทุกเรื่องราวในวันคืนแสนลำบากที่ได้ผ่านพ้นมา “พอคิดดูแล้วเมื่อก่อนนี่ลำบากจังนะ ว่าไหม?” พวกเธอพูดออกมาพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน แล้วก็บอกต่อเรื่องราวแสนลำบากแก่รุ่นน้องอย่างภูมิใจ
สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้ไม่ใช่งานศิลปะของยุคก่อนหรือไอเท็มเวทมนตร์ที่ไม่ได้ใช้สำหรับต่อสู้ แต่มันคืออัญมณีเวทมนตร์ —อัญมณีที่อัดแน่นไปด้วยพลังเวทที่จอมเวทใช้ในหลากหลายพิธีการ ในการที่จะได้มันมาเท่าที่ต้องการนั้น เหล่าเด็กสาวต้องทำการแลกเปลี่ยนมูลค่าเพราะรู้ดีว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกับมัน ยิ่งอัญมณีมีขนาดใหญ่และส่องประกายมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งใส่พลังเวทลงไปได้มากเท่านั้น เพราะแบบนั้นมันจึงเป็นอัญมณีที่ดีกว่าและมีจำนวนที่หมุนเวียนอยู่น้อย เหล่าเด็กสาวของพัคพั๊คมุ่งหน้าไปหาพ่อค้า นักวิจัย นักสะสม และเหล่าเศรษฐีหน้าใหม่เพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนอัญมณีของพวกเขา จากนั้นก็ตุนมันเอาไว้บนหน้าจอทีวีแล้วก็ทำการจ้างทหารรับจ้าง เมจิคัลเกิร์ลที่เป็นทหารรับจ้างไม่ใช่คนควรค่าแก่การรับใช้ผู้สูงส่งอย่างพัคพั๊ค แต่ในช่วงเวลานี้จะมัวมาจู้จี้จุกจิกไม่ได้ —และอีกอย่าง ทหารรับจ้างที่ถูกจ้างมาก่อนหน้านี้ซึ่งหลงไหลพัคพั๊คก็มาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ด้วย แม้เริ่มแรกคนแบบนี้จะเป็นพวกที่ถูกดึงดูดมาด้วยเงินทอง แต่เมื่อได้สัมผัสความยิ่งใหญ่และเสน่ห์ของพัคพั๊คแล้ว เธอก็จะเปลี่ยนไป ผู้คนจะเปลี่ยนไปเมื่อได้รู้จักพัคพั๊ค เมจิคัลเกิร์ลก็เปลี่ยน โลกใบนี้ก็เช่นกัน เด็กสาวเหล่านี้ทำงานกันอย่างแข็งขันเพื่อโลกใบใหม่ที่พัคพั๊คจะมีอำนาจสูงสุด
แต่ใช่ว่าเมจิคัลเกิร์ลทุกคนจะเป็นเช่นนี้
อูรูรุที่สูญเสียน้องสาวของเธอไปสองคน แม้จะถูกมอบหมายแต่เธอก็ยังคงอยู่ในห้องของตัวเอง เธอไม่ได้ขยับเขยื้อน ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้มองดูใครคนอื่นหรือให้คนอื่นเห็นตัว เธอแค่นั่งอยู่ที่นั่น เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นรู้สึกสงสารและเห็นใจเธอมากพอที่จะไม่โทษเรื่องนั้น สำหรับพวกเธอแล้วภาพของพรีเมี่ยม ซาจิโกะที่หนีออกไปจากคฤหาสน์ในช่วงเวลาสำคัญกลายเป็นสิ่งที่สลักลึกลงไปในตอนที่เธอกลับมาเป็นร่างไร้วิญญาณ ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังคงเป็นครอบครัวคนสำคัญของอูรูรุ รวมถึงโซรามิที่เสียชีวิตในการต่อสู้กับศัตรูตอนปฎิบัติภารกิจ ทั้งสามคนออกไปกับพัคพั๊คเป็นประจำ ดังนั้นพวกเธอจึงรู้สึกอิจฉาและริษยา แต่ในตอนนี้อูรูรุเหลือตัวคนเดียว สิ่งที่พวกเธอมีให้จึงมีแต่ความสงสาร
คฤหาสน์ของพัคพั๊คอยู่ในเมือง W ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความวุ่นวาย เป็นตาของพายุ กองกำลังหลากหลายฝ่ายกำลังจับตามองการเคลื่อนไหวของฝ่ายพัค ข้อมูลนี้เองก็คงจะถูกส่งไปหาพัคพั๊คที่เป็นหัวหน้าฝ่ายด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของคนอื่น เป้าหมายของพัคพั๊คอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือแล้ว เธอจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยอีก
ตัวของพัคพั๊คทำงานหนักยิ่งกว่าใคร แต่เธอก็ไม่ได้แสดงมันออกมาให้ใครเห็น และการเห็นเธอพร้อมกับรอยยิ้มแบบเดียวกับที่เติมพลังให้แก่เด็กสาวอยู่เสมอนั้น มันก็ทำให้พวกเธอคิดว่า ถ้าท่านหญิงพัคพั๊คจริงจังกับเรื่องนี้ แล้วทำไมฉันถึงไม่พยายามให้มากขึ้นกว่านี้ล่ะ?
แต่มันไม่ใช่ว่าพัคพั๊คทำแบบนี้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กองกำลังของเธอ เธอทำเพราะว่าจำเป็นต้องทำ ส่วนรอยยิ้มก็เป็นโบนัสที่เสริมเข้ามา
เธอจัดเตรียมห้องส่วนตัวให้เมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่เธอรวบรวมมาเพื่องานพิธี เริ่มต้นด้วยชาโดว์เกล
“รออีกหน่อยนึง โอเคนะ พี่สาว?”
“ค่ะ ฉันจะรออีกหน่อย”
“ทุกคนเองก็รออีกนิด โอเคนะ?”
พัคพั๊คสามารถปรับความรุนแรงเวทมนตร์ของตัวเองจนสามารถเป็นเพื่อนกับเป้าหมายแต่ละคนได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากเธอเพิ่มพลังเวทมนตร์มากเกินไป แบบนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการล้างสมองเลย เนื่องจากว่ามันจะทำให้เกิดอาการอย่างบุคลิกเปลี่ยนแปลงไปและขัดขวางการมีสติปัญญา เธอจึงเลือกช่วงเวลาที่จะเป็นเพื่อนกับใครซักคน หากเป้าหมายแยกตัวออกจากพัคพั๊ค ผลของเวทมนตร์ก็จะอ่อนแรงลง แต่เธอก็ชอบอะไรแบบนั้น เพราะมิตรภาพระหว่างพวกเธอคือของจริง แต่ในตอนนี้มันคือสถานการณ์ฉุกเฉิน มันจึงไม่ใช่เวลาที่จะมาจัดลำดับความชอบส่วนตัว เธอจึงต้องพบกับคนที่ต้องรักษามิตรภาพเอาไว้อยู่เสมอ และถ้าจำเป็นที่ต้องเป็นเพื่อนกับใครซักคนในคราวเดียว เธอก็จะลงมือ
“ไว้พวกเราออกไปแล้ว ก็มาเล่นด้วยกันนะ!”
“ค่ะ มาเล่นด้วยกัน”
เมื่อเห็นชาโดว์เกลมองมาอย่างหลงไหลและพูดอะไรอย่างซ้ำๆราวกับท่องมนตร์ พัคพั๊คก็พยักหน้าหลายครั้งอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ลูบหัวของชาโดว์เกลระหว่างทางก่อนจะออกไปจากห้อง เธอเกลียดที่ต้องแยกจากเพื่อนใหม่ แต่ตามกำหนดการมันก็มีหลายที่ต้องทำ เธอปรากฏตัวขึ้นในห้องรับแขกแต่ละห้องและพบเพื่อนแต่ละคนเป็นการ “ปกป้อง” เธอต้องไปเจออีกฝ่ายเป็นประจำ มิเช่นนั้นมิตรภาพระหว่างพวกเธอจะเจือจางลง ต่อให้พัคพั๊คจะใช้พลังอย่างเต็มที่ก็ตาม มิตรภาพมันไม่ใช่สิ่งที่บังคับกันได้ง่ายๆฝ่ายเดียว พัคพั๊คจึงต้องลงแรงในส่วนนั้น
เมจิคัลเกิร์ลอาร์ทติส อิลลูเนล , คนที่มีกรงเล็บอันแข็งแกร่ง บีสท์วูแมน แบรนเดีย , คนที่สามารถควบคุมผู้คนได้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว แอนน์ ซาร์ดีร์ และ เวอร์ทิซ คนที่สามารถมอบหัวใจให้กับจักรกลได้ —ทุกคนล้วนคือเพื่อนคนสำคัญ
“สวัสดีค่ะ ท่านหญิงพัคพั๊ค”
“วันนี้ดูน่ารักจังเลย”
“แค่คิดถึงเรื่องของท่านก็ทำให้หัวใจของดิฉันโล่งสบายแล้วค่ะ ท่านหญิงพัคพั๊ค”
พัคพั๊คพูดกับพวกเธอแต่ละคนพร้อมกับลูบหัวอย่างเป็นกันเอง เมื่อออกมาจากพื้นที่ใต้ดิน เธอก็ถอดชุดผ้ากันเปื้อนออก จากนั้นเมจิคัลเกิร์ลผู้ช่วยก็นำเสื้อคลุมมาคลุมให้ในทันที แล้วก็จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยโดยไม่มีพลาด พัคพั๊คออกจากพื้นที่ใต้ดินทางฝั่งตะวันออก ผ่านเข้าไปยังทางเดินของคฤหาสน์ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตก
เพื่อให้ไปถึงโดยเร็วที่สุด เธอจึงใช้การเดินตัดผ่านห้องทางประตูเลื่อนเป็นทางลัด เมื่อประตูห้องถัดไปถูกเปิดออก คนที่นั่งไหล่ตกอยู่ตรงนั้นก็คืออูรูรุ มันทำให้พัคพั๊คนึกขึ้นมาได้ว่าห้องของอูรูรุอยู่แถวนี้
“เข้มแข็งไว้นะ รูรุ”
“ท่านหญิงพัค เรื่องสโนไวท์—”
พัคพัคห้ามผู้ช่วยของเธอที่พยายามเข้าหาอูรูรุที่แสดงพฤติกรรมหยาบคายเพราะไม่ได้ทำการทักทายอย่างถูกต้อง เธอก้มหน้าก้มตาอย่างโศกเศร้าเหมือนกับคำพูด “งั้นคนที่ฆ่าซัจจิก็คือเพื่อนของสโนวี่สินะ? พัคเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ว่า…แต่ว่า ฟังนะ ตอนนี้โทษพี่สโนวี่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา รูรุก็รู้นี่?”
“แต่—”
“พัคจะคุยกับสโนวี่เองนะ”
แม้จะพยายามลุกขึ้นมายืนได้ แต่อูรูรุก็ทรุดตัวลงไปบนเสื่อทาทามิอีกครั้งพร้อมกับเอาแขนกอดตัวเองเอาไว้ เธอส่งเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวด หยดน้ำไหลลงมาบนพื้นหยดแล้วหยดเล่า อูรูรุกำลังร้องไห้
“รูรุ”
“พัค… พัค…”
เวลาผ่านไปสองนาทีสามสิบวินาทีตั้งแต่พัคพั๊คหยุดพูด ในตอนนี้ แม้จะเป็นหนึ่งนาทีหรือหนึ่งวินาทีเธอก็จะเสียเวลาไปอีกไม่ได้
“…ขอโทษนะ”
พัคพั๊คเดินผ่านอูรูรุ และเมจิคัลเกิร์ลผู้ช่วยก็เดินตามมาอย่างเงียบๆ ภาพของอูรูรุที่ร้องไห้อยู่ด้านหลังพัคพั๊คก็ค่อยๆห่างออกไป จากนั้นมันก็มีเสียงกรอบแกรบของกระดาษดังขึ้น
พัคพั๊คหันกลับมาโดยอัติโนมัติ เธอเดินตัดผ่านผู้ช่วยและเห็นอูรูรุจ้องมองเศษกระดาษที่ดึงออกมาจากกระเป๋าอยู่อย่างเหม่อลอย “รูรุ นั่นมัน…”
“สิ่งที่ซาจิโกะทิ้งไว้มีแค่เท่านี้…”
พัคพั๊คก้าวเท้ายาวๆเข้าหาอูรูรุแล้วหยิบเอากระดาษมาจากเธอ ชื่อหัวข้อ ชื่อคำถามที่มีตัวเลือก ใช่/ไม่ใช่ —เธอเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่ผิดแน่— นี่คือหนึ่งในสัญญาที่จำเป็นในการใช้เวทมนตร์ของพรีเมี่ยม ซาจิโกะ
“มีอยู่ล่ะ! ยังมีเหลืออยู่อันนึง!”
“ท่านหญิงพัค นั่น…”
“นี่แหละ! ทุกสิ่งที่พวกเราต้องการก็คือเจ้านี่! ขอบคุณนะ รูรุ!”
อูรูรุยังคงพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่จิตใจของพัคพั๊คล่องลอยออกไปยังที่อื่นแล้ว ด้วยสิ่งนี้ —ด้วยสัญญาของพรีเมี่ยม ซาจิโกะ— มันก็ทำให้โอกาสที่พิธีการจะสำเร็จลุล่วงมีสูงขึ้น
พัคพั๊คส่งกระดาษที่หยิบมาจากอูรูรุไปให้หนึ่งในผู้ช่วย จากนั้นก็ก้าวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วจนเหมือนกับกำลังวิ่งอยู่ แต่หลังจากก้าวออกไปได้ห้าก้าว เธอก็หันกลับมา “นี่ แม้ซัจจิจะไม่อยู่แล้ว ซัจจิก็ยังคงช่วยพวกเราอยู่นะ พวกเราจะทำเรื่องนี้ไปด้วยกัน รูรุเองก็มาด้วยสิ”
พัคพั๊คเดินออกไปโดยไม่ได้รออูรูรุตอบกลับ เธอไม่ได้หันกลับมา ไม่สิ เธอไม่มีเวลามากพอที่จะหันกลับมาต่างหาก การเติมเต็มความปรารถนาสองอย่างอันยาวนาน —ฟื้นฟูดินแดนเวทมนตร์และเป็นเพื่อนกับเมจิคัลเกิร์ลทุกคนไปตลอดกาล— มันอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว
ตอนที่ 1: การต่อสู้ครั้งสุดท้ายในมือคู่นี้
☆ CQ เท็นชิฮามูเอล
“หน่วยสอดแนมที่คฤหาสน์พัคพั๊ครายงานกลับมาแล้ว”
“ทางนั้นว่ายังไงบ้าง?”
“พวกนั้นรายงานมาว่ามีรถบรรทุกขนาดใหญ่ 16 คันเข้าไปยังคฤหาสน์ แล้วก็เริ่มขนสิ่งของจากโกดังขึ้นไปในตัวรถ”
“เอ ดูท่าจะเป็นไปตามที่ข้าคิดไว้งั้นสิ” เสียงของเด็กสาวที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายคนนี้ มันฟังแล้วแก่กว่าเมจิคัลเกิร์ลทั่วไปโดยเฉลี่ย แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้แหลมสูงเหมือนกับเด็กสาวแรกรุ่น มันคงไม่เกินไปที่จะพูดว่าน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสูงส่ง แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้คำพูดและการออกเสียงของเธอมันค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ในฝ่ายโอสนั้นพูดกันทั่วว่าทางฝ่ายพัคกำลังทำการขายงานศิลปะและไอเท็มเวทมนตร์ แน่นอนว่าพวกนั้นคงมีอะไรแอบแฝง แต่ทางนั้นก็พลาดที่ทำข้อตกลงกับพ่อค้าศิลปะโบราณที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับฝ่ายโอส ตั้งแต่ที่รายละเอียดข้อตกลงทุกอย่างถูกส่งมาที่ฮามูเอลแบบเรียลไทม์ เธอจึงรู้ว่าฝ่ายพัคจะได้อัญมณีเวทมนตร์มาตอนไหน ในอีกแง่หนึ่งคือ เธอสามารถตามการเคลื่อนไหวได้ทุกฝีก้าว
ฮามูเอลคิดว่าสามปราชญ์ขาดการมีปฎิสัมพันธ์กับสังคมภายนอกอันกว้างใหญ่จนทำให้พวกเธอไร้เดียงสากับเรื่องทางโลก ไม่ว่าภายในใจจะประสงค์ร้ายแค่ไหน พวกเธอก็เชื่อว่าจะไม่เดือดร้อนจากความอาฆาตของผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่กริมฮาร์ทเป็น และบางทีพัคพั๊คอาจจะเป็นเช่นนั้นด้วย
“บอกให้อีกฝ่ายมาเจรจากันมากเท่าที่ทำได้ เอ แต่ก็ต้องไม่มากจนทางผู้ขายรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการฆ่าเวลา —แม้จะมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกวนใจ พวกนั้นก็คงคิดว่า ถ้าจบการเจรจาลงล่ะก็ สิ่งที่ทำมาตลอดก็จะเสียเปล่า เรื่องแบบนั้นไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย ”
“เป็นคำสั่งที่ค่อนข้างซับซ้อนจนทำตามได้ยากนะ”
“ถ้าเจ้าบอกพวกนั้นให้รู้เป็นนัยว่าภายหลังจะมีงานใหญ่ เอ เช่นนั้นประสิทธิภาพการทำงานของพวกนั้นก็จะเหนือกว่าปกติ”
เมจิคัลเกิร์ลชักคางของเธอกลับและจมตัวลงไปในโซฟา ชัฟฟิน II โพแดงที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆเข้ามารับถ้วยสาเกของเธอทันที จากนั้นก็รินน้ำส้มสีสดใสลงไป เมจิคัลเกิร์ลยกขึ้นจิบเพื่อชิมรสชาติ กลั้วมันอยู่ในปากก่อนที่จะกลืนลงไป
ท่าทางทุกอย่างดูหยิ่งผยอง เครื่องแต่งผมทรงเขาสัตว์ก็มีลูกไม้ประดับอยู่ ชุดเดรสหรูหราที่ต้องยกชายกระโปรงขึ้นไม่ก็ต้องลากมันไปกับพื้นเพื่อให้เดินไปมารอบๆได้ สิ่งเหล่านั้นผสมรวมกับท่าทีของเธอจนเกิดบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความทะนงตัวอย่างมากออกมา แต่เธอก็ทำตัวเวอร์มากจนเกินไป เพราะแบบนั้นเธอจึงดูไม่เหมือนคนสำคัญ แต่ดูเหมือนภาพที่สร้างขึ้นมาล้อเลียนคนสำคัญมากกว่า เสริมกับที่เน้นคำว่า “เอ” ในตอนพูด ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่มันก็เป็นอะไรที่งี่เง่ามาก
โดยปกติแล้วในใจของฮามูเอลจะหยามคนเช่นนี้ว่าน่ารังเกียจ แต่จริงๆแล้วในจุดนี้นายหญิงคนใหม่ของเธอดูเหมือนว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือ ความจริงที่เธอนั่งอยู่บนโซฟาและไม่ได้บ่นอะไรกับฮามูเอลก็เป็นเรื่องน่ายินดีตั้งแต่แรก หากเป็นกริมฮาร์ท ต่อให้เป็นห้องสวีทในโรงแรม เธอก็ยังคงเอาบัลลังก์ของตัวเองมานั่งแน่นอน
ในเรื่องนั้น เลเธเป็นคนที่มีความรอบรู้เรื่องของทางโลก ไม่เหมือนกับร่างเกิดใหม่ของสามปราชญ์ —อย่างกริมฮาร์ทที่เป็นหัวหน้าของเธอ— ตัวของเธอมีโอกาสหลายครั้งที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับโลก
ผู้คนพูดกันว่าเลเธสนุกสนานกับการดวลที่ทั้งสองฝ่ายใส่ความภาคภูมิใจลงไป ด้วยเหตุนั้นเธอจึงมีภาพความแข็งแกร่งอันไร้เทียมทาน ฮามูเอลได้ยินแม้กระทั่งเรื่องที่เธอแอบเข้าไปงานชมรมการต่อสู้ของโรงเรียนกวดวิชามาโอที่ตอนนี้ปิดตัวไปแล้วอีกด้วย เป็นการเคลื่อนไหวที่เหมือนกับหลุดมาจากละครย้อนยุคไม่มีผิด “มาสิ ผู้คนอาจจะพูดว่าพวกเจ้าคือนักสู้แถวหน้า แต่นั่นก็เป็นเพียงในหมู่คนธรรมดา เอ เมจิคัลเกิร์ลที่ควรค่าแก่การเคารพเองก็มีเพียงแค่น้อยนิด” เลเธพูดด้วยท่าทีธรรมดาในตอนมื้อเย็น แต่ถ้าเธอพูดว่าคนที่น่าเคารพมีเพียงน้อยนิด นั่นก็แสดงว่ามีคนที่ควรค่าแก่การเคารพอยู่บ้าง
กริมฮาร์ทถูกสร้างขึ้นมาผ่านกระบวนการทดลองในการสร้างเมจิคัลเกิร์ลที่มีประสิทธิภาพสูง เธอถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เมจิคัลเกิร์ลคุณภาพสูงเป็นพิเศษที่ถูกเลือกให้เป็นร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์เติบโตขึ้นมาอย่างอวดดี เหมือนว่ากริมฮาร์ทจะไม่ได้มีหัวใจในการเคารพผู้อื่น เลเธนั้นสงบเสงี่ยมและรอบคอบต่างจากกริมฮาร์ท อีกแง่หนึ่งฮามูเอลก็ดีใจที่มีคนแบบนี้เป็นผู้บังคับบัญชา และยังคิดว่าเธอไม่ใช่ตัวแทนกระจอกๆของกริมฮาร์ท ในแง่ตัวบุคคลเองก็เหนือกว่าด้วย
“เอ ข้าคิดว่าพวกนั้นวางแผนที่จะเข้าโจมตีสถานโบราณ”
“เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนะ”
อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ถูกสร้างโดยปฐมจอมเวทผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าสามปราชญ์สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าคือสมบัติของดินแดนเวทมนตร์ จอมเวทในอดีตกาลฝังมันเอาไว้ใต้ผนึกที่แข็งแกร่ง จนใช้งานไม่ได้ถึงปัจจุบัน แต่ก็มีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มันกักเก็บพลังเวทมหาศาลในระดับที่สามารถปลอดปล่อยออกมาจนปกคลุมโลกใบนี้ได้หากจำเป็น… เรื่องราวมันว่าไว้แบบนั้น แต่นอกจากสามปราชญ์แล้ว มันก็ไม่มีจอมเวทที่มีชีวิตอยู่คนไหนเลยเคยเห็นจักรกลที่ว่านี้ทำงานมาก่อน มีทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าเมื่อใดที่จักรกลดูดซับพลังเวทมากและเร็วเกินไป สมดุลของโลกก็จะเริ่มพังทลาย จอมเวทหยุดและปิดผนึกมันเอาไว้อย่างตื่นตกใจ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคือเรื่องจริงหรือเท็จ
อุปกรณ์นั้นถูกปิดผนึกอยู่ที่สถานโบราณในอีกมิติหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยวิธีการทางเวทมนตร์ การจัดการพื้นที่นั้นคือความรับผิดชอบของฝ่ายโอส แม้เหล่าสามปราชญ์จะประชุมและตัดสินใจแล้วว่าจะใช้อุปกรณ์เพื่อจัดงานพิธี แต่ก็ใช่ว่าฝ่ายโอสจะส่งมอบได้ทันที แน่นอนว่าการส่งมอบต้องใช้เวลา ดังนั้นแผนของพวกเธอในการพบปะกันก่อนหน้านี้คือการใช้เวลาเพื่อให้เพิกถอนการตัดสินใจ บางทีฝ่ายพัคคงไม่ชอบความคิดนี้
“ข้าคิดว่าเมื่อถึงเวลา มันคงกลายเป็นการต่อสู้”
“ชั้นแน่ใจเลยล่ะว่าจะเป็นแบบนั้น”
มันเป็นเวลานานพอสมควรแล้วตั้งแต่ที่พลังเวทมนตร์ที่ปกคลุมโลกเบาบางลง จนดินแดนเวทมนตร์สูญเสียความสามารถในการรักษารูปร่างที่แท้จริงไป จอมเวทได้ตัดสินใจแบ่งโลกออกเป็นส่วนๆและเชื่อมต่อมันเข้ากับโลกที่แตกต่างจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยตัวเอง เพื่อให้ดินแดนเวทมนตร์ยังคงอยู่ได้ด้วยพลังเวทมนตร์ของโลกเหล่านั้น หลังจากที่สร้างพื้นที่ที่แยกออกมาเรียบร้อยแล้ว พื้นที่ทั้งหมดก็ถูกเรียกว่าดินแดนเวทมนตร์ และการเอาดินแดนเวทมนตร์ยุคก่อนกลับมาก็กลายเป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้นำ โดยทั่วไปหัวหน้าของแต่ละฝ่ายจะคิดแผนขึ้นมาหลากหลายแบบเพื่อรวบรวมเวทมนตร์ให้มากพอสำหรับการฟื้นฟูดินแดนเวทมนตร์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดมันเป็นความจริงที่ปรากฏชัดว่า หากทำแผนการได้สำเร็จก็จะกลายเป็นผู้นำในการสร้างรกรากแห่งใหม่
หลากหลายวิธีการถูกนำมาใช้ทดสอบ แต่ทั้งหมดก็ล้มเหลว แผนแล้วแผนเล่าถูกนำมาใช้ จนคนที่เชื่อว่าดินแดนเวทมนตร์จะฟื้นฟูได้ก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
ท่ามกลางแผนการเหล่านั้น ฝ่ายพัคแนะนำแผนหนึ่งออกมาว่าให้ใช้พลังของเมจิคัลเกิร์ลเพื่อยกเลิกผนึกบนอุปกรณ์เวทมนตร์และเปิดใช้งานมันอีกครั้ง พัคยืนกรานอย่างดื้นรั้นว่าต้องใช้แผนนี้แต่กลับปฎิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดกับฝ่ายอื่น แน่นอนว่าฝ่ายโอสและแคสปาร์จึงมีความเห็นตรงข้ามกับแผนการจนทำให้ดำเนินต่อไม่ได้ แต่กระนั้นในการประชุมที่ทั้งสามฝ่ายพบกันเป็นระยะๆครั้งล่าสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อฝ่ายแคสปาร์ยอมแพ้*และบอกว่า “เห็นด้วยกับข้อตกลง”
*ตรงจุดนี้ platfleece แปลว่าฝ่ายโอสยอมอ่อนให้ ส่วน yenpress จะเป็นฝ่ายแคสปาร์ที่ยอม
“เอ การต่อสู้งั้นรึ? ตั้งตารอเลยล่ะ”
ฮามูเอลไม่ได้ตั้งตารออะไรเลย แต่เธอก็ยิ้มตอบกลับไป
เลเธวางถ้วยสาเกลงบนผ้าปูโต๊ะลูกไม้ลายแบทเทนเบิร์กแล้วก็ทิ้งตัวลงไปในโซฟา เธอนั่งลงไปพร้อมกับหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเธอเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้และเอาใบหน้าเข้ามาใกล้ฮามูเอล มันก็ทำให้เก้าอี้ของฮามูเอลเขยิบไปด้านหลังเพราะมันเป็นการเคลื่อนไหวแบบทันทีทันใด แถมขาโต๊ะเองก็ครูดไปกับพรมอีกด้วย
“เอ แน่นอน ข้าเองก็จะสู้เช่นกัน”
นี่ไม่ใช่ยุคเซ็นโกคุที่ปกติแล้วแม่ทัพต้องนำทัพออกไปรบในแนวหน้าซักหน่อย แต่ถ้าเป็นการเผชิญหน้ากับร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ พวกเธอก็ถูกบังคับให้ต้องส่งเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป ในตอนนี้ฝ่ายโอสใช้ร่างเกิดใหม่ไม่ได้ซึ่งต้นเหตุมาจากกริมฮาร์ท ในกรณีนี้คนที่ต้องออกไปก็คือเลเธที่เป็นหมายเลขสอง เลเธเป็นคนที่ชอบโอ้อวดอยู่เสมอว่าครั้งหนึ่งเธอได้เข้าร่วมโรงเรียนกวดวิชามาโอ และมีโอกาสได้สู้กับมาโอแพมที่ทุกคนยกย่องว่าเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาลจนเกือบจะเสมอ ฮามูเอลรู้ว่าฝ่ายอื่นพูดกันอย่างสนุกปากว่า “พอฝ่ายโอสเริ่มโม้ ก็ควรฟังแค่ครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสามก็พอ” ซึ่งเป็นความจริงที่น่าเศร้า แต่ถึงจะเป็นครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสามมันก็มากพอแล้ว แม้เลเธจะยังคงไม่แข็งแกร่งพอที่ถูกเลือกให้เป็นร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ แต่ตัวของเธอก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษและเป็นคนที่แข็งแกร่งเช่นกัน ความสามารถของเธอเองก็เหนือกว่าเมจิคัลเกิร์ลทั่วไป
แต่ฮามูเอลก็คิดว่าควรที่จะเตือนเธอไว้
“ช่วยระวังอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามด้วย”
“แน่นอน ข้าไม่ได้ปรารถนาความตายหรอก หากข้าไม่อยู่มันคงมีปัญหาน่าดูชม”
“เป็นปัญหาแน่ ปัญหาสำหรับทุกคนเลยล่ะ”
ชัฟฟิน II โพแดงพยักหน้าอย่างแข็งขันเพื่อบอกว่าเห็นด้วย และเลเธก็จมตัวลงไปในโซฟาอีกครั้ง
“แต่กระนั้น เอ?”
“มีอะไรเหรอ นายหญิง?”
“ถ้าข้าต้องดวลกับพัคพั๊คล่ะก็ ข้าคงไม่ต่อกรด้วย”
ฮามูเอลจำเรื่องวีดีโอพัคพั๊คเต้นที่เธอดูบนเว็บไซท์อัพโหลดวีดีโอได้ บางทีคนที่เห็นมันคงจะคิดว่า นี่แข็งแกร่งจริงๆงั้นเหรอ? แต่การตัดสินความแข็งแกร่งของเมจิคัลเกิร์ลจากรูปร่างภายนอกเป็นอะไรที่งี่เง่า ความแข็งแกร่งของพัคพั๊คคือเวทมนตร์ของเธอต่างหาก
“ไม่…งั้นเหรอ?”
“ไม่เลย หากข้ากับพัคพั๊คปะดาบกัน ข้าก็จะวิ่งหนี”
ฮามูเอลวิจารณ์เรื่องนี้ว่าไร้ความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะสำหรับศัตรูบางคนมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหนี
ความจริงแล้ว เธอควรจะยกย่องเลเธในฐานะผู้นำที่ฉลาดพอที่ไม่ปล่อยให้ความต้องการของตัวเองพาเข้าไปหาความตาย และกริมฮาร์ทที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับพัคพั๊คก็ไม่อยู่แล้ว พวกเธอก็ควรจะคิดว่าการรับมือพัคพั๊คมันเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
“แผนของข้าคือหลีกเลี่ยงการเข้าปะทะซึ่งหน้ากับพัคพั๊ค”
“ตัดสินใจได้ดีนะ”
“แต่เมื่อเวลามาถึง ฮามูเอล…”
“อะไรเหรอ นายหญิง?”
“…เจ้าต้องสู้กับพัคพั๊ค ต้องแน่ใจว่าซื้อเวลาให้ได้มากที่สุด เอ แล้วข้าจะใช้ช่วงเวลานั้นหนีไป”
ฮามูเอลจับใจความที่เลเธพูดไม่ได้ในทันที หลังจากที่วิเคราะห์แล้ว ถึงกระนั้นก็ยังคงทำความเข้าใจได้ยากอยู่ดี เลเธเองก็ดูไม่เหมือนว่าพูดล้อเล่นอยู่ ก่อนที่ฮามูเอลจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น มือของเธอก็โบกไปมาตรงหน้าและหัวของเธอก็สั่นแรงยิ่งกว่ามือซะอีก “อ๊ะ ไม่ ไม่ ไม่!”
“เรื่องนี้ไม่มีคำว่า ‘ไม่’ หรอกนะ”
“แต่ชั้นสู้กับอีกฝ่ายไม่ได้เลยนี่!”
“แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้แต่ก็ต้องทำให้ได้ เอ ฟังนะ เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองมีทางเลือกอยู่ เจ้าคงไม่ลืมหรอกนะว่าเดิมทีเจ้าควรจะไปทำอะไรอย่างอื่น ทำอยู่ที่ไหนซักแห่งที่น่าสะพรึ่งยิ่งกว่านี้น่ะ”
ฮามูเอลพูดอะไรไม่ออก หลังจากที่เธอได้รับความไว้วางใจให้ใช้กองกำลังชัฟฟิน II ทั้งหมด แต่กลับถูกทำลายจนเกือบหมด แถมยังจับตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะมาไม่ได้อีก —จริงๆแล้วเธอก็ล้มเหลวไปซะทุกอย่าง— มันคงดูไร้ยางอายไม่มากก็น้อยที่หนีกลับมายังฐาน เธอไม่ถูกอนุญาตให้ส่งเสียงคราญครางหรือบ่นอะไรออกมา ข้อแก้ตัวอย่าง “ชั้นถูกนักล่าชัฟฟินที่ฟื้นจากความตายเข้าโจมตี” ก็ไม่เข้าหัวของใครในฝ่ายโอสเลย
“หืม หืมม” เลเธผยักหน้าและมองดูอย่างพอใจ
ฮามูเอลไม่ได้รู้สึกพอใจซักนิด แต่เธอก็บ่นต่อหน้าเลเธไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้หัวของตัวเองห้อยลงอย่างอ่อนแรง “อั่ก” ความคิดด้านบวกเกี่ยวกับเลเธนี้ระเหยไปหมดแล้ว ในใจของเธอคิดว่า พวกตำแหน่งสูงๆในฝ่ายโอสไม่ว่าหน้าไหนก็เหมือนกันหมด ยัยปีศาจนี่ไม่ได้มองคนเป็นคนเลยด้วยซ้ำ พอภัยมาก็คงไม่คิดจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนที่รับใช้สินะ?
สิบห้านาทีหลังจากฮามูเอลยอมรับโทษตายของตัวเองเรียบร้อย ดอกจิกห้าคนก็วิ่งเข้ามาในห้องโดยไม่ได้เคาะประตู เข้าไปด้านข้างเลเธ เอนตัวเข้าไปใกล้หูและซุบซิบอะไรบางอย่าง เลเธไม่ได้ทำอะไรหยาบคาย เธอพยักหน้าและพูดเพียงแค่ว่า “พาเธอเข้ามาสิ”
ฮามูเอลยืนขึ้นและผลิกหมอนที่เธอนั่งทับอยู่ จากนั้นก็ขยับตัวไปที่มุมห้องด้านหลังเลเธเฉียงไปทางซ้าย เธอยืดหลังตรงอย่างห้าวหาญและเอามือที่เค้นอยู่อย่างเบาๆไว้ตรงหน้าท้อง เธอรู้สึกประหม่าและคิดว่านั่นมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ทุกคนไม่ใช่แค่ฮามูเอลต่างก็ประหม่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ขออภัย”
“เชิญเลย”
เลเธยืนขึ้นและยื่นมือออกไปเพื่อเชื้อเชิญแขกที่มาเยือน เธอให้ชัฟฟินโพแดงและโพดำประจำตำแหน่งด้านข้างแต่ละข้างเอาไว้
“ข้าชื่อเลเธ ขอบคุณที่มาในวันนี้”
นี่คือใครบางคนที่เลเธต้องทำตัวมีมารยาท คนแบบนี้ในฝ่ายโอสไม่ได้มีมาก —มีแค่ เชน โอส บัล เมล ไม่ก็ร่างเกิดใหม่ของเธอ
แขกที่มาเยือนมีสองคน
หนึ่งคนอยู่ในชุดสูทสีเทาเข้ารูป ผมของเธอม้วนเป็นโพนี่เทล กรอบแว่นของเธอส่องประกายอยู่ใต้แสงของโคมระย้า เธอดูเหมือนคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายไม่ก็สี่สิบกลางๆ อายุของเธอเดาได้ยาก หากบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียว ก็จะคิดได้ว่า ก็จริง หากบอกว่าเธอเป็นคนเกียจคร้าน ก็จะทำให้คิดว่า พนันได้เลยว่าใช่แน่ๆ —เธอเป็นที่ดูเข้าใจยาก บรรยากาศรอบตัวของเธอดูลึกลับ แต่อย่างไรก็ตาม จากท่าทางที่ดูพื้นๆธรรมดาๆนั้น อย่างน้อยที่สุดก็บอกได้ว่าเธอไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล
แขกคนที่สองถูกดึงแขนเข้ามาด้านใน เธอดูเป็นคนประเภทที่ถูกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายเพียงแค่จูงมือ ดวงตาและปากของเธอถูกบังเอาไว้โดยสายถักสีสรรสดใสซึ่งคงมีความหมายทางเวทมนตร์อยู่ ทั่วตัวของเธอก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นแม้ว่าเธอจะแต่งกายในชุดที่ดูเหมือนจะเป็นกิโมโน แต่ชุดของเธอก็มองเห็นได้ยาก ปอยผมสีเงินที่ชี้ออกมาเล็กน้อยมันงดงามมากจนลืมหายใจ แม้ว่าจะมองไม่เห็นตัว แต่ก็บอกได้ว่าเธอคือเมจิคัลเกิร์ล
พอคิดถึงเรื่องที่มีอะไรบังตา มันก็ดูเหมือนว่าเธอจะเดินได้ลำบาก —เธอเดินเตาะแตะตามมือตัวเองที่ถูกจูง คางของเธอกระแทกเข้ากับเก้าอี้ ไหล่เองก็กระแทกเข้ากับประตู และทุกครั้งที่เธอกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง เธอก็จะส่งเสียงน่ารักๆเหมือนเสียงตกใจหรือเสียงครางออกมา
มนุษย์ผู้หญิงจับมือของเลเธและบีบมันอย่างแน่นๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เลเธ นี่คือ รัทสึมุคานะโฮโนเมะโนะคามิ”
ใช่แล้ว สำหรับพวกเธอนี่คือการพบกันครั้งแรก การถูกเลือกมาเพราะความถนัดในการต่อสู้แบบทันทีทันใด มันเลยทำให้เลเธไม่เคยพบร่างเกิดใหม่ —รัทสึมุคานะโฮโนเมะโนะคามิ มาก่อน และมันก็หมายความว่าคนอื่นอาจมองเธอในแง่ไม่ดีและเห็นว่าเธอไม่มีประสบการณ์ การถูกดูแคลนก่อนที่การเจรจาเริ่มต้นมันไม่ใช่เรื่องดี เมื่อพวกเธอทำการติดต่อกับร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ เลเธเองก็เข้าใจเรื่องนั้นดีแถมยังยิ้มออกมาด้วย
มือของทั้งคู่ยังคงจับกันอยู่และต่างคนต่างมองดูอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นฝ่ายผู้หญิงก็พูดออกมาว่า “อ่าา” และพยักหน้า “รัทสึมุคานะโฮโนเมะโนะคามิอยู่ในสถานะอย่างที่เห็น เพราะแบบนี้คุณจึงพูดคุยกันโดยตรงกับเธอไม่ได้ ฉัน โยชิโอกะจะเป็นล่ามให้เธอเอง ไม่ใช่แค่พูดไม่ได้ แต่เธอยังกินและดื่มไม่ได้ด้วย ด้วยเหตุนี้เธอจึงทานอาหารหรือดื่มอะไรไม่ได้เช่นกัน”
ไอ้ “อยู่ในสถานะอย่างที่เห็น” คือเป็นอารมณ์ขันรึไง เป็นมุขตลกหรือเป็นอะไรแย่ๆที่ออกมาจากปากของเธอตามปกติกันนะ? ฮามูเอลไม่รู้และไม่มีสิทธิ์จะถามด้วย เลเธเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาและเชิญให้ทั้งคู่นั่งลง จากนั้นโยชิโอกะที่เป็นล่ามและรัทสึมุคานะโฮโนเมะโนะคามิที่เป็นร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ก็เดินโยกไปมาไปยังที่นั่งที่ฮามูเอลเคยนั่งแล้วก็นั่งลงไป แม้ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวแบบธรรมดาแต่มันก็ดูลำบากมากสำหรับร่างเกิดใหม่ของปราชญ์
“เอาล่ะ ท่าหญิงรัทสึมุคานะโฮโนเมะโนะคามิ”
“อ๊ะ แค่รัทสึมุก็ได้ สำหรับคุณแล้วถ้าจะพูดชื่อเต็มของเธอมันคงยุ่งยากน่าดู ทั้งยาวทั้งพูดยากน่ะนะ”
โยชิโอกะพูดแย้งขึ้นมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องของตัวเอง และตั้งแต่ที่รัทสึมุคานะโฮโนเมะโนะคามิไม่ได้ว่าอะไรเรื่องการเสียมารยาท ดังนั้นพวกเธอจึงเรียกรัทสึมุคานะโอโนเมะโนะคามิว่ารัทสึมุแทน
เลเธไม่ได้ถามอะไรแบบ “เธอไม่ได้ยินอะไรตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง?” หรือ “ถึงเธอจะได้ยิน แต่เธอก็พูดออกมาได้งั้นเหรอ?” ออกมา ดังนั้นฮามูเอลจึงไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“เรื่องการประชุมครั้งหน้า”
“พวกเราเห็นด้วยเรื่องการพักใช้อุปกรณ์ชั่วคราว” โยชิโอกะตอบกลับมา “พวกเราเองก็คาดไม่ถึงว่าทางฝ่ายพัคจะลงมืออย่างรวดเร็ว แผนของพวกเราที่จะสร้างข้อจำกัดและใช้มันเพื่อยับยั้งกระทำที่ไม่รอบคอบก็พังไปเรียบร้อยแล้ว”
มันเหมือนกับว่าผู้หญิงที่เป็นล่ามคนนี้ไม่ได้ทำตัวเป็นล่ามเอาเสียเลย มันเหมือนกับว่าเธอพูดออกมาตามความต้องการของตัวเอง แต่นั่นคือเรื่องที่ฮามูเอลคิดไปเองรึเปล่านะ? พอมองออกไป เธอก็เห็นปลายโซ่อีกเส้นตรงที่พันธนาการมือและเท้าของรัทสึมุอยู่ในมือของล่าม ในตอนนั้นเธอก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดึงมือของรัทสึมุแต่เป็นการดึงโซ่ของเธอต่างหาก เพราะแบบนั้นฮามูเอลจึงหันหน้าไปทางอื่นอย่างช้าๆ
“เจ้าจะบอกว่าจะโหวตให้พักใช้งั้นรึ?”
“ใช่ มันไม่เหมือนกับทางฝ่ายของคุณและฝ่ายพัค จำนวนของเรามีน้อย ขาดแคลนงบ ไม่มีอะไรเลยนอกการเป็นฝ่ายเล็กๆ แต่กระนั้นการโหวตก็คือการโหวต ตราบใดที่พวกเรามีเสียงโหวตหนึ่งเสียง—”
“แล้วเงื่อนไข?”
“หากทางคุณการันตีว่าพวกเราจะได้ 20 เปอร์เซ็นต์ของสิทธิในการพัฒนาโครงการใหม่ที่กำลังวางแผนกันอยู่”
“เอกสารล่ะ?”
“อยู่นี่แล้ว”
“ฮามูเอล ตราประทับ”
คนบางคนจะเปลี่ยนขั้วราวกับเป็นแต้มต่อเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง การใช้คนประเภทนี้ให้เป็นประโยชน์จะเป็นการลดความขัดแย้งลงจนเหลือต่ำสุด หากในการประชุมครั้งหน้าสามารถพักใช้อุปกรณ์ได้ แบบนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่พวกเธอเพียงต้องทำมีเพียงแค่ต้องหยุดยั้งฝ่ายพัคจากการกระทำต่างๆจนกว่าจะถึงการประชุม
ด้วยเงื่อนไขแห่งชัยชนะแล้ว มันจึงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ข้อยุติทางการเมืองสามารถทำให้พวกเธอไปถึงเป้าหมายได้โดยไม่ต้องหลั่งเลือด แต่พวกเธอจะลืมไปไม่ได้ว่าในฝ่ายพัคมีปัญหาบางอย่างก่อตัวอยู่ แผนการนี้สามารถชะลอแผนการของศัตรูได้ แต่พวกเธอไม่สามารถปล่อยศัตรูไปแบบนั้นได้ พวกเธอต้องเสริมการป้องกัน หากพัคสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมาล่ะก็ โอสก็จะสามารถพลิกกลับขึ้นเป็นฝ่ายกุมอำนาจสูงสุดได้ ในตอนนี้พวกเธอมีส่วนร่วมในการต่อเติมบาเรียเวทมนตร์รูปแบบใหม่เพื่อปกป้องสถานโบราณกันอย่างรีบเร่ง หากมันเสร็จสิ้นแล้วก็จะกลายเป็นป้อมปราการเวทมนตร์ที่ฝ่าเข้าไปไม่ได้
แต่ในการที่จะทำเช่นนั้นได้ ก่อนอื่นพวกเธอต้องจัดการข้อตกลงนี้เสียก่อน เมื่อฮามูเอลส่งตราประทับคริสตัลขนาดใหญ่ราวยี่สิบนิ้วไปให้ เลเธก็ยกมันขึ้นสูง
ก่อนที่จะประทับตราเอกสาร เธอก็ยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้กับล่าม จนล่ามเอนตัวไปด้านหลังเพราะสะดุ้ง “หลักประกันของพวกข้าคือกำลังทหารและเงินตรา เจ้าเข้าใจสินะ เอ?”
“…อื้อ”
“หากโอสและแคสปาร์จับมือกัน มันก็จะมีประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เพียงแค่ประโยชน์ในตอนนี้ —มันจะออกดอกออกผลจนถึงยุคลูกหลานของพวกเรา เหมือนกับการได้ห่านที่ออกไข่ทองคำมาไว้ในกำมือ นี่คือหลักประกันเรื่องเงินตราของพวกเรา หากต้องการมากขึ้นอีก แบบนั้นกำลังทหารของพวกข้าก็จะมีประโยชน์ ไม่ว่าพวกข้าจะแพ้หรือชนะ ฝ่ายโอสจะใช้กองกำลังทั้งหมดเผชิญหน้ากับศัตรู… ใช่แล้ว ข้าจินตนาการถึงภาพใบหน้าของพัคพั๊คที่ร้องไห้ได้เลยล่ะ”
การข่มขู่เป็นอะไรที่ดูง่าย แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องแบกรับไว้ ความรุนแรงก็จะยิ่งสูงขึ้นไปด้วย
“อื้อ” ล่ามตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มและการพยักหน้า แต่ในตอนที่ประทับตราเอกสาร มือของเธอก็สั่นเล็กน้อย
☆ พีเฟิล
ความแข็งแกร่งของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลมันขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้คนให้ถูกกับงาน เหมือนกับการให้คนทำงานนั่งโต๊ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำงานนั่งโต๊ะ คนที่มีความคิดที่จะรวบรวมข้อมูลด้วยลำแข้งของตัวเองเป็นอะไรที่ธรรมดาเมื่อมองดูเพียงด้านเดียว —หากได้จ้างและดูแลคนที่ใช้ขาตัวเองทำงานเหล่านั้นก็จะเป็นอะไรที่ดีมาก มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถจัดการข้อมูลเหล่านั้นได้
หลังจากที่ให้คนของตัวเองสืบสวนการกระทำต่างๆของฝ่ายพัคและตัวของพัคพั๊ค และได้ชี้แนะสิ่งที่จะทำหลังจากนั้นให้เรียบร้อยแล้ว พีเฟิลก็ออกจากศูนย์บัญชาการฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล งานที่รออยู่หลังจากนี้มีเพียงพีเฟิลคนเดียวที่สามารถทำได้ เธอใช้ประตูเทเลพอร์ตเพื่อมุ่งหน้าไปยังหน่วยสืบสวน ภายใต้หน้ากากของความเรียบง่ายและสมถะผสมกับเรื่องงบประมาณ ทางศูนย์บัญชาการของหน่วยจึงไม่ได้ทำการตกแต่งใหม่
เธอทำการนัดพบทางโทรศัพท์ไว้ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน
พีเฟิลผ่านไปตามทางเดินที่ฝ้าสามารถถล่มลงมาได้ตลอดเวลา แล้วก็หยุดอยู่ตรงหน้าแจกันดอกไม้ที่มีดอกกลาดิโอลัสที่ยังคงดูงดงาม ฝ่ายต้อนรับของหน่วยสืบสวนที่นำทางเธอเคาะประตูไม้หนา และเมื่อได้ยินเสียงพูดว่า “เข้ามา” จากด้านในที่เป็นการอนุญาตให้เข้าไปได้ เธอก็หมุนลูกบิดแล้วก็หันมาหาพีเฟิลพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเพื่อบอกว่า “ทางนี้ค่ะ” เหมือนว่าจะจัดคนที่มีรอยยิ้มสดใสมาทำงานเป็นแผนกต้อนรับซึ่งต่างจากรูปร่างภายนอกที่พบเห็นได้ทั่วไป
พีเฟิลยิ้มตอบกลับไปที่เธอพร้อมกับพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณนะ” ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน
ห้องนี้บางทีอาจจะเป็นห้องที่ใช้รับแขก การตกแต่งมันดูเหมือนกับห้องผู้อำนวยการโรงเรียนไม่มีผิด มีโซฟาสองตัวหันหน้าเข้าหากัน พรมสีดำเขียวที่ไม่เข้ากับห้อง มีถ้วยรางวัลตั้งอยู่บนชั้นวาง และมีใบประกาศติดอยู่บนผนัง มันเป็นการตกแต่งแบบง่ายๆสำหรับคนที่ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องการตกแต่งภายใน และปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของครอบครัวที่ต้องคิดอย่างสุดความสามารถ และคนที่รอเธออยู่ในห้องก็เป็นคนที่ง่ายๆแบบนั้นด้วย
“เฮ้ ไม่ได้เจอกันพักนึงแล้วนะ” พีเฟิลทักทายเธอ
“อืม นั่นสิ” มานาตอบกลับมาแบบไม่ค่อยเต็มใจราวกับว่าทุกอย่างที่ออกมาจากปากของเธอคือความเบื่อหน่าย
พีเฟิลไม่ได้เจอเธอมาตั้งแต่ตอนที่พบกันครั้งแรกเมื่อ 7753 ได้แนะนำ บันทึกประจำวันของพีเฟิลมันรวมถึงการจดบันทึกเรื่องกับนัดพบของพวกเธอ แต่มันก็ไม่ชัดเจนเป็นพิเศษว่าพวกเธอคุยอะไรกัน ไม่ว่าเธอจะพยายามนึกเท่าไหร่แต่ความทรงจำของเธอเรื่องการพบกันมันเลือนราง —และนี่ก็เป็นหลักฐานว่าความทรงจำของพีเฟิลถูกดัดแปลงไปมากแค่ไหนด้วย
เธอคิดว่านี่คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับมานาที่จะร่วมมือด้วยอย่างแข็งขัน แต่การได้เห็นอีกฝ่ายในตอนนี้ มันก็น่าสงสัยว่าการสนทนาของพวกเธอมันเป็นไปได้ด้วยดีรึเปล่า เอาล่ะ งั้นก็ไม่เป็นไร พีเฟิลคิดและยอมรับสถานการณ์อย่างง่ายๆ เธอดันวีลแชร์ของตัวเองไปด้านข้างโซฟา เธอจับที่พักแขนด้วยสองมือเพื่อยกตัวขึ้น จากนั้นก็หมุนตัวไปด้านข้างกลางอากาศเพื่อนั่งลงบนโซฟาอย่างนิ่มนวล
ท่ากายกรรมของพีเฟิลมันทำให้มานาขมวดคิ้วอย่างสับสน
“เห็นเธอลำบากเอาโซฟามาให้ ฉันว่ามันคงดูแย่หากไม่ใช้มันน่ะ”
“อ๋อ ไม่หรอก”
7753 เชื่อใจมานา และมานาเองก็ไม่ได้พยายามทำตัวเชื่อฟังพีเฟิล หรือหลีกเลี่ยงด้วยการเคารพแบบผิวเผิน —มานาแค่เกลียดพีเฟิลและไม่ได้พยายามซ่อนท่าทางนั้นเอาไว้ เธอคงสับสนเพราะการเคลื่อนไหวแบบทันทีทันใดของพีเฟิล แต่เธอก็ไม่ได้บ่นอะไรเรื่องนั้น พีเฟิลเองก็คิดว่ามานาเป็นคนแบบไหนผ่านการสังเกตเรื่องอื่นๆ อย่างการเคลื่อนไหวบนใบหน้า ท่าทางของเธอ วิธีการจับถ้วย ตัวของเธอที่พยายามจะมีมารยาท
พีเฟิลจิบชาดำที่เตรียมเอาไว้ให้และยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ใบชาดี การรินทำอย่างถูกต้อง ถ้วยเองก็อุ่นอย่างเหมาะสมเช่นกัน เธอวางถ้วยลงและหันไปมองมานา
“ความจริงแล้ว พวกเราค่อนข้างอยู่ท่ามกลางวิกฤติ”
“อ่าฮะ” มานาตอบกลับอย่างทื่อๆ บางทีเธออาจสงสัยพีเฟิล พีเฟิลจำไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเธอเคยคุยอะไรกัน แต่ความสงสัยของจอมเวทคนนี้ก็เพียงพอที่จะช่วยให้พีเฟิลรู้จักเธอ เธอเป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้
“ฉันมาที่นี่เพื่อมอบตัว”
ท่าทางของมานาจริงจัง ความสับสนในดวงตาของเธอกลายเป็นความเกลียดชังอย่างชัดเจน รอยย่นระหว่างคิ้วดูลึกขึ้น ราวกับว่ามองมาหาจริงๆ เธอเอนตัวมาข้างหน้า วางศอกลงบนเข่า เอานิ้วประสานกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารูปลักษณ์ของเธอที่ดูอ่อนวัย เธอก็จะดูเหมือนนักสืบที่กำลังสืบสวนอาชญากรจอมโกหกอยู่
“เธอหมายความว่ายังไง”
“หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ”
“แล้วนี่ไปก่อเรื่องบ้าอะไรมา?”
น้ำเสียงของมานาที่มีความเคารพนับถือเพราะว่าพีเฟิลเป็นหัวหน้าฝ่ายก็เริ่มหายไป
เมื่อรู้สึกพอใจที่ดึงการตอบสนองแบบนี้ออกมาจากเธอได้แล้ว พีเฟิลก็พูดต่อ “ปัญหาคือฉันไม่รู้น่ะสิ”
“หา?” ใบหน้าของมานาบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด
พีเฟิลยกมือของตัวเองไปหาเด็กสาวตรงหน้า
“อ๊ะ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกร้ายหรือการพยายามจะแกล้งเธอหรอกนะ” แม้ใจในของเธออยากจะเสริมว่า แต่ฉันคิดว่าแกล้งเธอแล้วคงสนุกดี ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดออกมาดังๆ
“ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำลงไปว่าคืออะไรอย่างสมบูรณ์ เหมือนว่าความทรงจำของฉันมันถูกขโมยไปด้วยเวทมนตร์ ดังนั้นฉันจึงบอกไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พบกันพวกเราคุยกันเรื่องอะไร”
“ก็นะ ถึงเธอจะโกหก” มานาแทบจะพูดอย่างถากถาง “ชั้นก็ลากคอเธอมาได้เพราะขวางการทำหน้าที่ไม่ก็ป้ายสีได้อยู่ดี”
“เรื่องนั้นฉันดีใจนะ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เธออาจจะคิดว่ามันแปลกที่ใครซักคนที่จำความจริงไม่ได้สามารถพูดแบบนี้ได้ แต่ฉันสามารถอนุมานได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจากพื้นฐานของข้อเท็จจริง”
“งั้นก็เลยมาที่นี่เพื่อมอบตัวโดยอาศัยการคาดเดาล้วนๆ?”
“ฉันคือคนร้ายและชาโดว์เกลคือผู้สมรู้ร่วมคิด —เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนะ แต่ว่าความทรงจำพวกนั้นฉันไม่ได้มีอยู่ ชาโดว์เกลควรจะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เธอตกเป็นเชลยอยู่ในคฤหาสน์ของพัค เธอถูกลักพาตัวไป ช่วยพาเธอกลับมาหาฉันได้ไหม?”
รอยย่นที่คิ้วของมานาคลายลงเล็กน้อย แต่ท่าทางของเธอไม่ได้บอกว่าเชื่อในสิ่งที่พีเฟิลพูด ซึ่งมันมากพอๆกับที่สงสัยเรื่องทั้งหมดนี้ “เธอถูกขังอยู่ที่นั่นงั้นเหรอ?”
“ใช่ ถูกขังเอาไว้ตรงข้ามกับความต้องการของตัวเอง”
“ถ้าเรื่องที่ถูกขังเป็นจริง และเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เธอก่อ แบบนั้นพวกเราจะลงมือ”
“คนอื่นไม่รู้หรอกว่ามันคือการคุมขัง เนื่องจากเวทมนตร์ทำให้ชาโดว์เกลไม่เชื่อว่าตัวเองถูกขังเอาไว้ ถ้าพวกเราไปช่วยเธอตามปัจจัยนี้ ฉันเดาได้ง่ายๆเลยว่าเธอจะคิดอะไรแบบ อ๊ะ เธอไม่ได้ถูกขังนี่นา จากนั้นก็จะกลับแน่นอน”
มานาย่นคิ้วของเธออีกครั้ง คราวนี้รอยย่นมันลึกยิ่งกว่าครั้งก่อน
พีเฟิลส่ายหัวอย่างช้าๆ “ฉันไม่ได้มีแรงจูงใจแอบแฝง ฉันพูดเพราะว่าตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้”
“ฝีมือใคร?”
“ฝีมือร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ อัฟ ลาปาติ พัค บัลธ่า —พัคพั๊ค”
ท่าทางของมานาตึงเครียดในทันที หรือจะพูดว่ากล้ามเนื้อของเธอแข็งเกร็งจากความเครียดดีนะ? สำหรับจอมเวทอย่างมานาแล้ว สามปราชญ์ก็คือที่สุด หากไล่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากอาจารย์ของอาจารย์… ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทคนไหนก็ตาม มันก็จะจบลงที่สามปราชญ์ จอมเวททุกคนมองพวกนั้นเป็นผู้บุกเบิกที่ยิ่งใหญ่ในระดับที่มีการยกย่องบูชา โดยปกติแล้ว ต่อให้ร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ลักพาตัวเมจิคัลเกิร์ลไป มันก็ไม่มีจอมเวทคนไหนเข้าไปยุ่ง
แต่จอมเวทตรงหน้าของพีเฟิลนี้ไม่ใช่จอมเวทธรรมดา
“ฉันหมายถึง” พีเฟิลพูด “ชาโดว์เกลที่เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันถูกลักพาตัวและขังเอาไว้ โดยเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์”
ใบหน้าของมานาซีดเผือด มันน่าประทับใจที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีอะไรแย่ๆออกมา โดยปกติแล้วจอมเวทจะตะโกนด่าทอใส่พีเฟิลและไล่เธอออกไปในทันที จากนั้นก็จะแสร้งว่าไม่เคยได้ยินอะไร
เพื่อให้แน่ใจมากกว่านี้ พีเฟิลจึงพูดเสริมอีกอย่างหนึ่ง “ฉันได้ยินว่าตอนนี้สโนไวท์เป็นสมาชิกของฝ่ายสืบสวน ในรายงานระบุว่าเธอทำงานอยู่ภายใต้คำสั่งของพัคพั๊ค ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แบบนั้นฉันก็ถือว่าเรื่องนี้เองก็สำคัญกับทางหน่วยของเธอในการสืบสวนด้วย”
มานาเอนตัวมาข้างหน้าและจ้องมองโต๊ะด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไม่ว่าเธอจะรู้สึกทรมาณขนาดไหน พีเฟิลก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะได้ข้อสรุปออกมา พีเฟิลมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านบุคลิกของมานาว่าเป็นคนประเภทไหนผิดพลาด พีเฟิลมองดูโปรไฟล์ของเธอและยังมาพบเธอต่อหน้าอีกด้วย
เมจิคัลเกิร์ลที่มานานับถือราวกับพี่สาวถูกฆ่าตายโดยเมจิคัลเกิร์ลผู้เป็นอาชญากร เธอเกลียดการกระทำผิดและพยายามลงโทษผู้ที่ทำเช่นนั้น เธอเป็นคนที่จริงจังมาก หัวดื้อ และยึดถือหลักการ เธอคงคิดว่าหากไม่ทำการสืบสวนเพราะว่าอีกฝ่ายคือคนสำคัญมันก็จะเป็นความอับอายครั้งใหญ่ที่สุด จนเทียบเท่ากับการมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรม มันเป็นจิตวิญญาณที่ดีสำหรับผู้ตรวจการ โดยปกติแล้วพีเฟิลจะรักษาความเคารพคนประเภทนี้อยู่ห่างๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงการเกี่ยวข้องด้วย แต่ในตอนนี้ทุกอย่างมันต่างออกไป มานาจะกลายเป็นพลังที่ต่อต้านพัคพั๊ค และมันยังมีประโยชน์ที่จะหนุนหลังหน่วยสืบสวน
มานาไม่ได้พูดความคิดของตัวเองออกมา เธอพาพีเฟิลไปยังห้องอื่น แม้จะว่าไม่ได้ถูกเชือกมัดหรือสวมกุญแจมือ แต่ก็ยังคงถูกจับตามอง ในตอนที่เธอพูดกับชายที่เป็นการ์ดของตัวเอง หูของพีเฟิลก็โน้มไปฟังเสียงฝีเท้าที่วิ่งกันอยู่นอกห้อง
ความตายของฮานะ เกโคคุโจสลักอยู่ภายในหัวใจของมานา เธอคงไม่ประนีประนอมเมื่อเป็นเรื่องความยุติธรรม และเธอคงพยายามจะเป็นผู้ตรวจการต่อไป แม้จะเป็นการต่อต้านกลุ่มทางการเมืองอันทรงพลัง เธอก็จะทำตามที่พีเฟิลคาดหวังเอาไว้
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มันคงมีเพียงมาโมริ โทโทยามะคนเดียวที่จะทำอะไรตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวังไว้
☆ อูรูรุ
บางสิ่งในตัวของเธอนั้นเปลี่ยนไป แต่มันก็ยากที่จะระบุเป็นคำพูด เพราะอูรูรุไม่ได้มีคำศัพท์มากมายอยู่ตั้งแต่เริ่ม และยิ่งกว่านั้นเธอเองก็สับสน เธออยากให้พัคพั๊ครับฟังเธอ แต่พัคพั๊คก็แค่เดินผ่านไปโดยไม่ได้มองด้วยซ้ำ แถมยังเอาสัญญาที่เป็นของดูต่างหน้าเพียงอย่างเดียวของซาจิโกะไปจากอูรูรุอีก ในตอนนี้อูรูรุไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
และแม้ว่าเธอจะกลับมายังห้องของตัวเองตามที่พัคพั๊คพูดว่าให้เธอนั่งลงและกอดเข่า แต่ทุกสิ่งที่อยู่ในใจของเธอคือความคิดแย่ๆเรื่องแล้วเรื่องเล่า
เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โซรามิและซาจิโกะทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว พัคพั๊คยังคงอยู่ที่นี่ก็จริง แต่อูรูรุรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถพึ่งพาพัคพั๊คได้ พัคพั๊คเป็นศูนย์กลางของโลกอยู่เสมอ และการได้ทำงานให้พัคพั๊คมันก็ทำให้เธอมีความสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เธอคิดว่าถ้าทำอะไรตามที่พัคพั๊คบอกมันก็จะไม่มีอะไรผิดพลาด แต่กระนั้นลึกๆลงไปแล้ว ตัวของอูรูรุสั่นด้วยความวิตกกังวล เธอพยายามไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของพัคพั๊ค แต่เธอก็ไม่สามารถคิดอะไรได้ดีเหมือนกับเมื่อก่อน
เธออยากคิดเรื่องของพัคพั๊ค แต่เธอก็ทำไม่ได้ ซาจิโกะและโซรามิไม่อยู่แล้ว และอูรูรุคือคนเดียวที่รอดชีวิต คนเดียวที่สามารถรับใช้พัคพั๊คได้ก็คืออูรูรุ แต่เธอก็ไม่สามารถคิดเรื่องของพัคพั๊คที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่สามารถรับใช้ได้ดีอีกด้วย
อูรูรุกอดเข่าของตัวเองแน่นขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอ คิดไม่ได้ เธอแค่ คิดอะไรดีๆ ไม่ออกมากกว่า ความคิดเพียงอย่างเดียวที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้คือเรื่องที่ดูเหมือนว่าพัคพั๊คจะไม่ได้สนใจอูรูรุแล้ว และมันยังเหมือนกับว่าพัคพั๊คไม่ได้คิดเรื่องของโซรามิกับซาจิโกะที่เพิ่งตายไปไม่นานอีกด้วย มันเหมือนกับว่าตราบใดที่มีสัญญาอยู่ เธอก็จะไม่สนใจเรื่องที่ซาจิโกะตายไป อูรูรพยายามไล่ความคิดพวกนี้ออกไป แต่มันก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะพยายามไล่มันออกไปมากแค่ไหน มันก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง
เรื่องของซาจิโกะก็เช่นกัน เธอพูดว่าเธอไม่อยากให้ใครต้องมาเจอโชคร้ายเพราะเวทมนตร์ของตัวเอง แล้วพัคพั๊คจะใช้สัญญาของซาจิโกะทำอะไรกันนะ? อูรูรุได้ยินว่าเธอจะใช้มันในพิธี แต่พิธีนั้นมีไว้เพื่ออะไร อูรูรุไม่เคยตั้งตำถามมันเลย —เธอเชื่อว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องและเชื่อฟังพัคพั๊ค มันเคยมีอะไรอย่างเสาต้นใหญ่ที่เธอสามารถพิงอยู่ตรงนั้น แต่ในตอนนี้เสามันพังทลายไปแล้ว เธอโดดเดี่ยว โซรามิและซาจิโกะที่คอยช่วยเธอเองก็หายไป เธอยืนอยู่ด้วยขาของตัวเองที่สั่นเทาโดยลำพัง แต่มันก็ยากจนเธอรู้สึกว่าจะล้มลง
หากเธอคือซาจิโกะ เธอจะสามารถหนีไปได้ไหมนะ?
หากเธอเป็นโซรามิ เธอจะเปลี่ยนเรื่องนี้แบบง่ายๆได้ยังไงนะ?
สิ่งที่อูรูรุทำได้คืออะไรกันล่ะ? เวทมนตร์ของเธอคือโกหกเก่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวตนของอูรูรุ เธอก็โกหกได้แย่เอามากๆ แม้กระทั่งโกหกตัวเองยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ไม่ว่าเธอจะคิดมากแค่ไหน มันก็ไม่มีอะไรดีๆออกมาเลย สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงแค่กลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอกลิ้งตัวไปบนฝูกพร้อมกับยังคงขดตัวและกอดเข่าอยู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วเหวี่ยงตัวไปทิศตรงกันข้ามราวกับตุ๊กตาของเล่นและเอาแก้มของตัวเองแนบกับเสื่อทาทามิ นานมาแล้ว ก่อนที่เธอจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล ซาจิโกะมีรอบบุ๋มที่แก้มเพราะนอนหลับบนพื้น เธอนอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ทุกคนก็เลยพากันหัวเราะเธอ อูรูรุนั้นหัวเราะมากกว่าใคร และโซรามิที่หัวเราะอยู่ก็พูดว่า “ถ้าพี่หัวเราะขนาดนั้น เราเองก็รู้สึกแย่แทนซาจิโกะนะ” และซาจิโกะที่กำลังลูบแก้มของตัวเองก็ถามออกมาอย่างกังวลว่า “ทำแบบนี้จะหายไปใช่ไหม?”
อูรูรุเอาเสื่อทาทามิออกและลุกขึ้นยืน หากเธอไม่ตั้งใจ เธอก็จะคิดเรื่องอื่นแทนที่เรื่องของพัคพั๊ค ในตอนนี้เธอพยายามคิดถึงเรื่องในปัจจุบันเพราะจะมัวจดจ่อกับเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่เมื่อเธอพยายามคิดเรื่องพัคพั๊ค เธอก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากเรื่องเลวร้าย จากนั้นก็เรื่องในอดีต สิ่งที่เคยสนุก สิ่งที่เคยทำให้เธอรู้สึกดีใจ ก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ อูรูรุนั้นควรจะเป็นพี่คนโต แต่สิ่งที่เธอทำอยู่ในตอนนี้มันคือตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับโซรามิและซาจิโกะ แต่เธอก็ทำมันไม่ได้อีกแล้ว
เธอเดินวนเป็นวงกลมรอบห้อง เมื่อไม่ได้ขยับร่างกาย เธอก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองจะเน่าในทันที เธอต้องเคลื่อนไหวแม้จะเพียงเล็กน้อย เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปตามแขนขา เพื่อให้เธอคิดอะไรได้อย่างถูกต้องและมีประโยชน์าำหรับทุกคน
อูรูรุเดิน เธอเดินแล้วก็เดิน จากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งทั้งสี่มุมรอบห้อง ที่ตรงจุดศูนย์กลางนั้นมีหลอดฟลูออเรสเซนต์ห้อยอยู่ มันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังเดินวนเข้าไปหาใจกลาง เธอรู้สึกว่าตัวเองออกห่างจากพัคพั๊ค ดังนั้นอูรูรุจึงเปิดประตูกระดาษและออกมายังโถงทางเดิน เธอเดินไปตามทางอย่างรวดเร็ว คนอื่นๆทั้งเมจิคัลเกิร์ลและที่ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลทุกคนเหมือนว่าจะยุ่ง ราวกับพวกนั้นไม่มีเวลามากพอที่จะมองดูเธอ
อูรูรุและน้องสาวของเธอ รวมถึงผู้คนที่มารวมตัวกันรอบๆพัคพั๊คนั้นมีความจงรักภักดีมากเป็นพิเศษ แต่ผู้คนที่เธอเห็นในตอนนี้มันเป็นอะไรที่เกินกว่าความจงรักภักดีตามปกติ อูรูรยังสัมผัสจากคนเหล่านั้นได้ว่าหากพัคพั๊คไม่หยุดเอาไว้ พวกนั้นก็จะกำจัดเธอทิ้งเพราะว่าเป็นตัวเกะกะ บางสิ่งในคฤหาสน์หลังนี้กำลังบิดเบี้ยว ความไม่สบายใจที่สัมผัสได้รางๆลอยขึ้นมาจากพื้นตรงเท้าของเธอ อูรูรุเดินอยู่ที่มุมทางเดินดังนั้นจึงไม่ได้ไปขวางทางใคร เธอย้ายจากที่ว่างจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว รอบๆตัวเธอก็ไม่มีใครอยู่แล้ว
หากเธอไม่คิดถึงเรื่องโซรามิหรือซาจิโกะ และไม่ได้คิดถึงเรื่องของพัคพั๊คล่ะก็ มันก็มีเพียงคนเดียวที่โผล่ขึ้นมาในใจ สโนไวท์นั่นเอง
คนที่ฆ่าซาจิโกะเป็นเพื่อนของสโนไวท์ อย่างน้อยก็ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนกัน และสโนไวท์เองก็ยอมรับ เพราะแบบนั้นสโนไวท์ถึงถูกขังอยู่ในห้องรับรอง อูรูรุยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าควรจะขังเธอเอาไว้ แม้ว่าพัคพั๊คจะคัดค้านก็ตาม เธอพูดว่าไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย สุดท้ายอูรูรุก็ได้สิ่งที่ต้องการ
แบบนั้นซาจิโกะก็ถูกฆ่าโดยเมจิคัลเกิร์ลที่มาที่นี่เพราะสโนไวท์งั้นเหรอ? เธอสงสัย พอคิดถึงเรื่องซาจิโกะ คิดถึงเรื่องที่เลือดไหลทะลักออกมาจากคอของเธอแล้วล้มลง มันก็ทำให้อูรูรุอยากร้องไห้ แต่พวกเราก็อยู่ใกล้กันมาก ใกล้เพียงแค่ก้าวเดียว —เธอทรมาณมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซาจิโกะกลับมาอยู่ดี
พวกเธอทำความสะอาดคราบเลือดจากใบหน้าของซาจิโกะและทำให้เธอดูเหมือนกับว่ายังคงมีชีวิตอยู่ —ไม่ใช่พรีเมี่ยม ซาจิโกะแต่เป็นใบหน้าของซาจิโกะที่เป็นมนุษย์ เธอนอนหลับตาอยู่ที่นั่น อูรูรุกอดร่างของซาจิโกะเอาไว้และร้องไห้ แต่ซาจิโกะก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา มือที่อูรูรุจับมันเย็นราวกับแท่งเหล็ก อูรูรุร้องไห้ เธอร้องไห้มากพอที่ดวงตาของเธอจะหลอมละลายจนร่วงลงมาจากเบ้า แต่กระนั้นเธอก็ยังร้องไห้ต่อไป
พัคพั๊คเคยแสดงสีหน้าออกมาครั้งหนึ่งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อนึกซาจิโกะกับโซรามิ จากนั้นเธอก็รีบเดินออกไปที่ไหนซักที่ แม้ว่ามันจะมีเรื่องมากมายที่อูรูรุอยากพูดถึงทั้งสองคน เธอก็พูดกับพัคพั๊คไม่ได้ จนเธอต้องร้องไห้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ยิ่งเธอร้องไห้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมซาจิโกะถึงต้องตาย เพื่อนของสโนไวท์เป็นบ้าอะไร? มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับสโนไวท์?
เธอเดินไปตามทางเดินจนสุดทาง
เธออยากได้ยินเรื่องที่สโนไวท์จะพูด แม้ว่าจะร่วมมือกันเพียงไม่นาน เธอก็รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานแล้ว อูรูรุชักเอาปืนไรเฟิลของเล่นออกมาและถือไว้ในมือข้างหนึ่ง เธอยืนอยู่ด้านหน้าห้องรับรองแล้วก็ใช้กุญแจในกระเป๋าตัวเองเพื่อเปิดประตู
“สโนไวท์!”
เมจิคัลเกิร์ลสีขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ค่อยๆลืมตาแล้วมองมายังอูรูรุ
MANGA DISCUSSION