เจ้าชายของชมรม
เมื่อมองดูชิซุกุ อาชูเพียงแค่ครั้งเดียว นานะ ฮาบุทาเอะก็รู้ได้โดยสัญชาติญานว่าไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเธอได้
นานะรู้จักเธอมาก่อน ชิซุกุ อาชูคือหนึ่งในคนดังที่มีเพียงหยิบมือของโรงเรียน หากจะพูดว่าไม่มีนักเรียนหรือเจ้าหน้าที่ซักคนที่ไม่รู้จักเธอเลยจะถูกต้องกว่า ผู้คนซุบซิบกันอย่างไม่หยุดหย่อน จนขนาดมีข่าวลือว่าบางคนเข้ามาหาเธอแม้จะไม่ได้มีธุระอะไรกับเธอก็ตาม
นานะใช้เวลาอันสงบสุขของปีที่ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษไปโดยไม่ได้สนใจชิซุกุที่ทั้งเท่ งดงาม เก่งกีฬาทุกประเภท ฉลาดและมีเสน่ห์ แล้วก็เรื่องอื่นๆที่โด่งดังเลย จากนั้นในฤดูใบไม้ผลิปีสอง เธอก็ได้เห็นชิซุกุเป็นครั้งแรกในชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นานะจึงตัดสินใจจะหลีกเลี่ยงไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเธอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
สำหรับนานะแล้ว ตัวชี้วัดความงามที่เที่ยงตรงที่สุดก็คือการตอบสนองของผู้อื่น นานะเชื่อว่าหากการตอบสนองมีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งงดงามมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีใครงดงามไปกว่าชิซุกุเลย ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามมันก็จะมีผู้คนรายล้อมเธอเสมอ ทั้งชายและหญิงแห่กันเข้าไปหา และเธอเองก็ไม่ได้ดูเหมือนจะกระวนกระวายอะไรราวกับว่ายอมรับมัน เพราะแบบนี้จึงบอกได้ว่าทำไมนานะถึงไม่ชอบเธอ
บรรยากาศของชิซุกุเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์ ท่าทางที่ดูเป็นผู้ชายและใบหน้าที่หล่อเหลาทำให้เธอได้ชื่อเล่นที่ดูน่าหัวเราะว่า “เจ้าชาย” สำหรับนานะแล้ว มันไม่มีเจ้าชายอยู่ในชีวิตจริง มีเพียงในนิยายเท่านั้นที่เจ้าชายจะโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน
ปีแรกของนานะผ่านพ้นไปโดยไม่ได้มีปฎิสัมพันธ์อะไรกับชิซุกุ แม้พวกเธอจะเข้าชั้นเรียนวิชาเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะกลายเป็นเพื่อนแล้วออกไปไหนมาไหนด้วยกัน อย่างแย่ที่สุด นานะก็สามารถเปลี่ยนชั้นเรียนได้ เธอไม่ใช่คนที่ชอบวิเคราะห์เรื่องตัวเลขหรือฟังก์ชั่นอะไรอยู่แล้ว เธอลงทะเบียนเรียนเพราะว่าเพื่อนของตัวเองชวน ชิซุกุอาจจะไม่รู้ว่านานะมีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก สำหรับใครบางคนที่มีผู้คนรายล้อม คนที่ไม่เคยถูกชายตามองเลยอาจจะไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ แบบนั้นไม่เป็นไร การไม่เข้ามายุ่งเป็นเรื่องดีที่แล้ว นานะจะไม่ปฎิเสธเรื่องที่ดึงดูดคนให้มารายล้อม เธอเองก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่เธอแค่ไม่รู้สึกชอบชิซุกุในฐานะคนๆหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นนานะจึงไม่ได้สนใจที่จะไปเกี่ยวข้องกับเธอ —แต่ด้วยหลายๆจังหวะ ชิซุกุจะดึงดูดสายตาของเธอ ตอนที่ศาสตราจารย์อาวุโสกำลังอธิบายอะไรบางอย่างอยู่ในชั้นเรียน นานะก็มองที่นาฬิกาติดผนังเพื่อดูเวลา แล้วเมื่อเธอหันกลับมาที่ไวท์บอร์ด เธอก็สบตากับชิซุกุ นานะตอบสนองกลับไปด้วยรอยยิ้มแล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองที่อื่นในทันที แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงลางไม่ดีที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด และยิ่งลางไม่ดีเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแม่นขึ้นเท่านั้นอีกด้วย
ตอนนี้เวลาบ่ายสาม มันก็ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว นานะแยกกับเพื่อนและมุ่งหน้าไปยังตึกชมรม ชมรมสกีที่เธอเป็นสมาชิกอยู่นั้นอยู่ลึกเข้าไปในตัวตึก มันคือห้องที่สามที่สกปรกที่สุด เก่า และเป็นบ้านสำเร็จรูปที่ขึ้นรา ที่ผนังเองก็มีกราฟฟิตี้ห่วยๆจากฝีมือของนักเรียนรุ่นก่อนเขียนเอาไว้ ส่วนบรรยากาศของที่นี่มันเหมือนกับสลัมหรือเมืองอันเลวร้ายซึ่งขนาดเด็กๆยังลังเลที่จะก้าวเข้าไป
แต่นั่นมันก็แค่ความรู้สึก ในความจริงแล้ว พวกเด็กสาวที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ถูกโจมตีอะไร อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับนานะ สิ่งสำคัญของที่นี่คือบรรยากาศที่ยากต่อเด็กสาวจะเข้ามา หากสามารถก้าวข้ามได้ มันก็จะได้อะไรบางอย่างกลับไป
“ไง ทุกคน”
“เฮ้ นานะ”
“ไม่ได้เจอกันพักนึงเลย!”
“อื้อ”
“ว้าว แปลกจัง” นานะพูด “ดิฉันไม่เห็นหน้าของคิตาจิม่ามาพักนึงแล้วนะเนี่ย”
“หล่อเหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ?”
“เฮ้ ตอนนี้พวกเรากำลังเล่นบอร์ดเกมของเยอรมันอยู่ นานะอยากเล่นด้วยไหม?”
“โห ดูน่าสนุกจัง” เธอเห็นด้วย
“มาเลย มาเลย”
สมาชิกนั้นมีอยู่กันทั้งหมดห้าคน และทุกคนก็อัดกันอยู่ในห้องชมรมเล็กๆ เมื่อเห็นนานะเข้ามา ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกันแล้วหนึ่งในนั้นก็ลากเอาเก้าอี้ที่ว่างอยู่มาให้ นานะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็นั่งลงไป มันเป็นการปฎิบัติระดับ VIP อย่างเยี่ยมยอด นี่คือเหตุผลว่าทำไมนานะถึงมาที่ชมรมนี้
ชมรมสกีนั้นเป็นชมรมกีฬา เพราะแบบนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงอยู่ในพื้นที่ของชมรมกีฬาที่มีบ้านสำเร็จรูปตั้งอยู่กันเป็นแถว แทนที่จะไปอยู่ภายในตึกของชมรมศิลปะที่เสริมคอนกรีต แต่พวกเธอก็ทำอะไรห่างไกลจากกิจกรรมของชมรมกีฬามาก นอกจากแคมป์สกีประจำปีแล้ว พวกเธอก็ไม่ได้แตะต้องสกีเลย พวกเธอแค่คุยกัน เล่นเกม เล่นไพ่นกกระจอก พร้อมกับแสร้งทำเป็นว่า “กำลังวางแผนเรื่องสกีอยู่” เพื่อไม่ให้คนระดับสูงโกรธหรือด่าเอาได้ แม้ว่าการเป็นชมรมกีฬามันจะเกี่ยวข้องกับการออกไปกลางแจ้ง แต่มันก็กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามอย่างการอยู่ในร่มแทน
เพราะว่าตัวของชมรมเองนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตำแหน่งที่ตั้งเองก็มีลมพัดเข้ามาปะทะ แถมยังไม่มีสมาชิกผู้หญิงคนอื่นนอกจากนานะอีก เมื่อเพื่อนของนานะถามเธอเรื่องชมรม เธอก็ยิ้มแล้วก็ให้คำตอบแบบคลุมเครือ เมื่อได้เห็นท่าทางของนานะ เพื่อนของเธอจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ แล้วหัวข้อก็ถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น หากที่นี่ไม่มีสมาชิกผู้หญิงคนอื่นมันก็จะดีที่สุด
“มีมันฝรั่งทอดรสใหม่ด้วย อยากลองไหม?”
“อ๊ะ ชา ใช่แล้ว เอาแบบตามปกติสินะ?”
“ใส่น้ำแข็งสองก้อนให้เธอด้วยสิ!”
เพราะไม่มีสมาชิกผู้หญิงคนอื่น ซึ่งอีกแง่หนึ่งคือมันมีแค่นานะ นานะคนเดียวเท่านั้น และคนที่เข้าร่วมชมรมแบบนี้ก็มีแต่คนที่ไม่มีความดึงดูดและน่าเบื่อ การมีผู้หญิงแค่คนเดียวอยู่ในหมู่คนที่หดหู่ คนที่แม้จะย้อนกลับไปถึงสมัยอนุบาลก็ยังยากที่จะได้พูดคุยกับผู้หญิง ดังนั้นมันจึงแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนต้องมารายล้อมเธอ และเรื่องนั้นมันก็ทำให้นานะมีความสุข มันไม่ใช่ว่าเธอสั่งให้พวกเขาทำแบบนี้ —สมาชิกคนอื่นยกย่องเธอด้วยความต้องการของตัวเอง พวกเขาทำเพราะอยากจะทำ ทั้งสองฝ่ายได้อะไรบางอย่างกลับไปกันทั้งคู่ หากจะเรียกว่าความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันก็ไม่ได้ผิด เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่มีใครที่เสียอะไรไป
ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกไม่ดีแบบไหนขึ้น หากเธอมายังที่นี่ หัวใจของเธอก็จะถูกชำระล้าง ที่นี่ไม่ได้มีเจ้าชายอยู่ก็จริง แต่มันก็เพราะว่าเจ้าชายไม่ได้มีอยู่ในความเป็นจริงตั้งแต่แรกแล้ว
เกมนั้นจบลง และนานะก็เข้ามาเล่นแทนตำแหน่งของคนที่แพ้ “ช่วยยั้งมือด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วง มีแต่อุเอมุระคนเดียวแหละที่เล่นจริงจัง”
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ทำไมต้องพูดชื่อชั้นขึ้นมาด้วยเนี่ย?”
“ใครจะสนคนที่เล่นจริงจังกันล่ะ มาทอยเต๋าตัดสิน—”
มีเสียงเคาะประตูดังก้องขึ้นในห้องเล็กๆ ทุกคนต่างมองหน้ากันจากนั้นก็มองมาที่นานะพร้อมกับเอียงหัว นานะบอกพวกนั้นไปว่า “เรื่องนี้ดิฉันไม่รู้อะไรนะ” นอกจากนานะแล้วมันไม่มีใครเลยที่จะเคาะประตูก่อนเข้ามาในห้อง อีกแง่หนึ่ง นี่ก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ในชมรม ไม่ใช่ว่าชมรมนี้ทำอะไรไม่ดีแบบเห็นได้ชัด แต่มันก็พูดไม่ได้ว่าทำกิจกรรมชมรมอย่างจริงจังเช่นกัน
ทุกคนเว้นแต่นานะลงมือปัดกวาดโดยไม่รอคำสั่งจากหัวหน้าชมรม โยนเกมและลูกเต๋าออกจากโต๊ะไปยังกองสิ่งของส่วนตัวที่ซ้อนกันอยู่ตรงมุมห้อง จากนั้นก็เอาผ้ามาคลุมไว้ด้านบน พลิกไวท์บอร์ดไปยังด้านที่มี แผนเรื่องสกี เขียนเอาไว้ออกมาด้านหน้า จากนั้นเมื่อแน่ใจว่าทุกคนนั่งที่เรียบร้อยแล้ว หัวหน้าชมรมก็เชื้อเชิญผู้มาเยือน
“เข้ามาสิ”
“ขอรบกวนด้วย”
ประตูเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาด้านใน นานะหรี่ตาของเธอเพราะแสงมันจ้ามากจนเธอบอกไม่ได้ว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น แต่เสียงนั่นเธอเคยได้ยินมันมาก่อน เสียงนั้นชัดเจนและมันก็คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงกังวล มันไม่ใช่แค่เธอได้ยินเสียงนั้นมาก่อน —แต่มันเป็นเสียงที่ได้ยินครั้งหนึ่งแล้วก็จะไม่มีวันลืมมันลง
ประตูปิดลงพร้อมกับเสียงแกร๊ก แสงสว่างเองก็ค่อยๆจางลง ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ก็ตามแต่ในตอนนี้เธอก็มองเห็นแล้วว่าคนๆนั้นคือใคร ทุกคนจ้องมองมาที่เธอด้วยท่าทางงุนงง —ไม่สิ มองไปที่ทางเข้าต่างหาก คนหนึ่งอ้าปากค้าง คนหนึ่งขยี้ตาตัวเอง คนหนึ่งยืนขึ้นแบบอัติโนมัติ และอีกคนหนึ่งก้มหน้าก้มตาพึมพำอะไรบางอย่าง
“ขอโทษที่มารบกวนตอนกลางเทอมนะ ชั้นกำลังมองหาชมรมที่จะเข้าอยู่” ชิซุกุพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ นานะรู้สึกว่าพื้นที่อยู่ใต้เท้าของเธอเริ่มพังทลายลงแล้ว
**************************************************
นานะไม่ชอบการพูดลับหลังคนอื่น การดูหมิ่นกันซึ่งหน้าก็แย่ยิ่งกว่า ส่วนการเหน็บแนมเธอก็เกลียดยิ่งกว่านั้น ส่วนการปกปิดตัวตนแล้วไปโพสในเว็บบอร์ดไร้ตัวตนหรือโซเชียลมีเดียว่า “วันนี้เจอคนแย่ๆด้วยล่ะ” นั้นไม่ต้องพูดถึง หากเธอจะมีความคิดไม่ดีอยู่ในหัวตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่เธอจะพูดมันออกมาดังๆไม่ได้ หากเธอพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับใครบางคน นั่นก็คือจุดที่จะสูญเสียความรักจากเจ้าชายที่เธอหลงไหลในนิทาน นานะจะมีชีวิตอยู่และตายไปด้วยความเชื่อนี้
ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอดทน การบุกรุกเข้ามาของชิซุกุ อาชู —ใช่แล้ว มันคือการบุกรุก— ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมภายในชมรม สิ่งงดงามได้เข้ามาแทนที่นานะบนจุดจูงสุดและทุกคนที่รับใช้เธอพังทลายไป นานะถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์ของตัวเอง และหลังจากที่การรัฐประหารลุล่วงไปได้ด้วยดี รัชกาลใหม่ของราชินี ชิซุกุ อาชู ก็เริ่มต้นขึ้น เก้าอี้สำนักงานที่มีที่พักแขนที่เคยเป็นเก้าอี้ตัวพิเศษของนานะมาก่อนในตอนนี้ได้กลายเป็นของชิซุกุ และทุกคนที่เคยเข้ามาห้อมล้อมนานะในทุกๆอย่างที่เธอทำ ในตอนนี้ก็เอาแต่จ้องมองชิซุกุเท่านั้น มันไม่ใช่ว่าทุกคนปฎิบัติกับเธออย่างเย็นชา —แต่มันเหมือนกับว่าตัวตนของเธอถูกลืมเลือนไปมากกว่า ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ชิซุกุราวกับต้องมนต์สะกด และหลังจากนั้นก็เพียงแค่ชายตามองมายังนานะราวกับจะพูดว่า “อ่า ใช่ เธออยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” การที่สายตาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดมันคือเรื่องจริง ยิ่งไปกว่านั้นการที่ทุกคนไม่เคยพูดออกมา เธอจึงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก
แต่มันก็เหมือนกับการประชดประชันไม่มีผิด เพราะคนที่ใจดีกับนานะที่สุดก็คือชิซุกุ เมื่อนานะเข้ามา ชิซุกุก็จะดึงเอาเก้าอี้มาให้เธอ พูดว่า “นี่” แล้วยื่นขนมที่เธอชอบมาให้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความใจดีที่แท้จริง มันไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าท่าทางระวังคนรอบตัวที่ร่วงหล่นสู่ระดับที่ต่ำกว่าเดิม นานะปกปิดความอัปยศและความโกรธของตัวเองเอาไว้ เธอรับขนมมาด้วยรอยยิ้ม เคี้ยวมันข้างในปาก ไม่ว่ารสชาติจะหวานแค่ไหน แต่มันก็เปรี้ยวจนสุดทน
ผู้หญิงคนนี้ดีกว่าดิฉันเยอะใช่ไหม?
แทนที่นานะจะปล่อยให้คำพูดเช่นนั้นออกมาจากปาก เธอก็กลืนมันลงไปพร้อมๆกับขนมที่ตัวเองเคี้ยว
เกมมันเริ่มหมุนเวียนอยู่รอบตัวชิซุกุ กฎเองก็เปลี่ยนเพื่อให้เธอได้เปรียบ คนหนึ่งเอามังงะกองโตเท่าภูเขามาให้ เขาบอกว่าอยากให้ชิซุกุอ่าน คนหนึ่งเอาวีดีโอเกมมา เขาบอกว่าอยากให้เธอเล่น อีกคนหนึ่งเอาแท็บเล็ตมาให้เธอ เขาพูดว่าถ้ามีไว้มันจะสะดวก การจู่โจมด้วยของขวัญมันมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆจนหยุดไม่ได้ เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับนานะเลยซักครั้ง
เมื่อชิซุกุเสนอตัวว่าจะไปส่งเธอที่สถานีรถไฟ นานะก็ปฎิเสธไปพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนสดใส จากนั้นเมื่อเธอกลับถึงอพาร์ทเมนต์ที่ตัวเองอาศัยอยู่ เธอก็มายืนอยู่ที่หน้ากระจก
เรื่องรูปลักษณ์ นานะไม่ได้อยากเทียบตัวเองกับชิซุกุอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ใช่ว่านานะจะดูน่าเกลียดอะไร ความจริงแล้วเธออยู่ฝั่งที่เรียกว่าดูดีด้วยซ้ำ แต่ชิซุกุดูดีมากเกินไปต่างหาก
ในความเป็นจริงแล้ว นานะมีความเป็นเด็กผู้หญิงและความน่ารักอยู่สูง เธอไม่เคยเห็นชิซุกุสวมกระโปรงเลยซักครั้ง ชิซุกุสวมเสื้อผ้าแฟชั่นหลากหลายแบบ อย่างเช่นสายเอี๊ยมที่ทำจากหนังแบบบางๆ สวมเสื้อโค้ท สวมโซ่เงินแทนเข็มขัด ที่รองเท้าก็มีสายรัดอยู่มาก ดูมีกล้ามเนื้อมากกว่าความเป็นหญิง และเมคอัพก็ไม่เพียงดูเป็นธรรมชาติ —เธอแต่งหน้าเพียงแค่เล็กน้อย ตัวตนของเธอให้ความรู้สึกแบบว่าเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงอย่างมาก จนได้ชื่อเล่น “เจ้าชาย” ไปโดยปริยาย
แม้ว่าเมื่อเร็วๆนี้ นานะจะไม่ได้ก็พยายามเรื่องการแต่งหน้ามากนัก ขนตาปลอมของเธอก็แห้งกรังอยู่ในชั้นแต่งหน้า จากนี้ไปเธอต้องหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนาๆและต้องแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เธอก็มีความกังวลอยู่เรื่องหนึ่งที่มากขึ้น มันคือบางสิ่งที่เธอไม่อยากคิดถึงและอยากเลี่ยงเลี่ยงมัน
ตรงหน้ากระจก นานะหมุนตัวไปรอบๆ —ไปทางขวาครั้งหนึ่งแล้วก็มาทางซ้าย กระโปรงลายสตรอว์เบอร์รี่ของเธอก็สะบัดขึ้น แต่นานะก็ปัดลงอย่างรวดเร็ว ขาของเธอเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยดีเลย
สาเหตุนั้นมันชัดเจน สามเดือนที่เธอหลีกเลี่ยงการไม่ชั่งน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย แต่สุดท้ายเธอก็น้ำหนักขึ้น แม้ว่าจะอยู่ชมรมกีฬาก็จริง แต่พวกเธอก็ไม่ค่อยได้ขยับตัวและออกกำลังกาย สิ่งที่ทำนั้นมีอย่างเดียวคือการพูดคุย เธอกินทั้งขนมและดื่มน้ำผลไม้ แล้วก็งานปาร์ตี้ที่มีสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง เธอก็ยิ่งกินยิ่งดื่มเยอะขึ้นไปอีก เธอไม่ได้คิดว่ามันน่าอับอายที่จะกินและดื่มมากๆด้วยเงินคนอื่น เธอแค่คิดว่ามันน่าอร่อยเท่านั้น ไก่คาราอาเกะ, เฟรนช์ฟรายส์, ปลาหมึกหั่นชิ้นทอดกรอบ, มันเผากับเนย —เมนูธรรมดาๆของ อิซากายะ เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก จากนั้นก็ตามด้วยดื่มเบียร์ เธอสามารถกินแบบนี้ไปตลอดได้เลย
แล้วเธอเองก็ไม่ได้ออกกำลังกาย และในฐานะที่เป็นคนที่น้ำหนักขึ้นได้ง่ายๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้มันจึงทำให้เธอน้ำหนักขึ้น นานะเคยพาตัวเองเข้าเครื่องรีดน้ำหนักมาก่อน —เธอเรียนเพื่อสอบเข้าไปพร้อมๆกับไดเอ็ทด้วยเป้าหมายที่ต้องลดน้ำหนักให้ได้สิบสี่กิโลกรัมก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย— และผลก็คือเธอมีหุ่นที่เพรียวสวยและเริ่มต้นชีวิตมหาวิทยาลัยในฐานะผู้หญิงคนใหม่ แต่เรื่องนั้นมันก็นานมาแล้ว หากน้ำหนักของเธอเพิ่มขึ้น ระดับมันก็จะยากยิ่งกว่าตอนก่อนที่เธอจะเข้ามหาวิทยาลัยซะอีก
นานะตัดสินใจแล้วว่าตัวเองต้องไดเอ็ท คราวนี้มันพูดได้ว่าง่ายกว่าเพราะไม่ได้มีการสอบเข้าอีกแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ เธอต้องทำได้แน่ โอเอซิสของนานะมันเป็นของนานะคนเดียวเท่านั้น เธอจะไม่ปล่อยให้ใครบางคนเข้ามาวุ่นวายเด็ดขาด เธอต้องไดเอ็ท ต้องลดน้ำหนัก ต้องเกียรติยศของตัวเองคืนมา แล้วเมื่อทำเช่นนั้นได้ นานะก็จะกลายเป็นราชินีอีกครั้ง
**************************************************
หนึ่งเดือนหลังจากที่ตัดสินใจไดเอ็ท นานะมองไปที่เครื่องชั่งน้ำหนักพร้อมกับถอนหายใจ เดือนที่ผ่านมาน้ำหนักมันขึ้นแล้วก็ลง ซึ่งโดยรวมแล้วน้ำหนักของเธอมันคงที่และไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย น้ำหนักของเธอไม่ได้เพิ่มแล้วก็ไม่ได้ลดเช่นกัน เธอยังใช้ลู่วิ่งที่ซื้อมาทางออนไลน์เพื่อวิ่งสามสิบนาทีทุกเช้าและเย็น เธอหยุดกินบลูเบอร์รี่ชีสเค้กสุดแรร์จากร้านเค้กลาลาลันติด้วยการกัดผ้าเช็ดหน้าเพื่อเป็นการยับยั้งชั่งใจ เธอหยุดดื่มน้ำผลไม้แล้วหันมาดื่มชาแทน เธอหันมาใช้บันไดแทนลิฟต์ ระยะห่างหนึ่งสถานีเธอก็เปลี่ยนมาใช้การเดิน แต่ความพยายามทุกอย่างของเธอกลับไร้ความหมาย เธอแค่ปฎิเสธตัวเองในขณะที่ยังคงสถานะปัจจุบันเอาไว้
ชมรมยังคงถูกยึดครองโดยชิซุกุ ด้วยน้ำหนักของเธอที่ไม่ได้เปลี่ยนไป นานะจึงทำอะไรไม่ได้เลย แม้ว่าเธอจะกลับาที่ชมรมหลักจากที่ไม่ได้มาอยู่พักหนึ่ง พวกนั้นก็ไม่ได้ทักทายเธอว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลย” ไม่ก็ “พักนี้มาสายจัง มีอะไรรึเปล่า?” แต่เธอได้คำทักทายแบบธรรมดาอย่าง “สวัสดี” หรือ “ยินดีต้อนรับ” ไม่ก็ “เฮ้” กลับมาแทน นี่พวกนั้นไม่รู้ตัวว่าเธอไม่ได้มารึยังไงกันนะ?
หน้าจอมันว่างเปล่าอีกครั้งหลังจากที่เธอก้าวลงจากเครื่องชั่งน้ำหนัก เธอไม่ได้อยากจะดูที่หน้าจอเลย ดังนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อมันหายไปแล้ว จากนั้นเมื่อเธอคิดถึงเรื่องบางอย่างเพื่อให้รู้สึกโล่งอก เธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จากนั้นเมื่อสวมชั้นในและชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งลงไปที่เก้าอี้หวายตรงหน้าต่าง ดวงดาวมันส่องประกายระยิบระยับอยู่บนฟ้า แน่นอนว่าดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดก็คือชิซุกุ แต่อย่างน้อยนานะก็อยากเป็นดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดภายในชมรม
นานะยังคงมองขึ้นไปบนฟ้าและคิดถึงเรื่องของตัวเองเมื่อเดือนที่ผ่านมา นี่เธอทำอะไรพลาดไปกันแน่นะ? ทำไมเธอถึงลดน้ำหนักไม่ได้เลย? เธอไม่ได้ปฎิเสธงานปาร์ตี้แต่มันก็เพราะว่าเธอไม่อยากถูกลืมเลือน ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปตามสถานการณ์บังคับและมีส่วนร่วมแค่เพียงเล็กน้อย —ไม่สิ เธอมีความรู้สึกว่าปัญหามันไม่ใช่เรื่องขนมที่อยู่ที่นั่นมีไม่มาก แต่สิ่งที่นานะชอบอย่าง คาราอาเกะ และเฟรนช์ฟรายส์จะมีอยู่เสมอแม้ว่าเธอจะไม่ได้สั่งก็ตาม แล้วมันก็จะถูกเอามาวางตรงหน้าเธอด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงกินมันแบบไม่ได้คิดอะไร เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่มันเกิดขึ้นสองหรือสามครั้งแล้ว
หืม?
มันมีบางสิ่งเหมือนกับแสงสว่างโผล่ขึ้นมาในใจของเธอ
มันไม่ใช่แค่ คาราอาเกะ กับเฟรนช์ฟรายส์ในงานปาร์ตี้กินดื่ม มันยังเป็นอะไรที่เกิดขึ้นตามปกติในห้องชมรมด้วย มันฝรั่งทอดรสใหม่จะถูกส่งมาให้เธอ แล้วเธอก็หยิบมันมาแบบไม่คิด แต่มันก็ไม่มีใครคนอื่นนอกจากนานะที่ชอบมันฝรั่งทอดเลย คนในชมรมต่างก็มีรสชาติที่ตัวเองชอบ —คนหนึ่งชอบช็อกโกแลต คนหนึ่งชอบคุ๊กกี๊ คนหนึ่งชอบเซ็มเบ้รสเกลือ อีกคนหนึ่งชอบคารินโต*บราว์ซูการ์ —ดังนั้นทุกคนก็เลยเอาของที่ตัวเองชอบมา ทุกคนรู้ว่านานะชอบมันฝรั่งทอดของบริษัทมุโต้ และก่อนที่ชิซุกุจะมา ทุกคนก็เอามันมาให้เธอ แต่ในตอนนี้นานะเสน่ห์ของนานะหายไปหมดแล้ว มันจึงไม่มีใครเอาของโปรดของเธอมาให้อีก ดังนั้นทำไมมันถึงมีมันฝรั่งทอดอยู่ล่ะ? แถมยังมีอยู่ทุกวันเลยด้วย
*คารินโต — ขนมหวานทอดกรอบเคลือบน้ำตาล
นานะเอานิ้วมาแตะที่คางแล้วเอนตัวไปข้างหน้า
แบบนี้มันแปลก บางอย่างที่ไม่ควรมีกลับมีอยู่ แม้จะเป็นที่ปาร์ตี้กินดื่ม ทุกอย่างที่นานะชอบกลับอยู่ตรงหน้าเธอ… ใครกันที่เอามันมานะ? นานะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบไอศครีมถ้วยอย่างดีออกมาจากชั้นแช่แข็งจากนั้นก็เปิดฝาออก ในการที่จะค้นความทรงจำ เธอจำเป็นต้องให้สมองตัวเองมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น
**************************************************
หลังจากนั้นไม่กี่วันที่ชมรมมันก็มีบางอย่างต่างไปจากเดิม เมื่อชิซุกุอาสาจะไปส่งเธอ นานะก็ตกลง พวกเธอทิ้งเหล่าคนที่ดูเศร้าเมื่อพวกเธอจากไปไว้เบื้องหลัง แล้วก็มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ ระหว่างทาง สายตาของทั้งชายและหญิงก็จับจ้องที่ชิซุกุ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดูประหลาดใจหรืออิจฉา ไม่ว่าความรู้สึกที่เร่าร้อนจะดึงดูดความสนใจของเธอก็ตาม ชิซุกุก็ดูไม่ได้คิดอะไร เธอเดินออกไปอย่างกล้าหาญ ส่วนนานะเป็นเพียงคนเดียวที่กังวลเรื่องสายตาของคนอื่น แต่มันก็ไม่มีใครที่จ้องมาที่เธอเลย สายตาของทุกคนล้วนแต่มองไปที่ชิซุกุ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” สีหน้าของนานะคงดูไม่ดี ชิซุกุคนที่เดินอยู่ข้างเธอถึงได้พูดออกมาอย่างเป็นห่วง
แต่นานะก็ส่ายหัว แล้วก็ยกฝ่ามือขึ้นมาเพื่อปฎิเสธ
เพียงไม่นานพวกเธอก็มาถึงสถานีรถไฟ หลังจากที่รออยู่ราวห้านาที พวกเธอก็ขึ้นรถขบวนที่สองจากทั้งหมดที่มีสามขบวน
นานะนั่งลงข้างๆชิซุกุ ระยะห่างระหว่างพวกเธอนั้นประมาณหนึ่งกำปั้น จากนั้นเธอก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาชู”
“อะไรเหรอ?” ชิซุกุหันมามองนานะด้วยความตกใจ
เท่าที่นานะจำได้ เธอไม่เคยพูดอะไรกับชิซุกุจนกระทั่งถึงตอนนี้เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะคุยด้วย แต่ในตอนนี้มันต่างออกไป นานะจึงพูดต่อ
“คุณชอบมันฝรั่งทอดเหรอคะ?”
“ไม่…ชั้นไม่ได้ชอบกินขนมหรอก” ท่าทางของชิซุกุกลายเป็นดูหม่นหมอง แม้จะหน้านิ่วคิ้วขมวด เธอก็ยังคงดูสวยอยู่ดี
นานะกระแอมเพื่อเอาความกังวลที่อยู่บนใบหน้าออกไปแล้วพูดต่อ “ดิฉันได้ยินว่าคุณเป็นคนเอามันฝรั่งทอดมาที่ห้องชมรมค่ะ”
“ใช่ เอ่อ…”
“คุณซื้อของที่ตัวเองไม่ชอบทำไมคะ?”
“ก็ ชั้น…” ชิซุกุมองลงไปพร้อมกับรู้สึกอาย มันเป็นอะไรที่เห็นแล้วรู้ได้แบบง่ายๆเลย
นานะจึงตัดสินใจว่าจะพูดให้มากกว่านั้น “นี่คุณซื้อมาให้ดิฉันงั้นเหรอ?”
“อ่า…ใช่ ตั้งแต่ที่ชั้นได้ยินว่าเธอชอบน่ะ”
“แล้วก็ตอนปาร์ตี้ คุณสั่งไก่ทอดกับปลาหมึกหั่นชิ้นมาให้ด้วยสินะคะ”
“ใช่ ชั้นสั่งเองล่ะ”
“แต่คุณก็ไม่ได้กินเอง”
“ชั้นไม่ชอบอาหารที่มีมันเยิ้มน่ะ”
“คุณก็เลยสั่งมาให้ดิฉันกินงั้นเหรอ?”
“หืมมม…” ชิซุกุเอาขายาวๆที่ไขว้กันอยู่ไปอีกทาง เอามือสองข้างแตะที่หน้าผากพร้อมกับหลับตาและก้มหน้าลงมา แก้มของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนปกติมากพอที่รู้สึกอับอายเมื่อการกระทำที่ไม่ดีของตัวเองถูกเปิดโปง
แต่การที่เธอรู้สึกอับอายมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะยกโทษให้อยู่ดี
“ทำไมคุณต้องพยายามให้ดิฉันกินอาหารพวกนั้นด้วยล่ะ?” นานะถามเธอ แม้จะรู้เหตุผลอยู่แล้วก็ตาม มันเป็นเพราะอาชญากรรมของชิซุกุที่ทำให้การไดเอ็ทของนานะล้มเหลว เธอทั้งลดน้ำหนักไม่ได้แถมยังเอาจุดยืนของตัวเองในชมรมคืนมาไม่ได้อีกต่างหาก
ชิซุกุเริ่มจะพูดอะไรออกมาแบบขาดๆหายๆ ราวกับว่ามันยากที่จะพูดออกมา “ช่วงนี้เธอ… เธอดูเหมือนไม่ค่อยร่าเริงเลย ฮาบุทาเอะ”
นั่นมันความผิดคุณต่างหากล่ะ นานะคิด แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกมา
“แถมกินน้อยลงด้วย”
เพราะแบบนั้นชิซุกุจึงมองดูเธอ ซึ่งมันก็ไม่ได้น่าแปลกอะไร หลายครั้งนานะเองก็สบตากับชิซุกุแล้วตอบสนองกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากมุมมองของชิซุกุแล้ว คนอย่างนานะคงไม่ได้มีค่าพอและไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น แต่ทำไมถึงจำเป็นต้องมองดูเธอมากขนาดนี้เพื่อทำให้เธอรู้สึกไม่ดีด้วยล่ะ?
“เพราะแบบนั้นคุณถึงล่อลวงให้ดิฉันกินอะไรเยอะๆสินะ” นานะพูด
“ชั้นคิดว่าถ้าเป็นของที่ชอบ เธออาจจะกินก็ได้ ชั้นแค่รู้สึกว่าถ้าเธอไม่กินอะไรเลยมันก็จะไม่ร่าเริงขึ้นน่ะ”
นานะได้ยินเสียงที่ไม่พึงประสงค์ของฟันที่ขบกันไปมาจากในปากตัวเอง นี่ไม่ใช่ท่าทางของความอัปยศที่ถูกเปิดโปงแผนการร้ายออกมา แม้กระทั่งในตอนนี้ที่แผนการร้ายถูกเปิดโปงแล้ว แต่เธอก็ยังคงสร้างข้อแก้ตัวออกมาเพื่อตัวเอง มันไม่มีทางที่เธอจะคิดว่าเหตุผลตื้นๆแบบนี้จะช่วยให้รอดไปได้ เธอคงคิดว่าต้องพูดข้อแก้ตัวออกมา เธอจำเป็นต้องมีเหตุผลเพื่อไม่ให้ถูกตำหนิหรือดุด่าจากคนที่อยู่ตรงหน้า เธอไม่ได้อยากให้ตัวเองดูเป็นคนไม่ดี
นานะมองไปที่ใบหน้าของชิซุกุ เธอนั้นก้มหน้าลงพร้อมกับปิดตา สีหน้าเองก็ดูจริงจัง แก้มที่แดงอยู่แล้วของเธอนั้นดูเหมือนว่าจะแดงมากขึ้น นี่ไม่ใช่การแดงเพราะความอับอาย เธอสนุกเพราะตื่นเต้นที่ได้แกล้งนานะ แบบนี้ไม่ผิดแน่
ขบวนรถไฟสั่นสะเทือนจนทำให้ตัวของนานะเด้งขึ้นจากที่นั่งครึ่งนิ้ว แล้วก็ลงมาเหมือนเดิม ในตัวของเธอมีความไม่พอใจและหงุดหงิดแบบขึ้นๆลงๆ แต่กระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มพร้อมกับกัดฟัน
ชิซุกุรู้ความจริงอยู่แล้วว่าเธอนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่งนานะก็คิดเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว ชิซุกุดูไม่เหมือนคนที่จะพูดขอโทษและบอกว่ามันเป็นความผิดของตัวเอง
หากชิซุกุไม่ขอโทษ แบบนั้นก็ไม่เป็นอะไร นานะไม่ได้มีแผน A แค่แผนเดียว เธอยังคงมีแผน B ด้วย
กุญแจก็คือแรงจูงใจของชิซุกุ —แรงจูงใจของเธอที่เข้ามาร่วมชมรม และยังมีแรงจูงใจที่พยายามทำลายนานะลงไปด้วย สำหรับชิซุกุ คนที่มีชีวิตที่เพรียบพร้อมอยู่แล้วแต่กลับมาขลุกอยู่กับพวกขี้แพ้ในห้องชมรมแบบนี้มันคงมีเหตุผลแน่ เธอจำเป็นต้องมีเหตุผลที่เข้ามาทำลายนานะแบบนี้อยู่ด้วย และนานะก็นึกเหตุผลบางอย่างสำหรับเรื่องนั้นขึ้นมาได้
“อาชู”
“หือ?” ชิซุกุเงยหน้าขึ้นแล้วมองมาที่นานะ คนที่กำลังยิ้มอย่างสดใส
“คุณสนใจใครซักคนในชมรมรึเปล่าคะ?”
ใช่แล้ว มันคือความรัก ถ้ามีใครบางคนในชมรมที่ชิซุกุชอบ แบบนั้นก็จะสมเหตุสมผล การได้เห็นคนที่ตัวเองชอบเข้ามาคลุกคลีกับนานะพร้อมกับคนอื่นๆในชมรม ชิซุกุคงรู้สึกไม่สบายใจ หากเป้าหมายของเธอคือการโค่นล้มนานะคนที่เป็นคู่แข่งความรัก แล้วหลังจากนั้นก็ไปเดทกับคนที่ชอบ แบบนั้นเธอก็จะให้ความร่วมมือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากนานะพูดว่าจะไม่ช่วยคนที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีมันก็คือเรื่องโกหก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมันเอาวันวานแสนสงบสุขของเธอกลับมาได้ มันก็เป็นเรื่องดีที่สุด
ไม่ว่าคนในชมรมที่ชิซุกุอยากจะไปเดทด้วยจะเป็นใคร นานะก็ไม่สนใจ เพราะสำหรับเธอแล้ว สุดท้ายทุกคนจะกลับมาห้อมล้อมเธออยู่ดี และจะไม่มีใครไม่สนใจเธอด้วย ทุกคนไม่ใช่สเปคที่เธอชอบก็จริง เธอเองก็ไม่รู้ว่าคนที่ชิซุกุชอบคือใคร แต่เธอคิดว่าชิซุกุคงจับคนดีๆได้แน่ ในชีวิตของเธอคงมีผู้ชายดีๆมากหน้าหลายตาและมีอนาคตที่สดใส แต่บางทีอาจจะพูดได้ว่าไม่มีคนแบบที่เธอชอบอยู่ก็ได้
นานะหันไปมองชิซุกุที่หันมามองเธอ แต่ชิซุกุก็ลุกลี้ลุกลนแล้วก็หันไปมองเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้า สายตาของชิซุกุจ้องมองไปยังความว่างเปล่า มือของเธอก็กำแน่นอยู่ตรงต้นขา แก้มเองก็ดูค่อนข้างแดง แบบนี้ไม่ผิดแน่ —ชิซุกุกำลังกังวลเพราะนานะพูดถูกจุด
ชิซุกุพักหายใจครู่หนึ่งแล้วก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ชอบเหรอ เอ่อ…ก็”
“ก็?”
“เธอจำเรื่องที่เกิดในชั้นเรียนคณิตศาสตร์ได้ไหม?”
นานะจะไม่ปล่อยเรื่องประหลาดใจที่อยู่ในตัวแสดงออกมาบนใบหน้า ตอนนั้นพวกเธอสบตากัน แต่เธอก็คิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ฝ่ายเดียวที่รับรู้ อย่าบอกนะว่า —ชิซุกุจำเรื่องในตอนนั้นได้?
“อ่า ใช่” นานะพูด
“พวกเราสบตากันใช่ไหม? จากนั้นเธอก็ยิ้ม แล้วชั้นก็…รู้สึก…มีความสุข…”
นานะรู้สึกตกใจ ชิซุกุพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ว่านานะไม่ได้ยินมัน นานะคิดว่ามีเพียงแค่สัตว์ป่าไม่ก็พวกคนขององค์กรอาชญากรรมที่คิดว่าการสบตาเท่ากับท้าทาย ชิซุกุพูดว่าตั้งแต่ที่สบตากันในตอนนั้น เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการนานะ
ไม่สิ —มันไม่ใช่อะไรธรรมดาๆแบบแค่สบตากัน นานะจำความประทับใจแรกของตัวเองในตอนนั้นได้ว่าทั้งสองคนคงไม่มีทางเป็นเพื่อนกัน หากชิซุกุรู้สึกแบบเดียวกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเชื่อว่าตัวเองถูกจ้อง ถูกทำหน้าบึ้งตึงใส่ ถูกหัวเราะเยาะ จากคนที่เกลียดหรอกเหรอ?
ในที่สุดนานะก็เข้าใจแล้วว่าแก้มของชิซุกุที่ในตอนนี้กลายเป็นสีแดงมันหมายถึงอะไร มันคือความโกรธ เพราะว่าเธอโกรธ แก้มของเธอจึงกลายเป็นสีแดง
นานะตื่นตระหนก หากเป้าหมายของชิซุกุคือจัดการนานะด้วยเจตนาร้าย แบบนั้นมันก็ไม่มีแผน A หรือแผน B แล้ว นานะคงถูกขับไล่ออกจาโอเอซิสที่ทำให้หัวใจของเธอกระชุ่มกระชวย และจากความคิดแปลกๆของชิซุกุแล้ว มันคงมีเรื่องอื่นๆตามมากอีก แค่คิดว่าชิซุกุอาจจะมาขโมยสถานที่ของนานะ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ทำให้เธอตัวสั่น ชิซุกุ อาชูสามารถทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างง่ายๆและสามารถลงมือทำอย่างโหดร้ายโดยไม่ลังเลอีกด้วย
“งั้นก็…” ก่อนที่เธอจะรู้ตัว ชิซุกุก็ยื่นอะไรบางอย่างมาให้ มันคือกระดาษแผ่นเล็กๆ นานะผลิกมันไปมาพร้อมกับรู้สึกช็อค สีของมันดูน่ากลัว แถมตัวอักษรที่เขียนไว้ว่า ซิสเตอร์ ออฟ เดอะ เดธ เองก็ดูเหมือนเลือด ส่วนที่อยู่บนกระดาษก็คือภาพของนรกอันเต็มไปด้วยซากศพเน่าๆที่เข้าหาแม่ชีผู้ที่กำลังพยายามวิ่งหนีไปพร้อมกับร้องไห้ นานะเกือบทิ้งมันลงไปทันที แต่เธอก็เอามืออีกข้างมาจับมือที่ถือกระดาษอยู่เอาไว้
“เอ่อ…” ชิซุกุพูด “ชั้นเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจู่ๆควรจะไปดูหนังซอมบี้ดีรึเปล่า แต่ชั้นได้ยินมาว่าเสียงตอบรับจากคนดูทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนหนังซอมบี้มันออกมาดีน่ะ”
“อ๊ะ…อ๋อ ตั๋วหนังนี่เอง”
ภายในขบวนรถไฟประกาศชื่อของสถานีถัดไป มันคือสถานีที่นานะต้องลง เธอด่าเข่าอันอ่อนยวบของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน และเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องบ้านของเธอที่ใกล้จะถึงก็คือเธอแค่ไม่อยากจะอยู่ที่นี่เท่านั้น
“เอ่อ ดิฉันต้องลงแล้ว งั้น…” นานะพูด
“ชั้นจะเดินไปส่งนะ”
เธอตัวสั่น นี่ชิซุกุคิดจะทำอะไรกันแน่ อยากรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนงั้นเหรอ? ที่เธอพูดแบบนี้มันก็หมายถึงจะไม่ปล่อยให้นานะอยู่คนเดียว ไม่ใช่แค่ที่โรงเรียน แต่แม้กระทั่งบ้านของเธอ แล้วก็ที่ที่เธอไปทั้งหมดด้วย?
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ดิฉันไม่เป็นไร” เธอพูดซ้ำๆ “ดิฉันไม่เป็นอะไร” นานะดันหลังของชิซุกุแล้วเธอก็ออกมาจากรถไฟ
ชิซุกุพูดไล่หลังเธอ “งั้นตอนสิบโมงวันอาทิตย์ เจอกันตรงหน้ารูปปั้นเด็กผู้หญิงหน้าสถานีนะ”
หือ?
นานะหันกลับไปเห็นชิซุกุกำลังโบกมือให้ ในมือของเธอมีของอย่างเดียวกันกับนานะ —ตั๋วหนังซอมบี้ที่ไร้รสนิยม— และนานะก็เข้าว่าชิซุกุพุดอะไร ขบวนรถไฟออกไปพร้อมกับการสั่นสะเทือน จากนั้นเมื่อเสียงและขบวนรถหายไปแล้ว นานะที่อยู่คนเดียวก็ทรุดตัวลงกับพื้น
นานะอธิษฐานกับพระเจ้า ทำไมดิฉันต้องถูกทรมาณแบบนี้เพียงเพราะว่าสบตากันด้วยคะ? ทำไมถึงไม่ยุติธรรมเลย? ทำไมดิฉันต้องถูกบังคับให้ไปดูหนังที่น่าขยะแขยงแบบนั้นด้วยคะ? ถ้าท่านมีความเมตตาซักนิดล่ะก็ ได้โปรดช่วยดิฉันทีเถอะค่ะ!
**************************************************
พระเจ้าไม่มีอยู่จริง แต่ใช่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาจะช่วยให้รอดพ้น
“ในตอนนี้เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วนะ ปอน”
นานะมองดูฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นก็หันไปรอบๆเพื่อมองดูด้านหลัง ผิวหนังของเธอดูเนียนเรียบเหมือนกับเครื่องเคลือบลายคราม —แถมนิ้วก็เธอก็ไม่ได้สั้นและกลม แต่มันยาวและสง่างามเหมือนกับชิซุกุ
เธอยืนขึ้นและเดินไปรอบๆ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เธอก็สามารถบอกได้ว่าร่างกายของเธอเคลื่อนไหวได้เบาและเร็วกว่าเดิม มันเหมือนกับที่เธออยากจะทำ ไม่ใช่เพียงเดินได้เหมือนกับนางแบบ —เธอยังสามารถกระโดดตีลังกากลางอากาศได้ด้วย
เธอยืนอยู่ตรงหน้ากระจก เสียงถอนหายใจ “อ่าา” ก็ดังขึ้นมา นี่ไม่ใช่นานะ ฮาบุทาเอะ คนที่กินขนมอยู่ในชุดนอนพร้อมกับดื่มเบียร์ไปด้วยเพราะความเครียด คนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือแม่ชีแสนงดงาม เหมือนกับซิสเตอร์นานะที่เป็นอวาตาร์ในเกมของเธอที่ถูกสร้างขึ้นจริง เมื่อเธอเอานิ้วลูบผม เส้นผมที่ลอดผ่านระหว่างนิ้วของเธอก็เหมือนกับเส้นไหม เธอทำมันซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กระนั้นทรงผมก็ยังคงรักษาทรงอันงดงามไว้ได้แล้วยังไม่ได้หลุดออกจากกันอีก
ต้นขาของเธอเผยออกมาให้เห็นแบบชัดเจน หน้าอกที่ได้รูปก็เหมือนกับอยากจะโชว์ให้คนอื่นเห็น ตัวของเธอดูยั่วยวนมากและไม่ได้ดูอ้วนเลย รูปร่างนั้นสมดุลย์ ยอดเยี่ยม นี่แหละคือสิ่งที่เธอต้องการ
“เฮ้ เฮ้ นี่ฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย ปอน?”
“แน่นอน… ดิฉันฟังอยู่ค่ะ ฟาฟ” แม้กระทั่งเสียงของเธอยังต่างจากเดิม มันสดใสและชัดเจน
เธอหยิบเอากระปุกครีมทาหน้าออกมาจากชั้นวาง เธอเขย่าและพบว่ามันว่างเปล่า ซิสเตอร์นานะถือกระปุกครีมไว้ในมือขวาแล้วบีบมันเบาๆ กระปุกแก้วหนาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆจนทำให้ชุดของเธอเปื้อน เธอแบมือออกอย่างช้าๆและพบว่ามันยังคงงดงามแบบไร้บาดแผล
สถานที่ที่เป็นของเธอคือสิ่งที่เธอต้องปกป้อง มันคือสิ่งที่เธอต้องเอาชนะ การได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็หมายความว่าเธอสามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่ว่าชิซุกุจะใช้วิธีสกปรกแบบไหนก็ตาม ด้วยพลังของเมจิคัลเกิร์ล —ด้วยพลังของซิสเตอร์นานะ— เธอจะสามารถตอบโต้กลับไปได้
**************************************************
ในที่สุดวันอาทิตย์ที่รอคอยอย่างยาวนานก็มาถึง วันนี้คือวันที่เธอต้องจบเรื่องความคับข้องใจกับชิซุกุ อาชูผู้เป็นศัตรูอันร้ายกาจ เมื่อนานะทานข้าวเช้าเสร็จแล้วเธอก็กินของหวานอย่างพุดดิ้งครีมก้อนใหญ่แสนนุ่มนิ่มที่เธอซื้อมาเองเมื่อวันก่อนตามไปเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ในตอนนี้ตัวของเธอเต็มไปด้วยพลังและไม่มีความกังวลใดๆ เธอแค่ต้องทำตัวแบบเป็นธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องกดดัน เธอแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลซิสเตอร์นานะแล้วเอาเสื้อโค้ทมาคลุมชุดแฟนซีของตัวเอง จากนั้นก็ก้าวออกไป
รูปปั้นที่เป็นจุดนัดพบอยู่ห่างออกไปสองสถานี แต่ถ้าเธอออกไปก่อนหนึ่งชั่วโมง เธอก็จะเดินไปได้อย่างสบายๆ ซิสเตอร์นานะอยากจะเดินออกไป หลังจากก้าวแรกที่ออกมาจากอพาร์ทเมนท์ เธอก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา เด็กประถมที่ขี่จักรยานมากับเพื่อนหยุดมอง ชายวัยกลางคนที่จูงสุนัขมาด้วยในตอนวิ่งจ๊อกกิ้งก็ยังถูกสุนัขของตัวเองดึงสายจูงไปด้านหน้า เรื่องเมื่อวันก่อนที่เธอเดินอยู่ข้างๆชิซุกุซิสเตอร์นานะคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ในวันนี้นานะจะเป็นดาวในการโชว์ เธอใช้เวลาระหว่างทางไปสถานีไปด้วยการดึงดูดความสนใจ เพื่อให้ตัวเองสนุกสนาน จนกระทั่งมาถึงด้านหน้าของรูปปั้นเด็กสาว ชิซุกุรออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว เธอนั้นยืนอ่านหนังสือที่มีปกหนังหุ้มเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ภาพของเธอในตอนที่กำลังอ่านหนังสือเป็นอะไรที่วิเศษมาก —แต่ในวันนี้ นานะแค่เพอร์เฟ็คกว่าเท่านั้น
ซิสเตอร์นานะมีความคิดอยู่ เธอจะพูดว่าตัวเองเป็นเพื่อนของนานะแล้วพูดขอโทษ จากนั้นก็บอกชิซุกุว่านานะมาไม่ได้ในนาทีสุดท้ายด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นก็จะข่มขู่ชิซุกุ เธอจะเผยความงดงามของร่างเมจิคัลเกิร์ลให้ชิซุกุเห็นตรงหน้า —จนเรียกอีกได้อย่างหนึ่งว่างดงามหาได้มีมนุษย์คนใดเปรียบ— แล้วก็สั่งสอนเธอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้านะ ชิซุกุ อาชู
ในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เธอชนะได้แน่ ในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เธอทำได้แน่ เธอไม่ต้องรู้สึกสับสนอีกต่อไปอล้ว มันจะไม่มีอะไรถูกขโมยไปจากเธออีก
ซิสเตอร์นานะรักษาท่าทีใจเย็นเอาไว้แล้วค่อยๆยกมือขวาขึ้น “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
ชิซุกุเงยหน้าขึ้น แล้วก็เริ่มยิ้มออกมาแบบมีเสน่ห์ แต่ในทันใดนั้นเงามืดก็บดบังใบหน้าของเธอ “เธอเป็นใครเหรอ?”
“ดิฉันเป็นเพื่อนของนานะ ฮาบุทาเอะค่ะ”
ซิสเตอร์นานะบอกชิซุกุไปว่านานะมาที่นี่ไม่ได้เพราะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นแล้วเธอก็รู้สึกเสียใจมากตามแผนที่วางเอาไว้ ซิสเตอร์นานะก้มหัวขอโทษโดยไม่ลังเลไปพร้อมกับหน้าอกที่ขนาดใหญ่จนเกือบที่จะล้นออกมาจากเสื้อ เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าชิซุกุแถมยังรู้สึกเหนือกว่าด้วยซ้ำ ความจริงแล้วการที่ปมด้อยของเธอที่เกาะติดตัวมาตลอดหายไป มันทำให้เธอรู้สึกดีมาก เธอรวบรวมความรู้สึกเช่นนี้ทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วหันไปหาชิซุกุ
ยิ่งซิสเตอร์นานะพูดมากเท่าไหร่ ใบหน้าของชิซุกุก็ดูหม่อนหมองมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนานะพูดจบ ท่าทางของชิซุกุครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนไปดูไม่เป็นมิตร แบบนี้มันไม่ใช่ชิซุกุตามปกติ นี่มันทำให้หัวใจของซิสเตอร์นานะเต้นรัว แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เธอพบกับความพ่ายแพ้ เธอเลือกที่จะมองกลับมาอย่างกล้าหาญ
ชิซุกุยื่นมือของเธอเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท เอาด้านล่างใบหน้าตั้งแต่จมูกลงมาซุกลงไปในผ้าพันคอ ท่าทางที่ดูผิดแปลกเช่นนี้สำหรับชิซุกุแล้วมันหาดูได้ยาก แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดตำหนิอะไรออกมา แต่มันก็ทำให้หัวใจของซิสเตอร์นานะเต้นรัว
“งั้นก็ไปกันเถอะ” หลังจากที่พูดจบ ชิซุกุก็หมุนตัวไปอีกทางแล้วเริ่มเดินออกไป ซิสเตอร์นานะจึงรีบตามเธอไป
ที่เธอพูดว่า ‘ไปกันเถอะ’ นี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ? นี่เธอกำลังจะไปที่ไหนกันแน่?
“อ๊ะ เอ่อ—”
“เธอมาดูหนังกับชั้นแทนฮาบุทาเอะใช่ไหมล่ะ?”
ซิสเตอร์นานะไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเลย แต่ชิซุกุก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับท่าทีที่ดูเข้าใกล้ได้ยาก เพราะขาของเธอยาวดังนั้นจึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ซิสเตอร์นานะที่ตามหลังเธอไปก็คิดว่า นี่ไม่ได้กลัวความสวยของซิสเตอร์นานะบ้างเหรอ?
ไม่ ไม่เลย บางทีเธออาจจะไม่ได้กลัวแต่หงุดหงิดกับมันก็ได้ ชิซุกุคงสับสนว่าเธอไม่ใช่นานะ ฮาบุทาเอะ คนที่ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเป้าหมายการกลั่นแกล้งที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีความรู้สึกไม่พอใจอะไร ไม่ผิดแน่นอนว่าเรื่องนี้มันส่งผลกับเธอ และจากจุดนี้เป็นต้นไปเกมของจริงจะเริ่มต้นขึ้น
พวกเธอมาถึงโรงภาพยนตร์ ยื่นตั๋วให้ เข้าไปด้านใน และนั่งลงที่เก้าอี้ แม้จะนั่งลงแล้วแต่ซิสเตอร์นานะก็ไม่ได้ใจเย็นเลย เธอไม่ได้ชอบหนังซอมบี้มาตั้งแต่แรก ไอ้เรื่องราวเลือดสาดแล้วก็เครื่องในปลิวว่อนแบบนี้มันน่าสนใจยังไงกันนะ?
นานะหน้าซีดกับฉากเลือดสาดตามที่คิดเอาไว้ เมื่อเธอมองไปที่ชิซุกุ แต่ชิซุกุก็ไม่ได้หันหน้าออกจากจอเลย เธอมองดูมันพร้อมกับท่าทางหวาดกลัว ถ้ามันไม่น่าสนใจแบบนั้นก็ไม่ต้องดูก็ได้ แล้วเธอก็ไม่ต้องมาชวนนานะตั้งแต่แรกด้วย นานะจับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังไม่ค่อยได้ ตัวของเธอเต็มไปด้วยความคิดแบบว่า น่ากลัวจัง ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แ ล้วก็ นี่มันสนุกยังไงเนี่ย? จากนั้นหนังก็มาถึงฉากจบ เพลงจบมันเป็นเพลงแนวเดธเมทัลพร้อมกับเสียงนักร้องที่ตะโกนออกมาจนทำให้นานะรู้สึกอยากจะอุดหู ตั้งแต่ต้นยันจบเธอพูดได้ว่าหนังเรื่องนี้มันไม่มีอะไรดีเลยซักนิด แต่ถ้ามันเป็นการโจมตีทางจิตใจจากชิซุกุ แบบนั้นก็ประสบความสำเร็จแล้ว
นานะรู้สึกช็อค แต่คนอื่นที่มาดูเหมือนว่าจะรู้สึกพอใจเพราะพูดอะไรอย่าง “นี่มันสนุกจัง!” ไม่ก็ “ฉากนี้ยอดเลย” กับเพื่อน ครอบครัว และคนรัก มีเพียงนานะและชิซุกุสองคนที่ออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้พูดอะไรแม้ว่าจะมาดูด้วยกันก็ตาม
เมื่อออกมาจากโรงภาพยนตร์แล้ว ชิซุกุก็เดินก้าวยาวๆเข้าไปหาตู้ขายของอัติโนมัติและพูดว่า “เธอเอาชาอู่หลงไหม?”
“อ๊ะ ค่ะ”
ชิซุกุซื้อชาอู่หลงมาสองกระป๋อง หนึ่งสำหรับตัวเอง และหนึ่งสำหรับซิสเตอร์นานะ จากนั้นก็นั่งลงอย่างหนักใจที่มุมล็อบบี้บนเก้าอี้พลาสติกข้างๆตู้ขายของอัติโนมัติ
“นั่งสิ” ชิซุกุพูดกับเธอ จากนั้นนานะก็ถูกบังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เธอไม่ได้เปิดกระป๋องเครื่องดื่ม แค่ถือมันเอาไว้ในมือขวาเท่านั้น เธอรู้สึกว่าความเย็นที่แล่นผ่านฝ่ามือมามันทำให้หัวของเธอเย็นขึ้น
“แล้ว…” ชิซุกุเริ่มพูด
“คะ?”
“เธอเป็นอะไรกับฮาบุทาเอะกันแน่?” ท่าทางของชิซุกุยังคงหม่นหมอง
จิตใจของซิสเตอร์นานะโดนหนังซอมบี้กระแทกอย่างหนักหน่วง แต่เธอก็ยังคงพูดออกมาแบบตรงๆ “ดิฉันว่า ดิฉันบอกไปแล้วนะคะว่าเป็นเพื่อน”
“เพื่อน? จริงเหรอ? ชั้นไม่เชื่อหรอกนะ”
“ทำไมล่ะคะ?”
“มันยากที่จะพูดนะ แต่ว่าชั้นบอกได้เลยว่าเธอไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นอะไรที่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ชั้นรู้สึกได้แบบชัดเจน”
สัมผัสของชิซุกุแหลมคมมาก แต่กระนั้นนานะก็ไม่ยอมรับ เธอจำเรื่องที่ถูกบอกได้ดีว่าหากตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลถูกล่วงรู้ สิทธิในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลจะถูกริบเอาไปจากเธอ ในตอนนี้การเป็นเมจิคัลเกิร์ลคือความหวังของทุกๆเรื่อง มันเป็นหนทางรอดที่เธอไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
“ดิฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าพูดเรื่องอะไร…”
“นี่แกล้งโง่งั้นเหรอ?”
“ไม่ได้แกล้งโง่นะ!”
มันมีเสียง กึก ดังขึ้นเบาๆในตอนที่ชิซุกุวางกล่องเล็กๆลงบนโต๊ะ “ชั้นตั้งใจจะให้เจ้านี่กับฮาบุทาเอะในตอนที่เธอมา”
เมื่อเปิดกล่องแล้วเห็นแหวนน่ารักๆที่อยู่ด้านใน ซิสเตอร์นานะก็ถึงกับกลืนน้ำลาย “นี่สำหรับ…ฮาบุทาเอะ…? ทำไมล่ะ?”
“จริงๆชั้นตั้งใจจะมาเดทกับเธอน่ะ”
“หะ?” ชาอู่หลงในมือขวาของซิสเตอร์นานะเกิดระเบิดขึ้น กระป๋องชามันทนแรงบีบของเธอไม่ได้จนน้ำที่อยู่ด้านในกระจายออกมาเลอะมือของเธอ
“แรงบีบสุดยอดเลยนะ” ชิซุกุพูด “นี่ข่มขู่ชั้นรึไง?”
“หือ? ดะ—เดี๋ยวก่อนนะ ดิฉันไม่ได้พยายามจะขู่—”
“ชั้นไม่สนหรอกว่าเธอเป็นใคร —แต่ชั้นน่ะไม่มีวันแพ้เธอแน่”
“หือ? หือ?”
“จำเอาไว้ด้วย” ชิซุกุดึงเก้าอี้เพื่อลุกขึ้นยืน จากนั้นซิสเตอร์นานะสะดุดเท้าตัวเองในตอนที่ยื่นมือเข้าไปหาแผ่นหลังของชิซุกุที่ออกไป แต่กระนั้นเธอก็อยู่ห่างออกไปไกลมากแล้ว
ถึงจะเป็นแบบนั้น นานะก็ยังคงเรียกเธอ “ทำไมล่ะ…ทำไม?!”
“เพราะชั้นแค่อยากให้เธอมีรอยยิ้ม” ชิซุกุพูดแต่ก็ไม่ได้หันกลับมา
ซิสเตอร์นานะตะโกนกลับไปอย่างสุดแรง “แต่ทั้งคู่เป็นผู้หญิงนะ!”
ชิซุกุหยุดเดินแล้วหันกลับมาหาซิสเตอร์นานะ ท่าทางของเธอเริ่มดูใจเย็นลงแล้ว “เมื่อมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว นั่นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ต้องกังวล” ชิซุกุพูดสวนกลับมา แต่มันก็ฟังดูเหมือนกับการตักเตือนหรือบ่นพึมพำ จากนั้นเธอก็หันหลังกลับแล้วก็หายไปในหมู่คนพร้อมกับเสียงฝีเท้า ซิสเตอร์นานะล้มตัวลงไปบนเก้าอี้ของตัวเอง
ภายในใจของนานะกำลังสับสน นี่เธอพูดเรื่องอะไรกันนะ? พูดอะไรน่าอายจริงๆ ดิฉันไม่มีทางหลงกลคนแบบนั้นหรอก กระนั้นความคิดแต่ละเรื่องมันก็หายไปราวกับเป็นฟองสบู่ในทะเลที่รองรับอารมณ์ของเธอในตอนนั้นไม่ได้ เธอพยายามลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แต่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน นี่ชิซุกุพูดอะไรกันนะ? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอไม่รู้เลย คำพูดที่เธอได้ยินเมื่อครู่มันหมุนวนอยู่ในหัวของเธอ จากนั้นซิสเตอร์นานะก็พ่นลมหายใจพร้อมกับส่งเสียง “อ่าา” ออกมา
MANGA DISCUSSION