Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE - ตอนที่ 5.5 Arc 5 - ตอนที่ 5 - ลาก่อนเพื่อนของฉัน [จบภาค]
- Home
- Magical Girl Raising Project Arc 8 : WHITE
- ตอนที่ 5.5 Arc 5 - ตอนที่ 5 - ลาก่อนเพื่อนของฉัน [จบภาค]
จากผู้แปล
– เนื่องจากบทนี้ทั้ง platfleece และ yenpress จะมีรายละเอียดที่แปลต่างกัน ผู้แปลจะอิงของ yenpress ส่วนรายละเอียดที่ต่างกัน ผู้แปลจะพิมพ์เอาไว้ด้านล่างบทส่งท้าย
ตอนที่ 5:
ลาก่อนเพื่อนของฉัน
☆ บลูเบล แคนดี้
บลูเบล แคนดี้ไม่ได้มีเหตุผลที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลต่อไป
ไม่ใช่ว่าเธอมีความทะเยอทะยาน เป้าหมาย หรือความใฝ่ฝัน แต่เธอนั้นขาดหลักการและทางเลือก เรื่องปรัชญาในการใช้ชีวิตเองก็เลือนลาง และมันก็ไม่เหมือนกับว่าเธอมีพลังอันน่ายกย่องสำหรับเมจิคัลเกิร์ลด้วยเช่นกัน
เธอได้ยินว่ามีเมจิคัลเกิร์ลมากมายที่เป็นแบบนี้ เช่นเดียวกับเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นพี่เลี้ยงของบลูเบลที่พูดด้วยความเสียใจว่า “เมจิคัลเกิร์ลหลายคนน่ะพยายามต่อไป เพราะนี่คือหนทางที่มีขวากหนามน้อยที่สุดแล้ว” และพี่เลี้ยงก็พูดลงท้ายด้วยการบอกเธอว่าไม่ควรจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแบบนั้น
แต่สุดท้ายแล้ว นั่นก็คือคนที่บลูเบลเป็น
ไม่ว่าจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้หรือไม่ได้นั้น มันจะถูกตัดสินใจตามมาตราฐานที่ไม่ชัดเจนอย่าง “ความสามารถทางเวทมนตร์” การถูกตัดสินบนบางสิ่งที่ไม่ชัดเจนนั้น ทำให้บลูเบลคิดว่า บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนจำนวนมากที่มีเป้าหมายไม่ชัดเจนได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันคือเรื่องผิดปกติ
บลูเบลไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เวทมนตร์ของเธอทำได้แค่สร้างแคนดี้ ความสามารถของการทำงานในสำนักงานก็เท่ากับค่าเฉลี่ย และไม่ได้มีความสามารถพิเศษใดๆเลย แต่คนแบบเธอกลับถูกมอบหมายให้ทำงานในฝ่ายวิจัยและพัฒนา จนเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลรับเงินเดือน
และไม่นาน คำว่า “มนุษย์เงินเดือน” ก็ได้อธิบายว่าเรื่องนี้มันคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามปกติธรรมดา นี่มันก็ไม่ใช่อาชีพที่เธอใฝ่ฝันถึง แต่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ทำงานชั่วคราว ผู้ใฝ่ฝันว่าการได้ทำงานเต็มเวลามันจะเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหนกันนะ คำว่ามนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา แต่มันคืออะไรที่สูงส่งที่สุด
และในหมู่ของเมจิคัลเกิร์ลก็เช่นเดียวกัน คนที่ได้รับเงินเดือนนั้นคือคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง มันต้องมีเวทมนตร์ที่เป็นเอกลักษณ์หรือมีเส้นสายกับเบื้องบน —หรืออะไรแบบนั้น— มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้รับเงินเดือน
บลูเบลกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างไม่มีเหตุผลและกลายเป็นผู้ได้เงินเดือนอย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน มันเหมือนกับที่เธอจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ยังไง และยังจำไม่ได้แล้วว่าเธอกลายเป็นผู้ได้เงินเดือนได้ยังไงด้วย
ทุกๆวัน เธอจะเข้าไปยังอาคารของฝ่ายวิจัยและพัฒนา ที่ที่เธอต้องจัดเรียงเอกสาร ทำธุระ และทำงานแปลกๆประเภทที่ไม่คิดว่าเมจิคัลเกิร์ลจะต้องทำ เธองุนงงอยู่ตลอดเวลาว่ากลายมาเป็นผู้ได้เงินเดือนได้ยังไง จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งปี เธอก็ได้พบกับปรินเซสดีลูจ
เธอได้ยินเรื่องต้นกำเนิดของปรินเซสดีลูจ
เธอไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าภายในตัวของดีลูจนั้นปวดร้าวแค่ไหน
แม้แต่บลูเบล คนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างไม่มีเป้าหมายที่เด่นชัด ก็ยังรู้ว่าเมจิคัลเกิร์ลควรจะช่วยเหลือผู้อื่นในเวลาแบบนี้
เธออยากให้กำลังใจปรินเซสดีลูจ
เธออยากให้ปรินเซสดีลูจรู้สึกร่าเริงขึ้นกว่านี้
เธออยากช่วยให้ปรินเซสดีลูจยิ้มออกมาได้อย่างสดใส
บลูเบลอยู่เคียงข้างกับปรินเซสดีลูจตลอดเวลา เมื่อดีลูจรู้สึกเศร้า เธอก็จะมอบแคนดี้ให้ เมื่อมีอะไรที่ดีลูจอยากได้ เธอก็จะไปหามันมาให้ เธออยากให้ดีลูจได้เห็นในสิ่งที่ต้องการ และอยากพาดีลูจไปยังที่ที่อยากไป
หลายสิ่งหลายอย่างมันยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ในขอบเขตอำนาจของบลูเบล แต่การเป็นหนึ่งในพนักงานประจำที่เข้าไปอยู่ในอาคารวิจัยและพัฒนา เธอจึงรู้ว่าคีย์การ์ดอยู่ที่ไหนและรหัสผ่านที่ผู้บังคับบัญชาใช้บ่อยๆคืออะไร ไม่ว่าดีลูจจะต้องการอะไรบลูเบลก็จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ และดีลูจก็เตรียมการไว้อย่างรอบคอบก่อนที่จะทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา
นี่ดีลูจตั้งใจใช้บลูเบลมาตลอดเลยงั้นเหรอ?
หรือดีลูจมีแนวโน้มที่จะทำเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่าบลูเบลเสนอตัวพร้อมกับโอกาสให้กับเธอกันนะ?
ดีลูจนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่เศร้าโศกเสียใจ เธอออกค้นหาทหารไพ่ พยายามล่าพวกมันทั้งหมด
เธอดูราวกับเป็นร่างแห่งการแก้แค้น ผู้ถูกเผาผลาญไปด้วยความโกรธ แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่จิตใจไม่มั่นคง เพราะบลูเบลเรื่องเรื่องนี้ดี ดังนั้นเธอจึงทอดทิ้งดีลูจไปไม่ได้ สำหรับดีลูจอาจจะไม่มีทางย้อนกลับมาได้อีกแล้ว และมันก็เหมือนกับบลูเบล เธอย้อนกลับมาไม่ได้แล้วเช่นกัน
บางทีดีลูจอาจจะขาดความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ และบางทีเธอคงจะโกรธบลูเบลแล้วพูดออกมาว่า “ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ” แต่บลูเบลก็จะอยู่กับเธอเพราะบลูเบลอยากจะปกป้องเธอ หากบลูเบลไม่อยู่ที่นี่ ดีลูจก็จะลงมือทำบางอย่างที่ร้ายแรงยิ่งกว่า และมันเป็นเพราะว่าบลูเบลอยู่ที่นี่ ดีลูจจึงลงมือทำอะไรมากขึ้นอีกด้วย
บลูเบลสามารถเห็นอกเห็นใจดีลูจได้ หากบลูเบลอยู่ในจุดเดียวกันกับดีลูจ ดีลูจนั้นทั้งโดนหลอก เพื่อนของตัวเองก็ถูกฆ่าตาย หากบลูเบลเป็นเช่นนั้นเธอก็แน่ใจว่าตัวเองก็อยากจะล้างแค้นเช่นกัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอคงจะรู้สึกแย่มากหากเธอปล่อยดีลูจไปยังจุดที่หวนคืนกลับมาไม่ได้
บางคนเคยพูดเอาไว้ว่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นมีตัวตนอยู่เพื่อคอยช่วยเหลือผู้คนที่เจอปัญหา และในตอนนี้ดีลูจก็คือคนที่ตกอยู่ในปัญหา ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมบลูเบลถึงตามเธอมา
☆ ปรินเซสดีลูจ
เมื่อเธอโจมตีทหารไพ่ตอนที่พวกมันหนี เธอก็มองเห็นเท็มเพรสอยู่ในหมู่พวกมัน
เมื่อเธอโจมตีทหารไพ่ตอนที่พวกมันยืนอยู่ตรงหน้า เธอก็มองเห็นอินเฟอร์โนอยู่ในหมู่ของพวกมัน
เมื่อเธอโจมตีทหารไพ่ตอนที่พวกมันพยายามปกป้องคนอื่น เธอก็มองเห็นเควคอยู่ในหมู่ของพวกมัน
เมื่อเธอเห็นทหารไพ่โพแดงที่หลบซ่อนอยู่ในเงาพร้อมกับตัวสั่นและหันหลังมาให้ดีลูจ เธอก็เริ่มมองเห็นเชอร์รี่อยู่ในตัวพวกมัน แต่ความคิดนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว เชอร์รี่ไม่ได้ตัวสั่นในตอนที่เธอถูกฆ่าตาย แม้เธอจะหนีไปได้ แต่เธอก็กลับมาอีกครั้ง เธอต่อสู้อย่างกล้าหาญจนถูกฆ่าตาย
ดีลูจเปลี่ยนเป้าเล็งของตรีศูลเพราะเธอโจมตีออกไปไม่ได้ การได้เห็นแผ่นหลังที่สั่นเทาเพราะพยายามจะซ่อนตัวตรงหน้ามันทำให้การเล็งเป้าของดีลูจเฉไป ลมหายใจของเธอติดขัด วิสัยทัศน์เองก็แคบ เธอรู้สึกราวว่าลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตัวเองพยายามจะทำอะไร นี่เธอจะทำอะไรกันแน่นะ
“พอแค่นี้เถอะนะ ดีลูจ” เสียงนั้นเรียกเธอจากด้านหลัง
ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างว่องไว
ตรีศูลของเธอเสียบทะลุทหารไพ่โพแดงจากด้านหลัง แม้เธอจะฆ่าพวกมันไปมากแค่ไหน สัมผัสมันก็ดิบเถื่อนมากขึ้นกว่าเดิม
เธอหายใจออกแล้วก็หายใจเข้า
เธอแช่แข็งบาดแผลก่อนที่เลือดจะพุ่งออกมา จากนั้นก็ดึงตรีศูลของเธอออกในทันทีก่อนที่มันจะแข็งตัว ทหารไพ่โพแดงนั้นล้มลงไปโดยยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมา และร่างกายของมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็ถูกพัดไปพร้อมกับลมจนหายวับไป
ครั้งล่าสุดที่สู้กับพวกทหารไพ่ในห้องวิจัย พวกทหารไพ่จะทิ้งศพเอาไว้หลังจากถูกฆ่าตาย พวกมันจะหายไปก็ต่อเมื่อไพ่ทั้งสำรับถูกคืนชีพ ส่วนทหารไพ่ที่เธอสู้จนมาถึงตอนนี้เมื่อถูกฆ่าตายแล้วศพก็จะหายไป มันแตกต่างจากที่ดีลูจเคยสู้ก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะให้อภัยพวกมันได้
แม้เธอจะมาที่เมืองนี้เพื่อหาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะ แต่เมื่อดีลูจรู้ว่าชัฟฟินอยู่ที่นี่ เธอก็ลืมตัวและพุ่งเข้าไปโจมตี ถึงการลักพาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะจะสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงกับฝ่ายโอสได้มากกว่าการทำลายชัฟฟินทิ้งทั้งหมด “เพื่อน” ของเธอเองก็พูดแบบนี้เช่นกัน ดีลูจเองก็รู้ แต่เมื่อเธอเห็นชัฟฟิน เธอก็หยุดตัวเองไม่ได้
ดีลูจหันกลับมาและจ้องมองไปที่เมจิคัลเกิร์ลที่พูดกับเธอ “ฉันว่าฉันบอกเธอไปแล้วนะว่าถ้าจะเข้ามาขวางก็อย่าตามมา”
“ขอโทษ ฉันไม่ได้จะทำแบบนั้น… ก็เธอน่ะดูเหมือนกำลังทรมาณอยู่เลย”
“อย่ามาคิดเรื่องความรู้สึกของฉันจะได้ไหม?”
“ขอโทษนะ…แต่มัน…”
“ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว ถ้าจะมาขวางทางล่ะก็ ช่วยหลีกไปด้วย”
เธอเดินตรงไปด้านหน้าพร้อมกับหันหน้าออกไปจากบลูเบลอย่างรวดเร็ว
การมองดูบลูเบลมันทำให้เธอเจ็บปวด แม้บลูเบลจะไม่ได้เหมือนกับพวกเธอเลยก็ตาม ใบหน้าของเท็มเพรส ใบหน้าของเควค ใบหน้าของอินเฟอร์โน ใบหน้าของเชอร์รี่นั้นปรากฏขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วก็หายไป หากดีลูจอยากให้บลูเบลออกไปจริงๆ เธอก็แค่ทิ้งบลูเบลเอาไว้เบื้องหลัง แต่เธอก็ผลักบลูเบลออกไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้บลูเบลตามเธอมา แม้ว่าจะพูดด้วยโดยการใช้ถ้อยคำที่ไม่ดีและปฎิบัติกับเธออย่างโหดร้าย เธอก็รู้สึกโล่งใจที่บลูเบลยังคงตามเธอมา
ดีลูจจับตัวของปีศาจมีปีกแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า บลูเบลเองก็จับปีศาจมีปีกแล้วก็ตามเธอมา การเห็นอะไรแบบนี้มันทำให้ดีลูจถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็รู้สึกโกรธตัวเอง
เธอคอยย้ำเตือนตัวเองว่าอย่าได้ลืมมันไป
เควคคนที่พยายามปกป้องเท็มเพรสจนตัวเองถูกตัดหัว เท็มเพรสที่ร้องไห้และตะโกนออกมาเพื่อร้องขอชีวิตแต่มันก็ไม่ได้ผล —จนเธอเองก็ถูกตัดหัวเช่นกัน การโจมตีครั้งสุดท้ายของอินเฟอร์โนโจมตีไม่โดนตัวของศัตรูจนทำให้เธอต้องตายอย่างทุกข์ทรมาณ เชอร์รี่คนที่ดีลูจคิดว่าขี้ขลาดและเป็นนักสู้ที่ไม่ได้เก่งกาจ แต่กระนั้นเธอก็รวบรวมความกล้าและกลับเข้ามาในหัองวิจัยอีกครั้ง ที่ที่เธอใช้เวทมนตร์ของเธอช่วยเหลือคนอื่นจนกระทั่งถึงลมหายใจสุดท้าย
ไม่มีความตายของใครที่สามารถยอมรับได้ ไม่มีการฆ่ากันครั้งไหนที่สามารถยอมรับได้ หากพวกเธอแค่ถูกใช้งาน ถูกเอาไปใช้ประโยชน์ และเมื่อเสร็จแล้วก็โยนทิ้งไป แบบนั้นมันก็ไม่เป็นไร พวกเธอได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเธอได้พยายามเพื่อที่จะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอได้ต่อสู้โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองโดนหลอก พวกเธอถูกทำให้เชื่อว่าต้องต่อสู้เพื่อช่วยโลกใบนี้จากการทำลายล้าง
ฟิรูรุเองก็ถูกฆ่าตายเพราะเธอแสดงความเมตตาให้กับศัตรู หากเธอไม่ได้ใจดีและแสดงความเห็นอกเห็นใจกับทหารไพ่โพแดง ฟิรูรุก็คงไม่ต้องตาย
ดีลูจจะตายไม่ได้จนกว่าจะได้ล้างแค้นให้กับพวกเธอทุกคน —จนกว่าจะทำแบบนั้นได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เธอจะได้รับอนุญาตให้ได้รับความตาย เธอต้องทิ้งความเมตตาของตัวเองไป เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีมันมาตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่า นามิ อาโอกิเป็นคนที่ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับคนรอบข้าง ตามน้ำไปกับคนอื่น และตราบใดที่มันไม่เป็นอะไรเธอก็จะโอเคกับเรื่องนั้น เมื่อเพื่อนของเธอถูกกลั่นแกล้ง เธอก็ไม่ได้พยายามจะช่วยเหลือ เพราะมันชัดเจนว่าหากพยายามทำเช่นนั้นมันก็จะทำให้จุดยืนของเธอแย่ลงไป
รอยยิ้มจางๆของเพื่อนที่หยุดมาโรงเรียนโผล่ขึ้นมาในใจของเธอ และเธอก็สลัดมันทิ้ง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะคิดในตอนนี้
หากเธอไม่เคยมีความเมตตามาตั้งแต่แรกเริ่มมันก็เป็นเรื่องง่าย หากเธอขาดความเมตตา ศัตรูก็ไม่สามารถจะใช้มันเป็นประโยชน์ได้
ดีลูจมองไปที่บลูเบล คนที่มองดูเธอด้วยความเป็นห่วง หน้าอกของดีลูจรู้สึกเจ็บปวด เธอทรมาน เธอเอามือของตัวเองไปจับไว้ที่หน้าอกแล้วก็บีบมัน เธอหายใจออกมาแรงขึ้น
“ดีลูจ นี่…”
ดีลูจคว้ายาที่บลูเบลยื่นมาให้ จากนั้นก็กลืนลงไปโดยที่ไม่ได้ชำเลืองมองบลูเบล มันเติมเต็มพลังงานในตัวเธอ เธอยังคงสู้ได้ แต่เธอก็กินยาบ่อยเกินไป ดีลูจเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะต่อสู้แบบไม่หยุดไปได้อีกนานแค่ไหน
ไม่มีการติดต่อมาที่ชุดหูฟัง เธอบอกคนอื่นไปว่าหากเจอทหารไพ่ให้แจ้งเธอให้ทราบในทันที แต่พวกเธอก็แจ้งเรื่องการพบเห็นมาน้อยครั้ง —บางทีอาจะเป็นเพราะจำนวนของศัตรูลดลงไปมากแล้วก็ได้
ดังนั้นเธอจึงต้องหาด้วยตัวเอง เธอไม่ได้คิดที่จะไว้ใจลูกน้องของพีเฟิลมาตั้งแต่แรกแล้ว เธอจึงส่งปีศาจมีปีกออกไปทั่วเมืองเพื่อตรวจตรา และพวกมันก็จะรายงานมาที่เธอหากพบเมจิคัลเกิร์ล ปีศาจมีปีกนั้นมีสติปัญญาที่ต่ำ ดังนั้นพวกมันจึงออกค้นหาเพียงแค่ซาจิโกะคนเดียวไม่ได้
แต่เธอก็ไม่สนใจ
เธอจะฆ่าพวกทหารไพ่ เธอจะฆ่าฝ่ายโอสทิ้งให้หมด เธอจะไม่ปล่อยให้มีแม้แต่ซักชีวิตเหลือรอด
เธอปล่อยปีศาจมีปีกออกไปแล้วบอกให้พวกมันจับตามองจากที่สูง หากพวกมันเจอทหารไพ่ ดีลูจก็จะเข้าไปหาแล้วฆ่ามันทิ้ง
ความจริงแล้วหากบลูเบลไม่อยู่ที่นี่มันคงดีกว่า บลูเบลไม่ควรจะอยู่ที่นี่เลย เมื่อความคิดนี้เข้ามาหาเธอ เธอก็พูดกับบลูเบลไปว่า “ฉันอยากให้เธอไปที่อื่นนะ”
แต่บลูเบลก็ไม่ได้ไปไหน เธอกลัวมาก เธอทั้งร้องไห้และตัวสั่น แต่กระนั้นบลูเบลก็ยังคงตามเธอมาตลอด “ฉันไม่ไปหรอก!” “ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอไปตลอด!” เธอพูดออกมาแบบนี้เพื่อปฎิเสธดีลูจ และเมื่อได้ยินแบบนี้ ดีลูจก็รู้สึกโล่งใจออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ภาพของปริซึม เชอร์รี่ยังคงโผล่ขึ้นมาในใจ แต่เธอก็ลบภาพนั้นออกไป ปริซึม เชอร์รี่มีแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่สิ—เคยมีแค่คนเดียว ในตอนนี้เธอไม่อยู่อีกแล้ว ดีลูจรู้เหตุผลที่ปริซึม เชอร์รี่หายไปดี การจำเรื่องนั้นได้มันทำให้เปลวเพลิงในก้นบึ้งของหัวใจมันลุกโชนขึ้น นี่ไม่ใช่เพียงแค่เถ้าถ่าน แต่มันคือเปลวเพลิงอันโชติช่วง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ปีศาจมีปีกที่กระจายตัวกันอยู่ในอากาศก็แจ้งให้เธอทราบว่าพบเมจิคัลเกิร์ล ดีลูจวิ่งออกไปพร้อมกับไฟอันโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อเธอเห็นเมจิคัลเกิร์ลที่ปีศาจมีปีกรายล้อมอยู่ ความโกรธเกรี้ยวของเธอก็กลายเป็นความสับสน และความสับสนก็กลายเป็นความฉุนเฉียว เธอลังเลระหว่างการลงไปหาหรือเมินไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจลงไป เมื่อลงมาด้านหน้าของเมจิคัลเกิร์ล ความฉีนเฉียวของดีลูจก็เพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นยิ้มออกมา
“มาที่นี่ทำไม?” เธอระบายความฉุนเฉียวใส่เด็กสาวอย่างโจ่งแจ้ง แต่รอยยิ้มของเด็กสาวนั้นไม่ได้จางหายไป
“เหมือนว่าพวกเราจะติดอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องร่วมมือกันแบบจริงจังแล้วล่ะ จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่กับเธอนี่ใครกันล่ะ? ถ้าแนะนำให้ฉันก็จะขอบคุณมากเลย” พีเฟิลพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอยู่ตลอดเวลา
☆ โมโนชิริ มิจจัง
เธอไม่เหลือปีศาจอีกแม้แต่ตัวเดียวแล้ว ชูริเคนและคุไนโจมตีเข้ามาเป็นห่าฝนแทงเข้าไปที่ปีกของพวกมัน ตัดหัวของพวกมัน เฉือนร่างกายออกเป็นชิ้นๆ ปีศาจนั้นถูกจัดการไปตัวแล้วตัวเล่า และก่อนที่เธอจะรู้ตัว การโจมตีของศัตรูก็พุ่งเข้ามาที่โมโนชิริ มิจจังคนเดียวแล้ว แต่นั่นก็ไม่เป็นไร โดยส่วนตัวแล้ว เธอรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายปล่อยแรงกดดันเข้ามาหาเธอ แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวก็ตาม
ชูริเคนนั้นเฉือนผิวหนังด้านซ้ายของใบหน้า แผลมันไม่ได้ลึกจนถึงกระดูก เลือดที่ไหลลงมาที่หูก็ถูกที่อุดหูกั้นเอาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน แค่คนๆนี้เพียงคนเดียวมันไม่มีปัญหา เธอรู้สึกว่าโชคดีเล็กน้อยที่ขาของเธอไม่ได้บาดเจ็บ
“โชจูว [ไรเฟิล] เป็น เรียวจูว [ปืนลูกซอง]”
ไรเฟิลของเธอกระสุนหมดแล้ว เธอจึงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นปืนลูกซอง เธอใช้อาวุธที่ยิงได้เป็นวงกว้างเพื่อจัดการชูริเคนที่บินเข้ามาหา
ยังมีกลาเซียอาเน่ ดาร์คคิวตี้ ดีลูจ และพวกปีศาจมีปีกเหลืออยู่ แต่พวกเธอคนเดียวก็ไม่เพียงพอ แม้ทุกคนจะอยู่รวมกันเป็นทีม พวกเธอก็ต้องการมิจจังอยู่ดี นี่ไม่ใช่เรื่องความมั่นใจในตัวเองที่มากเกินไป หรือความตระหนักรู้ตัวตนที่มากเกิน
กลาเซียอาเน่อุทิศตัวเองอย่างเต็มที่ในการสอดแนม ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องอดกลั้นเพราะเธอนั้นมีนิสัยที่จะหลีกเลี่ยงการก้าวก่ายอย่างสุดๆ ส่วนดาร์คคิวตี้นั้นอาจะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งที่ยากจะเข้าใจสำหรับคนอื่นและสำหรับคนที่ต้องคอยสั่งการ มิจจังไม่คิดว่าพวกเธอจะวางใจดีลูจและบลูเบลที่เพิ่งจะเจอหน้ากันได้อย่างเต็มที่ และพีเฟิลเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พวกเธอจำเป็นต้องมีมิจจัง
—จะปล่อยให้ตัวเองมาตายที่นี่ไม่ได้
ศัตรูนั้นยังคงขว้างชูริเคนในตอนที่วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลัง และมิจจังที่ยิงชูริเคนร่วงลงมาก็ไล่ตามเธอไป ในขณะที่มิจจังสั่งการปีศาจเข้าไปหาศัตรู เธอก็ย่นระยะเข้าไปได้ทีละนิดแต่นั่นมันก็ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บด้วย
พวกเธอวิ่งลงไปจากถนนบนภูเขาจนมาถึงพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นถนนและท้องทุ่ง ที่นั่นมีถังน้ำมันเหล็กที่มีควันลอยอยู่ด้านบน มีรถบรรทุกจอดอยู่ริมถนนแต่ไม่มีคนอยู่รอบๆ มิจจังยังคงลั่นไกปืนลูกซองออกมาเรื่อยๆเพื่อยิงเข้าไปหาชูริเคนและคุไนจนกระทั่งเธอใช้กระสุนที่มีอยู่หมด เมื่อกระสุนหมดแล้วเธอก็โยนปืนทิ้งไปพร้อมกับถอดเสื้อโค้ทสีขาวออกในท่าทางเดียวกันแล้วพันเข้ากับมือขวาในจังหวะที่ไถลตัวไปกับพื้น เธอกลิ้งไปข้างหน้าแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งโดยรักษาความเร็วเอาไว้ จากนั้นเธอก็สะบัดเสื้อโค้ทสีขาวเพื่อปัดชูริเคน
ในที่สุดเธอก็ทำได้ถึงขนาดนี้ ระยะเพียง 45 เมตรที่อยู่ระหว่างตัวของเธอกับศัตรู —มันใกล้พอที่ศัตรูจะหยุดแล้วเข้ามาเผชิญหน้า สิ่งที่เสียไปนั้นมาก แต่สิ่งที่ได้มามันก็คุ้มค่าเช่นกัน
เมื่อมิจจังคาดเดาจากอาวุธของศัตรู ก็พบว่าบันดาลใจนั้นมาจากนินจา เธอนั้นมีแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่ตรงตาซ้ายที่ปิดอยู่ แขนเสื้อด้านซ้ายก็พริ้วไหวไปกับลมซึ่งมันบ่งบอกว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านใน ตาข้างเดียวและแขนข้างเดียว ศัตรูนั้นขว้างคุไนและชูริเคนเข้ามาหาอันแล้วอันเล่าด้วยแขนข้างเดียว แม้การมีตาข้างเดียวจะส่งผลต่อการรับรู้ แต่การเล็งเป้าก็แม่นยำมาก
เมื่อเทียบกับก่อนที่จะเผยตัวแล้ว ในตอนนี้วิถีการเคลื่อนไหวของชูริเคนมันต่างออกไป ก่อนหน้านี้ศัตรูแค่ปาชูริเคนเข้ามาเป็นห่าฝนจากระยะที่ห่างออกไปมาก ในตอนนี้เมื่อเผยตัวเองแล้ว ชูริเคนก็เคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด พวกมันบินเข้ามาตรงๆ จากนั้นก็เปลี่ยนวิถีในทันทีแล้วเล็งเข้ามาที่อวัยวะสำคัญจากมุมบอด หรือชูริเคนสามอันที่ขว้างเข้ามาจะโดนเป้าหมายในเวลาเดียวกันจากต่างมุม
ศัตรูหยุดอยู่ตรงหน้าและเลือกที่จะโจมตีเข้ามาอย่างเต็มกำลัง แม้มันจะหมายถึงการทิ้งความปลอดภัยของตัวเองไปก็ตาม ศัตรูตั้งใจจะจบการต่อสู้ลงที่นี่
—ถ้าจะเอาแบบนี้ก็ได้
มิจจังโบกเสื้อโค้ทสีขาว จากนั้นก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาก้อนหินขึ้นมาบนฝ่ามือ
“อิชิ [หิน] เป็น อิตะ [ไม้กระดาน]”
เธอเปลี่ยนก้อนหินที่หยิบมาจากข้างทางเป็นไม้กระดานสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งเมตรที่มีความหนายี่สิบเซ็นติเมตร เมื่อชูริเคนขว้างเข้ามาที่เธอ มันเสียบทะลุพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น
“อิตะ [ไม้กระดาน] เป็น นาตะ [มีดพร้า]” เธอเปลี่ยนไม้กระดานให้กลายเป็นขวาน
มิจจังเหวี่ยงมีดพร้าที่มีขนาดใหญ่พอที่จะปกป้องร่างกายท่อนบนจนมันทำให้ชูริเคนร่วงลงมา วิถีการโจมตีของศัตรูที่เข้ามาหาเธอมันเพิกเฉยต่อกฎฟิสิกส์ พวกมันบิดเป็นมุมฉากไม่ก็พุ่งตรงเข้ามาหาเธอหลังจากที่วิถีของมันเคลื่อนเป็นเส้นโค้ง มันเคลื่อนไหวราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาด
“นาตะ [มีดพร้า] เป็น นาวะ [เชือก]”
ในตอนที่เข้าหาศัตรู เธอก็เปลี่ยนอาวุธของตัวเองให้กลายเป็นเชือก ยิ่งเข้าใกล้คู่ต่อสู้มากเท่าไหร่ ชูริเคนที่ปาเข้ามาก็ยิ่งเร็วและแรงมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้มีดพร้ามันหนักเกินไปสำหรับมิจจังที่จะถือมันด้วยมือข้างเดียว เธอเหวี่ยงเชือกราวกับเป็นแส้เพื่อจัดการชูริเคนและคุไน และก็หลบคุไนอีกสามอันที่ปาเข้ามาในวินาทีสุดท้าย
“นาวะ [เชือก] เป็น อิวะ [หินขนาดใหญ่]”
เธอเปลี่ยนเชือกให้กลายเป็นหินขนาดใหญ่แล้วก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้นเพื่อใช้มันเป็นโล่ป้องกันคุไนที่เข้ามาหาจากทางด้านหลัง มิจจังดึงสลักของระเบิดมือออกด้วยมือขวาแล้วก็โยนไปด้านหลัง ในขณะที่มือซ้ายของเธอก็ดึงเนคไทออกมา
“ไท [เนคไท] เป็น ทาโคะ [ว่าว]”
เมื่อระเบิดมือระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของเธอ มันก็มีลมกรรโชกแรกพุ่งเข้ามาหามิจจัง ว่าวเวทมนตร์ขนาดยักษ์ที่เธอสร้างขึ้นมาจากเนคไทมันยกตัวของเธอลอยขึ้นไปด้วยแรงลม ว่าวนั้นลอยขึ้นไปสูงยี่สิบเมตรในอากาศและทำมุมสี่สิบองศา ซึ่งมันทำให้เธอหลบเลี่ยงชูริเค็นและคุไนที่ปาเข้ามาได้
“ไคโตะ* [ว่าว] เป็นไคคะ [เปลวเพลิง]”
*มิจจังเล่นเรื่องภาษาและการออกเสียงแต่ความหมายของคำยังคงเดิม ในบรรทัดนี้มิจจังใช้คำว่า kite (ว่าว) ออกเสียงแบบญี่ปุ่นว่าไคโตะ (カイト=ไคโตะ) ส่วนของบรรทัดก่อนหน้าจะใช้คำว่า tako ที่แปลว่าว่าวเหมือนกัน (凧=ทาโคะ)
พอไม่มีว่าวที่ทำให้ลอยตัวแล้ว ตัวของเธอก็ตกลงมาด้านล่าง จากนั้นก็เอาเปลวเพลิงที่อยู่ในมือไปไว้ที่พู่ของหมวกนักวิชาการเพื่อทำให้มันติดไฟ การทำแบบนี้มันทำให้มือของเธอว่างพร้อมกับเก็บไฟไว้ใช้ทีหลังได้ จากนั้นเธอก็ใช้มือขวาที่ว่างอยู่สอดเข้าไปในกระเป๋าแล้วก็ดึงเศษเหล็กชิ้นสุดท้ายที่เธอใช้มันเพื่อหยุดรถก่อนหน้านี้ออกมา
“เท็ปเพ็น [เศษเหล็ก] เป็น เท็ปเพคิ [กำแพงเหล็ก]”
ในตอนที่มิจจังร่วงลงมานั้น มันก็มีกำแพงเหล็กที่หนาและแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เธอร่วงลงมาด้วยความเร็วที่เท่ากันกับกำแพงที่ป้องกันชูริเคนและคุไนไปพร้อมๆกัน
เธอดึงเอาเสื้อโค้ทสีขาวที่สกปรกออกมาจากกระเป๋าแล้วพูดว่า “โบโระ [เศษผ้า] เป็น โบ [กระบองไม้]” ด้วยการใช้เศษผ้าของเธอที่กลายเป็นกระบองไม้ มิจจังจึงสามารถป้องกันชูริเคนจำนวนมากที่บินเข้ามาหาจากรอบๆกำแพงได้ การโจมตีจากรอบๆกำแพงนี้ไม่ได้เล็งเข้ามาตรงๆ มิจจังคิดว่านินจานั้นไม่สามารถโจมตีอย่างแม่นยำได้จนกว่าจะเห็นตัวคู่ต่อสู้ราวๆ 90 เปอร์เซ็นต์ หากเป็นแบบนี้เธอก็สามารถตอบโต้ได้ ตัวของเธอใกล้ถึงพื้นดินแล้ว มิจจังเอาเท้าแนบกับกำแพงแล้วก็ปัดป้องชูริเคนและคุไนที่บินเข้ามาหาเธอไปอันแล้วอันเล่า
มิจจังลงมาถึงพื้นพร้อมกับกำแพงที่ทำให้พื้นดินสั่นไหว เธอลดแรงกระแทกลงด้วยการม้วนตัวไปด้านหน้าโดยรักษาแรงของเธอที่จะเข้าไปหาศัตรูเอาไว้
“โบ [กระบองไม้] เป็น โบคุ [น้ำหมึก]”
เธอสาดน้ำหมึกใส่นินจา แต่นินจาก็หลบได้ด้วยถอยกลับอย่างว่องไวแล้วก็ขว้างชูริเคนออกมาราวกับว่ากำลังเต้นรำอยู่
“โบคุ [น้ำหมึก] เป็น ทาคุ [โต๊ะ]”
มิจจังเหวี่ยงโต๊ะไปรอบๆเพื่อทุบเข้าไปหาชูริเคน จากนั้นเธอก็ยกโต๊ะขึ้นที่ไหล่แล้วก็พุ่งเข้าไปหานินจา หากคู่ต่อสู้ของเธอยังคงพยายามเว้นระยะห่าง แบบนั้นมิจจังเองก็มีตัวเลือกเช่นกัน พวกเธอไม่ได้อยู่บนภูเขาที่ที่เต็มไปด้วยกำบังอีกแล้ว ในท้องทุ่งแบบนี้มันไม่มีที่ให้ซ่อนตัวเลย
“ทาคุ [โต๊ะ] เป็น อะคุ [โซดาไฟ]”
มือขวาของเธอกำโซดาไฟเอาไว้เต็มกำมือ ในขณะที่มือซ้ายนั้นฉีกชายผ้าออกมาจากเสื้อตัวเอง
“นูโนะ [ผ้า] เป็น โอโนะ [ขวาน]”
เธอเหวี่ยงขวานด้วยมือเดียวเพื่อปัดการโจมตีที่เข้ามาหา คุไนหนึ่งอันมันลอดผ่านช่องในตอนที่เธอเหวี่ยงเข้ามาได้ แต่เธอก็กันเอาไว้ด้วยข้อศอก มันทำให้เธอบาดเจ็บแต่ก็ไม่ร้ายแรง นินจามีชูริเคนสี่อันและคุไนเตรียม
อยู่ในมือเพื่อพร้อมโจมตีครั้งต่อไป ทันทีก่อนที่นินจานั้นจะปาอาวุธออกมา มิจจังก็เอามือที่ถือโซดาไฟขึ้นมาตรงหน้านินจา
“โรจูว [สารละลาย]* เป็น คิจูว [ปืนกล]”
*โซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด์) คือสารละลายที่เป็นของแข็งชนิดหนึ่ง
ในคราวนี้เธอสร้างปืนกลที่หนักเกินกว่าคนๆเดียวจะแบกขึ้นมาได้ขึ้นมา มนุษย์นั้นไม่สามารถยิงมันได้ถ้าไม่ได้เตรียมการให้ดี แต่เมจิคัลเกิร์ลสามารถทำได้แม้จะวิ่งอยู่ก็ตาม
นินจาวิ่งเข้ามาหาเธอพร้อมกับขว้างชูริเคนและชักคาตานะออกมา มิจจังยิงปืนของเธอ นินจาก้าวหลบไปทางขวาแล้วก็ทางซ้าย ปัดกระสุนด้วยคาตานะของตัวเอง จากนั้นอีกสองก้าว นินจาก้เข้ามาอยู่ในระยะเอื้อมมือแล้ว
นินจานั้นมีความว่องไวอย่างเหลือเชื่อเช่นเดียวกับความเฉียบแหลมในการมองเห็น เธอชักคาตานะออกมาราวกับเล่นละครสัตว์เพื่อป้องกันลูกกระสุนที่พุ่งออกมาจากปืนกลหนักเวทมนตร์ แต่การป้องกันของเธอก็ไม่สามารถต้านทานแรงกระสุนเอาไว้ได้ จนมันทำให้คาตานะของเธอนั้นลอยขึ้นไปสูงในอากาศ
กระสุนพุ่งเข้าไปในแปลงเพาะปลูก พื้นดินนั้นเกิดระเบิดอย่างต่อเนื่องจนทำให้ฟุตปาธที่อยู่ระหว่างแปลงนั้นถูกทำลาย นินจาก้าวหลบเป็นแนวทแยงมุมเพื่อหลบกระสุนที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนกล แต่คาตานะของเธอก็ถูกบิดออกจากมือที่จับเอาไว้อย่างแน่นๆจนทำเธอนั้นเสียสมดุล มิจจังปล่อยปืนกลไป ในตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเกินกว่าที่จะใช้อาวุธสำหรับโจมตีจากระยะไกลแล้ว เธอไม่ควรจะใช้ปืน แต่เป็นอาวุธง่ายๆที่สามารถจัดการศัตรูได้อย่างรวดเร็วมากกว่า ปืนกลนั้นเป็นแค่อาวุธที่ทำให้ศัตรูเข้ามาใกล้ นินจาคนนี้คือศัตรูที่น่าเกรงขาม เธอเป็นคนที่ปัดกระสุนจากปืนกลได้โดยที่คิ้วไม่กระตุกซักนิด เมื่อมองดูแล้วมิจจังก็บอกได้เลยว่าเธอแข็งแกร่งแค่ไหน
มิจจังจับด้ามมีดพร้าเอาไว้ในปาก เธอนั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกเสียง เธอสามารถพูดออกมาได้แม้ปากของเธอจะอ้าอยู่แค่นิดหน่อยก็ตาม
“ไคคะ [เปลวเพลิง] เป็น ไซคะ [เหรียญ]”
ไฟที่ติดอยู่ตรงพู่ของหมวกนักวิชาการของเธอนั้นกลายเป็นเหรียญ
“ไซคะ [เหรียญ] เป็น ไซรุ [เชือกปีนเขา]”
และเหรียญกลายเป็นเชือกปีนเขาที่มิจจังถืออยู่ในมือ
เธอใช้เชือกปีนเขาที่ตวัดอยู่ด้านหน้าเป็นโล่ จากนั้นก็ทุบเข้าไปที่ชูริเคน ฟาดเข้าไปที่คุไน จากนั้นก็พันมันไปที่รอบขาของศัตรู เมื่อขาขวาถูกจับได้ ศัตรูก็ชักดาบสั้นออกมาแต่มันก็ช้าไปแล้ว มิจจังกระชากเธอเข้ามา
แล้วก็พุ่งตัวเข้าไปหาในอึดใจเดียว
ศัตรูเหวี่ยงดาบสั้นเข้ามาหามิจจัง การฟันของเธอมันเร็วกว่าที่มิจจังคิดไว้ซะอีก
“นาวะ [เชือก] เป็น นาตะ [มีดพร้า]”
เมื่อหลุดออกจากเชือกที่พันธนาการอยู่ ศัตรูก็เสียสมดุล องศาในการฟันของเธอจึงเบี่ยงออกไปจนมิจจังแทบจะไม่ต้องหลบมันเลย การสวนกลับของศัตรูนั้นเล็งเข้ามาที่คางของมิจจัง แต่มิจจังก็ป้องกันเอาไว้ได้ด้วยมีดพร้า
ดาบทั้งสองปะทะเข้าหากันจนเกิดเสียงดังลั่น จนทำให้มีเศษเหล็กชิ้นเล็กๆแตกออกมา ทั้งความว่องไวในการฟันและความแข็งแกร่งนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่ามิจจังที่ใช้อาวุธกอดรัดฟัดเหวี่ยงเลย นี่ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลที่เน้นไปที่การโจมตีด้วยอาวุธขว้างและโจมตีเข้ามาจากระยะไกล แม้จะเป็นในระยะประชิดเธอก็ยังแข็งแกร่งมาก แต่มิจจังก็ยังคงชนะอยู่ดี
ในตอนที่อาวุธของพวกเธอฟาดเข้าหากันแล้วยื้อกันอยู่นั้น มิจจังก็ใช้นิ้วสัมผัสไปที่ด้านไม่มีคมของอาวุธที่ศัตรูดันเข้ามาหาเธอ
“คาตานะ [ใบดาบ] เป็น คันนะ [กบไสไม้]”
คาตานะที่ดันเข้ามาหามิจจังกลายเป็นกบไสไม้ มันไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนคาดคิดเรื่องแบบนี้ในการต่อสู้อยู่แน่ เมื่อแรงระหว่างมีดพร้าและคาตานะหายไป ตัวของเมจิคัลเกิร์ลนินจาจึงล้มลงมาด้านหน้า มิจจังก็ใช้หัวเข่าของตัวเองกระแทกเข้าไปที่หน้าท้องอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้ด้ามของมีดพร้าทุบเข้าไปที่กระดูกสันหลังจนทำให้นินจาร่วงลงไปบนพื้น กบไสไม้เองก็หล่นลงมาจากมือของนินจา และเมื่อเธอพยายามลุกขึ้น มิจจังก็เหวี่ยงมีดพร้าเข้าไปหา —แต่ในทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกระตุกที่มือขวาจนร้องออกมา
ที่หลังมือขวาของมิจจังถูกบดจนมองเห็นกระดูกสีขาว และเธอเข้าใจอย่างรวดเร็วว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลังมือของเธอโดนเข้ากับเกี๊ยะไม้จนเลือดนั้นไหลพุ่งออกมา ในตอนที่ก้มหน้าอยู่นั้น นินจาก็งอขาของเธอราวกับเป็นหางแมงป่องเพื่อเหวี่ยงเกี๊ยะไม้ออกมา แล้วก็ทุบเข้ามาที่หลังมือของมิจจัง
มิจจังกัดฟันพร้อมกับมีด้ามมีดพร้าอยู่ในปาก
“นาตะ [มีดพร้า] เป็น ฟุตะ [ฝาหม้อ]!”
เธอคิดว่ามือขวาของตัวเองคงใช้การไม่ได้แล้ว มีดพร้านี้เองก็หนักเกินไปนิดหน่อยที่จะถือด้วยมือซ้ายข้างเดียว มิจจังใช้ฝาหม้อทุบเข้าไปที่เกี๊ยะไม้อีกข้าง จากนั้นก็จับนินจาที่พยายามจะลุกขึ้นยืน
ศัตรูนั้นใช้คุไนแต่มิจจังเร็วกว่า เธอจับผ้าพันคอสีแดงที่พริ้วไปตามลมแล้วกระชากศัตรูเข้ามาใกล้ และคอสีขาวก็เข้ามาในระยะมีดพร้าของเธอ
ในตอนที่มิจจังเอาหน้าผากยื่นเข้าไปหา นินจาห่อริมฝีปากของตัวเอง และเธอรู้สึกว่ามีอะไรเล็กๆแหลมๆอยู่ที่นั่น นินจามันรอจังหวะที่ใบหน้าของมิจจังจะเข้ามาใกล้เพื่อที่จะพ่นเข็มออกมาจากปาก เธอเคลื่อนไหวเหมือนกับเป็นนินจาทุกกระเบียดนิ้ว แต่จากนี้ไปมันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว
มิจจังกดหน้าผากของเธอที่มีเข็มติดอยู่เข้าไปที่กรามของนินจาพร้อมกับใส่แรงลงไป เธอนั่งทับบนตัวนินจาเพื่อไม่ให้นินจานั้นขยับร่างกายส่วนล่างได้ มือขวาของเธอไม่มีแรงจับอะไรแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเธอใช้แขนของตัวเองไม่ได้ เธอใช้ข้อศอกกดเข้าไปที่คอของนินจาพร้อมกับใช้มือซ้ายจับมือขวาของนินจาเอาไว้ ด้ามจับของมีดพร้านั้นเต็มไปด้วยน้ำลายในขณะที่เธอดันมันเข้าไปหากรามของนินจา
ใบมีดอันแหลมคมของมีดพร้าเข้าไปใกล้ลำคอของนินจา
จากนั้นมันก็เลือดสาดกระเซ็นออกมา หมวกนักวิชาการของเธอและชุดของนินจาถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม
ดวงตาของมิจจังเบิกกว้างเมื่อมองเห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ปลายของคาตานะมันยื่นออกมาจากหน้าอกของเธอ มีดพร้าที่อยู่ในปากหลุดออกมาพร้อมกับเลือดและน้ำลายที่ผสมปนเปกัน นินจาผลักตัวของเธอไปด้านข้าง ตัวของมิจจังกลิ้งไปตามพื้นอย่างอ่อนแรง เธอสู้ไม่ได้ เธอสัมผัสปลายของคาตานะด้วยมือของเธอ แต่มันก็ลื่นเพราะมีเลือดติดอยู่จนเธอจับมันไม่ได้
—คาตานะนี่…
มันไม่ใช่ดาบสั้น— ไม่ใช่อาวุธที่กลายเป็นกบไสไม้ อาวุธชิ้นนี้มันยาวกว่า มันคือคาตานะที่นินจาใช้ก่อนหน้านี้ คาตานะที่ปืนกลยิงมันจนปลิวขึ้นไปสูงบนท้องฟ้าและมิจจังก็ไม่รู้ว่ามันตกลงไปที่ไหน
คาตานะมันไม่ได้ปลิวออกไป นินจามันทำให้ดูเหมือนว่าคาตานะนั้นหลุดออกไปจากมือ ซึ่งจริงๆแล้วเธอโยนมันขึ้นไปในอากาศ เธอทำให้ตัวเองเสียสมดุลและปล่อยให้ตัวเองนั้นเปิดโล่งเพื่อแสร้งว่าคาตานะนั้นปลิวออกไปในการที่พยายามจะหลอกมิจจัง
—ปัดโธ่เว้ย…
มิจจังรู้สึกผิดหวังที่นินจาป้องกันกระสุนของปืนกลเอาไว้ได้อย่างง่ายดายยิ่งเสียกว่าถูกหลอก มิจจังมองเห็นนินจานั้นลุกขึ้นยืนผ่านสายตาที่พร่ามัวของเธอ มิจจังลุกขึ้นไม่ได้ และท่าทางของนินจาที่ยกคุไนขึ้นนั้นมันก็ดูช้าแบบแปลกๆ
☆ ฟาล
ทั้งสามคนวิ่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยเลือกใช้ถนนที่ไม่ได้ดึงดูดสายตาจากคนอื่นมาก สโนไวท์นั้นนำอยู่
ข้างหน้า ถัดมาคือซาจิโกะ และปิดท้ายด้วยอูรูรุ พวกเธอวิ่งอย่างเร็วที่สุดโดยที่ไม่หยุดเท้า
“ตรวจพบเมจิคัลเกิร์ล! อยู่ด้านหลังพวกเรา ปอน!”
อูรูรุชักปืนของเธอออกมาแล้วหมุนไปรอบๆ และสโนไวท์ก็ผ่านข้างตัวของอูรูรุไปพร้อมกับใช้รูลเลอร์ที่เป็นอาวุธโจมตีเข้าไปหาศัตรู ปีศาจนั้นมันใช้ปีกสี่เหลี่ยมเป็นโล่ป้องกันการโจมตีของสโนไวท์เอาไว้ แต่เมื่อมันพยายามดันเข้ามา สโนไวท์ก็หลบการดันของมัน และเมื่อมันสูญเสียสมดุล อูรูรุก็ใช้ปืนของเธอทุบเข้าไปหาในทันที ใบหน้าของมันถูกบดขยี้ และเงาสีดำก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างอ่อนแรง
“นั่นไม่ใช่ที่เราพูดถึงนะ ปอน!”
เมจิคัลเกิร์ลที่ฟาลตรวจจับได้นั้นปรากฏตัวออกมาหลังจากนั้นแค่พริบตา เธอคือเมจิคัลเกิร์ลชุดดำที่สู้กับสโนไวท์ในสวนสนุกก่อนหน้านี้
ซาจิโกะร้องออกมาและพยายามจะหนีไปอีกทาง แต่เมื่อเธอเห็นเงาของสุนัขล่าเนื้ออยู่ทางที่เธอจะวิ่งไปนั้น เธอก็ร้องออกมาอีกครั้ง
นั่นคือดาร์คคิวตี้ เงาที่ยืดออกมาจากมือของเธอมันแล่นไปตามกำแพงด้านข้าง และเธอก็เข้ามาโจมตีตรงกลางด้วยตัวของเธอเอง เงานั้นแยกเขี้ยวใส่ซาจิโกะและยังเห่าออกมาเหมือนกับเป็นสุนัข เมื่อฟาลคิดว่าตำแหน่งที่อยู่ของพวกเธอมันถูกเจอได้ยังไง คำตอบมันก็คือสุนัขล่าเนื้อนี่เอง มันดมกลิ่นแล้วก็ตามพวกเธอมา สะกดรอยตามมาตั้งแต่สวนสนุกจนถึงสถานที่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้สะพาน
สุนัขล่าเนื้อเข้ามาหาซาจิโกะคนที่พยายามหลบอย่างสิ้นหวังแต่เธอก็สะดุดเท้าของตัวเองจนล้มลงไปบนพื้นคอนกรีต พวกสุนัขล่าเนื้อมันใช้ประโยชน์จากจุดที่เหนือกว่าเพื่อตะครุบตัวของเธอ อูรูรุใช้ด้านข้างของปืนทุบเข้าไปที่พวกมัน แต่สุนัขล่าเนื้อมันก็แยกเขี้ยวจับอาวุธของเธอเอาไว้ ดาร์คคิวตี้เคลื่อนไหวอย่างเงียบๆผ่านเงาที่ล้อมด้านหลังอูรูรุเอาไว้และเหวี่ยงมือขึ้นไป แต่สโนไวท์ก็เหวี่ยงรูลเลอร์เป็นวงกว้างเข้าไปหา ดาร์คคิวตี้กดตัวเองเข้ากับกำแพงเพื่อหลบการโจมตี แต่พวกสุนัขล่าเนื้อนั้นหลบไม่ได้ มันถูกหั่นจนขาดครึ่งตัวแล้วก็หลอมละลายหายไป
อูรุรุที่กอดซาจิโกะเอาไว้ในอ้อมแขนก็ตะโกนออกมา “ยอมแพ้ซะ! ไม่งั้นแกตาย!”
ศัตรูไม่ได้หยุด ราวกับเธอนั้นไม่ได้ยินที่พูดเลย เธอยังคงอยู่นอกระยะโจมตีของรูลเลอร์ และสร้างอาวุธเงาอย่างแส้และหอกขึ้นมา มือของเธอนั้นโจมตีแบบไม่หยุด สโนไวท์เองก็รับมือทุกการโจมตีได้ —ไม่ใช่แค่การโจมตีที่เข้ามาหาเธอ แต่ยังเป็นการโจมตีที่เข้าหาอูรูรุและซาจิโกะด้วยเช่นกัน
“อูรูรุคนเดียวฆ่าพวกแกทั้งหมดได้เลยนะ รู้ไหม!”
ดาร์คคิวตี้ก็ยังคงไม่สนใจ
“ดูด้านหลังสิ! การซุ่มโจมตีกำลังจะเริ่มแล้วนะ!”
เธอเพิกเฉยอูรูรุไปอย่างสมบูรณ์
สโนไวท์ปัดดาบที่แล่นเข้ามาหาเธอตามกำแพง ที่อีกด้านหนึ่งของตรอกนั้นเธอมองเห็นดวงอาทิตย์ เวทมนตร์ของศัตรูคือการใช้เงาเพื่อสร้างอาวุธและสัตว์ คู่ต่อสู้ที่มีดวงอาทิตย์สาดส่องอยู่ด้านหลังคนนี้ก็ไม่ได้หัวเราะอะไรออกมาเลย
อูรูรุลังเลแต่ก็วิ่งออกไปพร้อมกับดึงมือของซาจิโกะ เสียงฝีเท้าของพวกเธอออกห่างไปแล้ว สโนไวท์กระโดดขึ้นไปตามกำแพงของตึกระฟ้า จากนั้นวางเท้าลงบนขอบหน้าต่าง แล้วเตะเข้าไปที่ดาบเงาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่เข้ามาหาจากทางด้านล่างในตอนที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นไปบนดาดฟ้า
ดาร์คคิวตี้ไม่ได้ไล่ตามอูรูรุแต่เธอเข้ามาหาสโนไวท์แทน เธอเหวี่ยงเชือกเงาไปตามกำแพง ตะขอเงาของเธอเกี่ยวเข้ากับรั้วของดาดฟ้าอย่างแนบแน่น เธอนั้นใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับสโนวไวท์ในการขึ้นมาบนดาดฟ้าเท่านั้น
☆ ปรินเซสดีลูจ
ในฐานะที่เป็นรุ่นใหม่ ความสามารถของปีศาจมีปีกนั้นจึงสูงกว่าเมื่อเทียบกับดิสรัปเตอร์รุ่นเก่า ด้วยการมีความสามารถในการบิน พวกมันจึงมีความเร็วที่เทียบเท่าเมจิคัลเกิร์ล แถมยังมีความเสถียรมากจนสามารถเข้าโจมตีในขณะที่บินด้วยความเร็วสูงได้
ดีลูจหวนคิดถึงเรื่องในอดีตก่อนที่จะได้ปีศาจมีปีกมา ในตอนนั้นปรินเซสเท็มเพรสชวนเธอออกไปข้างนอกด้วยการโอบใต้แขนของเธอเอาไว้ในการก้าวย่างไปบนท้องฟ้า ตัวของดีลูจนั้นสั่นคลอนอย่างมากจนเธอใช้เวลาทั้งหมดไปการระวังไม่ให้ตกลงมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องของความทรงจำที่ดี อินเฟอร์โนเองก็ดูกังวลเมื่อดีลูจพูดกับเธอในเรื่องนี้ “ดีลูจนี่ดูเป็นคนรอบคอบนะ แต่ก็เหมือนว่าจะบ้าบิ่นด้วยเหมือนกัน”
ในตอนนี้เธอไม่ได้มีเวลาพอที่จะมีความสุขกับอารมณ์และความทรงจำเช่นนั้น
ดีลูจจับปีศาจมีปีกเพื่อบินขึ้นไปในอากาศตัดผ่านเมฆ ความสามารถพิเศษของเธอมันรวมถึงการต้านทานหิมะและน้ำแข็งด้วยเช่นกัน ดังนั้นการบินขึ้นไปสูงจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
เธอเปิดดูหน้าจอและพบว่าก็ยังคงไม่มีคำตอบ จากนั้นเธอก็เก็บเมจิคัลโฟนไป
“เพื่อน” ของเธอเรียกพีเฟิลว่านักวางแผนและจอมโกหก
มันไม่ใช่ว่าเธอเชื่อในสิ่งที่ “เพื่อน” พูด 100 เปอร์เซ็นต์ “เพื่อน” นั้นคิดว่าเธอคือคนที่ใช้การได้ และพวกนั้นก็คงเข้าใจว่าดีลูจเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน ไม่มีฝ่ายไหนคิดเรื่องดีกับคนอื่น พวกเธอแค่อยู่รวมกันเพื่อประโยชน์เท่านั้น “เพื่อน” นั้นจะติดต่อกับดีลูจเพียงแค่การทิ้งข้อความไว้บนเตียงของเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหรือบางทีก็จะทิ้งเศษกระดาษเอาไว้ แล้วดีลูจจะไปเชื่อใจคนแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ? เธอคิดว่าไม่มีใครที่จะเชื่อใจคนแบบนั้นได้หรอก แต่หลังจากที่ดีลูจได้ทำการพิสูจน์ข้อมูลที่ “เพื่อน” เอามาให้กับเธอ —อย่างเช่นการมีอยู่ของคนที่ระดับสูงกว่าชัฟฟินและกริมฮาร์ท, ความไม่พอใจกันในหมู่ของสามปราชญ์, พิธี, ความตายของเพื่อนเธอ และอื่นๆอีกหลายอย่าง— ในที่สุดเธอก็เชื่ออีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง
แม้จะมีเรื่องทั้งหมดนั้น มันก็เป็นเพียงแค่ “ระดับหนึ่ง” นี่คือเหตุผลที่เธอไม่ได้เชื่อใจอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ แต่เธอก็คิดว่าการประเมินเรื่องของพีเฟิลนั้นถูกต้องแล้ว ในตอนที่เธอพบกับพีเฟิลเธอก็เข้าใจ พีเฟิลนั้นมีนิสัยคล้ายกับนามิ อาโอกิคนเก่า แต่แข็งแกร่งกว่า รุนแรงกว่า และสมบูรณ์มากกว่า
การที่พีเฟิลเข้ามายังเมือง W โดยไม่บอกให้ดีลูจรู้มันดูน่าสงสัยมาก
“เรื่องต่างๆน่ะมันเริ่มที่จะร้ายแรงแล้วนะ” พีเฟิลพูด “ในตอนนี้มันเหมือนจะไม่ใช่เวลาที่จะมาตามหาพรีเมี่ยม ซาจิโกะแล้ว”
“นี่เธอเข้าใจจุดยืนของตัวเองรึเปล่าน่ะ” ดีลูจตอบ
“เพราะเรื่องการร่วมมือของพวกเรา มันจึงทำให้ฉันมาที่นี่เพื่อชี้แนะเธอยังไงล่ะ ทำไมฉันถึงต้องออกมาที่นี่เพื่อที่จะหลอกลวงเธอด้วย? ฉันน่ะสามารถทำแบบนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมาที่นี่หรอกนะ”
“ฉันมีเป้าหมายของตัวเอง ถ้าการลักพาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะได้มันก็สร้างความเสียหายให้กับฝ่ายโอสได้ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันจะทำ”
“ดื้อดึงไปมันก็ไม่ได้อะไรดีๆออกมาหรอกนะ ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะถามอยู่ เธอยืนยันได้รึเปล่าว่าชาโดว์เกลปลอดภัยดี?”
นั่นเธอพยายามจะใช้การบลัฟงั้นเหรอ? ดีลูจจ้องไปที่พีเฟิล แต่พีเฟิลเมินและพูดต่อ
“ตัวประกันน่ะสำคัญกับฉันมาก และฉันก็คิดว่าสำคัญกับเธอด้วยเหมือนกัน พวกเราร่วมมือกันแล้ว แต่เธอไม่คิดจะตรวจดูหน่อยเหรอ?”
ดีลูจจ้องมองที่เธออยู่ครู่หนึ่ง แต่พีเฟิลก็พูดต่อไป “ติดต่อให้ที” และ “ฉันไม่ได้พยายามจะหลอกเธอหรอกนะ” โดยที่ไม่ขยับเขยื้อนหรือหนีไปไหนเลย
“หากนี่เป็นความกลัวอย่างไร้เหตุผลหรือความเข้าใจผิดของฉันเอง แบบนั้นมันก็ไม่เป็นไร เธอจะหัวเราะเยาะความโง่ของฉันก็ได้ แต่ถ้าหากมันไม่ใช่ความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดของฉัน มันก็คือเรื่องร้ายแรง ฟังนะ ดีลูจ สำหรับเธอแล้วมันไม่ต้องพยายามอะไรมากใช่ไหม? ไม่มีความเสี่ยงอีกด้วยใช่ไหม? แถมมันเป็นการสร้างบุญคุณอีกต่างหาก เธอจะได้ไม่ต้องเจอฉันตามไปอีกแล้วด้วย มันคือเรื่องที่มีประโยชน์ใช่ไหมล่ะ? เธอไม่รู้สึกว่าอยากจะทำมั่งเหรอ?”
ตัวเลือกที่จะทิ้งพีเฟิลเอาไว้เข้ามาในใจของดีลูจ แต่เมื่อเธอคิดต่อไป ไม่ใช่ว่าพีเฟิลจะพยายามพบเธอผ่านทางดาร์คคิวตี้หรือกลาเซียอาเน่หรอกเหรอ? พีเฟิลเป็นคนประเภทที่จะทำอะไรแบบนั้นซะด้วย
ดีลูจชั่งน้ำหนักว่าเรื่องไหนมันไม่มีข้อเสีย ก่อนที่จะได้คำตอบว่าไม่มี
มันมีประโยชน์มากหากจะให้เมจิคัลเกิร์ลที่น่ารำคาญคนนี้ไปให้พ้นทาง เธอมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหลอก แต่เธอก็ไม่อยากหงุดหงิดไปมากกว่านี้
“ดีลูจ เธอเป็นอะไรรึเปล่า?” บลูเบลถาม
“ไม่เป็นไร”
“สายันต์สวัสดิ์” พีเฟิลทักทายบลูเบล “ฉันเป็นเพื่อนของดีลูจเอง”
“อ๊ะ ใช่ ฉันเองก็เป็นเพื่อนของดีลูจเหมือนกัน”
ในตอนที่ทั้งสองกำลังแนะนำตัวกันแบบแปลกๆนั้น ดีลูจก็เอาเมจิคัลโฟนของเธอขึ้นมา จากนั้นก็กดหมายของฐานลับที่ที่ชาโดว์เกลถูกจับตัวเอาไว้ แล้วก็รออยู่ครู่หนึ่ง
…ไม่รับสาย?
มันเป็นไปไม่ได้ที่ไม่จะไม่ใครอยู่ที่ฐานลับ ดีมูจมอบหมายให้พวกเธอสามคนผลัดกันจับตาดูชาโดว์เกล หากมีแค่ปีศาจมีปีก แบบนั้นมันก็จะรับโทรศัพท์ไม่ได้ แต่ดีลูจก็มั่นใจว่าอย่างน้อยก็มีเมจิคัลเกิร์ลสองคนอยู่ที่นั่น
เธอโทรไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีคำตอบ
จากนั้นก็อีกครั้ง แต่มันก็เหมือนเดิม
“มีอะไรรึเปล่า?”
ดีลูจจ้องมอง (แม้ว่าจะไม่ได้ตรงๆก็ตาม) มาที่พีเฟิลที่มีใบหน้าพึงพอใจ
“บลูเบล ขอแคนดี้หน่อย”
“อื้อ”
เธอกลืนแคนดี้ลงไปและไม่นานเธอก็รู้สึกดีขึ้น
“นั่นเวทมนตร์ของเธองั้นเหรอ? ที่สร้างแคนดี้ได้น่ะ?” พีเฟิลถาม
“ใช่ แคนดี้ที่ฉันสร้างน่ะ—”
“ฉันจะไปแล้ว” ดีลูจพูดตัดจึงหวะขึ้นมา
“หือ? ที่ไหน?” บลูเบลถาม “ฉันจะไปด้วย!”
“เธอไม่จำเป็นต้องตามฉันมาหรอก ที่สำคัญกว่าคือคอยจับตามองเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นเอาไว้”
“หือ? จับตามอง?”
“ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาก็อย่าไปฟัง และไม่จำเป็นต้องตอบด้วย”
“แบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ”
“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ฉันจะกลับมาทันที หากมีเรื่องอะไรก็โทรเข้ามาที่เมจิคัลโฟนของฉันแล้วกัน”
หลังจากที่พูดกับบลูเบลไปอย่างชัดเจนว่าห้ามตามเธอมา ดีลูจก็คิดว่าไม่ได้อยากจะใช้เธอเลย หากเธอปล่อยให้บลูเบลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แบบนั้นสำหรับบลูเบลแล้วมันก็จะไม่มีจุดที่ให้ย้อนกลับมาได้อีก ดีลูจคิดว่าการให้ปล่อยเธอเข้ามาร่วมด้วยเพื่อทำให้เธอมีข้อแก้ตัวในภายหลังมันคงดีที่สุด
แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น เวลาเองก็มีไม่มากพอด้วย
ดีลูจไม่ได้บอกใครเรื่องฐานลับ เธอมีเมจิคัลเกิร์ลสามคนที่รวมอาเมอร์ อาร์ลี่ และปีศาจมีปีกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ที่นั่น แม้จะถูกโจมตีโดยกองกำลังที่สามารถฝ่าเข้าไปได้ แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะมีเวลาไม่พอที่จะติดต่อมายังดีลูจเลย
มันคงต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เธอต้องไปดูไม่งั้นเธอก็จะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไร
ปีศาจมีปีกยกแขนสองข้างของดีลูจขึ้นแล้วก็บินออกไป
ปีศาจมีปีกค่อยๆบินลงจากก้อนเมฆอย่างช้าๆ จนเธอสามารถมองเห็นแสงไฟจากสิ่งก่อสร้างต่างๆที่อยู่เบื้องล่างได้
มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? พีเฟิลรู้งั้นเหรอ? ดีลูจไม่ได้คิดจะถามคำถามเพราะเธอมีความรู้สึกว่าพีเฟิลนั้นจะเลี่ยงไม่ตอบ ดีลูจดึงเอายาออกมาจากกระเป๋าแล้วเอามันใส่เข้าไปในปาก
☆ กลาเซียอาเน่
โมโนชิริ มิจจังตายแล้ว กลาเซียอาเน่รู้ว่ามันคือผลลัพธ์ของความเป็นไปได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ มันก็รู้สึกราวกับว่านี่คือเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เธอสงบจิตใจของตัวเองไม่ได้ซักนิดเลย ราวกับว่าหัวใจของเธอจะระเบิดออกมาจากหน้าอก
ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอก็ถอนหายใจออกมา แล้วก็ค้นหาศัตรูต่อไป เธอรู้สึกว่าตัวเองแทบจะไม่มีสมาธิ เธอทำงานต่อไปแบบนี้ไม่ได้เพราะมันไม่มีอะไรดีเลย นินจาที่ฆ่ามิจจังเองก็หายไปราวกับควัน
เมื่อกลาเซียอาเน่มองเห็นการต่อสู้ของมิจจัง เธอก็ขอกำลังเสริมจากดีลูจ แต่กว่าเธอจะมาถึง การต่อสู้มันก็จบไปเรียบร้อยแล้ว
กลาเซียอาเน่เงยหน้าขึ้น
เธอเอาปากเข้าไปใกล้กับชุดหูฟัง เพื่อจะบอกกับดาร์คคิวตี้ว่ามิจจังถูกฆ่าตายแล้ว แต่หลังจากที่เธอคิดอะไรบางอย่าง เธอก็เอามือที่ถือชุดหูฟังออกห่างไป ดาร์คคิวตี้กำลังต่อสู้กับสโนไวท์อยู่ ดูจากที่เธอปล่อยให้พรีเมี่ยม ซาจิโกะหนีไปและเข้าเผชิญหน้ากับสโนไวท์แล้ว มันก็เหมือนว่าเธอควบคุมตัวเองไม่ได้ บางครั้งดาร์คคิวตี้ก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อก่อนหากเป็นแบบนี้ โมโนชิริ มิจจังก็จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนหัวหน้า ในตอนนี้มิจจังไม่อยู่อีกแล้ว กลาเซียอาเน่เองก็เติมเต็มบทบาทนั้นไม่ได้
แล้วตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ?
เธอจดจ่อกับการสอดแนมไม่ได้อีกแล้ว กลาเซียอาเน่ทำอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากมองดูพื้นที่แห่งนี้ เธอเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในทุกด้าน
ในตอนนี้ดาร์คคิวตี้เหมือกับถูกศัตรูที่อยู่ตรงหน้ายั่วยุ การรายงานเรื่องมิจจังถูกฆ่าไปให้ดาร์คคิวตี้ที่เป็นแบบนั้นรู้มันจะได้อะไรขึ้นมากันล่ะ? แต่อย่างน้อยที่สุด กลาเซียอาเน่ก็คิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์กับพวกเธอ
สำหรับในตอนนี้เธอต้องช่วยสนับสนุนดาร์คคิวตี้ การปล่อยเรื่องซาจิโกะและอูรูรุให้คนอื่นจัดการคงจะดีที่สุด กลาเซียอาเน่ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะติดต่อไปหาปรินเซสดีลูจ แล้วบอกเธอไปว่ามิจจังถูกเมจิคัลเกิร์ลนินจาฆ่าตาย อูรูรุกับซาจิโกะเองก็หนีไปได้ และบอกให้เธอเพิ่มจำนวนปีศาจเพื่อจับตามองรอบๆคฤหาสน์ให้มากขึ้น แบบนี้ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดี
กลาเซียอาเน่สับเปลี่ยนชุดหูฟังของเธอให้เชื่อมต่อกับดีลูจ
“คุณดีลูจ นี่กลาเซียอาเน่นะ พรีเมี่ยม ซาจิโกะกับอูรูรุหนีไปแล้ว ช่วยเพิ่มจำนวนปีศาจที่ประจำการอยู่รอบๆคฤหาสน์ด้วย ดาร์คคิวตี้ตอนนี้กำลังสู้อยู่กับสโนไวท์ ตำแหน่งก็คือดาดฟ้าของตึกคามิฮายาชิในสี่ช่วงตึกจากเขตคุนะ ขอกำลังเสริมด้วย และอีกอย่างนึง —โมโนชิริ มิจจังถูกเมจิคัลเกิร์ลนินจาฆ่าตาย ดิฉันเชื่อว่าเป็นศัตรูคนเดียวกันกับที่ขว้างชูริเคนและคุไนเข้ามาหาพวกเราที่สวนสนุก”
“โฮะโฮ่…มีบางคนฆ่าโมโนชิริ มิจจังงั้นเหรอ หืมมม?”
กลาเซียอาเน่ตกใจจนถอดชุดหูฟังออก เธอเอามันออกห่างจากใบหน้าเพื่อมองดู มันก็ยังคงเป็นชุดหูฟังอยู่เหมือนเดิม —ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป เธอสวมมันอีกครั้งแล้วก็พูดว่า “…สวัสดี?”
“มีอะไรงั้นเหรอกลาเซียอาเน่? เสียงของเธอมันฟังดูเบาๆนะ”
หากเธอฟังไม่ผิดคนๆนี้ก็คือ “…หัวหน้า? ทำไมถึงมารับสายนี้ล่ะ?”
“ฉันเพิ่งจะเจอกับดีลูจมาน่ะ ฉันให้เธอบอกเรื่องสถานการณ์ในเมือง W ให้ฉันรู้ ต้องขอบคุณความใจดี ความเอาใจใส่ แล้วก็การอธิบายของเธอนะ เพราะในตอนนี้ฉันเข้าใจเรื่องราวต่างๆแล้ว ถ้าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยตัวเองมันก็จะไม่เข้าใจอะไรเลย”
“ก็จริง…”
“ในตอนนี้แผนมันเปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องจับตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะอีกแล้ว”
“เอ๋?”
“พวกเราจะถอนตัว พวกเราจะไปเจอกันที่จุดที่นัดกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ เธอช่วยบอกดาร์คคิวตี้ด้วยได้ไหม? พอดีฉันยุ่งกับหลายๆเรื่องอยู่น่ะ”
“เอ๋? เดี๋ยวสิ?”
“เธอเข้าใจรึเปล่า?”
“อ๊ะ รับทราบ”
การพูดคุยครั้งนี้มันเพิ่มคำถามให้กับกลาเซียอาเน่ แต่เธอก็ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ามาแล้ว
ในตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? หากทุกสิ่งไปไม่ได้เป็นไปตามแผน แบบนั้นสถานการณ์มันก็ต้องสิ้นหวังสิ กลาเซียอาเน่อธิษฐานให้มิจจังมองลงมาดูเธอจากสรวงสวรรค์ —แต่กระนั้นมิจจังอาจจะอยู่ที่อื่น จริงๆแล้วอาจจะอยู่ในนรกก็ได้ กลาเซียอาเน่จึงแก้ไขมันเสียใหม่ ช่วยมองดูดิฉันจากอีกฟากนึงด้วยนะ โอเคไหม?
ในช่วงชีวิตของมิจจังทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้มาก ดังนั้นการอธิษฐานแบบนี้คงจะถูกต้องแล้ว โถ่ ดิฉันเนี่ยเป็นคนที่คิดอะไรเร็วเกินไปหน่อยแล้ว! กลาเซียอาเน่คิดเช่นนี้พร้อมกับลูบหลังของตัวเองในตอนที่ติดต่อไปหาดาร์คคิวตี้ผ่านชุดหูฟัง
☆ ดาร์คคิวตี้
หากเธอคิดถึงเรื่องภารกิจ เธอก็ควรจะไล่ตามซาจิโกะไป แต่ดาร์คคิวตี้ปล่อยให้ซาจิโกะหนีไปและหันหน้าขึ้นมาด้านบนตึกระฟ้าแทน เธอรู้สึกว่าถูกเชื้อเชิญมาที่นี่
เมจิคัลเกิร์ลคนนี้ชื่อว่าสโนไวท์
มันเป็นชื่อที่สามารถสัมผัสได้ถึงความบริสุทธ์และงดงาม —มันเป็นชื่อที่เหมาะสมกับตัวเอก มันทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น
เธอเองยังถูกเรียกว่านักล่าเมจิคัลเกิร์ลอีกด้วย ชื่อนั้นมันดูน่ากลัวสำหรับตัวเอก มันเหมือนกับเป็นตัวร้ายซะมากกว่า แต่สโนไวท์ได้ชื่อนี้มาเพราะเธอตั้งใจที่จับกุมเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ดี ในแง่ของการกระทำ มันก็คือสิ่งที่เชื่อมโยงเข้ากับด้านของความกล้าหาญอย่างชัดเจน
เธอเข้าร่วมกับหน่วยสืบสวน และที่แห่งนั้นผู้คนก็ต่างเรียกเธอว่ามือหนึ่งอย่างไม่ขาดสาย
ดอกไม้ที่ประดับอยู่ทั่วชุดสีขาวมันบ่งบอกถึงความบริสุทธ์ ความงดงาม และชุดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนักเรียนที่มีปลอกแขนและอื่นๆของเธอนั้น มันทำให้คิดถึงคนที่อยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการ ไม่ก็สมาชิกของฝ่ายกวดขันวินัย มันเข้ากับเด็กสาวที่ใช้ชีวิตในการกำจัดความชั่วร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อสโนไวท์เผชิญหน้ากับดาร์คคิวตี้ ดาร์คคิวตี้เองก็จับจ้องเธอ ย่อตัวลงต่ำและพันมือเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อม
เธอไม่สามารถบ่งบอกอารมณ์จากท่าทางของสโนไวท์ได้ เธอสัมผัสไม่ได้ถึงความโกรธ ความสุข หรือความเศร้า เธอนั้นเงียบสงบราวกับทะเลที่ไร้คลื่น ใบหน้าของเธอไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย นากินาตะ ที่เป็นอาวุธของเธอที่ยกเอาไว้เหนือหัวนั้นก็ค่อยๆลดลงมาอย่างช้าๆ
เรื่องแบบนี้มันน่าผิดหวัง สำหรับตัวเอกแล้วมันต้องมีความรู้สึกโกรธต่อความชั่วร้าย หรือความเศร้าที่ถูกบังคับให้สู้กับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น —การไร้อารมณ์แบบนี้มันไม่ดีเอาซะเลย ตัวเอกนั้นควรจะมีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าใครอื่น และเธอก็ควรจะแสดงมันออกมาให้เห็นโดยที่ไม่ได้ปิดบังเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ข้อกำหนดที่วางไว้แบบนั้น แต่นั่นก็คือสิ่งที่ดาร์คคิวตี้คิด
ตัวร้ายก็จะทำตัวเหมือนกับตัวร้าย และในการที่จะสู้กับตัวร้ายนั้น ตัวเอกก็จะทำตัวเหมือนกับตัวเอก
ดาร์คคิวตี้ใช้มือซ้ายสร้างจิ้งจอกขึ้นมาพร้อมกับง้างมือขวาที่สร้างสุนัขล่าเนื้อเอาไว้ครู่หนึ่ง
จากนั้นเธอก็ปล่อยสุนัขล่าเนื้อเข้าหาสโนไวท์จากทางขวามือ ในขณะที่ทางซ้ายมือเธอก็ปล่อยจิ้งจอกออกไป เธอสั่งให้พวกมันโจมตีแบบอัติโนมัติโดยไม่ได้ให้คำสั่งอย่างละเอียด ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญว่าสโนไวท์จะอ่านใจเธอรึเปล่า
สโนไวท์ป้องการการโจมตีของสุนัขล่าเนื้อเอาไว้ได้ด้วยด้ามของนากินาตะและก็เตะเข้าไปหาจิ้งจอก แต่จิ้งจอกนั้นก็หมุนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบการสวนกลับ ดาร์คคิวตี้ยกขาของตัวเองขึ้นสูงและเปลี่ยนเงาที่ขาของเธอให้กลายเป็นแส้ จากนั้นเธอก็ฟาดแส้เข้าไปหาสโนไวท์ แต่ก่อนที่แส้จะเข้าไปถึงตัว สโนไวท์ก็ถอยไปด้านหลัง จนทำให้แส้นั้นฟาดโดนพื้นที่อยู่ตรงเท้า
เป้าหมายของการสร้างแส้ขึ้นมานั้นคือการฟาดเข้าไปหา ซึ่งสโนไวท์คงอ่านใจเธอได้ แต่มันดีแล้วสำหรับดาร์คคิวตี้ที่คิดว่าจะโจมตีจากนอกระยะของนากินาตะจะไม่โดน
แต่การที่สโนไวท์หลบแส้ได้มันก็ทำให้เธอเปิดช่องโหว่เล็กๆออกมา สุนัขล่าเนื้อนั้นกัดเข้าไปที่ด้ามของนากินาตะแล้วใส่น้ำหนักตัวลงไปเพื่อกระชากออกมา จิ้งจอกเองก็วิ่งเข้ามาจากอีกทางหนึ่งแล้วกัดเข้าไปที่เอ็นร้อยหวาย และมันก็มีเสียงดังขึ้นในตอนที่คมเขี้ยวนั้นกัดลงไป
มันเป็นเสียงของโลหะ สิ่งที่จิ้งจอกกัดเข้าไปนั้นมันไม่ใช่เอ็นร้อยหวายของสโนไวท์
—ถังดับเพลิง?
สโนไวท์ปล่อยมือหนึ่งข้างจากสองข้างที่จับนากินาตะเอาไว้ แล้วก็ดึงถังดับเพลิงออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ตรงเอว จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปในปากของจิ้งจอก และเมื่อเธอทุบเข้าไปที่หัวของจิ้งจอกโดยใช้ถังดับเพลิงเพียงไม่กี่ครั้ง มันทำให้คอนกรีตปลิวกระจัดกระจายออกมา
ในตอนที่สโนไวท์โจมตี ดาร์คคิวตี้ก็ฟาดแส้ของเธอ แต่ในคราวนี้สโนไวท์หลบมันด้วยการกระโดดม้วนตัวกลับหลัง เธอหมุนนากินาตะและร่างกายในเวลาเดียวกันเพื่อพยายามที่จะยกตัวสุนัขล่าเนื้อที่กัดอยู่ที่ด้ามของนากินาตะขึ้นจากพื้น เงาของสุนัขล่าเนื้อนั้นรับแรงไม่ไหวจนต้องปล่อยด้ามจับออกจากปาก แต่ในทันทีหลังจากนั้น นากินาตะก็เฉือนสุนัขล่าเนื้อออกเป็นสองซีก แล้วมันก็หลอมละลายหายไป
เมื่อจัดการสัตว์ร้ายไปสองตัวแล้ว สโนไวท์ก็ลงมาที่พื้นอย่างเบาๆพร้อมกับหยิบถังดับเพลิงขึ้นมา
เธอหั่นเงาของหอกที่พุ่งเข้ามาหาด้วยนากินาตะ จากนั้นก็ปัดแส้เงาด้วยตัวด้ามจับ ปฎิกิริยาตอบสนองของเธอดีมาก
—แล้วแบบนี้ล่ะเป็นยังไง?
มือขวาของเธอมีงู มือซ้ายนั้นมีหมาป่า ขาขวามีแส้ และขาซ้ายนั้นมีเคียว ดาร์คคิวตี้ยืนขึ้นด้วยปลายเท้าและหมุนตัวราวกับเป็นนักเต้นบัลเลต์เพื่อใช้แส้โจมตีเข้ามา ในขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ปล่อยหมาป่าที่มีเขี้ยวอันแหลมคมกับงูที่มีพิษร้ายที่สามารถทำให้หมดสติได้เพียงแค่มีรอยถากออกมา สโนไวท์ยัดถังดับเพลิงเข้าไปในปากของงูและหลบเขี้ยวของหมาป่าด้วยการกระโดดขึ้นไปที่รั้ว จากนั้นก็กระโดดอีกครั้งเพื่อหลบแส้ พร้อมกับใช้ด้ามนากินาตะป้องกันการโจมตีของเคียวที่ตามเข้ามา
สโนไวท์ยังคงรับมือทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นดาร์คคิวตี้จึงตัดสินใจเพิ่มมันเข้าไปอีกนิด เธอเอียงคอไปสัมผัสกับหัวไหล่เพื่อสร้างเงาของแมวขึ้นมา ในตอนนี้ด้วยงู แมวที่อยู่ระหว่างหมาป่า หอก แล้วก็แส้ เธอโจมตีเข้าไปหาสโนไวท์โดยไม่ยอมให้มีเวลาพักหายใจ เศษคอนกรีตปลิวว่อน รั้วเหล็กเองก็บิดงอจนเสียรูป แต่ถึงกระนั้น สโนไวท์ก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นโดยไร้บาดแผล
ดาร์คคิวตี้ยิ้ม เธอรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงจากชุดหูฟัง แต่มันก็ไม่สำคัญแล้ว เธอไม่ได้ให้ความสนใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่
ดาร์คคิวตี้เปลี่ยนหมาป่าในมือซ้ายให้กลายเป็นกรรไกร จากนั้นก็ตัดเครื่องประดับที่ผูกผมของเธอเอาไว้ออก เส้นผมของเธอที่มัดเอาไว้เหมือนกับเป็นหูของสัตว์นั้นสยายลงมาตรงหน้า เมื่อมองดูแล้วดาร์คคิวตี้เหมือนจะมีผมสั้น แต่เมื่อเธอปลดส่วนนี้ออกความยาวมันก็กลับมาดั่งเดิม ด้วยเส้นผมของเมจิคัลเกิร์ลที่มีลักษณะที่หนามันจึงสามารถสร้างเงาขึ้นมาได้ จากนั้นเธอก็ใช้เส้นผมที่ยุ่งๆสร้างตาข่ายดักจับขึ้นมาจากภาพเงา
เธอโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้งู หมาป่า แมว แส้ หอก และตาข่ายที่ถูกเพิ่มเข้ามาไปหาสโนไวท์ ในตอนที่หุ่นเชิดเงาทั้งหลายพุ่งเข้าไป สโนไวท์ก็ทั้งกระโดด กลิ้งตัว ปัดมันไปด้านข้าง ป้องกันและหลบหลีก วิ่งไปทั่วดาดฟ้า บางครั้งเธอก็หลบพลาดจนโดนโจมตี แต่เธอก็หลีกเลี่ยงบาดแผลที่ร้ายแรงได้ อย่างมากเธอก็มีแค่รอยฟกช้ำและบาดแผลตื้นๆ
สโนไวท์ยังคงหลบโดยไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรที่เป็นการโจมตีสวนกลับ เธอตั้งใจจัดการกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องราวกับพายุด้วยการหลบเพียงอย่างเดียว มันเป็นทางเลือกที่ยากลำบาก หากพลาดพลั้งเพียงแค่ก้าวเดียวก็หมายถึงชีวิต แม้เรื่องนี้มันควรจะทำให้เธอรู้สึกแย่ยิ่งไปการปวดมวนท้อง แต่ท่าทางของเธอก็ยังคงสงบนิ่ง
ยอดเยี่ยม ในที่สุดดาร์คคิวตี้ก็รู้สึกดีใจ สโนไวท์นั้นพยายามจะซื้อเวลา เธอพยายามทำให้ตัวเองเป็นเบี้ยสังเวยเพื่อให้ซาจิโกะและอีกคนหนึ่งหนีไปได้ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เธอก็คงไม่ได้ตั้งใจจะมาตายที่นี่ เธอคือเบี้ยสังเวยประเภทที่จะมีชีวิตและหลบหนีไปได้ในที่สุด
ดาร์คคิวตี้ต่อยลงไปที่พื้น แล้วก็ดึงชิ้นคอนกรีตขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ระดับสายตา สโนไวท์นั้นมองดูเธอพร้อมกับยกนากินาตะขึ้น จากนั้นดาร์คคิวตี้ก็จับรั้วโซ่ด้วยมือซ้ายแล้วก็ฉีกกระชากมันออกมา จากก้อนคอนกรีตขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือขวา และรั้วโซ่ที่อยู่ในมือซ้าย เธอก็ยกมันทั้งคู่ขึ้นไปหาแสงสีแดงเข้มของดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า
เธอสามารถสร้างภาพเงาขึ้นมาได้มากวิธีกว่าการใช้ร่างกายของตัวเอง หากเธอใช้เครื่องมือ เธอก็จะสามารถสร้างเงาที่ใหญ่ขึ้น หนักขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นได้ สโนไวท์นั้นกระโดดไปทั่วดาดฟ้าเพื่อหลบการโจมตีของเธอ ถ้าหากภาพเงาของดาร์คคิวตี้ใหญ่ขึ้น พื้นที่ที่สโนไวท์จะกระโดดไปได้ก็จะน้อยลงตามไปด้วย
สโนไวท์คงรู้เรื่องความตั้งใจของดาร์คคิวตี้เพราะเธอกระโดดขึ้นไปด้านบนรั้ว
นากินาตะอยู่ในมือขวา ส่วนมือซ้ายถือหัวฉีดของถังดับเพลิงเอาไว้ ดาร์คคิวตี้ใช้เชือกเงาพันไว้รอบๆรั้ว แล้วก็กระชากออกมาอย่างสุดแรงพร้อมกับพุ่งตัวไปด้านข้างเพื่อเลี่ยงไม่ให้โดนกระแทก แต่เมื่อผงของถังดับเพลิง
ถูกพ่นออกมาทั่วดาดฟ้า มันก็ปิดกั้นการมองเห็นของเธอไป
ดาร์คคิวตี้กระโดดกลับไปด้านหลังและขึ้นไปบนรั้วเหล็ก การใช้ถังดับเพลิงมันทำให้เธอสร้างเงาไม่ได้ แม้เธอจะพยายามฝืน พลังของพวกมันก็จะอ่อนแอมาก
แน่นนอนว่าดาร์คคิวตี้นั้นคิดเรื่องวิธีจัดการเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เพราะตั้งแต่ที่ศัตรูเคลื่อนไหวไปรอบๆพร้อมกับถือถังดับเพลิงไปด้วย มันจึงเป็นมารยาทที่ดีของตัวร้ายที่จะคิดวิธีตอบโต้เรื่องถังดับเพลิงออกมา ดาร์คคิวตี้พูดเข้าไปในชุดหูฟังของเธอ “อาเน่ ช่วยบอกตำแหน่งของสโนไวท์ให้หน่อย”
“ฟังหน่อยยยยยยสิ! อย่างที่ดิฉันบอกไป! ถอนตัว! พวกเราจะถอนตัวแล้ว!”
“…หือ?”
“นี่ลีดเดอร์ไม่ฟังกันเลยใช่ไหมเนี่ย? ดิฉันตะโกนจนคอจะแตกอยู่แล้วนะ! หัวหน้าติดต่อดิฉันมาเมื่อกี๊—พวกเราจะถอนตัวกันแล้ว!”
“ไร้สาระ”
“ไม่ ลีดเดอร์นั่นแหละไร้สาระ! มิจจังตายไปแล้วนะ!”
“…งั้นเหรอ ถ้างั้นชั้นจะกำจัดสโนไวท์เพื่อที่จะถอนตัวได้อย่างปลอดภัยแล้วกัน”
“นี่ ฟังนะ…”
“อาเน่ ขอตำแหน่งของสโนไวท์หน่อย”
“เธอวิ่งไปตามถนนในตอนที่ผงจากถังดับเพลิงกระจายตัวอยู่ จากนั้นก็หายไปเลย”
“หายไป?”
ในที่สุดผงของถังดับเพลิงก็ค่อยๆถูกลมพัดหายไป สโนไวท์หายไปแล้ว ดาร์คคิวตี้เดินเข้าไปที่ขอบดาดฟ้าและมองลงมาด้านล่าง และเธอก็เห็นผงสีขาวอยู่เป็นทางตามตรอกซอกซอยจนมันเชื่อมเข้าไปหาหนึ่งในถนนหลัก
“ดิฉันเองก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่คิดว่าเธอคงคืนร่างกลับไปเป็นร่างมนุษย์ ในตอนที่พรางตัวอยู่ในผงสีขาวแล้วก็หายวับไปในฝูงชน ในตอนนี้ที่ถนนน่ะมันเต็มไปด้วยนักเรียนที่กำลังกลับบ้าน และมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเลิกงาน ทุกคนน่ะโกรธที่มีพวกงี่เง่าบางคนที่ใช้ถังดับเพลิงในที่แบบนี้ด้วย”
ดาร์คคิวตี้คิดถึงเรื่องของสโนไวท์
นักล่าเมจิคัลเกิร์ลได้หลบเลี่ยงการสอดแนมของกลาเซียอาเน่อย่างสมบูรณ์ ด้วยการเคลื่อนไหวแบบที่ราวกับจะตบเข้าที่หน้าของหลักความจริง นี่มันคือการกระทำของมือสมัครเล่นที่จะคลายการแปลงร่างตอนที่อยู่ในสนามรบ
วิธีการต่อสู้แบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดาร์คคิวตี้เรียกได้ว่ามันเหมาะสมกับตัวเอก แต่ดาร์คคิวตี้ก็ไม่ได้ต่อต้านการใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อพยายามเอาชีวิตรอด คิวตี้อัลแตร์ เองก็พูดบางอย่างในตอนที่ยี่สิบของ คิวตี้ฮีลเลอร์กาแล็คซี่ เอาไว้ว่า
“หากเธอตายที่นี่ มันก็จบเท่านั้น แต่ถ้ามีชีวิตรอด มันก็ยังมีโอกาสครั้งต่อไป”
ฉากที่คิวตี้อัลแตร์สิ้นท่าต่อหน้าเวทมนตร์ของสเปซเคออสนั้น มันก็ตามมาด้วยฉากอันโด่งดังที่พวกเธอสาบานว่าจะสู้อีกครั้ง พวกตัวเอกต้องเอาชีวิตรอด ต่อให้จะดูเป็นตัวเอกมากมายขนาดไหน แต่ถ้าเธอเกิดตายขึ้นมาในช่วงกลางของเรื่องราว นั่นก็หมายความว่าเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าตัวประกอบ
“ชั้นต้องทำยังไงถึงจะไล่ตามสโนไวท์ได้ล่ะ?” ดาร์คคิวตี้พูด
“ต้องทำยังไงเหรอ…? หืม… หากโจมตีทุกคนที่อยู่รอบๆนี้ อาจจะได้ตัวเธอก็ได้นะ”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตัวร้ายควรทำนะ แบบนั้นมันคือการเป็นปีศาจที่แท้จริงแล้ว”
“มิจจังสัมผัสอะไรบางอย่างได้จริงๆสินะเนี่ย ดิฉันล่ะประทับใจจริงๆที่มิจจังมีคุณที่ทำหน้าที่เป็นลีดเดอร์อย่างเหมาะสมน่ะ”
ดาร์คคิวตี้หันไปมองรอบๆแล้วก็หรี่ของเธอลง ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้านั้นหายไปที่ยอดภูเขาแล้ว
สโนไวท์ นี่เธอรอเวลานี้อยู่งั้นเหรอ…?
บางทีที่ดาร์คคิวตี้ถูกเชื้อเชิญอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ เธอกระโดดลงมาจากตึกระฟ้าเพื่อหาตัวสโนไวท์
เมื่อเธอลงมาที่พื้นอย่างไร้เสียง มันก็มียุงที่ส่งเสียงน่ารำคาญบินผ่านหน้าของเธอไป เธอยกมือขึ้นมาตบ แต่เมื่อคิดใหม่อีกทีเธอก็ลดมือลง เธอมองเห็นตัวของเธอเองภายในยุงตัวนี้ที่รอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้ จนเธอทำร้ายมันไม่ได้
การที่ตัวร้ายเป็นตัวร้ายได้เพราะมันมีฮีโร่แห่งความยุติธรรมอยู่ แต่ถ้าตัวร้ายที่ไม่ได้พ่ายแพ้ต่อฮีโร่ผู้ชอบธรรมแถมยังมีชีวิตอยู่ต่อไป แบบนั้นเธอควรจะทำอะไรกันล่ะ?
ชีวิตของยุงนอกฤดูกาลมันก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ชีวิตของตัวร้ายมันยาวนานยิ่งกว่ายุงมาก เธอจะมีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอยู่แบบนี้ไปตลอดได้ยังไงในโลกที่ไม่มีฮีโร่ หรือว่าซักวันหนึ่งจะมีฮีโร่แห่งความยุติธรรมถือกำเนิดขึ้นมางั้นเหรอ? ดาร์คคิวตี้เอามือของเธอมาประสานเข้าด้วยกันและยกมันขึ้นไปหาไฟถนนเพื่อสร้างเงาค้างคาว ปีกของเงาค้างคาวนั้นกระพือไปตามกำแพง และจับยุงที่บินผ่านไปมา เคี้ยวแล้วก็กลืนลงไป
ยุงตายไปแล้วอย่างง่ายดาย แต่ตัวร้ายนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก
โมโนชิริ มิจจังตายแล้ว เพราะเธอเป็นเพื่อนของดาร์คคิวตี้ ดังนั้นการคิดว่าเธอเป็นตัวร้ายด้วยก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่เธอนั้นก็แข็งแกร่ง ทั้งตัวร้ายและตัวเอกนั้นล้วนแข็งแกร่ง โมโนชิริ มิจจังนั้นไม่ได้เป็นตัวเอก ชุดของเธอส่วนใหญ่นั้นเป็นสีขาว บางทีนั่นคือสิ่งเดียวของเธอที่ควรค่าแก่การเป็นฮีโร่ เพราะในเรื่องอื่นๆของมิจจังนั้นเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับการเป็นฮีโร่
ดาร์คคิวตี้แยกมือของเธอออก ร่างกายของค้างคาวก็ถูกแบ่งออกเป็นสอง แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และถูกความมืดกลืนกินไป
เธอกดเมจิคัลโฟนของเธอเพื่อเชื่อมต่อไปยังแฟ้มข้อมูลเมจิคัลเกิร์ล ดาร์คคิวตี้นั้นสังกัดอยู่ในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ถึงแม้จะไม่ได้เป็นทางการ แต่มันก็หมายความว่าเธอมีสิทธิที่จะอ่านสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลธรรมดาไม่สามารถทำได้
สโนไวท์คือผู้รอดชีวิตจากการทดสอบครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นโดยนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ผู้โด่งดัง
เธอเป็นลูกศิษย์ของไพตี้ เฟรเดริก้า คนที่ในตอนนี้ถูกตั้งเงินค่าหัว
เธอจับกุม บ่อเพลิงกาฬ เฟรม ฟรามี่ ที่เป็นนักเรียนของโรงเรียนกวดวิชามาโอด้วยตัวคนเดียว
เธอจัดการ คี๊ค เมจิคัลเกิร์ลที่แม้แต่ดินแดนเวทมนตร์ยังหมดหนทางที่จะหยุดได้ และปลอดปล่อยเมจิคัลเกิร์ลที่ติดอยู่ในเกมของเธอออกเป็นอิสระ
และเธอยังคงจับกุมกริมฮาร์ม ผู้ที่เป็นร่างที่ลงมาเกิดใหม่ของ เชน โอส บัล เมล หนึ่งในสามปราชญ์ผู้กุมอำนาจสูงสุดของดินแดนเวทมนตร์ —ที่พูดกันว่าอยู่เหนือกว่าเมจิคัลเกิร์ลทั้งหมดได้อีกด้วย
ชื่อของอาวุธที่เธอครอบครองนั้นคือรูลเลอร์ มันถูกตั้งชื่อตามเมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่สามารถเอาชนะสโนไวท์ได้
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของดาร์คคิวตี้
หากมิจจังหรือกลาเซียอาเน่มาเห็นเธอในตอนนี้ พวกเธอก็คงจะรู้สึกประหลาดใจพร้อมกับพูดว่า “ลีดเดอร์นี่ยิ้มได้ด้วยงั้นเหรอเนี่ย?” ออกมาและถอยห่างจากเธอ
รอยยิ้มนี้เกิดมาจากความมั่นใจของเธอ สโนไวท์คือตัวเอกอย่างไม่ต้องสงสัย เธอเกิดมาเพื่อเอาชนะดาร์คคิวตี้ การที่พวกเธอทั้งสองคนพบกันในเมืองนี้มันคือการต่อสู้แห่งโชคชะตา
ในตอนนี้มันคือบท “เผชิญหน้า” ของพวกเธอ ส่วนบทการต่อสู้ครั้งสุดท้ายคงเป็นครั้งต่อไปหรือหลังจากนั้น
“รับทราบคำสั่งถอนตัว” ดาร์คคิวตี้พูดเข้าไปในชุดหูฟัง
“อ๊ะ งั้นก็โอเค เอาจริงๆนี่ดิฉันพร้อมทิ้งลีดเดอร์ไว้ข้างหลังแล้วนะเนี่ย”
☆ พรีเมี่ยม ซาจิโกะ
ไม่ใช่ว่าซาจิโกะไม่เคยใช้เวทมนตร์ของเธอมาก่อนเลยซักครั้ง เธอหวังว่าจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเองเพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องใช้มันออกมา และเธอยังหวังอีกว่าอย่างน้อยก็อยากจะลืมเลือนมันไป แต่เมื่อเธอสงสัยว่าการลืมเลือนนั้นอาจจะเป็นบาปรึเปล่า และยังคิดอีกว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง ดังนั้นแค่เธอมีความปรารถนาที่อยากจะลืมเลือนมันก็ดูเหมือนจะเป็นบาปไปแล้ว
เธอฝันร้ายจนไม่สามารถนอนหลับได้ เธอร้องไห้ออกมาและกระโดดขึ้นจากเตียง ซึ่งนั่นมันทำให้อูรูรุโกรธเธอ แต่ไม่ว่าซาจิโกะจะทุกข์ทรมาณแค่ไหน มันก็ไม่อาจลบล้างในสิ่งที่เธอทำลงไปได้ ไม่ว่าเธอจะได้รับการให้อภัยในสี่งที่ทำลงไป ไม่ว่าจะรู้เสียใจขนาดไหนก็ตาม
และสิ่งที่ซาจิโกะทำลงไปนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะให้อภัยได้เลย
เธอทำลงไปด้วยความอยากรู้
ทั้งสามคนกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ตอนนั้นพวกเธอยังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ใช้เวทมนตร์ของตัวเองเล่นกับสิ่งต่างๆ อูรูรุจะพูดเรื่องโกหกที่ไร้สาระออกมาเพื่อทำให้ทุกคนตกใจ และจากนั้นทุกคนก็จะโกรธเธอ ในขณะที่โซรามิจะสามารถเดาสิ่งที่อยู่ด้านในกล่องได้โดยที่ไม่ต้องเปิดมันออก ซึ่งมันทำให้ซาจิโกะตกใจมาก
ซาจิโกะนั้นไม่ถูกอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ของตัวเอง เพราะเมื่อเทียบกับเวทมนตร์ของอูรูรุและโซรามิแล้ว ผลที่ออกมามันยากที่จะคาดเดา มันจะยอดเยี่ยมขนาดไหนกันนะที่จะใช้โชคที่มีทั้งชีวิตออกมา? ซาจิโกะในวัยเด็กเองก็จินตนาการไม่ออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ซาจิโกะก็คิดว่ามันน่าเบื่อที่เธอเป็นคนเดียวที่ต้องนั่งอยู่เฉยๆและคอยดูอูรูรุกับโซรามิที่ดูสนุกสนานกับเวทมนตร์ของตัวเอง “สัญญา” ที่ซาจิโกะสร้างขึ้นนั้นทั้งหมดเป็นตัวอักษรจีนที่เธออ่านมันไม่ออก เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันบอกถึงเรื่องอะไร แต่เธอนั้นก็บอกไปว่าถ้าวงมันทั้งหมดและ “ทำสัญญาให้สำเร็จ” เวทมนตร์ของเธอก็จะมีผล
ในตอนนั้นมันไม่ได้มีแค่ซาจิโกะ โซรามิ และอูรูรุอยู่ที่คฤหาสน์ของพัคพั๊ค มันยังมีเด็กสาวคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทุกคนนั้นเป็นเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอใช้ชีวิตเพื่อให้ได้รับคำชมจากพัคพั๊คในตอนที่ใช้เวทมนตร์
ของตัวเองให้เธอภูมิใจ และพัคพั๊คก็จะดุด่าในตอนที่พวกเธอใช้เวทมนตร์แบบไม่ถูกทาง
ซาจิโกะเป็นคนขี้อายมาโดยตลอด เธอต้องใช้เวลามากในการเป็นเพื่อนกับใครซักคน ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาหมดไปกับการที่จะกลายเป็นเพื่อนกับเด็กสาวคนอื่นๆ แต่เธอก็สามารถหาเพื่อนได้แค่วิธีเดียวคือ ก่อนอื่นพวกเด็กสาวนั้นก็จะเป็นเพื่อนกับโซรามิ จากนั้นเด็กสาวก็จะเป็นเพื่อนกับอูรูรุไปด้วย และเมื่อซาจิโกะไปเล่นกับอูรูรุและโซรามิ พวกเด็กสาวคนอื่นก็จะมาเล่นกับพวกเธอด้วย และเมื่อเล่นด้วยกันหลายๆครั้ง พวกเธอก็จะเป็นเพื่อนกับซาจิโกะไปเอง
ในบรรดาเพื่อนที่เธอมีจากเรื่องนั้น มีอยู่สองคนที่เป็นเด็กดีเป็นพิเศษ
ทั้งคู่รู้สึกเห็นใจซาจิโกะ
“เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ของตัวเองงั้นเหรอ?”
“แย่จังเนอะ”
“ใช้มันแบบลับๆไม่ได้เหรอ?”
“แต่ถ้าทำแบบนั้น บางทีฉันก็จะถูกดุเอาน่ะสิ…” ซาจิโกะพูด
“ถ้าไม่มีใครรู้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหมล่ะ?”
“ช่าย แค่ต้องทำไม่ให้ใครเห็นเอง ถ้าเธอไม่บอกผู้ใหญ่ว่าตัวเองใช้ แบบนั้นก็ไม่มีใครรู้หรอก”
“แต่…”
“โอเคน่า มาลองใช้กันซักครั้งเถอะ”
“เวทมนตร์น่ะสนุกจะตาย ฉันล่ะรู้สึกแย่จังที่เธอเป็นคนเดียวที่ใช้พลังของตัวเองไม่ได้นะ ซาจิโกะ”
“ช่าย ถ้าถูกรู้เข้าแล้วถูกดุล่ะก็ พวกเราจะไปกับเธอเพื่อขอโทษท่านหญิงพัคพั๊คด้วยกันเอง”
เพื่อนทั้งสองคนของเธอพูดแบบนี้เพื่อให้กำลังใจ ซาจิโกะคนที่ขี้ขลาดมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ก็ถูกกระตุ้นด้วยแรงสนับสนุนและเริ่มคิดว่า ถ้าผู้ใหญ่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้รู้พวกเธอก็จะมาขอโทษกับฉันด้วย แบบนั้นไม่เป็นไรแน่ และเธอก็พยายามใช้เวทมนตร์ของตัวเองออกมา
ผู้ใหญ่บางคนปกป้องเธอโดยบอกว่าเธอนั้นไม่ได้คิดอย่างรอบคอบเพราะเป็นเด็ก แต่คนส่วนใหญ่ก็จ้องมองมาที่เธอด้วยความเย็นชา ซาจิโกะคิดว่าอูรูรุ โซรามิ และเด็กคนอื่นๆคงถูกพาตัวไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อเธอใช้โชคทั้งหมดของใครบางคน มันก็จะมีความตายอันน่าสยดสยองเข้ามาหาคนๆนั้น หลังจากที่เพื่อนของเธอคนหนึ่งดีใจที่ได้รางวัลใหญ่ที่ร้านขายลูกกวาด เธอก็ถูกอุกกาบาตหล่นใส่หัวในตอนที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านโดยไม่มีสัญญานเตือนอะไรเลย
คนที่สองนั้นประสบอุบัติเหตุเมื่อเธอเข้าไปหาหนังสือในห้องสมุด เธอดีใจมากที่หนังสือที่ไม่ว่าเธอจะรอนานซักแค่ไหนมันก็จะถูกยืมไปตลอดวางอยู่ที่ชั้น และในตอนที่เธออ่านหนังสือเล่มนั้นจบ คนขับรถบรรทุกที่หลับในก็พุ่งทะลุรั้วและกำแพงเข้ามาชน
ความตายของทั้งสองราวกับว่าเป็นสิ่งที่หลุดออกมาจากมังงะตลกหรือเรื่องราวเบาสมอง สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องสถานการณ์อาจจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเรื่องนี้ บางทีอาจจะถูกตีพิมพ์อยู่ในหน้ารวมเรื่องตลกของหนังสือพิมพ์และใส่สีตีความเพิ่มเข้าไปเล็กน้อย
แต่สำหรับคนที่เกี่ยวข้องแล้ว มันไม่มีอะไรตลกเลยซักนิด
เพื่อนของซาจิโกะตายเพราะเวทมนตร์ของเธอเอง ความจริงที่เธอไม่รู้ว่าจะทำให้เพื่อนของตัวเองตายนั้นไม่ใช่ข้อแก้ตัวด้วย ไม่ว่าพัคพั๊คจะปลอบโยนเธอแค่ไหน ไม่ว่าจะพูดว่ามันไม่ใช่ความผิดเธอยัไง ซาจิโกะก็เป็นคนที่ฆ่าเพื่อนของตัวเองอยู่ดี
ซาจิโกะตัดสินใจแล้วว่าเธอจะไม่ใช้เวทมนตร์ของตัวเองอีก หากเธอใช้เวทมนตร์มันก็จะมีคนตาย หากใบโคลเวอร์สี่แฉกนำพาความโชคร้ายเข้ามา แบบนั้นการไม่ใช้เวทมนตร์เลยตั้งแต่แรกที่ก็จะดีกว่า
“ฉันไม่อยากทำพิธีเลย…” ซาจิโกะพูด
“ถามจริงๆนะ ทำไมถึงไม่อยากทำล่ะ?” อูรูรุถามเธอ
“ก็เพราะไม่อยากทำไง!”
ทั้งสองคนยังคงโต้ตอบกันเช่นเดิมหลายครั้งในตอนที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดแนะกันเอาไว้เพื่อเจอกับสโนไวท์ อูรูรุนั้นโกรธและตะโกนออกมา บางครั้งก็พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ก็ติดสินบนเธอด้วยสิ่งต่างๆ แต่ซาจิโกะก็ยังคงไม่ยอม
“อูรูรุไม่ได้จะบอกว่าให้เชื่อในตัวอูรูรุนะ แต่เชื่อในตัวท่านหญิงพัคพั๊คสิ เธอน่ะจะใช้เวทมนตร์กับอุปกรณ์ มันจึงไม่สำคัญว่าอุปกรณ์นั้นจะเป็นหรือตายหรอกเพราะมันตายไม่ได้มาตั้งแต่แรก มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตซักหน่อย”
นั่นคือเรื่องที่อูรูรุพูด เธอไม่ต้องใช้มันกับคนอื่น
แต่ซาจิโกะก็หยุดจินตนาการไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่เธอคิดถึงเรื่องพิธีมันก็มีแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาในจิตใจ มันเป็นเพราะเธอฆ่าเพื่อนของเธอด้วยเวทมนตร์ของตัวเอง หรือเป็นเพราะมีบางสิ่งในพิธีที่ทำให้เธออยากจะหนีไปกันนะ?
“ฟังนะ เธอเข้าใจใช่ไหมว่าตอนนี้พวกเรามีปัญหาน่ะ? การที่เธอกลัวอาจจะช่วยไม่ได้ก็จริง แต่ตอนนี้พวกเรามีสโนไวท์คนเดียวที่อยู่ฝ่ายเดียวกันในขณะที่ศัตรูมีกันเยอะมาก นั่นคือสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ มันอันตรายยิ่งกว่าเรื่องพิธีซะอีก”
“แต่—”
“ก็ได้”
อูรูรุพยักหน้ายอมแพ้หลายคร้ัง จากนั้นก็เอามือของเธอมาวางบนไหล่ของซาจิโกะ
“อูรูรุจะถามท่านหญิงพัคพั๊คให้เองว่า ‘พิธีนี้น่ะจะปลอดภัยใช่ไหม? จะไม่ต้องมีใครตายใช่ไหม?’ แต่ต้องเข้าใจว่ามันคือเรื่องหยาบคายด้วยนะ โอเคไหม? และถ้ามันไม่ปลอดภัยล่ะก็ อูรูรุก็จะอยู่ข้างๆเธอเองนะ ซาจิโกะ แบบนี้ไม่เป็นไรใช่ไหม? ในตอนนี้พวกเราต้องกลับบ้านกันก่อนไม่งั้นก็จะตกอยู่ในอันตราย สโนไวท์กับอูรูรุอาจจะตายก็ได้นะ? เธอไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นใช่ไหม?”
“ก็…ไม่อยาก”
“แบบนั้นก็กลับบ้านกันเถอะ” อูรูรุตบไหล่ของซาจิโกะ “ไม่เป็นไรหรอก เพราะอูรูรุสัญญากับท่านหญิงพัคพั๊คเอาไว้แล้วว่าจะปกป้องเธอ เธอรู้สึกไม่ดีเพราะมีบางคนที่ต้องโชคร้ายเพราะตัวเองใช่ไหมล่ะ? อูรูรุจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ เธอรู้ใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอก็จะรู้สึกว่าตัวเองอยากจะเชื่อใจอูรูรุไงล่ะ”
“อื้อ…”
“งั้นตอนนี้ก็กลับบ้านกันเถอะ ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคิดเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วกัน” อูรูรุพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่ร่าเริงเป็นพิเศษ
ซาจิโกะมองลงไปที่เท้าของเธอ มันมีเครื่องหมายบางอย่างอยู่ที่พื้นของโกดัง มันถูกลากเข้ามาจากทางเข้าจนมาถึงขอบข้างๆ และตรงสุดทางนั้นมันก็มีรอยแตกขนาดใหญ่อยู่
☆ อูรูรุ
อูรูรุส่งอีเมลไปหาพัคพั๊ค
ศัตรูนั้นพบที่ซ่อนของพวกเธอแล้ว ตามที่สโนไวท์บอก มันมีศัตรูอยู่จำนวนมาก และพื้นที่รอบๆคฤหาสน์ก็อาจถูกจับตามองอยู่ หากจะเข้าและออกมันก็ต้องระวังให้มากไว้ดีกว่า อูรูรุและซาจิโกะยังคงปลอดภัยดี ตอนนี้แยกตัวกับสโนไวท์ชั่วคราว แต่สโนไวท์ก็ปลอดภัยเช่นกัน —อูรูรุใส่ข้อมูลทั้งหมดนี้ลงไปในข้อความแล้วก็ส่งมันออกไป
คำตอบนั้นได้กลับมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนว่ากังวลเรื่องของอูรูรุและเรื่องความปลอดภัยของซาจิโกะ
ข้อความนั้นใช้คำง่ายๆ แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าของพัคพั๊ค มันก็ทำให้หัวใจของอูรูรุเจ็บปวด พัคพั๊คคงต้องเป็นห่วงพวกเธอ พัคพั๊คนั้นใจดีและคิดถึงผู้อื่นยิ่งกว่าใคร การรับใช้พัคพั๊คมานานหลายปี มันทำให้อูรูรุได้เห็นการพิจารณาของพัคพั๊คมาหลายครั้ง
เธออยากจะออกจากสถานการณ์นี้และทำให้พัคพั๊คสบายใจให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เธอจะพยายามทุกวิถีทางจนถึงท้ายที่สุด
แม้จะมีสิ่งต่างๆอย่างการโจมตีของศัตรูและความตายของโซรามิถาโถมเข้ามาเรื่องแล้วเรื่องเล่า อูรูรุนั้นทั้งสับสนและสั่นไปทั้งตัว แต่ข้อความของพัคพั๊คนั้นมีผลหยุดยั้งเรื่องเหล่านั้นได้ หากเป็นไปได้อูรูรุก็อยากจะได้ยินเสียงของพัคพั๊ค แต่เธอก็ขออะไรมากแบบนั้นไม่ได้ พูดตามตรงแล้ว อูรูรุก็หวังอยากให้กำลังเสริมมาถึงโดยเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไปขอให้คนอื่นทำให้ เธอก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะบ่นอะไรออกมา
อูรูรุวิ่งนำซาจิโกะ หลีกเลี่ยงการใช้ถนนใหญ่และสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน พวกเธอเลือกเข้าไปตามตรอกที่ไม่มีคนเท่าที่สามารถทำได้ จากนั้นพวกเธอก็ไปตามถนนแคบๆ บางครั้งพวกเธอก็วิ่งไปตามทางรถไฟ ไม่ก็เกาะอยู่ที่ด้านล่างของรถบรรทุกขนาดใหญ่ จนกระทั่งมาถึงเขตอุตสาหกรรมย่านชานเมือง
พื้นที่แถวนี้เต็มไปด้วยโกดัง อาคารคอนกรีตทรงเหลี่ยมที่ไม่มีการตกแต่งเรียงกันอยู่จนสุดสายตา ทางเดียวที่จะแยกความแตกต่างได้ก็คือหมายเลขที่เขียนเอาไว้ ที่แห่งนี้มันอยู่ใกล้กับทะเลมากพอที่จะได้กลิ่นเค็มๆของทะเลในอากาศ แต่จุดตรงที่เรือกำลังขนถ่ายสินค้ามันเต็มไปด้วยผู้คน อูรูรุวิ่งสลับไปมาระหว่างโกดังแต่ละโกดัง จากนั้นก็แนบตัวเข้าหาโกดัง D82 ที่อยู่ทางเหนือสุด แล้วก็เคาะประตู
พวกเธอไม่ได้คุยกันถึงเรื่องตำแหน่งของโกดังหรือสัญญานการเคาะประตู แต่สำหรับสโนไวท์แล้ว อูรูรุไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมาดังๆ สโนไวท์สามารถอ่านใจของเธอในตอนที่วิ่งอยู่ได้ และเข้าใจว่าอูรูรุอยู่ที่นั่น แม้เธอจะเคาะประตูโดยที่ไม่ได้คิดเรื่องสัญญานอะไรไว้เลยก็ตาม
ประตูหนักๆถูกเปิดออก และในทันทีที่ประตูเปิดออกจนมีพื้นที่ขนาดเท่าตัวคน อูรูรุก็ไถลตัวเข้าไปและกวักมือเรียกซาจิโกะที่รอเธออยู่ด้านหลัง จากนั้นก็รีบปิดประตูแล้วก็ล็อคมันอีกครั้ง ภายในของโกดังนั้นมืดสนิทโดยไม่มีแสงแม้แต่น้อย แต่มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรในเมื่อพวกเธอทุกคนเป็นเมจิคัลเกิร์ล
“สุดท้ายแล้วเป็นไงบ้าง?” อูรูรุถามสโนไวท์
“หาตัวไม่เจอแล้ว” สโนไวท์ตอบ “แต่เธออาจจะตามพวกเรามาด้วยกลิ่นอีกครั้งก็ได้ ดังนั้นฉันคิดว่าพวก
เราควรจะเปลี่ยนสถานที่บ่อยๆไว้จะดีกว่า”
“อูรูรุส่งข้อความไปหาท่านหญิงพัคพั๊คแล้ว ท่านหญิงส่งกำลังใจมาให้ด้วย”
“งั้นเหรอ…”
“อื้อ…”
แค่มองดูอูรูรุก็บอกได้ว่าสโนไวท์นั้นผิดหวังที่รู้ว่าไม่มีกำลังเสริมมา ในตอนนี้อย่างไรก็ตาม อูรูรุไม่สามารถโทษเธอเรื่องทำอะไรไม่เหมาะสมได้
ซาจิโกะทรุดตัวลงพื้นราวกับว่าหมดแรง มันคือเรื่องที่เข้าใจได้
เมื่ออูรูรุมองไปที่สโนไวท์มันก็ทำให้อูรูรุคิดว่า เมื่อเห็นแบบก็รู้สึกอยากช่วย แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
จู่ๆสโนไวท์ก็ตัวแข็งทื่อ แต่ทั้งใบหน้าและร่างกายของเธอต่างก็ไม่ได้กระตุก
ราวกับว่าเธอนั้นจมลึกอยู่ในห้วงความคิด และด้วยเหตุผลบางอย่าง อูรูรุที่นั่งอยู่ก็ยืดตัวตรง
☆ CQ เท็นชิฮามูเอล
เธอคิดแล้วคิดอีก จนในที่สุดเธอก็เลิกคิด
จนกระทั่งถึงในตอนนี้ ฮามูเอลผ่านเรื่องราวต่างๆมาได้ด้วยการรีดความคิดทั้งหมดออกมา บางสิ่งเธอก็สามารถจัดการได้แต่บางสิ่งก็ไม่ และนี่ก็คือสิ่งที่เธอจัดการไม่ได้
ถ้าชั้นมีชัฟฟินเหลือล่ะก็ เธอคิดเช่นนี้ แต่มันก็มีบางคนที่เธออาจเรียกว่า นักล่าชัฟฟินจากนรก ได้กำจัดชัฟฟินในเมือง W ไปแทบทั้งหมด และสิ่งที่ฮามูเอลทำได้มากที่สุดก็คือสั่งให้ชัฟฟินหนี ในตอนนี้เธอซ่อนตัวอยู่ด้านบนดาดฟ้าของที่ไหนซักที่ หลังจากที่ศัตรูโจมตีเธอกลางอากาศจากจุดที่เธอมองลงมาดูสนามรบจากบนฟ้าและมอบคำสั่ง
กองกำลังของเธอไม่ได้ถูกกำจัดไปทั้งหมด แต่ในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการพลิกกระดานแล้ว
ฮามูเอลยอมแพ้ แต่เป็นเพียงแค่เรื่องจับตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะเท่านั้น เธอไม่ได้ยอมแพ้ไปซะทุกเรื่องแล้วจะกลับไปเสนอหัวตัวเองเพื่อขึ้นเขียงอย่างไร้ยางอาย หากเธอไม่สามารถเก็บผลลัพธ์อะไรได้ในตอนนี้ แบบนั้นเธอก็จะหว่านเมล็ดพันธุ์ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ลงไป เธอไม่รู้ว่าจะเก็บเกี่ยวมันได้ตอนไหน พวกมันอาจจะไม่งอกขึ้นมาก็ได้ ถึงมันจะงอกเงย แต่ก็อาจจะเหี่ยวเฉาได้ก่อนที่ดอกไม้จะเบ่งบาน แต่จะงอกหรือไม่งอกนั้น การหว่านเมล็ดเอาไว้ย่อมดีกว่า
ฮามูลเอลขยับตัวสองสามครั้งเพื่อไถลตัวออกมาจากรอยแตกระหว่างเครื่องจักรและกำแพง ฝุ่นควันฟุ้งอยู่รอบๆตัวของเธอในตอนที่เธอปัดมันออกจากหน้าอก ไหล่ ด้านล่าง และด้านหลัง จากนั้นเธอก็เอนตัวออกมาจากดาดฟ้าเพื่อมองดูด้านล่าง
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ไฟของยานพาหนะต่างๆผ่านเข้ามาและออกไป เธอเดินวนรอบดาดฟ้า และมองลงมาด้านล่างและก็มองขึ้นไปข้างบน แต่รอบๆบริเวณนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
เหมือนว่ารายงานจากชัฟฟินที่รอดชีวิตจะถูกต้อง พวกปีศาจมีปีกหายไปจากเมือง W เธอถอนหายใจออกมาพร้อมกับความเศร้าและคิดว่าพวกนั้นน่าจะหายไปก่อนที่กองกำลังของเธอจะลดน้อยถอยลง ฮามูเอลตั้งสติและหยิบไมโครโฟนของวิทยุไร้สายขึ้นมา
เธอเตรียมใจไว้แล้วในสิ่งที่เธอจะพูดออกมา เธอนั่งอยู่ตรงขอบของดาดฟ้าแล้วก็เร่งเสียงวิทยุไร้สาย
เป้าหมายของเธอคือสโนไวท์
“ได้ยินชั้นรึเปล่า…? ได้ยินที่ชั้นพูดรึเปล่า…?” อีกฝ่ายควรจะได้ยิน เพราะเวทมนตร์ของฮามูเอลมันทำงานแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันหรือหลบเลี่ยงเสียงของเธอไม่ให้ได้ยิน
“ชั้นกำลังพูดเข้าไปในจิตใจของเธอโดยตรงอยู่”
มันแย่ไปหน่อยที่ฮามูเอลไม่ได้เห็นการตอบสนองของพวกเธอ แม้จะเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่เธอก็อยากเห็นปฎิกิริยาด้วยกล้องส่องทางไกลในตอนที่กำลังพูดอยู่
“ชั้นคือคนที่สั่งการชัฟฟิน… อ๊ะ คราวนี้ชั้นจะบอกให้รู้นะว่า—ชั้นไม่ใช่โจ๊กเกอร์” เธอพยายามพูดออกมาอย่างจริงใจและมีเหตุผลที่สุดเท่าที่ทำได้ “อย่างที่เธอรู้ เวทมนตร์ของชั้นคือการส่งผ่านเสียงให้คนอื่นแบบทางเดียว น่าเสียดายนะที่ชั้นไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไรออกมาเป็นการส่วนตัวหรอกนะ การอุดหูเองก็ไม่ช่วยอะไรด้วยเหมือนกัน ชั้นต้องขอโทษอย่างจริงใจก่อนเลยว่า นี่น่ะไม่ได้เป็นอันตรายหรอก แต่ชั้นแค่จะขอให้เธอทนกับมันซักพัก”
เมื่อคิดว่ากำลังพูดอยู่กับนักล่าเมจิคัลเกิร์ลมันก็ทำให้รู้สึกกังวลเล็กน้อย เรื่องนี้มันแตกต่างจากการสั่งการชัฟฟินโดยสิ้นเชิง
“ในฐานะคนที่ต่อสู้กับเธอ ชั้นก็เคารพวิธีการต่อสู้ของทุกคนนะ แม้มันจะเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่คราวนี้ชั้นจะยอมแพ้และถอนกำลังออกไป —เพราะถ้าชั้นยังดันทุรังต่อไปมันก็จะเกิดความเสียหายขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบนี้น่ะมันคือความขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ —แต่อย่างน้อย ชั้นก็คิดว่าอาจจะแก้ตัวกับผู้บังคับบัญชาได้ แต่ก่อนที่จะกลับไปชั้นอยากพูดอะไรกับเธอซักสองสามอย่าง โดยส่วนตัวแล้วชั้นไม่ได้มีความเป็นศัตรูกับเธอหรอกนะ”
เธอไม่ได้พูดโกหก เพราะหากโกหกแบบโง่ๆออกไปมันก็จะย้อนเข้ามาหาตัวของเธอเอง สไตล์ของฮามูเอลคือการเปิดเผยความจริงทุกอย่าง แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องเลือกคนที่มอบความจริงนั้นให้อย่างระมัดระวังด้วยเช่นกัน
“ความจริงแล้ว ชั้นอยากเป็นเพื่อนกับเธอมากกว่านะ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอจัดการกริมฮาร์ทที่เป็นร่างเกิดใหม่ของผู้นำฝ่ายโอสของพวกเราได้ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้พวกเราได้รับข้อมูลอันมีค่ามา”
ฮามูเอลนึกถึงกริมฮาร์ทในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยต้องการใช้กริมฮาร์ทเป็นศัตรูหรือพวกเดียวกัน ในตอนที่เธอได้ยินว่ากริมฮาร์ทนั้นถูกจัดการ ไม่เพียงแค่ฮามูเอลเท่านั้น แต่ทุกงฝ่ายถึงกับตกตะลึง บางทีคนที่อยู่ภายในอาจจะตกใจมากยิ่งกว่าฝ่ายอื่นด้วย
“แนวคิดในการพัฒนากริมฮาร์ทน่ะคือ ‘การปฎิเสธการสื่อสารแบบอัติโนมัติ’ เวทมนตร์นี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อตอบโต้กับเมจิคัลเกิร์ลบางคน ซึ่งคนๆนั้นก็คือพัคพั๊คผู้นำคนปัจจุบันของเธอยังไงล่ะ”
ในตอนนี้สโนไวท์กำลังเคลื่อนไหวเพื่อช่วยฝ่ายพัค จากบันทึกในอดีตมันไม่ได้มีเรื่องแบบนี้ ซึ่งมันทำให้ฮามูเอลเชื่อว่านี่เป็นการจ้างงานชั่วคราว หรือตัวของสโนไวท์เพิ่งจะเข้าร่วมเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นมันก็ยังคงมีโอกาสที่เธอจะทำได้ทันเวลา
“ชั้นจะอธิบายเรื่องต่างๆตามลำดับอย่างถูกต้องนะ การที่สามปราชญ์จะมาเจอหน้ากันแบบซึ่งหน้าน่ะมันคือเรื่องที่ไม่ปกติอย่างมาก ชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นมีหน้าตาแบบไหนซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่เมื่อจะเข้ามาเจรจาเรื่องต่างๆ พวกนั้นก็จะใช้ร่างเกิดใหม่ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ฝ่ายพัคใช้คนที่ครองตำแหน่งผู้นำซึ่งก็คือพัคพั๊ค และนับตั้งแต่นั้น ฝ่ายพัคก็ประสบความสำเร็จในการเจรจาจนได้ผลประโยชน์มากมาย และไม่ค่อยจะเสียปรียบอะไรเลยด้วย”
ฮามูเอลยังคงพูดกับสโนไวท์ฝ่ายเดียว เธอรู้สึกว่าคอของเธอเริ่มจะแห้ง แต่แน่นอนว่าเธอจินตนาการไปเอง
“ฝ่ายโอสได้พยายามทุกวิถีทาง ใช้เมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่เป็นไปได้ในการเข้าเจรจา แต่กับพัคพั๊คแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรลงไปมันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นเลย นอกจากนี้เมจิคัลเกิร์ลที่มีส่วนร่วมในการเข้าเจรจากับพัคพั๊คกลับมีความประทับใจดีๆเรื่องของเธอขึ้นมาด้วย”
เพียงแค่ครั้งเดียวที่ฮามูเอลทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลการประชุม เธอก็เห็นพัคพั๊คจากระยะไกล และเธอจำพัคพั๊คได้อย่างชัดเจนแม้จะเป็นแค่การชำเลืองมองก็ตาม
“หลังจากที่เจรจากันไปกว่าหนึ่งพัน ไม่สิ —กว่าหนึ่งหมื่นครั้ง ฝ่ายโอสก็ได้ทำการประมวนผลค่าสถิติบางอย่าง พวกเราพยายามใช้การผสมผสานเทคนิคการทดลองที่หลากหลาย และการสับเปลี่ยนร่างเมจิคัลเกิร์ลที่ใช้เกิดใหม่ จนในที่สุดพวกเราก็ได้ข้อสรุปว่า เวทมนตร์ของพัคพั๊คคือการ บิดเบือนความรู้สึกที่เธอมอบให้คนอื่น”
ตอนนี้สโนไวท์ทำหน้าแบบไหนกันนะ? ฮามูเอลเริ่มคิดถึงภาพนั้นแต่เธอก็สลัดมันออกไปและกลับมาตั้งสมาธิอีกครั้ง
“ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือพฤติกรรมที่หยาบคาย มันก็สร้างความประทับใจที่ไม่ดีหรือทำให้เข้าใจอะไรผิดเพี้ยนขึ้นมาได้อยู่แล้ว แต่กับคนที่ได้รับฟังคำพูดของเธอจะรู้สึกราวกับว่ามีความเคารพนับถือ พวกเธอจะนับถือพัคพั๊คอย่างมาก แม้จะเป็นศัตรูที่เพิ่งพบหน้ากันและพูดคุยกันก็จะกลายเป็นเพื่อนของเธออีกด้วย”
ฮามูเอลหยุดพูดครู่หนึ่ง สโนไวท์ได้ฟังที่เธอพูดอยู่รึเปล่านะ? ฮามูเอลนั้นไม่ชินกับการพูดที่ไม่สามารถมองเห็นการตอบสนองของผู้ฟังซะด้วย
“มันมีกฎอยู่ว่า ห้ามพัคพั๊คเข้ามามีส่วนร่วมกับการเจรจาใดๆในหมู่สามปราชญ์หรือกับร่างเกิดใหม่ เพราะสำหรับเธอแล้ว เรื่องต่างๆมันจะถูกอนุมัติไปอย่างง่ายดายราวกับสู้กันแบบสองต่อหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้ ฝ่ายพัคเองก็ไม่ได้บ่นอะไรออกมา —ดูเหมือนว่าพวกนั้นกำลังขอโทษอยู่อีกด้วย และเพราะว่าฝ่ายพัคไม่ได้คัดค้านอะไรนั้นเอง พวกนั้นจึงต้องตระหนักว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเกือบจะเป็นการล้ำเส้นไปแล้ว”
ชัฟฟินส่งสัญญาณมาให้เธอว่าตอนนี้พร้อมที่จะถอนตัวแล้ว ฮามูเอลส่งสัญญาณโอเคกลับไปพร้อมการกระพริบตา และตัดสินใจพูดต่อไปอีกนิด
“ชั้นไม่คิดว่าพวกเราเข้าใจผิดเรื่องเวทมนตร์ของพัคพั๊คหรอกนะ ถึงพัคพั๊คจะพยายามปกปิดด้วยคำพูด และเธอจะอ่านความตั้งใจเบื้องหลังของคำพูดเหล่านั้นด้วยเวทมนตร์ของเธอ แต่ทุกอย่างที่เธอได้มาก็จะมีแต่ความรู้สึกดีทั้งนั้น”
ฮามูเอลยืนขึ้น ในตอนนี้คือเวลาที่ต้องพูดให้จบแล้ว “ดังนั้นระวังตัวไว้ด้วย ความรู้สึกอย่างการเห็นอกเห็นใจ ความเชื่อใจ และความผูกพันธ์น่ะ มันอาจจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ของพัคพั๊ค แม้ว่าพูดไปตอนนี้อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรก็เถอะ”
นั่นคือคำเตือน และเพื่อที่จะให้สโนไวท์รู้สึกชอบพอเธอมากขึ้น ฮามูเอลจึงพูดข้อมูลที่มีประโยชน์ออกไปอีก
“ใช่ ใช่ เพื่อที่จะเป็นหลักฐานว่าชั้นไม่ได้มีความประสงค์ร้าย ชั้นมีอะไรดีๆจะบอกเธอด้วย ดูเหมือนว่ากองกำลังอีกฝ่ายนอกจากพวกของชั้นก็ถอนกำลังออกไปเช่นกัน ถึงชั้นจะไม่รู้ว่าพวกนั้นมีเวลาจำกัดหรือมีเหตุผลอื่นในการถอนตัวออกไปรึเปล่าก็เถอะ แต่ก็นะ บางทีพวกนั้นอาจแกล้งถอนตัวออกไปในขณะที่จับตามองสิ่งต่างๆอยู่ก็ได้ ดังนั้นเธอต้องระวังเรื่องการตัดสินใจในจุดนั้นด้วย”
ฮามูเอลคิดว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของการถอนตัวของกองกำลังฝ่ายที่สามนั้นเหมือนว่าจะไม่ใช่การหลอก แต่เธอก็อยากจะแนะนำให้ให้ระวังเอาไว้ดีกว่า
“เหมือนว่ากลุ่มนั้นจะเก่งเรื่องสอดแนมแบบสุดๆด้วย แถมยังกำจัดชัฟฟินในเมืองเป็นเป้าหมายหลักอีก ดูจากการลงมือของพวกนั้นแล้ว เหมือนว่าถ้าอยู่ในถนนหลัก ที่ๆมีคนพลุกพล่าน สถานที่ที่คนมารวมตัวกัน และอีกหลายๆที่ มันจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะชัฟฟินถูกส่งไปประจำตำแหน่งดังกล่าวจึงถูกโจมตี ชั้นคิดว่าหลีกเลี่ยงพื้นที่พวกนั้นเอาไว้จะดีกว่านะ”
เธอไม่รู้ว่าสโนไวท์นั้นตอบสนองยังไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าฮามูเอลจะสัมผัสไม่ได้ว่าเธอนั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนออกไปแล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการที่เธอจินตนาการไปเอง
“เอาล่ะ ชั้นต้องขอโทษด้วยที่พูดไม่จบซักที ชั้นปล่อยให้เธอหลับกับการเทศนาที่ยาวนานแล้วมาโกรธชั้นไม่ได้หรอกนะ! เพราะแบบนั้นชั้นจะพูดอีกแค่ว่า คราวหน้าที่จะเจอกัน ชั้นหวังไว้มากเลยว่าพวกเราจะเป็นพวกเดียวกันนะ ฝ่ายโอสยินดีต้อนรับเธอ และรู้ไหมว่าโดยส่วนตัวแล้ว ชั้นเองก็เกลียดกริมฮาร์ทเหมือนกัน”
เธอตัดการสื่อสารไป
เธอบอกความจริงออกไป ฮามูเอลไม่ชอบการโกหก เพราะการโกหกมันทำให้ใครคนอื่นพอใจไม่ได้ การทำให้พอใจด้วยความจริงมันง่ายกว่ามาก
แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้สโนไวท์จะเกี่ยวข้องกับฝ่ายพัค แต่เธอก็คงไม่ได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของพลังพัคพั๊คมาแบบยาวนาน ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้กลายเป็นอะไรที่มากไปกว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย แต่นั่นมันก็มีความหมายมากกว่าการที่ไม่มีอะไรเลย
แม้ในตอนที่มองดู ฮามูเอลจะรู้สึกแปลกๆว่าพัคพั๊คนั้นไม่ได้ส่งกำลังเสริมออกมาเลย ระหว่างเรื่องนั้นกับการถอนตัวของกองกำลังปริศนาฝ่ายที่สาม มันก็คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือภูมิความรู้ของฮามูเอลทั้งคู่ อนาคตที่เธอจะได้ร่วมมือกับสโนไวท์มันอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
☆ สโนไวท์
เธอไม่ได้ยินเสียงอีกแล้ว
ความตั้งใจของคนๆนั้นคืออะไรกันนะ? แน่นอนว่าสโนไวท์ไม่สามารถเชื่อตามสิ่งที่พูดออกมาได้ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้เช่นกัน จากตรรกะของเสียงพูดนั้น ทุกคนเองก็คงจะสงสัย และถ้าเป็นแบบนั้นจริง สโนไวท์เองก็ไม่อาจเชื่อเวทมนตร์ของตัวเองได้อีกต่อไป
สโนไวท์คิดว่าอูรูรุ ซาจิโกะ และโซรามินั้นผูกพันกับพัคพั๊คอย่างแน่นแฟ้น แต่จากที่เสียงนั้นพูดแล้ว ด้วยเวทมนตร์ของร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ มันก็สามารถทำอะไรอย่างการหลอกลวงคนอื่นมานานกว่าทศวรรษได้แบบง่ายๆ
หากมีคำถามว่าพัคพั๊คมีอะไรที่น่าสงสัยรึเปล่า คำตอบมันก็คือใช่ ทำไมเธอถึงดื้อดึงไม่ยอมส่งกำลังเสริมออกมากันล่ะ? หากเธอเป็นร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ เธอก็ต้องมีลูกน้องอยู่มากสิ ภายในคฤหาสน์อย่างเดียว สโนไวท์ก็ได้ยินเสียงในจิตใจของเมจิคัลเกิร์ลมากมายหลายคน หากเธออยากจะช่วยซาจิโกะจริงๆล่ะก็ เธอก็แค่ส่งคนพวกนั้นมาเป็นกำลังเสริมสิ
หรือจริงๆแล้ว เธอไม่ต้องการให้ซาจิโกะกลับมางั้นเหรอ?
แบบนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเลย อูรูรุและโซรามิไม่เคยโกหก พัคพั๊คเองก็มาไกลจนถึงขึ้นใช้งานสโนไวท์ที่เป็นคนนอกเพื่อตามหาซาจิโกะ —แล้วเธอจะไม่อยากให้ซาจิโกะกลับไปได้ยังไงล่ะ?
มันเป็นไปได้รึเปล่าที่จะปลอมแปลงทุกอย่าง ทั้งเรื่องความคิดของสโนไวท์ เรื่องความกังวลเรื่องพัคพั๊คที่อยู่ลึกลงไป รวมถึงจิตใต้สำนึกของเธอที่คิดถึงเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น? สโนไวท์มีความรู้สึกว่าร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์สามารถทำแบบนั้นได้ ร่างเกิดใหม่ของปราชญ์อีกคนหนึ่งที่สโนไวท์เคยเผชิญหน้าอย่างกริมฮาร์ทนั้นก็ป้องกันไม่ให้สโนไวท์ได้ยินความคิดของเธอจนกว่าที่จะยกเลิกเวทมนตร์ได้ด้วย
สโนไวท์กำมือที่จับปลอกแขนเอาไว้อย่างแน่นๆ
ซาจิโกะไม่อยากจะทำพิธี การที่เธอไม่ชอบมันนั้นดูผิดปกติ เธอพูดว่าหากเธอเข้าร่วมพิธี มันก็มีบางคนที่ต้องเจอกับโชคร้าย พัคพั๊คไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย เธอไม่ได้อยากจะเสียสละใครในพิธี หากรู้เรื่องบุคลิกของพัคพั๊ค ซาจิโกะก็ควรจะรู้เรื่องนั้น แต่เธอก็ยังคงไม่อยากทำมันอยู่ดี มันเป็นเพราะเธอขี้ขลาด? หรือว่าเธอสัมผัสอะไรบางอย่างได้นะ?
สโนไวท์มองไปที่ซาจิโกะ เธอนั้นเงียบและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ในตอนที่สโนไวท์เจอเธอที่สวนสนุก เธอก็หดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วก็นั่งอยู่ในความมืด แม้ในตอนนี้เธอจะไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว แต่ตัวของเธอก็ดูเล็กกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ผมด้านหน้าที่หยิกงอของเธอเองก็ห้อยลงมาอย่างเศร้าๆ
“…สโนไวท์? มีอะไรรึเปล่า ปอน?”
“ไม่มีอะไร”
“ไม่มีเหรอ…? นี่เป็นอะไรรึเปล่า? เธอดูเหมือนว่าเหม่อลอยยังไงก็ไม่รู้สิ”
“ฉันไม่เป็นไร”
มันไม่มีเวลาแล้ว เธอไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเอาข่าวลือไร้สาระจากฝ่ายโอสมาคิดแบบจริงจัง หากพวกเธอนั่งอยู่เฉยๆล่ะก็ ดาร์คคิวตี้ต้องมาหาพวกเธอแน่ สโนไวท์มีอะไรมากมายหลายอย่างที่ต้องทำ แม้จะเป็นในตอนนี้ก็ตาม
☆ บลูเบล แคนดี้
บลูเบล แคนดี้ได้ยินว่าเมจิคัลเกิร์ลที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ชื่อว่าพีเฟิล เธอเป็นหัวหน้าของฝ่ายทรัพยากรบุคคล
เมื่อมีใครซักคนที่ที่เลื่อนขั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันก็มีโอกาสที่จะถูกหลายฝ่ายพูดถึง —แม้มันจะเป็นเรื่องความอิจฉาก็ตาม พีเฟิลคือคนสำคัญมากจนถึงขั้นที่บลูเบลที่เป็นคนที่ไม่มีเพื่อนให้พูดด้วยก็ยังรู้เรื่องของเธอ ดังนั้นมันจึงสมเหตุสมผลที่จะคิดว่าพีเฟิลคือคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง
พีเฟิลมองดูใบหน้าของบลูเบลอย่างใกล้ชิด จนทำให้บลูเบลไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นซีดาร์และโผล่หน้าออกมาอย่างเดียว บางทีมันอาจไม่เหมาะสม แต่ความกลัวของเธอนั้นมันมาก่อน “อะ-เอ่อ… มะ-มีอะไรให้ฉันช่วยไหม…?”
“เธอนี่โกหกไม่เก่งเลยนะ… จริงๆแล้ว ฉันสงสัยว่าเธอจะโกหกเป็นตั้งแต่แรกรึเปล่าด้วยนะ”
บลูเบลไม่รู้ว่าพีเฟิลพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไงทั้งๆที่เพิ่งจะพบหน้ากัน “เอ่อ นั่นก็จริง… เอ่อ ฉันคิดว่าฉันน่ะโกหกไม่เก่งเลย แต่ว่า…”
“แบบนั้นดีแล้วล่ะ การโกหกมันไม่เคยนำไปสู่อะไรดีๆ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเองก็เลือกได้ดีในการจ้างงานเธอด้วย”
“หือ? รู้เรื่องของฉันด้วยเหรอเนี่ย?”
“แน่นอนสิ เพราะฉันอยู่ในฝ่ายทรัพยากลบุคคลไงล่ะ”
“อ๊ะ… จริงด้วย”
พีเฟิลหมุนล้อขวาของวีลแชร์ จากนั้นเธอก็มองขึ้นไปบนฟ้า “พวกเราอยู่ในที่ทุรกันดารก็จริง แต่ก็อยู่ใกล้กับเมืองมากเกิน จนฉันพูดไม่ได้ว่าดวงดาวมันกำลังส่องประกายออกมาอย่างงดงามเลย”
“อื้อ…”
แค่พูดคุยกับพีเฟิลมันก็ทำให้จิตใจของเธอหมดเรี่ยวแรง เธอไม่ได้เก่งเรื่องการพูดคุยกับคนสำคัญ ในสมัยประถม เมื่อเธอถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้างานทำความสะอาด เธอจึงมีโอกาสมากขึ้นในการพูดกับอาจารย์ใหญ่ ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ทำให้เธอเหนื่อยมาก แม้พีเฟิลที่อยู่ข้างๆจะเป็นคนสำคัญ แต่บลูเบลก็รู้สึกว่าตัวของเธอนั้นดูเหนื่อยล้า
บางทีเรื่องต่างๆมันอาจจะแตกต่างออกไปหากดีลูจอยู่ด้วย แต่ดีลูจนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อพีเฟิลปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรบางอย่างกัน จากนั้นดีลูจก็บินออกไปที่ไหนซักที่พร้อมกับเอาปีศาจมีปีกไปกับเธอด้วย เมื่อบลูเบลพยายามจะตามไป ดีลูจก็ปฎิเสธและพูดอย่างสุภาพว่า “อย่าไปที่ไหน ช่วยรออยู่ที่นี่นะ” ในตอนนี้บลูเบลจึงรออยู่ด้วยกันกับพีเฟิล
การถูกบอกว่าห้ามตามไปมันทำให้เธอรู้สึกเศร้ามาก แต่เธอก็ยังดีใจเล็กน้อยที่ได้ยินดีลูจพูดว่าอย่าไปไหน มันทำให้เธอคิดว่าบางทีดีลูจอาจต้องการเธอ และจากที่พูดมา มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าดีลูจไม่อยากให้บลู
เบลออกไปพูดเรื่องครึ่งกลางๆที่ไหน
ในที่ห่างไกลในตอนกลางคืนแบบนี้มันไม่มีใครอยู่รอบๆ —ไม่มีถนนให้รถแล่นผ่าน ไม่มีเส้นทางเดินป่าหรือเส้นทางของสัตว์ มีแค่ทั้งสองคนที่อยู่ที่นี่
“นี่เธอรู้จักดีลูจผ่านทางฝ่ายวิจัยและพัฒนางั้นเหรอ?” จู่ๆพีเฟิลก็ถามเธอ
บลูเบลเกือบจะหัวใจวาย เธอพยายามทำให้จิตใจให้สงบและตอบกลับไปว่า “ใช่แล้วล่ะ”
“ทำไมถึงอยู่กับเธอกันล่ะ?”
“เพราะฉันทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวไม่ได้”
“แน่นอน ดีลูจคือคนที่จะปล่อยไว้คนเดียวไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าการมีคนนอกอยู่ด้วยนี่มันจะสร้างปัญหาหลายอย่าง ถ้าหากมันมีหลายๆเรื่องที่ไม่รู้ไม่ใช่รึไง?”
บลูเบลตัวสั่นเมื่อคิดถึงความหมายของคำว่า “ปิดปากใครบางคน” ด้วยตำแหน่งของพีเฟิลที่เป็นหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคล คำพูดของเธอมันจึงให้ความรู้สึกสมจริงมากกว่าคำพูดที่พูดกันในละครย้อนยุคหรือรายการนักสืบซะอีก แม้เรื่องแบบนี้มันจะพบเจอยาก แต่บลูเบลก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย
“อะ-เอ่อ! ฉะ-ฉันไม่ได้คิดจะ บะ-บอกใครเลยนะ!”
“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว เพราะเธอไม่ได้โกหกนี่นา”
บลูเบลถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ความโล่งอกนั้นมันทำให้ความคิดของเธอเปลี่ยนไปหาคนที่เธอเป็นห่วง “เอ่อ…”
“หืม?”
“ดีลูจไปที่ไหนเหรอ? เธอจะกลับมาใช่ไหม?”
“ตามความตั้งใจของเธอแล้วก็คงจะกลับมานั่นแหละ ในตอนนี้ปรินเซสดีลูจน่ะระวังตัวมาก ฉันแน่ใจว่ามีศัตรูหลายคนที่เธอพยายามจัดการเพราะพวกนั้นมันอันตราย แต่ฉันก็สงสัยว่าพวกศัตรูอยู่ในยังทิศทางที่เธอไปรึเปล่า หากเธอหัวรั้นน้อยกว่านี้ซักหน่อย ฉันก็จะได้ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเอาไว้เพื่อหาว่าเธอไปที่ไหน แต่การใช้อะไรแบบนั้นโดยที่ไม่ระวัง มันก็จะเปิดการเปิดเผยตัวของฉันไปแทน และมันก็จะส่งผลต่อกับความไว้วางใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ”
“อันตราย? นี่ดีลูจไปที่อันตรายงั้นเหรอ?”
“นี่ฉันพูดแบบชัดเจนเพื่อเธอเลยนะ แต่เธอก็สนใจเฉพาะเรื่องที่อยากรู้ซะได้”
“อะ เอ่อ ขอโทษ”
พีเฟิลมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง บลูเบลคิดว่าตรงช่วงกรามของเธอนี่น่ารักดีจัง
“มาแล้ว” พีเฟิลพูด
“มาแล้ว?”
เมื่อได้ยินเสียงนก บลูเบลก็ตกใจแล้วเข้าไปใกล้พีเฟิล มันคือนกฮูกหรือจะเป็นนกชนิดอื่นกันนะ? เพราะการเกิดและเติบโตขึ้นมาในเมือง มันทำให้บลูเบลแยกแยะความแตกต่างของเสียงนกร้องไม่ได้เลย
“ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนก”
“ไม่ใช่งั้นเหรอ?”
ที่พุ่มไม้นั้นเกิดสั่นขึ้นมา บลูเบลจึงส่งเสียงร้องออกมาเบาๆและเข้าไปเกาะตัวพีเฟิล
“เรื่องมิจจังนี่น่าเศร้านะ” พีเฟิลพูด
“…อื้อ” หนึ่งในคนที่มาใหม่พูดเห็นด้วย
“ใช่ไหม?” คนที่มาใหม่อีกคนพูด “ดิฉันคิดว่าเธอคือคนที่จะไม่มีวันตายซะอีก แม้แต่พระเจ้าคงไม่คิดว่าดิฉันกับลีดเดอร์จะเป็นคนที่รอดมาได้เลย อ๊ะ แต่ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้คงมีพระเจ้าเพียงแค่ไม่กี่องค์ ส่วนยมฑูตคงมีมากกว่าสินะ?”
เมจิคัลเกิร์ลที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อเดียวกันกับความมืดก็คือดาร์คคิวตี้ ในขณะที่คนสวมแว่นตาและดูโล่งใจก็คือกลาเซียอาเน่ ดาร์คคิวตี้นั้นดูอารมณ์ไม่ดี เธอคือคนที่พูดเพียงไม่กี่คำตั้งแต่ตอนที่เจอกันแล้ว แต่ในตอนนี้บลูเบลรู้สึกว่าเธอดูพูดจาน้อยลงและอารมณ์บึ้งตึงมากขึ้น
โมโนชิริ มิจจัง เมจิคัลเกิร์ลที่สวมหมวกนักวิชาการที่อยู่กับพวกเธอนั้นไม่อยู่แล้ว บลูเบลเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้จากคำพูดของพีเฟิลที่พูดว่า “เรื่องมิจจังนี่น่าเศร้านะ” หากการต่อสู้มันรุนแรงนั่นคือความหมายของสิ่งที่พีเฟิลพูด จู่ๆบลูเบลก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ หากดีลูจก้าวพลาดเพียงแค่ก้าวเดียวเธอก็อาจจะกลายเป็นแบบนั้น หรือบางทีอาจจะไม่ใช่การก้าวพลาดแค่ครั้งเดียวแล้วจะจบ แต่ดีลูจนั้นโชคดีที่สามารถรอดชีวิตมาได้
“ดูเหมือนว่าคุณดีลูจจะไม่ได้อยู่ที่นี่นะ” กลาเซียอาเน่พูด “เธอไปไหนเหรอ?”
“ไปตรวจสอบความปลอดภัยของบุคคลสำคัญน่ะ”
“บุคคลสำคัญ? นี่พยายามจะบอกอะไรงั้นเหรอ? ดิฉันคิดว่านั่นคือคนที่สำคัญกว่าพรีเมี่ยม ซาจิโกะสินะ?”
พีเฟิลยิ้ม
ดาร์คคิวตี้ขมวดคิ้ว ท่าทางของกลาเซียอาเน่เองก็เปลี่ยนจากการยิ้มเป็นอะไรที่จริงจัง บลูเบลเอาแขนมากอดรอบตัวของเธอเพื่อพยายามทำให้ร่างกายหยุดสั่น ร่างกายและแขนของเธอรู้สึกเหน็บหนาว รอยยิ้มของพีเฟิลมันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและโมโห แต่กระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มต่อไป
“บางทีตอนนี้มันอาจจะสายไปแล้ว” พีเฟิลพูด “พวกเราถูกทิ้งอยู่ด้านหลัง… หรือถูกขัดขวางกันแน่นะ? หากจะพยายามพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราก็จำเป็นต้องมีทั้งพยายามแบบสุดหัวใจและสติปัญญาที่มากล้น อ๊ะ กลาเซียอาเน่ —เธอไม่ต้องสอดแนมดีลูจด้วยแว่นของเธอหรอก พวกเราต้องเชื่อใจกันให้มากขึ้นกว่านี้นะ”
☆ สโนไวท์
ในตอนที่พวกเธอออกมาจากโกดัง ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว —ในตอนนี้มันคือช่วงเวลาพิเศษสำหรับเมจิคัลเกิร์ลที่จะซ่อนตัวด้วยความมืดมิด
แต่ในช่วงเวลานี้ของวันมันทำให้ดาร์คคิวตี้ไม่สบอารมณ์ หากเธอจะใช้สุนัขล่าเนื้อเพื่อไล่ล่าพวกเธอ เธอก็จำเป็นต้องเตรียมแหล่งกำเนิดแสงของตัวเอง เช่นเดียวกับแสงที่สร้างขึ้นมาเพื่อเธอในสวนสนุก มันจะส่องสว่างเพื่อให้เธอเดินไปตามถนนในยามค่ำคืนอย่างโดดเด่น
แผนของเธอมีตามนี้
สโนไวท์จะเป็นคนเดียวที่คลายการแปลงร่างและจะมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของพัคพั๊คด้วยการเดินเท้าและขนส่งสาธารณะพร้อมกับซาจิโกะและอูรูรุที่อยู่ในกระเป๋าของเธอตลอดเวลา “อูรูรุเชื่อใจเธอ” อูรูรุพูดแบบนี้กับสโนไวท์และกระโดดเข้าไปในกระเป๋าพร้อมกับพูดว่า “อย่าทำตัวบ้าๆอีกนะ” กับซาจิโกะที่ลังเลอยู่ จากนั้นเธอก็ถูกลากเข้าไปด้วยเช่นกัน
ศัตรูรู้ว่าสโนไวท์มีหน้าตาแบบไหน แต่พวกมันไม่รู้ว่าฮิเมคาวะ โคยูกิมีหน้าตาแบบไหน เธอสามารถเดินได้อย่าผ่าเผยไปรอบๆเมืองเช่นนี้โดยที่ไม่มีใครมาพูดกับเธอ ฟาลนั้นอยู่ในกระเป๋าของโคยูกิและกำลังตรวจสอบเมจิคัลเกิร์ลในบริเวณนี้ และเมื่อถึงเวลาฟาลก็จะทำให้เธอแปลงร่างได้ในทันที ฟาลนั้นเชื่อมต่ออยู่กับกลไลการแปลงร่างของสโนไวท์ ปฎิกิริยาตอบสนองของมนุษย์เมื่อสัมผัสได้ถึงการโจมตีของเมจิคัลเกิร์ลนั้นมันช้าเกินไป เพราะแบบนี้คนถึงพูดกันว่าเมจิคัลเกิร์ลไม่ควรจะคลายการแปลงร่างเป็นมนุษย์ในสนามรบ แต่สำหรับเรื่องนั้นแล้ว ฟาลสามารถตอบสนองได้ในเสี้ยววินาที
ฮิเมคาวะ โคยูกิจะเข้าไปใกล้คฤหาสน์เท่าที่สามารถทำได้ และจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ต่างๆมันเป็นยังไง เธออาจจะแปลงร่างที่นั่นเพื่อทำการซื้อเวลา อูรูรุจะออกมาจากกระเป๋าแล้วต่อสู้ไปด้วยกัน และในตอนที่ศัตรูกำลังติดพันอยู่นั้น พวกเธอก็จะให้ซาจิโกะออกมาและวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยตัวของเธอเอง หากบางคนที่คิดว่าจนถึงเมื่อซักครู่นี้ยังมีแค่เด็กสาวมัธยมปลายธรรมดา แต่จู่ๆเด็กสาวคนนั้นก็เกิดแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลขึ้นมาล่ะก็ พวกศัตรูก็จะไม่ทันเตรียมตัว พวกเธอจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์
การถูกสะกดรอยตามด้วยเงาสุนัขล่าเนื้อของดาร์คคิวตี้มันคือเรื่องน่ากังวล แต่ในตอนนี้มันคือเวลากลางคืน เธอจึงไม่สามารถตามรอยสโนไวท์และฟาลได้อย่างง่ายๆ เธอเองก็ไม่ได้ตามมาตอนที่พวกเธออยู่ในโกดังด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากใช้ระบบขนส่งสาธารณะ พวกเธอก็สามารถออกห่างจากดาร์คคิวตี้ได้
โคยูกิเปลี่ยนจากการนั่งรถไฟเป็นรถบัสเพื่อมุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง แม้จะเป็นช่วงเวลานี้ของวัน มันก็ยังมีผู้คนอยู่ข้างนอกมากกว่าเมือง N ที่เป็นบ้านเกิดของโคยูกิ ซึ่งเรื่องนี้มันทำให้ง่ายต่อการที่เมจิคัลเกิร์ลจะซ่อนตัวในฝูงชน ฟาลนั้นเพิ่มระยะเรดาห์ค้นหาศัตรูจนถึงขีดสุดเพื่อเฝ้าระวัง แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรเข้ามาเลย
การที่มีผู้คนอยู่มากมันก็หมายถึงมีรถไฟที่เปิดทำการและมีจำนวนของรถที่เยอะ พวกเธอไม่ได้รอคอยรถไฟที่จะมาถึงในอีกชั่วโมงหนึ่ง พวกเธอเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆจนกระทั่งมาถึงจุดนี้ แต่พวกเธอก็ยังไม่พบเมจิคัลเกิร์ลเลยซักคน
“ตรวจไม่พบเมจิคัลเกิร์ลเลยงั้นเหรอ?” สโนไวท์ถามฟาล
“มีแค่เธอคนเดียวนะ ปอน”
“จริงเหรอ?”
“แล้วเราจะโกหกเพื่ออะไรล่ะ ปอน?”
“ไม่มีทหารไพ่หรือเงาดำเข้ามาใกล้เลย?”
“บางทีพวกนั้นอาจจะเน้นจัดกำลังไปที่รอบๆคฤหาสน์ก็ได้นะ ปอน?”
“ฉันไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย”
“สโนไวท์ ถ้าเธอคิดว่าแบบนี้ไม่ได้ผลล่ะก็ เธอก็แค่แกล้งทำตัวเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วเดินผ่านไปก็ได้นี่ ปอน เธอจำเป็นไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อพยายามทำเรื่องนี้เลยนะ ปอน ทำถึงขนาดนั้นมันไม่คุ้มกันหรอกนะ ปอน
มันเคยมีศัตรูอยู่มากมาย แต่ในตอนนี้กลับไม่มีอยู่เลย แม้ว่าพวกเธอจะเข้าใกล้คฤหาสน์ แล้วเธอก็ยังไม่เจออะไรเลย “เสียง” นั่นบอกกับสโนไวท์ว่ากองกำลังของศัตรูถอนตัวไปแล้วมันคือเรื่องจริงงั้นเหรอ? อูรูรุกับซาจิโกะเองก็บอกเธออย่างดีใจว่าไม่ได้พบศัตรูเลยจนกระทั่งพบกับสโนไวท์
สโนไวท์ยังคงรักษาความเร็วในการเดินเอาไว้ตามปกติในตอนที่เดินไปตามทางเท้า พวกเธอใกล้ถึงไปคฤหาสน์และตรวจไม่พบเมจิคัลเกิร์ลคนใหม่เพิ่มเติมด้วย ในตอนนี้เธอมองเห็นกระเบื้องหลังคาของคฤหาสน์พัคพั๊คแล้ว
“…ไม่มีอะไรเลย ปอน”
“ไม่มีใครอยู่รอบๆคฤหาสน์งั้นเหรอ?”
“เราหมายถึงไม่มีสัญญาณเลยน่ะ ปอน”
ไม่ว่าจะเป็นชัฟฟินหรือปีศาจ หากพวกมันเข้ามาใกล้ฟาลก็จะตรวจจับพวกมันได้ เมจิคัลเกิร์ลเองก็จะแจ้งเตือนในเรดาห์เช่นกัน พวกเธอคาดว่าอีกฝ่ายจะคอยจับตาอยู่ใกล้คฤหาสน์เพื่อที่จะทำให้การเข้าหรือออกคฤหาสน์นั้นทำไม่ได้ แต่มันกลายเป็นว่าไม่มีอะไรอยู่เลย แต่ก็สโนไวท์ก็ไม่ได้ดีใจไปกับมัน เธอคิดว่ามันต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“จะประมาทไม่ได้นะ ปอน ตอนนี้อย่าวิ่ง แค่เดินก็พอ ปอน”
“รับทราบ”
ตรวจไม่พบเมจิคัลเกิร์ลคนใหม่ เธอเดินเข้าหาคฤหาสน์อย่างใจร้อน แต่เธอก็รีบร้อนไม่ได้ เธอเดินไปด้วยความระมัดระวัง เธอถามฟาลเพื่อให้ส่งข้อความไปยังคฤหาสน์จากเมจิคัลโฟนของเธอ —เป็นข้อความง่ายๆที่บอกว่าเธอพาตัวซาจิโกะมาแล้วและอีกไม่นานคงจะไปถึง— ไม่มีกำลังเสริมเข้ามาก็จริง แต่อย่างน้อยก็ควรจะเปิดประตูคฤหาสน์ให้และส่งคนออกมารับตัว
“การตรวจพบใหม่ : ไม่มี, ตรวจพบ : ไม่มี, ตรวจพบ—อ๊ะ! มีเมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งกำลังเข้ามาในระยะแล้วตรงมาทางนี้ ปอน!”
ฟาลทำให้สโนไวท์แปลงร่างและพูดว่า “ตรวจพบเมจิคัลเกิร์ลอยู่ใกล้ๆเธอ สโนไวท์!”
สโนไวท์วิ่ง อูรูรุกระโดดออกมาจากกระเป๋าและไล่ตามเธอไป
กำแพงสีขาวของคฤหาสน์อยู่ตรงหน้าของพวกเธอแล้ว พวกเธออยู่ใกล้พอที่จะเอื้อมมือเข้าไปหาและพวกเธอก็เกือบจะไปถึงแล้ว หากไม่มีใครเข้ามาขวางทางในตอนนี้ มันก็เหลืออีกแค่ก้าวเดียวที่พวกเธอจะสามารถส่งตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะกลับไปได้
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ความเร็วของสโนไวท์กลับลดลง อูรูรุที่วิ่งตามมาจากด้านหลังก็เกือบชนเข้ากับเธอ ขาของอูรูรุนั้นพันกันยุ่งเหยิงจนทำให้เธอตะโกนออกมา “เฮ้ ทำอะไรของเธอเนี่ย?”
สโนไวท์เปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการเดินอย่างช้าๆ จนในที่สุดเธอก็หยุดนิ่งโดยที่ไม่ได้ฟังเรื่องที่อูรูรุพูด
ห่างออกไปสิบเมตรมีเมจิคัลเกิร์ลยืนอยู่ —คนๆนั้นคือคนที่เธอรู้จักดี เธอสวมเกี๊ยะไม้ มีกิ๊บติดผมรูปชูริเคน สวมชุดธีมนินจา เธอมีแขนข้างเดียวและตาข้างเดียว แขนเสื้อของเธอนั้นพริ้วไหวไปกับสายลม สโนไวท์คิดว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วหลังจากไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ว่าสโนไวท์จะค้นหาเธอมากขนาดไหนแต่ก็หาตัวของเธอไม่พบเลย ภายใต้แสงสว่างของไฟถนนมันทำให้ส่วนบนของร่างกายด้านขวาดูมีสีเหลืองอ่อน
“…ริปเปิล”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สโนไวท์”
นี่คือใบหน้าและรอยยิ้มอันแสนคุ้นเคย สโนไวท์ก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับมือที่สั่นเทา
“สโนไวท์? นั่นคือริปเปิลจริงๆงั้นเหรอ ปอน?”
“ริปเปิล… นั่นคือริปเปิล เป็นเธอจริงๆด้วย ความคิดนั้น…”
นี่คือเธอจริงๆ สโนไวท์สามารถได้ยินเสียง และเสียงนั่นคือจิตใจของริปเปิล สโนไวท์พุ่งตัวเข้าไปหาและกอดตัวของริปเปิลเอาไว้ ริปเปิลเองก็กอดเธอกลับอย่างแนบแน่นและลูบหลังของสโนไวท์เบาๆ มือของนินจาคนนี้ก็มีความรู้สึกเหมือนกับริปเปิลด้วย
“ริปเปิล! ทำไมล่ะ—?! ทำไม?! ที่ผ่านมาไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย?!”
“ขอโทษนะสโนไวท์ แต่ชั้นไม่…”
อูรูรุวิ่งเข้ามาหาแล้วก็พูดออกมาพร้อมกับความสับสนเล็กน้อย “นี่อะไรน่ะ? คนรู้จักเหรอ?”
“เพื่อนของเธอที่หายตัวไปน่ะ ปอน” ฟาลตอบ
มือของริปเปิลที่ลูบสโนไวท์อยู่เกิดหยุดนิ่ง
สโนไวท์หยุดเธอไว้ไม่ได้ แขนของริปเปิลนั้นยังคงกอดสโนไวท์ แต่เธอสอดมือเข้าไปในกระเป๋าที่ห้อยอยู่ตรงเอวสโนไวท์ เมื่อริปเปิลชักมือออกมา เธอก็จับคอของพรีเมี่ยม ซาจิโกะที่ดูเจ็บปวดออกมาด้วย และก่อนที่สโนไวท์จะทันได้ตกใจ มันก็มีเลือดไหลทะลักออกมา
พรีเมี่ยม ซาจิโกะจับคอของตัวเองแล้วก็ร่วงลงไปบนพื้น อูรูรุตะโกนออกมา สโนไวท์มองขึ้นไปหาริปเปิลด้วยความงุนงง ริปเปิลนั้นมองมือขวาของเธอที่เต็มไปด้วยเลือด ท่าทางของเธอนั้นดูบิดเบี้ยวและตกใจอย่างมาก
สโนไวท์นั้นได้ยินเสียงจากจิตใจของริปเปิล —ริปเปิลนั้นสับสน หัวใจของริปเปิล จิตใจของเธอ—
“ทำไม…? ทำไมแกถึง…?” อูรูรุชักปืนของเธอเข้าไปหาริปเปิลพร้อมกับร่ำไห้ออกมา
ริปเปิลปล่อยให้ปืนนั้นโดนตัวเอง ด้ามของปืนทุบเข้าที่ใบหน้าของริปเปิลจนทำให้เธอร่วงลงไปบนพื้น อูรูรุก้าวไปข้าวหน้าเพื่อที่จะทุบลงไปอีกครั้ง แต่สโนไวท์ก็เข้ามาขวางระหว่างริปเปิลกับเธอเอาไว้
“ไสหัวไปให้พ้น!” อูรูรุกรีดร้องออกมาแล้วก็เหวี่ยงปืนเข้าไปหาสโนไวท์ แต่ก่อนที่เธอเหวี่ยงปืนลงมา สโนไวท์ก็ป้องกันเอาไว้ได้และก็หันกลับไปหาริปเปิล
“ริปเปิล!” สโนไวท์ร้องออกมา
ท่าทางของริปเปิลนั้นบิดเบี้ยวด้วยความตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความเศร้า แล้วก็กลายเป็นความโกรธ จากนั้นเธอก็หันตัวไปอีกทาง
“ริปเปิล!”
ริปเปิลไม่ได้ตอบ เธอวิ่งออกไป มีเพียงแค่ความคิดของเธอที่หลั่งไหลเข้ามายังสโนไวท์ สิ่งที่ริปเปิลทำลงไป สิ่งที่ริปเปิลเคยทำมา หัวใจของริปเปิลกำลังร้องไห้ —มันร้องออกมาว่าเธอไม่สามารถอยู่กับสโนไวท์ได้อีกต่อไปแล้ว
“ซาจิโกะ! ซาจิโกะ!”
เสียงกรีดร้องของอูรูรุนำสโนไวท์กลับมาสู่ความเป็นจริง การแปลงร่างของพรีเมี่ยม ซาจิโกะถูกยกเลิก เธอกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ที่นอนคว่ำหน้าจมอยู่ในทะเลเลือด
“หน่วยแพทย์! รีบพาเธอไปหาหน่วยแพทย์ ปอน! พวกเรายังช่วยได้ทันเวลา ปอน!” ฟาลร้องออกมา
สโนไวท์และอูรูรุมองหน้ากันและกัน จากนั้นก็ยกตัวของซาจิโกะขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในคฤหาสน์
ความร้อนหายไปจากร่างของซาจิโกะ หัวใจและลมหายใจของเธอหยุดลงแล้ว
ทำไมริปเปิลถึงมารออยู่ที่หน้าคฤหาสน์ด้วย?
ทำไมถึงไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นนอกจากเธอ?
ทำไมริปเปิลถึงต้องทำแบบนี้?
ทำไมริปเปิลถึงมองมาที่สโนไวท์หลังจากที่เธอทำเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อแบบนั้นลงไปแล้วด้วย?
ไม่ว่าเธอจะครุ่นคิดมากแค่ไหน มันก็ไม่มีอะไรออกมา ประตูของคฤหาสน์ถูกเปิดออกอย่างหนักอึ้ง และเมจิคัลเกิร์ลสองคนก็รีบพุ่งตัวเข้าไปด้านในราวกับว่าวิ่งแข่งกันอยู่
บทคั่น
ชุดเกราะนั้นเป็นผู้เล่นประเภทที่คุ้นเคยกับเรื่องที่จะไม่รู้หากเล่นไปแบบธรรมดาอย่างโบนัสสเตจและจุดวาร์ป —มันไม่ใช่สิ่งที่ลิงจะเรียนรู้ได้หากพยายามทำ การคิดว่าชุดเกราะนั้นมีสติปัญญาในระดับเดียวกับมนุษย์นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่มีเรื่องเดียวที่ยากคือการสื่อสาร
ชาโดว์เกลแกล้งทำเป็นเพลิดเพลินไปกับการเล่นเกม บางครั้งเธอก็จะลืมสถานการณ์ปัจจุบันไปเพราะจดจ่อกับการเล่นเกม แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะเป็นการแกล้งทำ
และเนื่องจากว่าเด็กสาวสวมเกราะนั้นมีสติปัญญาในระดับของมนุษย์ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ดัดแปลงทีวีหรือเกมคอนโซลในตอนที่พวกเธอเล่นกันอยู่โดยไม่ให้ชุดเกราะนั้นรู้ตัว เวทมนตร์ของชาโดว์เกลนั้นสามารถดัดแปลงจักรกลได้ แต่มันก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ตราบใดที่ชุดเกราะยังอยู่ที่นี่ ชาโดว์เกลก็ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีได้เลย ดังนั้นเธอควรจะทำอะไรเพื่อให้ชุดเกราะออกไปจากที่นี่กันล่ะ? การพยายามทำให้เกมโอเวอร์ก็คงไม่ได้เพราะชุดเกราะคงจะเริ่มเกมใหม่อยู่ดี
ที่บนหน้าจอนั้น ตัวละครของพวกเธอสองตัวกำลังยิงลูกไฟออกมาในตอนที่กำลังว่ายน้ำผ่านฉากที่เต็มไปด้วยน้ำ
หากเธอทำให้เกมคอนโซลใช้งานไม่ได้มันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ?
ตาของชาโดว์เกลมองไปที่เกมคอนโซล เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นเกมคอนโซลรุ่นเก่า มันสกปรก แถมสวิทซ์ไฟเองก็หายไป มันดูเหมือนกับว่าหากถูกกระทบกระเทือนซักเล็กน้อยก็จะพังได้แล้ว ชาโดว์เกลได้ยินมาจากที่ไหนซักที่ ว่าเพียงแค่กระแทกเกมคอนโซลรุ่นเก่าแบบเบาๆมันก็จะทำให้เครื่องหยุดทำงานได้แล้ว
ตัวอย่างเช่น ถ้าหากชาโดว์เกลจับจอยแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆเกมที่เธอเล่นล่ะ? จากนั้นเธอก็จะเสียสมดุลแบบบังเอิญ และเมื่อเธอเอามือมาค้ำไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป มือนั้นก็จะลงไปที่เกมคอนโซลพอดี พอเกมคอนโซลรับน้ำหนักไม่ได้มันก็จะพัง แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะชาโดว์เกลสามารถปรับแต่งจักรกลได้ ดังนั้นการซ่อมเกมคอนโซลจึงเป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
คำพูดแบบไม่มีท่าทีระวังอย่าง “อ๊ะ” หลุดออกมาจากริมฝีปากของเธอ เมื่อมองไปด้านข้างแล้วเธอก็จะสงสัยว่าชุดเกราะนั้นจะไม่คิดว่าแปลกใช่ไหมนะ? ตอนนี้เธอมองเห็นเด็กสาวสวมเกราะกำลังมองไปที่จอทีวีและจดจ่ออยู่กับเกม
ชาโดว์เกลมองกลับไปที่เกมอีกครั้ง หากทำแบบนั้นเธอก็จะสามารถปรับแต่งเกมคอนโซลได้อย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับเด็กสาวสวมเกราะที่นั่งอยู่ข้างๆเธอด้วย เมื่อมองดูแล้วมันก็เหมือนกับว่าพวกเธอเล่นเกมกันตามปกติ แต่ถ้าเธอสามารถปรับแต่งมันเพื่อขอความช่วยเหลือจากภายนอกขึ้นมาได้จริงๆ แบบนั้นเธอก็จะปลอดภัย
เอาแบบนี้แหละ
ก่อนอื่น ชาโดว์เกลก็จะไปยังจุดที่ทำให้ดูไม่แปลกสำหรับเธอที่จะจดจ่ออยู่กับเกมพร้อมกับจอย เธอพยายามทำให้จิตใจของตัวเองสงบลงและแสร้งทำเป็นสนุกสนานอยู่กับเกมตามปกติ จนกระทั่งพวกเธอมาถึงพื้นที่ของบอสตัวสุดท้าย
ชาโดว์เกลค่อนข้างคุ้นเคบกับเกมนี้แล้ว การตอบสนองของเมจิคัลเกิร์ลเองก็เข้ากับเกมแอคชั่นง่ายๆเช่นกัน จัดการศัตรู หลบเลี่ยงกับดัก จนพวกเธอมาถึงพื้นที่ของบอส ดนตรีประกอบที่ฟังดูน่ากลัวถูกบรรเลงขึ้นมา และรูปร่างของบอสที่ใหญ่กว่าบอสตัวอื่นถึงสามเท่าก็ปรากฎตัวขึ้น
การต่อสู้กับบอสเริ่มต้นขึ้น ตัวละครของชุดเกราะหลบการโจมตีได้อย่างงดงาม เธอเล็งเข้าไปที่จุดอ่อนของบอสด้วยลูกไฟและสร้างความเสียอย่างต่อเนื่อง สีของตัวบอสค่อยๆจางลงเพื่อแสดงให้เห็นว่า HP นั้นลดลงไปแล้ว
ชาโดว์เกลต้องเน้นทั้งหมดไปที่การหลบเพื่อไม่ให้โดนโจมตี แต่การทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดท่าทางที่โอเวอร์เกินไปขึ้นมา เธอแสร้งทำเป็นผู้เล่นที่พยายามโชว์ทักษะของตัวเองออกมาแบบว่า “ฉันไม่ใช่ตัวถ่วงซักหน่อย เข้าใจไหม!” พร้อมกับจงใจเข้าไปในเขตอันตราย กระโดด หลบการโจมตีพร้อมกับพูดว่า “อุ๊บ” ออกมา จากนั้นเธอก็แกว่งจอยของเธอไปทางขวา จากนั้นก็แกว่งมาทางซ้าย จนมันเกือบจะโดนหัวของเด็กสาวสวมเกราะ และปรับตำแหน่งการเคลื่อนไหวของตัวเองได้
ตอนนี้แหละ!
ร่างกายของชาโดวเกลสั่นไหวอย่างไม่มั่นคง หรือถ้าจะพูดให้ถูก ชาโดว์เกลทำให้ตัวของเธอสั่นขึ้นมาเอง
เธอจะเอามือลงไปเพื่อที่จะพยายามค้ำตัวเองเอาไว้ และมือขวาของเธอนั้นจะไปโดนเข้ากับเกมคอนโซล แต่ก่อนที่เธอจะยื่นมือขวาออกมา เธอก็มองเห็นเด็กสาวสวมเกราะที่กำลังจับจอยของตัวเองอยู่
ไม่ว่าชาโดว์เกลจะอืดอาดขนาดไหน เด็กสาวสวมเกราะก็ไม่เคยเยาะเย้ยเธอเหมือนกับที่คาโนเอะทำเลย เธอชี้ไปที่หน้าจอเพื่อบอกชาโดว์เกลถึงตำแหน่งที่มีอุปกรณ์ลับซ่อนอยู่ เธอปล่อยให้ชาโดว์เกลได้แต้มในโบนัสสเตจ บางทีอาจจะเป็นการแบ่งคะแนนกันแบบไม่ลำเอียงก็ได้
ความทรงจำที่พวกเธอเล่นเกมด้วยกันมันหวนกลับเข้ามาหา แต่ละที่ภายในเกมเธอนั้นได้รับน้ำใจเสมอ และชาโดว์เกลกำลังจะเยียบย่ำน้ำใจนั้นทิ้งไปด้วยการทำลายเกมคอนโซลอย่างไม่ใยดี แน่นอนว่ามันต้องทำให้เด็กสาวสวมเกราะรู้สึกเศร้า บางทีเธออาจจะไม่คิดว่าเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกันจะทำอะไรแบบนั้น
ชาโดว์เกลลังเล มือของเธอหยุดลง แล้วก็กัดฟัน
ใบหน้าของผู้คนที่เป็นห่วงเพราะเธอหายไปโผล่ขึ้นมาในใจ —พ่อของเธอ แม่ของเธอ เพื่อนของเธอ และคาโนเอะก็ด้วย เธอจำแพททริเซียที่ตายไปเพราะปกป้องเธอได้เช่นกัน
นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยว เธอต้องบอกคาโนเอะว่าเธอปลอดภัยดี และเพื่อที่จะให้คาโนเอะเข้ามาช่วยเธอด้วย
ชาโดว์เกลตัดสินใจแล้ว
เธอจะเอื้อมมือเข้าไปหาเกมคอนโซล จากนั้นก็จะเหวี่ยงมันลงมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ก่อนที่มือของเธอจะเอื้อมไปถึง เด็กสาวสวมเกราะก็จับมือของเธอเอาไว้
เกมคอนโซลนั้นปลอดภัยดี เด็กสาวสวมเกราะเอาตัวของชาโดว์เกลกลับมาที่จุดเดิม และชาโดว์เกลก็พึมพำอะไรอย่าง “เกือบไปแล้วสิ” และ “สงสัยฉันคงจะตื่นเต้นเกินไปหน่อยน่ะ” ออกมาพร้อมกับเกาหัวเพื่อซ่อนความเขินอาย เธอลืมไปแล้วว่าการตอบสนองของเด็กสาวสวมเกราะนั้นอยู่ในระดับที่สามารถต่อสู้กับเมจิคัลเกิร์ลสายต่อสู้ได้
สีของบอสจางลงแล้ว และในที่สุดเสียงแตรฟันแฟร์แห่งชัยชนะก็บรรเลงออกมา เมื่อ HP ของบอสเหลือศูนย์ตัวของมันก็เกิดระเบิดขึ้น และก็มีตัวอักษร STAGE CLEAR ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ —แต่มันก็หยุดอยู่ที่เท่านั้น มีคนกดปุ่ม PAUSE เอาไว้ ไม่ใช่ชาโดว์เกลแต่เป็นเด็กสาวสวมเกราะ เมื่อชาโดว์เกลมองไปที่เด็กสาวสวมเกราะที่อยู่ข้างๆ เธอก็เห็นว่าเด็กสาวนั้นไม่ได้มองที่หน้าจอแต่เป็นด้านหลังของพวกเธอ ซึ่งมันก็ทำให้ชาโดว์เกลมองตามไปเช่นกัน
หืมม?
เธอคิดว่ามันเป็นจินตนาการของเธอเองแต่มันก็ไม่ใช่ เสียงที่ค่อยๆเข้ามาใกล้ห้องนี้มันคือเสียงของฝีเท้า มีบางคนกำลังลงบันไดมาหาพวกเธอ
ชาโดว์เกลวางจอยลงพร้อมกับหันไปรอบๆในท่าคุกเข่า มีคนมางั้นเหรอ? จะใช่เมจิคัลเกิร์ลน้ำแข็งที่จับตัวเธอมารึเปล่า? หรือว่าจะเป็นคนอื่นกันนะ? บางทีคนๆนี้อาจจะเข้ามาช่วยชาโดว์เกลก็ได้
เสียงฝีเท้านั้นเข้ามาใกล้ จนมันดังมากพอที่ใครๆก็จะได้ยิน จากนั้นก็หยุดลง ชาโดว์เกลพยายามระงับความกังวลของเธอเอาไว้ในตอนที่มองไปยังประตู
หลังจากนั้นมันก็มีเสียงเคาะดังขึ้นอย่างเบาๆ และประตูก็เปิดออกโดยไม่ได้รอเสียงตอบกลับ
บทส่งท้าย
☆ พัคพั๊ค
พรีเมี่ยม ซาจิโกะกลับมาแล้วรึยังนะ?
เธอถูกจับตัวไปหรือถูกฆ่าไปแล้วกันแน่?
พัคพั๊คอยากให้เธอกลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับอูรูรุและสโนไวท์ พัคพั๊คอาจจะทิ้งพวกเธอเอาไว้อยู่ท่ามกลางหมู่ของศัตรู แต่กระนั้นเธอก็ยังคงหวังว่าให้พวกเธอกลับมาได้อย่างปลอดภัยจากใจจริง
พิธีมันคือเรื่องที่สำคัญมาก และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำไมฝ่ายโอสถึงพยายามจะเข้ามาแทรกแซง ซาจิโกะคือคนสำคัญที่จะเพิ่มอัตราความสำเร็จของพิธี หากไม่มีซาจิโกะ มันก็จะมีคนที่ตายอย่างเลวร้ายมากกว่าหนึ่ง หากมีซาจิโกะพวกเธอก็จะคงความสูญเสียเอาไว้ได้เพียงแค่หนึ่ง
มันเป็นเรื่องที่แย่มากที่ฝ่ายโอสค้นพบเรื่องของซาจิโกะ พัคพั๊คไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่บอกพวกนั้น แต่ถ้าเจอตัวว่าเป็นใครล่ะก็ พัคพั๊คก็จะดุด่า และบางทีโทษอาจจะหนักกว่าการงดอาหารสองวัน
ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากส่งคนของเธอไปช่วยซาจิโกะ เธอชอบซาจิโกะ เธอเข้าใจว่าการที่ซาจิโกะมีตัวตนอยู่มันจะทำให้พิธีประสบความสำเร็จง่ายขึ้น แต่เธอก็ไม่สามารถมองได้แค่ซาจิโกะคนเดียว พิธีนี้มันสำคัญมาก และเธอจำเป็นต้องเตรียมการในหลายส่วน สุดท้ายซาจิโกะก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น เธอคือส่วนที่สำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าพิธีมันจะเสร็จสิ้นไม่ได้หากไม่มีเธออยู่
สิ่งที่พัคพั๊คจะไปรับในตอนนี้คือ ส่วนที่จำเป็น ซาจิโกะนั้นคือ ส่วนที่สำคัญ ถ้าไม่มีส่วนที่จำเป็น พวกเธอก็จะไม่สามารถเริ่มทำพิธีได้ตั้งแต่แรก
ฝ่ายโอสนั้นไม่ได้มีความใส่ใจอะไรเลย แถมพวกนั้นก็ไม่รู้เรื่องความแตกต่างอีก ส่วนที่จำเป็นกับส่วนที่สำคัญน่ะมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในเมือง W พัคพั๊คก็ออกไปยังสถานที่ที่ส่วนจำเป็นอยู่ และใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อช่วยอูรูรุ โซรามิ และสโนไวท์ พัคพั๊คหายตัวไปจากที่ที่ควรจะอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพัคพั๊คต้องดิ้นรนเพื่อตามหาเธอ หลังจากที่ใช้กำลังคนทั้งหมดที่มี เวทมนตร์ และเงิน จนในที่สุด พัคพั๊คก็เจอตัวเธอ
การตามหาเด็กสาวคนนี้มันคืองานของลูกน้องพัคพั๊ค ในขณะที่การคุ้มครองเธอมันคืองานของพัคพั๊ค ทั้งสองอย่างนี้คือความจำเป็น และผลลัพธ์ก็คือเธอไม่มีคนมากพอที่จะออกไปช่วยซาจิโกะ บางทีมันอาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเธอเองที่จะพูดว่าทั้งสองคนนั้นไม่อยากให้พัคพั๊คเจอตัว คนสำคัญในสมัยก่อนเองก็เคยพูดเอาไว้ว่า ก้าวแรกของความสำเร็จคือต้องเน้นไปที่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ จากนั้นก็ลงมือทำ การโลภมากไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ดี
ต้องขอบคุณที่ใช้ความพยายามไปในทางที่ถูกต้อง เพราะในอีกไม่ช้าพัคพั๊คจะหาตัวเด็กสาวคนนี้ที่เป็นส่วนจำเป็นในพิธีเจอ ในตอนนี้ ในที่สุดพวกเธอสามารถจัดพิธีขึ้นได้แล้ว พัคพั๊คนั้นตื่นเต้นมาก และทุกคนเองก็จะดีใจด้วย
คนที่พูดว่าพิธีนี้มันยากลำบากเกินไป คนหยิ่งผยองที่พูดว่ายังไม่รู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์นี้เลย คนพวกนั้นมันก็แค่พยายามจะทำคะแนน และโอส คนที่ไม่ต้องการให้ใครอื่นคำแนนได้ก็เข้ามาขวางทางเธอ คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่ผิดกันทั้งหมด ทุกคนต้องเข้าใจนั่นคืออดีตที่ผ่านมาแล้ว
แต่ถ้าคนพวกนั้นเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าดินแดนเวทมนตร์จะไม่มีอยู่ที่ไหนอีกต่อไป แบบนั้นตัวเลือกเดียวที่พวกนั้นจะเลือกก็คือการเปิดใช้งานอุปกรณ์ขึ้นมา
ซาจิโกะกลับมารึยังนะ? พัคพั๊คนั้นเป็นห่วงเธออยู่ตลอด เธอเป็นเด็กขี้แย เมื่อเธอกลับมาแล้วพัคพั๊คก็จะปลอบโยนเธอ อูรูรุอาจจะโกรธ แต่ถ้าพัคพั๊คชมเธอว่าพยายามทำงานได้ดีมาก เธอก็คงจะดีใจ หากโซรามิอยู่ด้วย เธอก็คงร่วมมือกับพัคพั๊คเพื่อช่วยทั้งสองคน แต่ในตอนนี้โซรามิไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
เมื่อมาถึงจุดหมายแล้ว พัคพั๊คก็ลงมาจากรถ
พัคพั๊คข่มความโศกเศร้าเอาไว้แล้วยิ้มออกมาอย่างสดใส นี่เป็นครั้งแรกในระยะเวลาอันเนิ่นนานที่เธอใช้เวทมนตร์ของตัวเองแบบเต็มกำลัง มันไม่สำคัญเลยว่าจะป็นปีศาจรูปแบบใหม่หรือเมจิคัลเกิร์ลประดิษฐ์ ปีศาจมีปีกทุกตัวมันก้มลงกราบเธอ ในขณะที่เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่ถือดาบและอีกคนหนึ่งที่มีปืนใหญ่นั้นก็คุกเข่าลง ทุกคนล้วนมองมาที่พัคพั๊คคนที่ควรจะเป็นศัตรูด้วยความเคารพรัก และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพัคพั๊คอีกด้วย
หลังจากที่คนรับใช้เปิดประตูที่อยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว พวกปีศาจก็นำทางเธอเข้าไปด้านใน พัคพั๊คนั้นเดินลงบันไดมา เธอมุ่งหน้าไปหาเด็กสาวที่เธอรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ พัคพั๊คไม่เคยลดพลังของตัวเองลง ดังนั้นเด็กสาวคนนี้ก็จะกลายมาเป็นเพื่อนของเธอเช่นกัน ปีศาจนั้นเอามือวางลงบนประตูแล้วก็เปลี่ยนเป็นการเคาะ และพัคพั๊คก็เดินเข้าไปในประตูที่เปิดออกช้าๆอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
“พัคมารับแล้วนะ ชาโดว์เกล”
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
แม้สโนไวท์จะเติบโตขึ้นมามากในฐานะคนๆหนึ่ง แต่มันก็ยังคงมีความไร้เดียงสาหลงเหลืออยู่ในตัวของเธอ
ความไร้เดียงสานั้นก็ไม่ใส่สิ่งที่เลวร้าย
เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความฝัน ความหวัง และการภาวนาด้วยความรู้สึกที่มีต่อเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่เชื่อใจเธอ การชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องอันตรายที่เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งอาจลงมือทำ และการต้องทนทุกข์ทรมาณในสิ่งที่เด็กสาวเลือก มันคือเรื่องราวอันงดงามเหนือกว่าความสามารถของเฟรเดริก้าที่จะสามารถทำได้ เมจิคัลเกิร์ลประเภทที่เลือกการทรมาณในการฆ่าคนหนึ่งคนที่มันอาจจะช่วยเหลือคนอีกนับหมื่นคนได้มันคือเมจิคัลเกิร์ลที่ใกล้เคียงกับอุดมคติ แต่คำถามก็คือว่าหากมันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันก็ควรจะฆ่าคนๆนั้นรึเปล่า
เฟรเดริก้าอยากจะเคารพอนาคตที่เด็กสาวเลือก แต่ในตอนนี้มันคือช่วงเวลาคอขาดบาดตายที่ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะกลายเป็นเสียเปล่า หรือความหวังอาจจะยังคงมีอยู่ต่อไปได้ หากการฆ่ามันยังทำให้ความหวังยังหลงเหลืออยู่ในอนาคต แบบนั้นเฟรเดริก้าก็จะทำงานสกปรกของเธอต่อไป
เฟรเดริก้าแผ่ฝ่ามือขวาออกมาเพื่อบอกถึงเรื่องกาแฟที่อยู่ในถ้วย
“เชิญเลย นี่สูตรพิเศษนะ”
“สูตรพิเศษของเฟรเดริก้า? ไม่ได้มีเส้นผมผสมอยู่ใช่ไหมน่ะ?”
“ให้ตายสิ เส้นผมเหรอ? ฉันไม่ได้อยากทำอะไรแบบเสียเปล่าหรอกนะ ถ้าฉันจะผสมอะไรเข้าไปล่ะก็ มันก็มีแต่ยาพิษนั่นแหละ”
“งั้นเหรอ ก็จริงอยู่ แบบนั้นชั้นจะรับไว้แล้วกัน” เมื่อพูดออกมาแบบนั้น เมจิคัลเกิร์ลก็ยื่นมือออกมาจับถ้วยกาแฟและจับที่หูของถ้วยอย่างแผ่วเบา แต่มันก็มีเสียงแหลมๆดังออกมา เมื่อเฟรเดริก้าหันไปดู เธอก็เห็นหูของถ้วยที่หักออกมา
“โทษที” เฟรเดริก้าพูด “เดี๋ยวฉันจะเอาถ้วยใหม่ให้”
“ไม่ ไม่เป็นไรหรอก” เธอยกถ้วยขึ้นด้วยท่าทางงดงามเกินกว่าจะเรียกว่า ‘จับ’ เธอเอาถ้วยไปสัมผัสกับริมฝีปาก เมจิคัลเกิร์ลนั้นสามารถทนความร้อนได้อยู่แล้ว ดังนั้นกาแฟร้อนๆจึงไม่ได้สร้างปัญหาอะไร “นี่มันอร่อยจัง”
“ใช่ไหมล่ะ?”
“ขาดความอ่อนน้อมแบบนี้มันสมกับเป็นเธอดีนะ”
“ฉันเองโดนพูดแบบนี้ใส่บ่อยๆเหมือนกัน”
“ชั้นขอสูตรได้ไหม?”
“ฉันจะเอามาให้นะ”
สภาพแวดล้อมโดยรอบคือพื้นคอนกรีตและฝ้าเพดานที่ชื้นแฉะ ที่ที่มีอากาศอันสดชื่นผสมเข้ากันกับเชื้อรา สิ่งที่ดูปกตินั้นมีเพียงเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ และกาแฟ เก้าอี้โยกสีขาวที่เป็นแบบเดียวกับที่นักเขียนอเมริกันชื่อดังใช้ และโต๊ะไม้ที่เป็นแบรนด์เดียวกันที่ตั้งคั่นกลางเอาไว้ระหว่างเฟรเดริก้าและเมจิคัลเกิร์ลที่ทั่วทั้งตัวเป็นสีฟ้าที่กำลังเอร็ดอร่อยกับรสชาติของกาแฟไปด้วยกัน ชุดสีฟ้าของเธอนั้นเปล่งประกายอย่างสดใสจนทำให้เมื่อมองดูแล้วรู้สึกปวดตา นี่ไม่ใช่แบบที่เฟรเดริก้าชอบเลย เฟรเดริก้าชอบสีที่เรียบง่ายและสละสลวยมากกว่า ชุดของเธอเองก็ไม่ใช่แบบนั้น ผู้คนนั้นมักจะต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มีอยู่เสมอๆ
“แต่เธอจะไม่บอกว่า การที่ถ้วยแตกแบบนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของอะไรหน่อยเหรอ?” เมจิคัลเกิร์ลชุดสีฟ้าถาม
“ถ้ามันจะมีความหมายอะไรล่ะก็ ฉันแน่ใจว่ามันหมายถึงสัญญานที่ไม่ดีนะ” เฟรเดริก้าตอบ
“เรื่องนี้น่ะไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการคำนวนพลาดหรอก”
“ใช่”
“พวกเราควรจะรู้ตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
ทั้งสองคน —แม้ว่าจะมีคนหนึ่งที่หูของถ้วยหายไป— จิบเครื่องดื่มของตัวเอง
“การกำจัดพรีเมี่ยม ซาจิโกะน่ะเป็นสิ่งที่มากที่สุดที่พวกเราทำได้แล้ว” เมจิคัลเกิร์ลชุดสีฟ้าพูด
“นั่นสินะ”
“แม้จะบรรลุเป้าหมายขั้นแรกไปแล้ว แต่สิ่งต่างๆมันก็กลายเป็นเรื่องยากที่จะพูดมาว่าแผนการของพวกเราสำเร็จ”
“ก็ใช่”
“เรื่องของชาโดว์เกลนี่น่าตลกดีนะ คนที่ถูกจับกุมเอาไว้เพื่อการเบี่ยงเบนความสนใจ แต่กลับกลายเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของพัคพั๊คไปซะได้”
“เบี่ยงเบนความสนใจ?”
“แล้วมันเป็นเรื่องอื่นงั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก…ถ้าเธอพูดว่าคือการเบี่ยงเบนความสนใจ แบบนั้นฉันก็แน่ใจว่าเป็นไปตามที่พูดนั่นแหละ ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลประเภทที่จะพูดโกหกออกมาหรอกนะ ลาพิส ลาซูไลน์”
“เธอนี่ก็ยอเกินจริงไปหน่อยนะ”
เป้าหมายที่แท้จริงของเฟรเดริก้าและเมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ —ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นแรก— นั้นคือการลักพาตัวพรีเมี่ยม ซาจิโกะเพื่อหยุดยั้งฝ่ายพัคจากการวางแผนเรื่องพิธี จริงๆแล้ว พวกเธอก็อยากให้ซาจิโกะมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าทำไม่ได้มันก็ต้องฆ่าเธอทิ้ง สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็ได้จัดเตรียมหน่วยหนึ่งเอาไว้เพื่อสร้างความวุ่นวายในที่สาธารณะซึ่งคือ —ดีลูจ— และหนึ่งคน —ริปเปิล— ที่เคลื่อนไหวออกมาจากในเงามืด พวกเธอคิดว่าเป็นการดีที่จะจัดการกับพีเฟิลในตอนที่เธอนั้นอยู่ในสถานะที่อ่อนแอที่สุดเพราะสูญเสียความทรงจำของตัวเองไป
แม้พวกเธอจะบรรลุเป้าหมายแรกจากแผนการสำคัญได้สำเร็จ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตามมาหลังจากนั้น พวกเธอก็ยอมรับว่าแผนการนี้มันล้มเหลว
เฟรเดริก้ายกถ้วยของเธอขึ้นจิบ
เมจิคัลเกิร์ลที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอในตอนนี้ —ลาพิส ลาซูไลน์รุ่นแรก— นั้นไม่ใช่คู่หูที่จะเชื่อใจได้ตั้งแต่แรก พวกเธอเป็นพันธมิตรกันแบบชั่วคราวเพราะมีความสนใจตรงกันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เฟรเดริก้าสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลาซูไลน์ไม่ได้เปิดเผยความตั้งใจจริงของตัวเองออกมา
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงของพวกเธอทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
เฟรเดริก้านั้นนับถือลาซูไลน์มาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอย่างความเชื่อใจ ความมั่นใจ ความจริงใจ หรือความซื่อสัตย์
“แต่ยังไงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ต้องปรบมือให้กับร่างเกิดใหม่ของปราชญ์จริงๆ ซาจิโกะเองก็คงถูกใช้เป็นตัวเบี้ยสำคัญด้วย”
“การที่เธอถูกฆ่าตาย มันก็ทำให้เรื่องความสำเร็จของพิธีลดลงไปด้วยนะ”
“แม้โอกาสสำเร็จจะลดลง แต่มันก็แน่ใจได้ว่าเธอคงฝืนทำมันต่อไปอยู่ดี “
เฟรเดริก้าคิดว่าเธอควรจะรู้ตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่ามันน่าสงสัยที่ฝ่ายพัคไม่ได้ส่งกำลังเสริมออกมา แม้จะเป็นหลังจากที่พรีเมี่ยม ซาจิโกะถูกเจอตัวแล้วก็ตาม
และจากนั้นพวกเธอก็ถูกเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพิธีนี้
พิธีนี้มันเกี่ยวข้องกับการใช้งานอุปกรณ์ที่ปฐมจอมเวททิ้งเอาไว้ แต่พวกนั้นจะไม่ใช้โชคทั้งชีวิตที่สร้างขึ้นมาโดยพรีเมี่ยม ซาจิโกะเพื่อใช้งานมัน พิธีนี้จะใช้ชาโดว์เกล คนที่ได้รับโชคทั้งชีวิตที่สร้างขึ้นมาโดยพรีเมี่ยม ซาจิโกะเพื่อที่จะดัดแปลงอุปกรณ์นั้น ดังนั้นกุญแจสำคัญจึงไม่ใช่ซาจิโกะ —แต่มันคือชาโดว์เกล หากซาจิโกะไม่อยู่ ผลที่เกิดขึ้นก็มีแค่ความสำเร็จจะลดลง แต่ถ้าไม่มีชาโดว์เกล พวกนั้นก็จะไม่สามารถเริ่มพิธีได้ในตั้งแต่แรก
แม้เฟรเดริก้าจะถามลาซูไลน์ไปว่าคิดเรื่องของชาโดว์เกลมานานแค่ไหนแล้ว ลาซูไลน์ก็จะไม่บอกเธอ และถ้า
เฟรเดริก้าถูกถามเธอก็จะไม่พูดออกมาเช่นกัน
“พัคพั๊คใช้ซาจิโกะเป็นเหยื่อล่อ เพื่อจับตัวชาโดว์เกลอย่างชาญฉลาดงั้นสินะ” ลาซูไลน์พูด
“จริงๆแล้ว…ฉันสงสัยเรื่องนั้นนิดหน่อย” เฟรเดริก้าอ้าแขนออกพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย “เธอไว้ใจในตัวลูกน้องอย่างน่าประหลาด สโนไวท์เองก็เช่นกันใช่ไหมนะ? ไม่ใช่ว่าซาจิโกะเป็นตัวล่อหรอก แต่มันเป็นเพราะพัคพั๊คคิดว่าคนแค่จำนวนไม่มากก็จัดการได้แล้วต่างหาก หรืออีกแง่หนึ่ง เธอใช้กำลังทั้งหมดไปในการจับตัวชาโดว์เกลจนส่งใครออกมาไม่ได้”
ลาซูไลน์ปรบมือของเธอ “นั่นทฤษฎีใหม่เลย ชั้นยอมรับนะ”
“ฉันคิดว่าการมีความอ่อนโยนของมนุษย์ มันทำให้ร่างเกิดใหม่ของปราชญ์มีความสนิทสนมบางอย่างขึ้นมาด้วย”
“เห็นด้วย”
ทั้งสองคนจิบกาแฟของตัวเอง
“แต่ว่า…ทำกับริปเปิลแบบนั้นมันโอเคแล้วเหรอ?” ลาซูไลน์ถามเธอ
“มันดีที่สุดแล้วล่ะ”
“คือ?”
“เธอเป็นคนที่มีประโยชน์กับฉัน และฉันเองก็สอนอะไรกับเธอไปหลายๆอย่างด้วย ฉันรู้สึกว่าพวกเราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาได้นะ แต่หลายสิ่งหลายอย่างเองก็ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอด ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะเติบโตต่อไปได้ถ้ายังอยู่ภายใต้การควบคุมของฉันด้วย”
เฟรเดริก้าดึงดาบเล่มบางๆออกมาจากแขนเสื้อ และเอามันขึ้นไปส่องกับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
“การใช้ดาบเล่มนี้กับคนอื่นมันจะเป็นการยกเลิกการล้างสมองริปเปิล และในตอนนั้นเธอก็จะทิ้งฉันไป เวลาที่ฉันต้องใช้ดาบเล่มนี้ใกล้เข้ามาถึงแล้วล่ะ สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือการแยกจากกับริปเปิล ซึ่งในไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเกิดอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ว่าเล็งจังหวะแบบนั้นอยู่งั้นเหรอ?”
“จังหวะ?”
“รสนิยมแย่สุดๆเลยนะที่ยกเลิกเวทมนตร์ในตอนที่เธอฆ่าซาจิโกะพอดี”
“อ๊ะ นั่นเป็นเจตนาร้ายเล็กๆน้อยๆน่ะ”
สโนไวท์สามารถได้ยินความคิดของผู้คนที่มีปัญหา
เฟรเดริก้าให้ริปเปิลโจมตีซาจิโกะในตอนที่สโนไวท์อยู่ด้วย พอเฟรเดริก้าเริ่มคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปว่า เมื่อสโนไวท์ที่สัมผัสได้ถึงความคิดของริปเปิลได้ในวินาทีถัดไป มันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ? การคิดแบบนั้นมันทำให้เฟรเดริก้าหยุดตัวเองไม่ได้
มันเป็นนิสัยที่ไม่ดี เป็นนิสัยที่ไม่ดีเอามากๆ แต่ไพตี้ เฟรเดริก้าคือเมจิคัลเกิร์ลที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับนิสัยที่ไม่ดีอยู่แล้ว มันคงสายเกินไปถ้าจะมาเกลียดตัวเองเอาตอนนี้
เธอรู้สึกตื่นเต้นที่เมื่อจินตนาการว่า สโนไวท์จะรู้สึกยังไงเมื่อได้ยินเสียงจากส่วนที่ลึกที่สุดของริปเปิล และริปเปิลจะทำอะไรต่อไปเมื่อได้สติของตัวเองกลับมาแล้วหลังจากที่อยู่ตกอยู่ใต้การควบคุมของเฟรเดริก้ามาตลอด ในตอนนี้สโนไวท์กำลังถูกขัดด้วยหินลับมีด หากขัดได้ไม่ดีพอเธอก็อาจจะแตกสลายได้ เฟรเดริก้าจึงปรับเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
การเอาตัวเองเป็นหลักแบบดาร์คคิวตี้มันไม่ใช่เรื่องที่ดี สโนไวท์นั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่เพื่อเฟรเดริก้า —แต่เฟรเดริก้าต่างหากที่มีตัวตนอยู่เพื่อเธอ
“ถ้าเธอจะเข้ามาร้องไห้กับชั้นเพราะเจตนาของตัวเองมันพาไปสู่จุดจบล่ะก็ อย่าเข้ามาเลย” ลาซูไลน์พูดออกมาพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด
“ขอบคุณเรื่องคำแนะนำมากเลยนะ” เฟรเดริก้าใส่เรเปียกลับเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นทั้งสองคนก็จิบเครื่องดื่มของตัวเอง
ริปเปิลเองก็ดีใจตอนที่เฟรเดริก้าลูบหัวของเธอ และเฟรเดริก้าเองก็ชอบสัมผัสเส้นผมของริปเปิลด้วย —ประโยชน์นั้นมีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างสโนไวท์กับเฟรเดริก้าเองก็เหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายนั้นได้ผลประโยชน์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเฟรเดริก้าถึงหยุดตัวเองไม่ได้ แม้สโนไวท์จะพยายามหนีไปจากเธอ เฟรเดริก้าก็จะไล่ตามเธอไป
เฟรเดริก้าจะใช้อะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์จนกระทั่งมันสามารถทำหน้าที่ได้ตามวัตถุประสงค์เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเก็บเอาไว้ในครอบครองหรือไม่นั้นมันก็เป็นคำถามอย่างหนึ่ง สิ่งนั้นมันควรจะพิสูจน์ว่ามีประโยชน์ในตอนนี้ แต่ถ้าหากเห็นได้ชัดว่ามันจะแว้งเข้ามากัดเธอล่ะก็ แบบนั้นการทิ้งมันไปในขณะที่ยังมีประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ก็คงจะดีที่สุด
——— Magical Girl Raising Project Arc 5 : ACES [จบภาค] ——–
ความแตกต่างระหว่างการแปลของ platfleece กับ yenpress
คำพูดของบลูเบลในบทที่ 5
– ของ Platfleece จะมีประโยคที่พูดเยอะกว่า อย่างเช่น “ถ้าดีลูจจะลงนรก ฉันเองก็จะไปกับเธอด้วย”
– ของ Yenpress จะมีตามด้านบน
อาวุธที่มิจจังใช้ในบทที่ 5
– ของ Platfleece จะใช้อาวุธที่ต่างออกไปอย่างเช่น ปืนกล จะเป็นปืนกลทอมสัน (บวกกับคำบรรยายยาวๆ) และไม่ได้มีการเล่นคำอย่าง tako,kaito
– ของ Yenpress จะมีชื่อศัพท์ที่มิจจังพูดและการออกเสียงมาตลอด
อูรูรุมาที่โกดัง
– ของ Platfleece อูรูรุจะมาถึงก่อนสโนไวท์
– ของ Yenprees สโนไวท์จะมาถึงก่อน
ดาร์คคิวตี้กับกลาเซียอาเน่
– ของ Platfleece ดาร์คคิวตี้จะเป็นคนพูดเองว่าจะเป็นคนที่โจมตีใส่คนโดยรอบเพื่อล่อสโนไวท์ออกมา และกลาเซียอาเน่ก็จะพูดเตือนออกมา
– ของ Yenpress กลาเซียอาเน่จะเป็นคนพูดและดาร์คคิวตี้ก็ปฎิเสธที่จะทำแบบนั้น
ฮามูเอลใช้เวทมนตร์กับสโนไวท์
– ของ Platfleece สโนไวท์จะหันมองรอบตัว
– ของ Yenpress สโนไวท์ตัวจะกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ได้หันมอง และมีการพูดถึงการจัดท่านั่งของอูรูรุให้เรียบร้อยด้วย
ฮามูเอลพูดถึงกริมฮาร์ท
– ของ Platfleece จะไม่ได้พูดถึงการสับเปลี่ยนร่างเมจิคัลเกิร์ลที่ใช้เกิดใหม่ แต่ของ Yenpress จะพูดถึง
ริปเปิลกับซาจิโกะ
– ของ Platfleece ริปเปิลนั้นจะเอาคาตานะแทงลงไปในกระเป๋าสี่มิติ ส่วนของ Yenpress จะเป็นการจับคอซาจิโกะ
อูรูรุหลังจากที่ซาจิโกะถูกฆ่า
– ของ Platfleece อูรูรุจะถามสโนไวท์ว่าหยุดทำไม และสโนไวท์จะขอโทษอูรูรุ รวมถึงจะร้องไห้ในตอนท้าย และไม่มีฉากวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์
– ของ Yenpress อูรูรุจะพูดตามด้านบน และสโนไวท์จะคิดถึงเรื่องของริปเปิลว่าทำไมมาอยู่ที่นี่
ไพตี้พูดถึงริปเปิล
– ของ Platfleece จะบอกว่าที่ทำแบบนี้ก็เพื่อการเติบโตของทั้งคู่
– ของ Yenpress จะบอกว่าเมื่อไพตี้ทำแบบนี้ไปแล้วทั้งคู่จะมีปฎิกิริยายังไง
***อนึ่ง เรื่องจำนวนหน้าของบทที่ 5 ของ platfleece จะเกิน 100 หน้า googledocs แต่ของ yenpress จะมีประมาณ 58 หน้าแค่นั้น***
ALL FOR YOU will coming…