ตอนที่ 6:
จุดเริ่มต้นของจุดจบ
☆ เว็ดดิ้น (เหลือเวลาอีก 17 ชั่วโมง 38 นาที)
“คุณฮิเมโนะ! ได้ยินรึเปล่า คุณฮิเมโนะ?”
คุรุคุรุ ฮิเมะคลายการแปลงร่างและนอนกองอยู่กับพื้น อาจารย์ไม่ตอบสนองกับการเรียกของเธอเลย ที่หน้าอกนั้นยังคงขยับขึ้นลงเหมือนยังคงหายใจอยู่ แต่ว่าหมดสติไปโดยสมบูรณฺ์แล้ว อาจารย์คงจะช่วยเว็ดดิ้นออกจากสถานการณ์นี้ไปไม่ได้
เว็ดดิ้นตั้งใจขยับแขนขา เธอกลั้นลมหายใจจนใบหน้าร้อนผ่าว ใช้พลังทั้งหมดเพื่อทำลายเชือกที่ตรึงเธอเอาไว้ เธอพยายามดึงมันจนตัวเองเกือบขาดออกซิเจน แต่เชือกนั้นก็ไม่หลุดออกไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งก็ตาม
สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงนอนแผ่อยู่บนพื้น ในที่สุดหูกระต่ายนั้นก็ออกห่างจากตัวเธอไป แต่เว็ดดิ้นนั้นก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะหาความได้เปรียบจากโอกาสนี้
เธอเข้าใจว่าหูกระต่ายนั้นทำอะไรบางอย่างลงไปกับคุรุคุรุ ฮิเมะ แต่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร แม้คุรุคุรุ ฮิเมะจะจับคู่ต่อสู้เอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เธอก็กลับส่งเสียงร้องออกมาแล้วก็ล้มลงบนพื้น คลายการแปลงร่างกลับไปเป็นมนุษย์ที่ชื่อคุณโนโซมิ ฮิเมโนะ ชุดของเธอและริบบิ้นก็หายไปในเวลาเดียวกัน ในตอนนี้หูกระต่ายที่เป็นอิสระยืนขึ้นและเดินเข้ามาหาเว็ดดิ้น คนที่ยังคงถูกตรึงไว้เป็นรูปไม้กางเขน
เธอเข้าใจแล้วว่าแผนของตัวเองล้มเหลว เว็ดดิ้นจึงพูดกับหูกระต่ายไปว่า
“มาสิ อย่างที่พูด มาหยุดเรื่องความรุนแรงทั้งหมดนี่ซะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้มาทำร้ายคุณอยู่แล้ว”
หูกระต่ายใช้เชือกที่ดึงออกมาจากแขนเสื้อมันแขนและขาของเว็ดดิ้นเอาไว้ เธอดึงเอาคุไนที่ปักอยู่บนพื้นออกไปทีละอัน เว็ดดิ้นนั้นไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะขยับคุไนได้เลย แต่เมื่อหูกระต่ายดึงมันออกไป เธอก็เริ่มขยับตัวได้อย่างช้าๆ
“นี่เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายพวกเราหรอกเหรอ?”
“พวกเราพยายามจะไม่ทำร้ายให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ”
“ดิฉันไม่เรียกมันว่า ‘พยายาม’ หรอกนะ”
หูกระต่ายดึงคุไนที่อยู่รอบๆตัวเว็ดดิ้นออกไปจนหมด มัดตัวของเว็ดดิ้น แล้วกลิ้งไปที่ข้างๆตัวเอง
ในตอนนี้หูกระต่ายกำลังมัดคุณฮิเมโนะอยู่ หลังของเธอนั้นหันมาทางเว็ดดิ้น เว็ดดิ้นพยายามขยับแขนขาแต่เชือกนั้นรัดไว้แน่น แม้จะเป็นพลังของเมจิคัลเกิร์ลก็ฉีกมันออกไม่ได้
หูกระต่ายหันมามองเว็ดดิ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเเว็ดดิ้นยังคงถูกมัดอยู่ แล้วก็ทำงานของเธอต่อไป
“นั่นเป็นเชือกแบบพิเศษที่หัวหน้าทีมของเราทำขึ้นค่ะ คิดว่าถ้าจะฉีกมันออกคงลำบากหน่อย”
“ถ้างั้นช่วยคลายมัดได้ไหม? ไม่ขัดขืนอะไรหรอกนะ”
“คุณเนี่ยเป็นคนประเภทที่ดิฉันต้องระวังที่สุดเลยล่ะ”
“ไม่จริงซะหน่อย ใครๆก็ว่าดิฉันเนี่ยเป็นกุลสตรีมากเลยนะ”
“แต่ที่พูดออกมามากๆก่อนหน้านี้เนี่ย มันก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ใช่รึไงคะ?”
หูกระต่ายยกตัวคุณฮิเมโนะขึ้นด้วยแขนขวาของเธอ แล้วมือซ้ายของเธอก็จับขาของเว็ดดิ้นแล้วเหวี่ยงขึ้นไปคว่ำหน้าบนไหล่
“นี่! อย่างน้อยก็อย่าแบกแบบคว่ำหน้าสิ!”
“ดิฉันตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะไม่พูดกับคนที่พูดเรื่องหลอกลวงออกมาอย่างคุณ ไม่ว่าจะพูดอะไรดิฉันก็จะไม่ฟังอีก ไงๆก็ฟังสถานการณ์จากเด็กผู้หญิงคนนี้คงง่ายกว่า”
ช่างน่าเศร้าที่หูกระต่ายไม่ได้พูดอะไรผิด
เว็ดดิ้นพยายามหลอกหูกระต่ายด้วยการพูดออกมาแบบไม่หยุด หากโชคอยู่ข้างเธอ หนึ่งในประโยคที่พูดอาจจะมีผลขึ้นมาก็ได้ แต่หูกระต่ายก็ไม่ตั้งใจรับฟังอะไรเลย เธอยังคงแบกเว็ดดิ้นกับคุณฮิเมโนะต่อไป “ดิฉันต้องออกไปจากที่นี่ก่อนที่มนุษย์ที่เป็นตำรวจจะมาถึง” จากนั้นเธอก็กระโดดขึ้นไปด้านบนของอพาร์ทเมนท์แล้วก็ไปยังหลังคาบ้าน
เหมือนว่าหูกระต่ายนั้นมีแผนจะไปรวมตัวกับคนอื่น เธอกระโดดผ่านหลังคาบ้าน อาคารพาณิชย์ และเสาโทรศัพท์ จนมาถึงที่ที่รถตู้นั้นถูกทำลายอยู่ที่ถนนด้านล่าง มีรถคันอื่นที่จอดอยู่ริมถนนเช่นกัน มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นเริ่มมารวมตัวกันรอบๆแล้ว
หูกระต่ายมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนลงมาจากสิ่งก่อสร้างด้านบนด้วยสีหน้าที่ราวกับถูกตะกั่วหลอมเหลวเทลงไปในคอ จากนั้นเธอก็เอาเมจิคัลโฟนออกมาแล้วโทรออกทันที แต่มันก็ไม่มีคนรับสาย ท่าทางของหูกระต่ายดูเคร่งเครียดขึ้นแล้วพึมพำออกมาว่า “บางทีอาจจะสัญญาณไม่ดีก็ได้” แล้วก็ “ตรงไปยังจุดนับพบฉุกเฉินเลยดีไหมนะ?” จากนั้นเธอก็ขยับตัวไปขอบดาดฟ้าแล้วก็พยายามติดต่ออีกครั้ง
เว็ดดิ้นคิดว่านี่แหละ ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยหูกระต่ายอารมณ์ไม่ดี แถมยังไม่ได้จับตามองเว็ดดิ้นอยู่ด้วย หากเว็ดดิ้นจัดการกับปัญหาเดียวที่มีอยู่คือเชือกได้ล่ะก็ เธอก็อาจจะหนีออกไปได้ เมื่อเว็ดดิ้นคิดเช่นนั้นก็ขยับตัวไปมาและพยายามคุยกับคุณฮิเมโนะที่สลบอยู่ข้างๆ แต่ว่ามันไม่ได้ผล เว็ดดิ้นแข็งแกร่งไม่พอที่จะคลายเชือกนี้ได้
เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของคอนกรีตที่แล่นผ่านจากหลังเข้ามายังในกระดูก
สุดท้ายแล้วเรื่องแบบนี้น่ะความแข็งแกร่งมันคือทุกอย่างงั้นเหรอ? อีกด้านหนึ่งของดาดฟ้า หูกระต่ายก็ยังคงง่วนอยู่กับเมจิคัลโฟนของเธอ เหมือนว่าเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งแบบเธอนั้นก็มีปัญหาของตัวเองที่ต้องจัดการเช่นกัน
เว็ดดิ้นถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เว็ดดิ้น เมย์เหนื่อยแล้ว”
จู่ๆมันก็มีเสียงขึ้นมา เว็ดดิ้นเกือบจะร้องออกมาในทันที แต่เธอก็กัดริมฝีปากตัวเองทนเอาไว้ได้ เท็ปเซเคเมย์กำลังมองลงมาหาเธอ เธอไขว้ขาลอยตัวอยู่ในอากาศ
เว็ดดิ้นจึงพูดกับเธออย่างเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ “นี่เธอไปไหนมาเนี่ย?”
“มีศัตรูมา เมย์ก็เลยไปสู้ เธอแข็งแกร่ง”
“จัดการได้รึเปล่า?”
“เมย์ทำไม่ได้ เธอแข็งแกร่งเกินไป”
“เพราะแบบนั้นเธอก็เลยหนีมางั้นเหรอ? เอาเถอะ มันไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้น่ะที่สำคัญคือเธอทำอะไรซักอย่างกับเชือกนี่ได้รึเปล่า? ดิฉันคลายมันออกเองไม่ได้”
“เมย์ตัดเชือกของเว็ดดิ้นให้แล้ว ของอีกคนทางนี้ก็ด้วย”
เว็ดดิ้นขยับมือของเธอแล้วเชือกนั้นก็หล่นลงอย่างนิ่มนวล เหมือนกับถูดมีดที่คมมากตัดออกไป
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็หนี—”
“ไม่”
เท็ปเซเคเมย์ไม่ได้มองมาที่เว็ดดิ้น สายตาของเธอนั้นมองไปยังทิศทางอื่น เมื่อเว็ดดิ้นมองตามสายตาของเธอไปก็ว่าเธอมองไปที่หูกระต่าย หูกระต่ายนั้นกำลังมองมาที่พวกเธอพร้อมกับถือเมจิคัลโฟนอยู่ในมือ
เว็ดดิ้นลุกขึ้นมาแล้วกระโดดออกไปทางด้านข้างของสิ่งก่อสร้าง เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของหูกระต่ายไล่หลังตามมาด้วย มันเร็วจนน่ากลัว—เร็วยิ่งกว่าเธอซะอีก แบบนี้ไม่ไหว เว็ดดิ้นต้องเลือกระหว่างยอมแพ้อีกครั้งไม่ก็สู้ด้วยกันกับเท็ปเซเคเมย์แล้ว
เท็ปเซเคเมย์บินอยู่ข้างตัวเว็ดดิ้น เหมือนว่าการวิ่งนี้จะไม่ทำให้เธอลำบากเลย
“เว็ดดิ้นช้าจัง”
“พวกเราทุกคนมีความสามารถต่างกันนะ!”
“เพราะเว็ดดิ้นช้า เมย์เลยจะช่วยเอง”
ตอนนี้เว็ดดิ้นกำลังวิ่งอยู่ เท็ปเซเคเมย์ก็คว้าคอเสื้อของเธอแล้วดึงขึ้นมา จากนั้นเว็ดดิ้นก็ถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
“แบบนี้เร็วกว่า”
เท็ปเซเคเมย์เร่งความเร็วขึ้น แต่หูกระต่ายที่ไล่ตามมานั้นก็รวดเร็วเช่นกัน เธอไล่ตามมาติดๆ เท็ปเซเคเมย์ก็พยายามหาวิธีสลัดเธอให้หลุด เธอบินไปผ่านทั้งด้านหน้าโกดังการเกษตร ทั้งลานจอดรถของร้านหนังสือขนาดใหญ่ แล้วก็ถนนด้านหลังร้านปาจิงโกะ พุ่งเข้าไปแม้กระทั่งในถนนแคบๆอย่างรวดเร็ว แต่หูกระต่ายนั้นก็ยังคงไล่ตามมาอยู่
“เมย์ต้องสู้ไหม?”
“เอ่อ… ไม่ต้องสู้หรอก หนีเถอะ”
ก่อนหน้านี้หูกระต่ายสามารถสู้กับคนหลายคนพร้อมกันได้และมันก็รวมถึงเท็ปเซเคเมย์ด้วย พวกเธอแค่สองคนหูกระต่ายนั้นรับมือได้สบายอยู่แล้ว และอีกอย่าง พวกเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจัดการคุรุคุรุ ฮิเมะได้ยังไง
เท็ปเซเคเมย์ไม่ได้ช้าลง หูกระต่ายเองก็เช่นกัน
“บินขึ้นจากพื้นเลย เท็ปเซเคเมย์ ถ้าเธอบินล่ะก็ ยัยนั่นตามมาไม่ได้แน่”
“เมย์ทำไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ?”
“เว็ดดิ้นตัวหนัก”
“หยาบคายที่สุด!”
☆ คุรุคุรุ ฮิเมะ (เหลือเวลาอีก 17 ชั่วโมง 21 นาที)
เธอจดจำทุกสิ่งทุกอย่างตอนที่อยู่ต่อหน้าหูกระต่ายได้ จนกระทั่งเธอหมดสติไปเพราะพลังปริศนา เธอนั้นควรจะอยู่บนดาดฟ้าของอพาร์ทเมนท์ แต่เมื่อเธอได้สติขึ้นมา มันกลับกลายเป็นว่าเธอนอนอยู่บนดาดฟ้าของอพาร์ทเมนท์คนละที่ และเว็ดดิ้นกับหูกระต่ายก็หายไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นเธอไม่ใช่คุรุคุรุ ฮิเมะแต่กลับกลายเป็นมนุษย์ที่ชื่อโนโซมิ ฮิเมโนะ ตัวของเธอนั้นหนาวสั่นอยู่ใต้ท้องฟ้าอันหนาวเย็น
เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในตอนนี้เธอควรจะหนีออกไปจากที่นี่ ทุกอย่างมันน่ากลัวมาก
โนโซมิแปลงร่างเป็นคุรุคุรุ ฮิเมะแล้วก็เริ่มวิ่งออกไป เธอไม่สนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สิ่งที่เธอต้องทำคือต้องหนีไป เธอกระโดดขึ้นจากรถที่จอดอยู่ที่ริมถนนและปีนขึ้นไปบนเสาโทรศัพท์ ไปยังสายไฟฟ้า แล้วก็ปีนขึ้นไปบนอาคารพาณิชย์ จากที่นั่น คุรุคุรุ ฮิเมะก็วิ่งขึ้นไปด้านบนของย่านใจกลางเมือง วิ่งแล้วก็กระโดดไปที่อาคารการเกษตร เธอปล่อยริบบิ้นออกมาไปจับที่ขอบดาดฟ้า และจากตรงนั้นเธอก็วิ่งตัดผ่านไประหว่างเครื่องเกี่ยวนวดข้าวพร้อมกับเตะวัชพืชในทุ่งนาตามทางที่เธอวิ่งผ่านไปให้พ้นทาง จนตัวของเธอลงเอยด้วยการวิ่งฝ่าเข้าไปในป่า เธอไม่สนว่าจะเดินไปทับทางของสัตว์หรือทางเดินป่าแม้กระทั่งไม่มีทางอะไรเลยด้วย เธอโหนตัวระหว่างต้นไม้ราวกับเป็นทาร์ซาน จนกระทั่งเธอหยุดอยู่ใจกลางของภูเขาเพราะใบหน้าของเธอไปกระแทกเข้ากับกำแพงล่องหน ตัวเธอล้มลงกับพื้น เกลือกกลิ้งไปมาบนใบไม้แห้งด้วยความเจ็บปวดทรมาณ
เธอไม่ได้แค่รู้สึกช็อคเพราะแรงกระแทก ความรู้สึกคลื่นไส้แบบนี้มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างพุ่งตรงเข้ามาทำให้สมองของเธอปั่นป่วนและมันก็วิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย ขาของเธอขยับไม่ได้ หลังของเธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนลุกไม่ขึ้น
ใช่แล้ว เธอจำได้ว่าโทโกะเคยบอกพวกเธอว่ามีบาเรียล่องหนปกคลุมอยู่ทั่วทั้งเมือง นี่คงเป็นบาเรียที่เธอพูดถึงแน่ คุรุคุรุ ฮิเมะนอนขดตัวอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับจับจมูกของเธอไปด้วย จากนั้นเธอก็หยิบใบไม้ขึ้นมาเพื่อเช็ดเลือดออกไป และโชคดีที่ขาของเธอเริ่มอ่อนแรงจากการวิ่งมานานก่อนที่จะชนเข้ากับบาเรีย เธอตัวสั่นเมื่อคิดว่ามันจะบาดเจ็บซักแค่ไหนกันนะหากวิ่งชนบาเรียเข้าอย่างจังแบบเต็มแรง และเธอก็ตัวสั่นอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเธอหนีออกไปจากเมืองนี้ไม่ได้
เธอถักทอริบบิ้นของตัวเองเข้าด้วยกันกับใบของต้นโอ๊คฟันเลื่อยเป็นฐาน เพื่อทำเป็นเบาะรองนั่งแบบเฉพาะหน้า จากนั้นเธอก็นั่งลงไปและเอนตัวพิงกับต้นไม้
หัวใจของเธอเริ่มกลับมาเต้นตามปกติทีละนิด ความเจ็บปวดที่จมูกก็เริ่มหายไปเช่นเดียวกับความกลัว มันมีบางสิ่งที่แปลกประหลาด
ตอนที่เธออยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ล เธอต่อสู้โดยไม่ถามถึงเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นเวทมนตร์อันแสนลึกลับกับความสามารถทางกายภาพที่เหนือมนุษย์ของเธอที่สามารถใช้ริบบิ้นมัดศัตรูได้อย่างง่ายดายราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา การกลับมาเป็นร่างมนุษย์อยู่ครู่หนึ่งทำให้เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง หากเธอแพ้ล่ะก็เธอก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง คำว่า “ตาย” มันผุดขึ้นมาในใจจนทำให้เธอกอดร่างกายที่สั่นเท่าเอาไว้ในอ้อมแขน
เธอไม่ได้รู้สึกหนาวแต่มันหยุดสั่นไม่ได้ เธอสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของความอาฆาตพยาบาทและเจตนาฆ่า บางอย่างที่ดิบเถื่อนอย่างชัดเจน สิ่งนั้นมันไม่ควรมีอยู่ในตัวของเมจิคัลเกิร์ล
จะคิดย้อนกลับไปเธอก็ทำไม่ได้ ความรุนแรงมันเหลือล้นจนบดขยี้ความเชื่อในอุดมคติที่ว่า อาจารย์นั้นควรจะรับประกันความปลอดภัยให้นักเรียนทุกคนหนีไปก่อนที่ตัวเองจะหนีไปจนหมด แม้จะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชแต่เธอนั้นก็ขยับไม่ได้ เธอสับสนและหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในที่สุดก็สามารถคิดสิ่งต่างๆอย่างถี่ถ้วนได้หลังจากที่วิ่งออกมาไกลขนาดนี้ แต่เธอก็ยังไม่คิดว่าจะพาตัวเองกลับไปได้ อย่างน้อยเธอก็คิดถึงเรื่องความปลอดภัยของทุกคน และพยายามติดต่อไปหาโทโกะ เว็ดดิ้น กัปตันเกรซ ฟันนี่ทริค เท็ปเซเคเมย์ เรนโปว และโพสตาร์รี่ เธอติดต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่มีใครเลยที่ตอบกลับมา เธอส่งข้อความออกไปว่า ตัวเองปลอดภัยดี ไปเจอกันที่ไหนซักที่เถอะ แล้วก็เก็บเมจิคัลโฟนลงไปในกระเป๋า
……..ใจเย็นสิ ใจเย็น ใจเย็น ใจเย็นเข้าไว้
เธอเอาเมจิคัลโฟนออกมาอีกครั้งแล้วก็ดูเวลา ตอนนี้มันดึกมากแล้ว
นักเรียนบางคนอาจจะกลับไปที่บ้านไม่ได้อีกแล้ว เธอกัดฟันและบีบมือของตัวเองจนเก้าอี้ริบบิ้นนั้นสั่น
เธอตรวจดูข้อความอีกครั้ง มันยังไม่มีใครตอบกลับมาเลย
ใบไม้ที่อยู่บนต้นเกิดสั่นไหว ในตอนนี้คุรุคุรุ ฮิเมะเหมือนกับเป็นเหยื่อที่ถูกต้อนจนมุม ประสาทหูของเมจิคัลเกิร์ลนั้นดีพอที่จะได้ยินเสียงของใบไม้ที่ร่วงลงมา ต่างจากตัวของโนโซมิ ฮิเมโนะที่เผลอหลับอย่างไม่ระวังตัวตอนที่อยู่ในห้องพักอาจารย์ที่อยู่ชั้นล่างที่วงดนตรีกำลังทำการฝึกซ้อมอยู่
เธอลุกขึ้นอย่างช้าๆจากที่นั่งแล้วก็มองไปยังตรงที่เสียงดังขึ้น เธอคิดว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่มีอะไร เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความขี้ขลาดแล้วก็นั่งลงอีกครั้ง แต่สิ่งเธอคิดกลับถูกทำลายลงจนหมดสิ้น ในเงาของต้นไม้นั้นมีนินจาสาวที่มีแขนและดวงตาข้างเดียว ผ้าพันคอที่ปิดปากของเธออยู่นั้นก็พริ้วไหวตามสายลมอันเหน็บหนาวบนภูเขา ดวงตาข้างที่เหลืออยู่เบิกกว้างมองมายังตัวคุรุคุรุ ฮิเมะ
เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลแต่ไม่ใช่คนที่คุรุคุรุ ฮิเมะรู้จัก ซึ่งมันหมายความว่าเธอเป็นพวกเดียวกับหูกระต่าย คุรุคุรุ ฮิเมะยกเลิกการสร้างเก้าอี้ริบบิ้นของเธอ จากนั้นก็เตะใบไม้ที่กองอยู่ทิ้งแล้วก็เริ่มวิ่งหนี แต่ไม่ถึงหนึ่งวินาที เธอก็ชนเข้ากับกำแพงล่องหนอีกครั้งและลงไปนอนกองอยู่บนพื้น คราวนี้ไม่ใช่แค่จมูก แต่ฟันหน้าก็บาดเจ็บด้วยเช่นกัน สมองของเธอรู้สึกเหมือนจะตีลังกาได้
จมูก ฟัน และริมฝีปากของเธอรู้สึกเจ็บปวด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะทำแบบนั้น เธอดันหน้าของตัวเองขึ้นด้วยมือขวาและใช้ข้อศอกซ้ายเพื่อยกตัวเองขึ้น จากนั้นเธอก็ตัวแข็งทื่อเมื่อพยายามลุกขึ้นจากพื้น นินจามันอยู่ตรงนั้น มันอยู่ทางซ้ายของตัวคุรุคุรุ ฮิเมะ กำลังก้มลงมาดูเธอ แต่จู่ๆเธอก็นั่งลงแล้วยื่นมือมาให้คุรุคุรุ ฮิเมะ จากนั้นก็ดึงตัวคุรุคุรุ ฮิเมะที่อยู่ตรงเท้าขึ้นมา แลัวปัดใบไม้ที่ติดอยู่ที่ด้านหลังและด้านข้างของเธอออก
เธอยังคงคิดจะหนีแต่มันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คุรุคุรุ ฮิเมะแค่ยืนขึ้น ส่วนนินจานั้นไม่ได้ทำอะไรเลย เธอแค่จับแขนของคุรุคุรุ ฮิเมะเอาไว้แบบไม่ปล่อยเท่านั้น นี่เธอควรจะใช้ริบบิ้นของตัวเองรึเปล่านะ? แต่ก็คิดว่าจะเอาชนะนินจาในการตอบสนองหรือความเร็วได้จริงๆรึเปล่าด้วย เธอรู้สึกราวกับว่าหากจะขยับตัว ก็จะโดนต่อยไม่ก็โดนทุ่มก่อนแน่
ทั้งสองคนยังคงเงียบ ได้แต่มองหน้ากันโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน และคนที่เปิดปากพูดก่อนเพื่อทำลายความเงียบก็คือคุรุคุรุ ฮิเมะ
“เอ่อ…นี่เธอรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ?”
“…ชั้นเห็นเธอวิ่งออกมา ก็เลยวิ่งตาม”
นินจาพึมพำคำพูดออกมาเบาๆ ในขณะที่ผ้าพันคอของนั้นยังคงปิดปากของเธออยู่ แม้ว่าเสียงของเธอจะน่ารัก แต่น้ำเสียงและท่าทีการพูดนั้นมันมืดหม่น
“นี่เธอตามฉันมางั้นเหรอ?”
“…ใช่”
“ทำไมล่ะ?”
“…หากจะตะโกนเรียก ชั้นก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไร”
เธอตอบกลับมาอย่างโง่ๆเลย ดูไม่เข้ากับภาพลักษณ์นินจาซักนิด
ไม่สิ หากเธอตอบกลับมาอย่างโง่ๆ แบบนั้นคำถามของคุรุคุรุ ฮิเมะเองก็เป็นคำถามโง่ๆเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการถามรึเปล่า แต่ถ้าเด็กสาวคนนี้ตอบกลับมา อย่างนั้นคุรุคุรุ ฮิเมะก็จะถามสิ่งที่จำเป็นต้องถามเช่นกัน
“ทำไมพวกเธอถึงมาที่นี่ล่ะ? ทำไมต้องพยายามจับตัวโทโกะด้วย?”
นินจานั้นก้มหน้าลง เอาคางของตัวเองซุกลงไปในผ้าพันคอมากขึ้น จากนั้นก็หันไปมองรากของต้นโอ๊คฟันเลื่อย เธอยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา และความเงียบนั้นก็ทำให้คุรุคุรุ ฮิเมะคิดว่าเธอถามคำถามที่ตอบไม่ได้ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอนั้นตั้งใจจะไม่ตอบ แต่เป็นกำลังคิดอยู่มากกว่า
“พวกเรา…มาที่นี่เพื่อ…จับตัวอาชญากร”
“อาชญากร? พวกเธอเป็นตำรวจเหรอ?”
“พวกเราบางคน…เหมือนเป็นตำรวจ…ชั้นแค่ช่วยน่ะ”
“ช่วย?”
“ชั้นแค่มาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์งาน…แต่ก็ถูกลากเข้ามาในเรื่องนี้ด้วย…”
“ถ้าแค่ถูกลากเข้ามา เธอก็ควรปฎิเสธไปสิ”
“ถ้าชั้นปฎิเสธไป อาชีพการงานมันก็จะไม่ก้าวหน้า…”
เธออยากจะก้าวหน้าในอาชีพการงาน? คุรุคุรุ ฮิเมะเริ่มรู้สึกใกล้ชิดกับนินจาขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่ได้รู้ว่านินจานั้นมีความปรารถนาในทางโลก เธอไม่ได้เป็นเครื่องจักรสังหารอัติโนมัติแต่เธอแค่เหวี่ยงดาบแล้วก็ปาชูริเคนอย่างไร้อารมณ์เท่านั้น
ทั้งสองคนยืนอยู่อย่างประหลาดๆและยังคงพูดคุยกันต่อไป คุรุคุรุ ฮิเมะได้รู้ว่าริปเปิลกับพวกของเธอนั้นพยายามจับกุมฆาตกรที่ฆ่าคนที่เชื่อมโยงกับอีกโลกหนึ่งที่เรียกว่าดินแดนเวทมนตร์ แล้วโทกะนั้นก็เป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกร คุรุคุรุ ฮิเมะก็พูดกับริปเปิลเรื่องสถานการณ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาด้วย
ตอนนี้เธอไม่กังวลอีกแล้วว่าควรจะเชื่อถือริปเปิลมากแค่ไหน เดิมทีเธอก็ไม่ได้เชื่อโทโกะอยู่แล้ว เพราะโทโกะทำให้นักเรียนของเธอกลายเป็นตัวประกัน และที่สำคัญที่สุดเธอรู้สึกผูกพันกับริปเปิล การรอคอยอยู่ที่นี่มันก็มีแต่ทำให้เธอหยุดนิ่งอยู่กับที่ ริปเปิลนั้นฟังความปรารถนาของเธอว่าอยากให้นักเรียนทุกคนของเธอนั้นหนีไปยังที่ปลอดภัย จากนั้นก็จับมือในขณะที่ทั้งคู่ยืนอยู่ในท่าทางผิดธรรมชาติ ฝ่ามือของริปเปิลนั้นรู้สึกเย็นเฉียบแต่มันก็อ่อนโยนเช่นกัน
☆ โพสตาร์รี่ (เหลือเวลาอีก 17 ชั่วโมง 26 นาที)
โพสตาร์รี่โทรไปหาเว็ดดิ้น จากนั้นก็กัปตันเกรซ ฟันนี่ทริค แล้วก็เท็ปเซเคเมย์ แต่เธอติดต่อหาใครไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่พวกเธอไม่รับสาย แต่เธอได้ยินเสียงรบกวนมาจากอีกฟากและไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเชื่อมต่อเลย ไม่ใช่แค่เมจิคัลโฟนของโพสตาร์รี่ที่มีปัญหานี้ เมจิคัลโฟนของเรนโปวเองก็ไม่ทำงานเช่นกัน เมื่อเธอพยายามทดสอบด้วยการโทรไปยังที่บ้านตัวเองแต่ผลมันก็เหมือนเดิม เธอติดต่อใครที่ไหนไม่ได้เลย
เมื่อเธอพยายามถามโทโกะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่โทโกะก็พูดออกมาเพียงว่า “ไม่รู้เหมือนกัน” แฟร์รี่ตัวนี้ไม่มีประโยชน์เอาซะเลย
หลังจากที่พวกเธอจัดการเจ้าสีดำนั่นแล้วก็ออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นทันที เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีใครไล่ตามพวกเธอมา ความโล่งอกและความกลัวมันผสมปนเปอยู่ภายในตัวเธอ จนในที่สุดโพสตาร์รี่ก็ตัวล้มลง
มีทั้งศัตรูที่โจมตีพวกเธอ มีทั้งนินจาที่ขว้างชูริเคน วิ่งอยู่บนสะพานสายรุ้ง และยังต้องเกาะรถตู้ที่บินอยู่ในอากาศ เรื่องพวกนี้เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวมาก แต่การที่โพสตาร์รี่ต้องเดินไปเผชิญหน้ากับสิ่งสีดำนั่น มันทำให้หัวใจของเธอมาถึงจุดวิกฤติ เธอนอนร้องไห้อยู่บนพื้นพร้อมกับเอาแขนทั้งสองข้างกอดขาตัวเองเอาไว้ แต่เรนโปวก็ลูบหลังของเธอเพื่อรู้สึกสบายขึ้น เธอรู้สึกดีใจที่มีมืออุ่นๆของเรนโปวอยู่ที่หลังจนอยากอยู่ใกล้ๆมันไปตลอด
โพสตาร์รี่กับเรนโปวนั้นนั่งพิงกำแพงคอนกรีตอยู่ข้างๆกัน แล้วก็โทโกะที่หนีเข้าไปในเสื้อของเรนโปวกำลังพูดกับพวกเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเธอไม่ได้ข้อสรุปอะไรออกมา แม้พวกเธอจะเข้าใจว่าศัตรูนั้นมันเข้ามาหาพวกเธอ แต่ทั้งโพสตาร์รี่หรือเรนโปวก็ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร พวกเธอไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วมันเป็นตัวอะไรตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
สำหรับโพสตาร์รี่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้อีก แม้ว่าหากทำแบบนั้นไปแล้วจะต้องเลิกเป็นเมจิคัลเกิร์ลเธอก็ไม่รู้สึกเสียใจเลย แต่สำหรับเรนโปวมันไม่ใช่ เธอยืนกรานว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ที่จะทำให้พวกเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างถาวร แน่นอนว่าโทโกะก็สนับสนุนความพยายามของเธอด้วย
“เราว่าถ้ามันจะเสียเปล่านะ ตอนนี้พวกเราน่ะทั้งแข็งแกร่งแถมยังเท่สุดๆอีก เพราะพลังลึกลับแบบนี้…พวกเราจึงเป็นกลายเมจิคัลเกิร์ลไงล่ะ! หากใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดาล่ะก็กลายเป็นแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วล่ะ ถูกต้องเลย! อย่างที่พูดนั่นแหละ!”
โพสตาร์รี่เข้าใจว่าเรนโปวไม่อยากปล่อยให้พลังลึกลับแบบนี้หายไป แต่โพสตาร์รี่นั้นอยากจะมีชีวิตอยู่มากกว่า
แม้ว่าพวกเธอจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ แต่สุดท้ายแล้วมันก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่ดี ตรงจุดนี้โพสตาร์รี่พิสูจน์แล้วว่าพลังของเธอนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกันเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น เพราะแบบนั้นต้องการใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างที่เคยทำมา แทนที่จะได้รับพลังกึ่งเหนือมนุษย์แล้วต้องสู้กับศัตรูที่อันตราย สำหรับเธอแล้วมันจึงดีกว่า และเธอเองก็มีความสุขกับชีวิตที่ผ่านมาด้วย
แต่กระนั้นก็ใช่ว่าโพสตาร์รี่จะมีความคิดดีๆในการหาทางออกของสถานการณ์ปัจจุบันเช่นกัน
ถึงแม้โพสตาร์รี่จะรู้สึกว่าพวกเธอจะพยายามหาใครบางคนมาช่วย แต่ศัตรูที่เผชิญหน้าด้วยอยู่ในตอนนี้ก็คงจะจัดการได้แม้กระทั่งตำรวจ JSDF ยานเกราะ หรือเครื่องบินรบเองก็ด้วย
เรนโปวไม่ได้แค่บอกเธอว่าจะพึ่งพาตำรวจไม่ได้ แต่เธอยังห้ามไม่ให้เปิดเผยตัวตนอีกด้วย เธอบอกว่าตัวเองอยากจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลต่อไป หากถูกพบเจอเรื่องต่างๆที่ทำมามันก็จะเป็นความเสียเปล่า เพราะแบบนั้นเธอถึงไม่ให้ใครมาก้าวก่าย แน่นอนว่าโทโกะก็สนับสนุนเรื่องนี้
“นี่ ทาจัง มาพยายามกันเถอะ! ตอนนี้พวกเรายอมแพ้ไม่ได้นะ!”
“ใช่แล้ว! ไม่ปล่อยให้เธอยอมแพ้แค่ครึ่งทางหรอกนะ! ไม่มีทาง!”
เมื่อโทโกะพูดเสริมขึ้นมานั้นหมายความว่าสุดท้ายแล้วการสนทนาก็วนกลับไปที่เดิม
ส่วนใหญ่แล้วโพสตาร์รี่จะพูดกับเรนโปว พวกเธอปล่อยให้โทโกะพูดออกมาตามใจอยาก แต่จริงๆแล้วโพสตาร์รี่ก็ไม่ได้ฟังอะไรที่เธอพูดเลย
การที่โพสตาร์รี่กับเรนโปวคุยกันนั้นมันใกล้เคียงกับการทะเลาะกัน ดูไม่เหมือนว่าทั้งคู่นั้นจะประนีประนอมอะไรกันเลย และในจุดนี้ไม่ว่าพวกเธอจะพยายามโต้เถียงกันมากแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นพ้องกันเลย แถมยังเห็นได้ชัดว่าจากการคุยกันนี้ไม่มีใครที่มีแผนดีๆสำหรับแก้ปัญหาออกมาอีก และตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา นี่คือการทะเลาะกันเป็นครั้งแรก สำหรับโพสตาร์รี่แล้ว เรนโปวนั้นใจร้อนและบ้าบิ่น โพสตาร์รี่นั้นคิดว่าควรจะพูดว่า “อยากทำอะไรก็เชิญ!” กับเธอแล้วหนีไปคนเดียวดีไหม แต่เธอก็แค่คิดเท่านั้น เธอทำมันไม่ได้จริงๆ เมื่อโพสตาร์รี่คิดจะหนี เธอก็สลัดความทรงจำต่างๆของคาโอริไปไม่ได้ เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเธอ ช่วงเวลาที่ไปเล่นเกมอาเคดด้วยกันเป็นครั้งแรก ฝ่ามืออันแสนอบอุ่นที่ลูบหลัง และเรื่องราวต่างๆอีกมากมาย
จนกระทั่งคาโอริกลายมาเป็นเพื่อนรักของเธอ โพสตาร์รี่หรือทัตสึโกะนั้น ไม่เคยมีคนที่เธอสามารถเรียกว่าเพื่อนได้เลยมาตลอดสิบปี เธออยากมีเพื่อนมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่เมื่อเธอมีเพื่อนเป็นครั้งแรก เธอก็รู้ว่านี่มันคือคำสาป
ไหล่ของโพสตาร์รี่ลู่ลง มันยากที่เธอจะยอมรับการแสดงออกที่รุนแรงของเรนโปว แต่โพสตาร์รี่เองก็ปล่อยเธอไปไม่ได้เช่นกัน
มันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แต่พวกเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตั้งแต่ทั้งสามคนถูกปล่อยทิ้งอย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งความช่วยเหลือ แถมยังติดต่อใครก็ไม่ได้ พวกเธอจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเรนโปวคือการพยายามกลับไปยังอพาร์ทเมนท์ แน่นอนว่าพวกเธอนั้นไม่ได้พยายามกลับไปในร่างของเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอคลายการแปลงร่างแล้วกลับไปเป็นมนุษย์ จากนั้นพวกเธอจะตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง รถตำรวจ รถพยาบาล แล้วก็รถดับเพลิงบางทีควรจะมาที่นี่กันแล้ว บางทีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกับสื่อมวลชนก็อาจจะมาด้วย ผู้คนนั้นคงแน่นขนัดแน่ๆ แม้ที่นี่คือเมืองเล็กๆที่มีแหล่งบันเทิง เหตุการณ์ หรืออุบัติเหตุไม่มาก หากมีบางอย่างเกิดขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืน ผู้คนจะมามุงดูกันเพราะว่าเหตุการณ์มันเกิดอยู่ตรงหน้า เมื่อมีผู้คนมารวมตัวกันแล้ว พวกเธอก็จะกลมกลืนได้ด้วยกันได้ ตราบใดที่พวกเธอไม่ได้แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล ศัตรูก็ควรจะระบุตัวตนของโพสตาร์รี่และเรวโปวไม่ได้
หากหนึ่งในพวกของเธอถูกจับและโดนทรมาณให้เปิดเผยตัวตนของพวกพ้องออกมา แบบนั้นโพสตาร์รี่กับเรนโปวอาจถูกจับได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็วพวกเธอก็จะถูกจับได้อยู่ดี
การจินตนาการเรื่องราวในแง่ร้ายเช่นนี้มันไม่ดีกับกระเพาะและหัวใจของเธอ หัวใจของมนุษย์นั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับของเมจิคัลเกิร์ล จิตวิญญาณของมนุษย์เองก็เช่นเดียวกัน
ตอนนี้ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังถนนที่รถตู้ร่วงลงมา มันเป็นไปตามที่คิดไว้ว่าถนนนั้นถูกปิด มีผู้คนจำนวนมากอยู่รายรอบ และมีรถตำรวจจอดอยู่ใกล้ๆ พวกเธออ้อมไปตามถนนและทำหน้าตาแบบว่า “พวกเราเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมต้นที่ไม่มีพิษมีภัยอะไรที่ผ่านมาเฉยๆ”
ผู้คนที่อยู่ตรงอพาร์ทเมนท์นั้นเยอะกว่ามาก มีรถตำรวจจอดอยู่หลายคัน รถพยาบาล แม้กระทั่งรถดับเพลิงก็ด้วย เสียงไซเรนดังก้องไปทั่วบริเวณ แสงสีแดงของมันนั้นรวมตัวเองเข้ากับความมืดยามค่ำคืน มีคนที่มุงดูอยู่มากมาย มีทั้งคนที่ใส่ชุดนอนและไม่ได้ใส่อยู่ปะปนกัน
มีกลุ่มคนที่เป็นสื่อที่ถือกล้องและไมโครโฟนอยู่ด้วย พื้นที่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยเทป กันไม่ให้ทุกคนเข้าไปนอกจากตำรวจ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่เห็นว่าด้านในนั้นเป็นยังไงบ้าง
ชายชราสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่มีไมโครโฟนจ่อไปที่ตัวเขานั้นกำลังพูดพล่ามพร้อมกับพ่นน้ำลายด้วยว่า “รถมันบินอยู่ในอากาศ! สาบานได้เลยว่าเห็นแบบนั้นจริงๆ! ไม่ได้คิดไปเองด้วย!”
พวกเธอฟังข่าวลือจากฝูงชนที่อยู่บริเวณนั้น เหมือนว่าจะมีคนอื่นที่เห็นรถบินได้ด้วยเช่นกัน บางคนก็เห็นสายรุ้งในตอนกลางคืน บางคนก็เห็นเรือโจรสลัด มีบางคนเห็นคนยิงจรวดออกมาอีกด้วย ไม่สิ ไม่ใช่ยิงจรวดแต่เป็นปืนใหญ่ต่างหาก แถมยังมีคนบอกว่ามีกลุ่มคนคอสเพลย์ลึกลับที่ส่งเสียงดังเอะอะอยู่ตรงถนนใกล้ๆ บางที่มันอาจจะเกี่ยวของกันก็ได้ แต่เหมือนว่าจะไม่มีใครถูกจับได้เลย มันมีอะไรที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนมากขนาดนี้ขึ้นล่ะเนี่ย?
ทัตสึโกะมองไปที่คาโอริ คาโอริก็มองกลับมาที่ทัตสึโกะเช่นกัน ขนตาของเธอนั้นสั่นเบาๆ ดวงตาของเธอนั้นมีน้ำตา และทั้งใบหน้าก็ดูซีด แม้กระทั่งริมฝีปากก็ด้วย
ไม่มีใครถูกจับ ในอีกแง่หนึ่งคือไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเธอก็ยังติดต่อหากันไม่ได้ แล้วทุกคนไปไหนกันหมดล่ะ? ความคิดที่น่ากลัวมันเข้ามาในใจของทัตสึโกะ และค่อยๆหายไป
เมื่อทั้งคู่รู้ว่าสายตาของพวกเธอดูเป็นกังวล เธอจึงดึงหมวกถักลงมาปิดบังสายตา ดึงคอเสื้อขึ้น และพันผ้าพันคอรอบคอให้แน่นกว่าเดิม ไหล่ของคาโอริไปชนเข้ากับบางคนในฝูงชน และชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนพนักงานโรงงานก็ถ่มน้ำลายใส่พวกเธอพร้อมกับพูดว่า “ระวังด้วยสิวะ!”
ทัตสึโกะดึงแขนเสื้อของคาโอริเพื่อดึงตัวเธอออกมาให้พ้นจากฝูงชน
“ไม่เป็นไรหรอก…คนอื่นๆ คุณฮิเมโนะ แล้วก็เมย์แข็งแกร่งกันทั้งนั้น”
ทัตสึโกะพูดออกมาเบาๆราวกับจะปลอบตัวเอง
“ตอนนี้พวกนั้นคงต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักแห่งแน่”
เธอพูดออกมาอย่างใสซื่อ แม้เธอจะไม่ได้คิดว่าพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ก็ตาม
เธอจับมือของคาโอริแล้วออกมาจากพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างกันบนม้านั่งใกล้กลับสนามเด็กเล่นและมองขึ้นไปบนฟ้า เมฆนั้นดูหนาและดำทะมึนปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะบางลงเลย
มีแต่พวกเธอเท่านั้นที่อยู่ในสวนสาธารณะ แสงไฟจากถนนสาดส่องให้รอยแตกมากมายบนทางเดินที่สร้างจากก้อนอิฐ เครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นเองก็เต็มไปด้วยสนิมและกำลังส่งเสียงดังขึ้นเพราะลมพัดผ่าน ทุกที่ในเมืองแห่งนี้ล้วนเหมืนกันหมด เธอถอนหายใจออกมา มันไม่มีที่จะไปแล้ว
“พวกเธอคือเมจิคัลเกิร์ลเหรอ?” จู่ๆก็มีบางคนเรียกพวกเธอ
ในขณะที่ทัตสึโกะกำลังคิดเรื่องคำพูดนั้นอยู่ในใจ เธอก็เกิดตื่นตระหนกและรีบหันกลับมามอง ด้วยความเร่งรีบเธอจึงสะดุดเท้าตัวเองล้มลงไป แต่ก็จับด้านหลังของม้านั่งและรักษาสมดุลไว้ได้
มีเมจิคัลเกิร์ลยืนอยู่ที่ทางเข้าสวนสาธารณะ เธอสวมเสื้อโค้ทยาว มีผ้าพันคอสีกากียาวพอประมาณ หมวกปานามา และสวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ที่ดูน่าสงสัย สำหรับชุดของเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันดูไม่เข้ากันเอาซะเลย แต่ใบหน้าและกลิ่นอายของเธอนั้นไม่ผิดแน่ และที่สำคัญที่สุดเธอใช้คำว่า “เมจิคัลเกิร์ล”
คาโอริเหลือบมองทัตสึโกะจากด้านข้าง เธอนั้นหันไปเผชิญหน้ากับเมจิคัลเกิร์ล ท่าทางของเธอนั้นระมัดระวังมาก
คิ้วของเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นเชิดขึ้น แก้มข้างหนึ่งเองก็เช่นกัน ทัตสึโกะคิดว่าการแสดงออกแบบนั้นมันหมายถึงอะไรกันนะ และเธอก็ได้ยินเสียงเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นถอนหายใจออกมา จนทัตสึโกะรู้ว่าเธอคนนั้นรู้สึกผิดหวัง
“ทำอะไรกันอยู่?” เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นเข้ามาหาเธอทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นมาตบแก้มของคาโอริกับทัตสึโกะ มันไม่ใช่การโจมตีที่รุนแรงอะไร ไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าการโจมตีได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่กระนั้นแก้มของทัตสึโกะก็รู้สึกเจ็บ ทัตสึโกะจ้องกลับไปที่เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นอย่างตะลึง
“เพราะในตอนนี้พวกเธอสองคนไม่แปลงร่าง ชั้นก็เลยอยากจะด่าและอยากจะถามว่าคิดบ้าอะไรอยู่ที่คลายการแปลงร่างในสนามรบแบบนี้ แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะมันมีหลายครั้งเช่นกันที่ต้องเป็นมนุษย์เพื่อทำภารกิจลับเหมือนกัน แต่ว่านะ…”
คราวนี้เธอตบแก้มอีกข้าง มันไม่มีเวลาพอที่จะให้ความรู้สึกเจ็บจากคร้ังแรกหายไปด้วยซ้ำ และในตอนนี้แก้มทั้งสองข้างของเธอก็เจ็บเหมือนๆกันแล้ว
“นี่คิดว่าตัวเองทำอะไรกันอยู่น่ะ ตั้งการ์ดตอนที่มีใครมาว่าคือเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่าเนี่ยนะ? หา? แบบนี้มันก็เหมือนกับบอกว่าตัวเองเป็นเมจิคัลเกิร์ลใช่ไหม? แล้วปล่อยให้ศัตรูที่แปลงร่างอยู่แล้วแต่พวกเธอไม่ได้แปลงร่างรู้ว่าคือเมจิคัลเกิร์ลได้ยังไงน่ะ? ทำแบบนี้ในสนามรบมันไม่รอดหรอกนะ ได้โดนฆ่าตายเหมือนหนอนแมลงแน่”
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นยังคงจ้องมาที่พวกเธอ สายตานั้นไม่ได้จริงจังแต่มันก็ไม่ใช่สายตาที่เป็นมิตรเช่นกัน ไม่รู้เลยว่าสายตานั้นคืออะไร ทัตสึโกะจึงยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แต่ในคราวนี้ เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นเอาหมัดต่อยลงมาบนหัวของทัตสึโกะแรงจนเธอมองเห็นดาว
“ทำอะไรเนี่ย!?”
“นี่คิดว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่บ่นได้ด้วยเหรอ!?”
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นทำลายความกล้าที่จะต่อต้านของคาโอริไปด้วยการตบสองครั้ง จนคาโอริล้มลงไปบนม้านั่ง เมื่อทัตสึโกะเห็นแบบนั้นเธอจึงปิดปาก “ฟังด้วย!” เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นสั่ง และจากนั้นทัตสึโกะก็ลุกขึ้นมายืนหลังตรงทันที เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นมองมาที่ทัตสึโกะ แล้วก็มองไปยังคาโอริที่นอนอยู่บนม้านั่งที่ไหล่ของเธอกำลังสั่น จากนั้นก็เตะเข้าไปที่ต้นขาของคาโอริ “นอนอยู่ตรงนั้นทำไม!? อย่างน้อย ถ้าได้ยินว่าฟังด้วยล่ะก็ควรจะลุกขึ้นยืนสิ!”
ทัตสึโกะจะไม่พูดว่า “ก็เธอเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้คาโอริลงไปนอนอยู่แบบนั้นน่ะ?” ออกมาแน่นอน เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นดึงตัวคาโอริที่ใกล้จะร้องไห้ขึ้นมาไปที่เท้าของเธอ ทัตสึโกะเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะต่อว่าอะไร
เมจิคัลเกิร์ลที่น่าสงสัยนั้นพูดถึงความอันตรายของของมนุษย์ที่เผชิญหน้ากับเมจิคัลเกิร์ล เหมือนว่าเธอไม่ได้พยายามจะฆ่าหรือทำอะไรแบบนั้น แต่ทัตสึโกะก็คลายความกังวลไม่ได้เลย เพราะว่าพวกเธอจะถูกตบตอนไหนก็ได้
โทโกะยังคงทำตัวเงียบอยู่ในเสื้อของเรนโปว เหมือนเธอจะแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น บางคือมันคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“อีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเนี่ยแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว แต่พวกเธอน่ะไม่ ในสถานการณ์แบบนี้หากมีใครถามว่าเธอคือเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่าขึ้นมา มันก็ควรจะแกล้งโง่ แล้วพูดกลับไปราวกับว่าคนที่พูดนั้นเป็นตัวประหลาดสิ อย่างเช่น ‘นี่พูดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?’ ชั้นไม่รู้หรอกนะว่ามันจะได้ผลมากแค่ไหน แต่มันก็ดีกว่าการทำอะไรฆ่าตัวตายแบบจ้องจะสู้กันทั้งๆที่ตัวเองอยู่ในร่างมนุษย์แน่ แถมไม่ต้องถามเลยว่าจะป้องกันในฐานะมนุษย์ได้ไหมอีก ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแปลงร่างแล้วสู้กลับไปเลยด้วย เธอรู้รึเปล่าล่ะว่ามนุษย์นั้นคิดเรื่องแปลงร่างจนถึงแปลงร่างเสร็จแล้วมันนานแค่ไหน? ด้วยการตอบสนองของเมจิคัลเกิร์ลน่ะ ชั้นฆ่าเธอได้เป็นร้อยเป็นพันรอบแล้ว เข้าใจใช่ไหมว่าการแปลงร่างต่อหน้าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นมันเป็นเรื่องงี่เง่าขนาดไหนน่ะ? ถ้าเข้าใจล่ะก็แปลงร่างสิ!”
ทัตสึโกะกำลังคิดเรื่องที่อีกฝ่ายพูด แต่ในตอนนั้นแก้มของเธอก็ถูกตบอีกครั้ง จนน้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของเธอ
“แปลงร่าง! ทำเรื่องที่ชั้นบอกเดี๋ยวนี้!”
ทัตสึโกะรู้สึกกลัวจนรีบแปลงร่าง และแก้มของเธอนั้นก็ถูกตบอีกครั้ง
“นี่เธอไม่ฟังเรื่องที่ชั้นพูดก่อนหน้านี้งั้นเหรอ ตอนที่ชั้นบอกว่าอย่าแปลงร่างน่ะ?”
“อะ-เอ่อ แต่-แต่ว่า เธอก็รู้นี่นา ว่าพวกเราระวังตัวอยู่แล้ว แถมแกล้งโง่ไปก็เท่านั้น จริงไหม?”
“อย่ามาเถียง!”
เรนโปวร่วงลงไปกองบนม้านั่งอีกครั้ง แม้กระทั่งโพสตาร์รี่ก็สงสัยว่าทำไมเพื่อนของเธอไม่เรียนรู้อะไรบ้างเลยนะ แต่เธอก็เกลียดตัวเองที่ชินกับการโดนลงโทษอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้แบบรวดเร็วด้วย เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นจ้องโพสตาร์รี่และเรนโปวอย่างรอบคอบ และในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมา เหมือนว่าจะไม่ได้ประเมินค่าพวกเธอมากนัก เพราะแบบนั้นมันทำใหโพสตาร์รี่รู้สึกโกรธขึ้นมา แน่นอนว่าเธอแสดงออกทางสีหน้าไม่ได้
“ไม่ใช่ว่าชั้นไม่รู้หรอกนะ แต่พวกเธอก็เป็นมือใหม่จริงๆ เป็นนักเรียนมัธยมต้นงั้นเหรอ?”
“ใช่”
“แล้วโทโกะก็ทำให้พวกเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล?”
“อื้อ”
“โทโกะหลอกพวกเธอใช่ไหม?”
โพสตาร์รี่ตอบคำถามนี้ไม่ได้ในทันที เธอจำไม่ได้ด้วยว่าเคยถูกหลอก แต่เธอก็พูดออกมาไม่ได้ว่าไม่ถูกหลอกเช่นกัน เธอมองไปที่หน้าอกของเรนโปว แต่โทโกะก็ไม่ได้แสดงปฎิกิริยาอะไรออกมา
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นโพสตาร์รี่ที่กำลังลังเลอยู่อย่างชัดเจน เธอดึงเอาเมจิคัลโฟนออกมา กดปุ่มแล้วเอาไปแนบไว้กับหู จากนั้นเธอก็ทำหน้าบึ้งออกมา “โทรไม่ติดเลย”
“เอ่อ…พวกเราเองก็ติดต่อหาใครไม่ได้มาซักพักแล้วเหมือนกัน”
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นตอบกลับมาด้วยการตบหน้าเธอ จากนั้นก็พึมพำว่า “ตอนนี้ชั้นติดต่อหัวหน้าทีมไม่ได้” แล้วก็หันหลับมาหาโพสตาร์รี่และเรนโปว
“ชั้นชื่อมาโอแพม เป็นสมาชิกของหน่วยสืบสวนที่แทรกซึมเข้ามาในเมืองนี้เพื่อจับกุมนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ และพวกเธอสองคนก็ขัดขวางพวกเราเพราะถูกโทโกะที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหลอกเอา… ว่าแต่พวกเธอชื่ออะไร?”
“โพสตาร์รี่”
“เรนโปว”
“โพสตาร์รี่กับเรนโปวสินะ เอาล่ะ ชั้นจะให้โอกาสพวกเธอหนึ่งครั้ง ถ้าร่วมมือกับพวกเราล่ะก็จะไม่มีการสืบสวนเรื่องอาชญากรรมต่างๆที่พวกเธอได้ทำไปเกิดขึ้น หากเป็นไปได้ชั้นก็อยากที่จะถามหัวหน้าทีมก่อนจะทำแบบนี้นะ แต่ชั้นติดต่อไม่ได้ก็เลยช่วยไม่ได้ ชั้นยืนยันได้ว่าจะปกป้องพวกเธอด้วยเกียรติของมาโอแพมเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรอก”
ในขณะที่โพสตาร์รี่กำลังจัดเรียงข้อมูลฟังอย่างเต็มที่ เพราะสงสัยว่ามันหมายความว่ายังไง ในตอนนั้นเองเธอก็โดนตบอีกครั้ง
“แล้วคำตอบล่ะ!”
“รับทราบ!”
“ระ-รับทราบ!”
“ดีมาก เป็นคำตอบที่สมกับเป็นมือใหม่อย่างพวกเธอดี เอาล่ะ งั้นก็เริ่มตั้งแต่ตอนนี้—”
จู่ๆสายตาของมาโอแพมนั้นก็หันกลับไปมองที่ทางเข้าสวนสาธารณะ โพสตาร์รี่กับเรนโปวเองก็หันไปมองยังจุดเดียวกัน ที่ตรงนั้นมีเด็กสาวตัวเล็กอยู่ในชุดนอนกำลังมองมาที่เมจิคัลเกิร์ลทั้งสามคน จู่ๆท่าทีที่หยาบกระด้างของมาโอแพมก็กลายเป็นสบายๆ และก็โบกมือให้เด็กคนนั้น
“ขอโทษนะ! เดี๋ยวพวกเราก็จะออกไปแล้วล่ะ!”
รอยยิ้มของเธอนั้นอ่อนโยนแถมคำพูดที่ไร้ความกังวลนั้น มันทำให้เธอดูเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ไปเลย
โพสตาร์รี่มองไปที่มาโอแพมแล้วพูดว่า “อะไรของเธอเนี่ย?” แต่เมื่อมาโอแพมหันกลับมามอง เธอตกใจและรีบหันไปมองทางอื่น
“มีอะไรตลกนักรึไง?”
เรนโปวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ เธอจึงโดนมาโอแพมตบอีกครั้ง ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังแปลงร่าง มันก็รู้สึกเจ็บพอๆกัน ซึ่งมันหมายความว่ามาโอแพมควบคุมพลังตัวเองได้เก่ง…
……อะไรของผู้หญิงคนนี้เนี่ย……?
☆ กัปตันเกรซ (เหลือเวลาอีก 17 ชั่วโมง 59 นาที)
ค้อนที่เธอให้โพสตาร์รี่ไว้นั้นบินกลับมาหาเธอ ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเธอกำลังต่อสู้กับศัตรูอยู่เช่นกัน ชั้นต้องไปช่วยพวกเธอ กัปตันเกรซตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปตามทิศทางที่ค้อนนั้นบินมา
เธอกับฟันนี่ทริควิ่งผ่านย่านการค้า เคลื่อนตัวจากดาดฟ้าของสหกรณ์ออมทรัพย์ไปยังย่านที่พักอาศัย และหยุดบนหลังคาของบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง พวกเธอไม่เจอทั้งศัตรูหรือพวกเดียวกันเลย กัปตันเกรซเอาเมจิคัลโฟนของตัวเองออกมาเพื่อยืนยันอีกครั้งว่ามันยังใช้การไม่ได้ จากน้้นเธอก็โยนมันทิ้งไป เมจิคัลโฟนกลิ้งไปตามหลังคาจนมาหยุดอยู่ที่รางระบายน้ำ
เธอติดต่อใครไม่ได้เลย แถมยังใช้เมจิคัลโฟนของตัวเองไม่ได้ด้วย มันพังแล้วงั้นเหรอ? พวกเธอไม่มีเทคโนโลยี่ที่จะซ่อมมันซะด้วย
ฟันนี่ทริคหยิบเมจิคัลโฟนที่กัปตันเกรซโยนออกไปขึ้นมา
“ฟังนะ ถ้าเมจิคัลโฟนใช้การไม่ได้ แล้วทำไมพวกเราไม่ใช้มือถือธรรมดาแทนล่ะ?”
“คาโยะ เธอรู้เบอร์ของทุกคนเหรอ?”
“เอ่อ..พวกเราลองไปตรวจดูที่บ้านของพวกนั้นกันไหม?”
“ชั้นไม่รู้ที่อยู่ของพวกนั้นหรอก แล้วเธอล่ะ?”
“……ไม่รู้เหมือนกัน”
อพาร์ทเมนท์นั้นเป็นไปด้วยคนมุงแล้วก็ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ไม่น่าจะกลับมาที่นี่ ทั้งสองคนพยายามกลับไปโรงเรียนเช่นกัน แต่การกลับไปที่โรงเรียนยามค่ำคืนเช่นนี้ก็เป็นเพียงการยืนยันอีกครั้งว่ามันเป็นสถานที่ที่เงียบเหงา
“พวกเราควรจะมีจุดนัดพบเอาไว้เผื่อมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนะ”
“ถ้ายัยโง่เว็ดดิ้นอยากจะเล่นเป็นหัวหน้าล่ะก็ อย่างน้อยก็ควรจะคิดเรื่องแบบนี้เอาไว้บ้างเซ่!”
ตอนที่จัดการเจ้าสีดำนั่นได้ เธอรู้สึกดีใจจริงๆ แต่หลังจากนั้นแล้วมันก็ขาดความตื่นเต้นไปเสียทุกอย่าง พวกเธอค้นหาเพื่อนที่ต่อสู้ด้วยกัน แต่เพราะค้นหาไม่พบจึงทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด
“พวกเราควรจะทำยังไงดีล่ะ…?”
ฟันนี่ทริคนั่นอยู่บนดาดฟ้า เมื่อกัปตันเกรซมองดูเธอก็รู้สึกไม่ชอบใจ
“อย่านั่งแบบนั้นสิ! พวกเราต้องเจอใครซักคนแน่ ใครก็ได้ไม่สำคัญหรอก”
“ไม่สำคัญว่าใครงั้นเหรอ? …แต่ถ้าเจอคนที่เชื่อถือได้คงดีนะ หากพวกเราเจอโทโกะล่ะก็ บางทีเธออาจจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังได้”
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้กัปตันเกรซรู้สึกหงุดหงิด ฟันนี่ทริคนั้นกระวนกระวาย แม้แต่ในตอนนี้เวลานี้ กับการที่มีกัปตันเกรซอยู่เคียงข้าง คนที่เป็นคู่หูของเธอ และเป็นคนเธอควรจะพึ่งพาได้มากกว่าใคร ถึงแบบนั้นเธอก็ยังหวาดกลัว ตื่นตระหนก และตัวสั่นด้วยความขี้ขลาด
กัปตันเกรซนั้นต่างออกไป กัปตันเกรซ โจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ที่แล่นเรือผ่านมาแล้วเจ็ดย่านน้ำ คนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีพลังลึกลับและต่อสู้อย่างกล้าหาญอยู่เสมอ แม้แต่ในตอนนี้มันก็คือเรื่องจริง แม้เธอจะค้นหาพรรคพวกในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงใฝ่หาศัตรูไปด้วย เธอใฝ่หาศัตรูที่แข็งแกร่งและแข็งแกร่งกว่าเจ้าสีดำนั่นและจะจัดการมันซะ ถ้าให้พูดแล้ว เธออยากจะสู้กับหูกระต่ายอีกครั้ง และยกระดับขึ้นเป็นการต่อสู้กันด้วยชีวิตในฐานะเมจิคัลเกิร์ล คราวนีเเธอจะไม่ปล่อยให้หูกระต่ายหนีไปอีกแล้ว
“เอาล่ะ พวกเราจะพักไปตลอดไม่ได้นะ ต่อไป พวกเราก็ไปหากันที่แถวเทระมาจิเถอะ”
กัปตันเกรซจับแขนของฟันนี่ทริคแล้วยกตัวเธอขึ้นมา
☆ 7753 (เหลือเวลาอีก 15 ชั่วโมง 52 นาที)
เมจิคัลเกิร์ลที่มีริบบิ้นนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อ คุรุคุรุ ฮิเมะ เธอบอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมต้นและอธิบายว่าโทโกะนั้นทำให้เธอกับนักเรียนจำนวนหนึ่งกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล เธอไม่ชอบความคิดว่าจะส่งนักเรียนออกไปเจอเรื่องอันตราย แต่โทโกะก็บอกว่าความทรงจำของเธอนั้นจะถูกลบหากไม่ทำตามแผน เพราะแบบนั้นเธอจึงต้องเชื่อฟัง เหมือนว่าเธอจะโทษตัวเองมากกว่าจะแก้ตัวซะอีก
ในตอนที่ 7753 ฟังเรื่องราวของคุรุคุรุ ฮิเมะนั้น มันก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นบนแว่นกันลมของเธอด้วย มันเป็นการบอกบทให้ 7753 ทำสิ่งต่างๆ เช่น อย่าโทษเธอ, เอามือของตัวเองไปวางบนไหล่ของเธอ, มองดูท่าทางของริปเปิลและมานา, หันกลับไปคุยกับมานา และอื่นๆ 7753 นั้นทำตามคำสั่งตลอดเวลา แต่เมื่อทำมาได้ครึ่งทาง สัญญาณกลับขาดหายไป
อย่าบอกนะว่าไม่ใช่แค่เมจิคัลโฟนอย่างเดียว? แม้กระทั่งแว่นกันลมของเธอก็พังไปด้วยงั้นเหรอ? หรืออาจจะเป็นเพราะการดัดแปลงแบบบ้อบอของหัวหน้าเธอก็ได้ มันเป็นเรื่องน่าเชื่อถือมากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกกลัว แต่ในตอนนั้นเองก็มีข้อความใหม่ปรากฎขึ้นมา เธอโล่งอกที่แว่นกันลมยังไม่พัง มันเป็นเพียงเวลาชั่วครู่ที่หัวใจของเธอรู้สึกราวถูกโยนลงไปลึกในท้องทะเลแห่งความเครื่องเครียด
มีอาชญากรร้ายแรงทำการแหกคุกออกมาจากคุกที่คุมขังเมจิคัลเกิร์ล และแฝงตัวเข้ามาในเมือง B ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้นำของการหลบหนีคือไพตี้ เฟรเดริก้า แน่นอนว่าเธอนั้นมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ในใจแน่ ฉันไม่รู้ว่าเป้าหมายนั้นคือนักฆ่า หน่วยสืบสวน หรือจะเป็นอะไรอย่างอื่น แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในเมือง B ตอนนี้มันร้ายแรงมาก พวกทางทหารที่มียศระดับสูงในดินแดนเวทมนตร์เองก็กำลังจับตามองสถานการณ์นี้อยู่ และยังเน้นย้ำว่าต้องกำจัดพวกของเฟรเดริก้าก่อนที่บาเรียที่กางโดยทางกรมการต่างประเทศจะหมดเวลาด้วย จากสถานการณ์แล้ว พวกมันคงไม่หลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้บริสุทธ์แน่
7753 ไม่เคยได้ยินชื่อไพตี้ เฟรเดริก้ามาก่อน ข้อความจากหัวหน้าของเธอนั้นยังคงแสดงขึ้นมาบนแว่นกันลมของเธอเรื่อยๆ
ไพตี้ เฟรเดริก้านั้นเคยเป็นแมวมองในการค้นหาเมจิคัลเกิร์ลมาก่อน แม้ว่าเธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ แต่เธอก็ได้รับอิทธิพลมาอย่างมากจนถูกเบี่ยงเบนจากบทบาทที่ถูกต้องไป เธอถูกจับกุมเนื่องจากข้อหาสร้างเกมแห่งความตายให้เมจิคัลเกิร์ลแต่ละคนนั้นฆ่ากันเองเพื่อเฟ้นหาเมจิคัลเกิร์ลที่มีศักยภาพ แถมเฟรเดริก้าก็ยังรู้เรื่องด้านมืดของดินแดนเวทมนตร์ด้วยการใช้เวทมนตร์ของเธอที่ทำให้สังเกตสิ่งต่างๆได้จากระยะไกลอีกด้วย และมันมีข่าวลือด้วยว่านั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอถูกพิพากษาด้วยการถูกผนึกซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด
7753 ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เธอรู้ก็คือว่ามีเมจิคัลเกิร์ลที่น่ากลัวบางคนถูกปลดปล่อยมายังโลกใบนี้ เป็นข้อมูลที่ชัดเจนว่าเธอต้องไม่เก็บมันไว้กับตัวเอง แต่ถ้าถูกถามว่าเธอได้ข้อมูลนี้มาได้ยังไงล่ะก็ เธอก็ตอบมันไม่ได้ ข้อความจากหัวหน้าของเธอยังคงแสดงขึ้นมาอยู่
ฉันรู้ว่าเมจิคัลโฟนของเธอไม่ทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ เชื่อว่าพวกนักโทษที่หลบหนีออกมาคงใช้วิธีการบางอย่างเพื่อทำให้มันใช้การไม่ได้ แลกเปลี่ยนข้อมูลนี้กับคนอื่นแล้วบอกว่า “ฉันได้อีเมลจากหัวหน้ามาก่อนที่เมจิคัลโฟนจะพัง แต่ฉันเพิ่งรู้ตัวเอาตอนนี้” ไปด้วยล่ะ
อ๊ะ ใช่ เธอทำแบบนั้นได้นี่นา
7753 บอกทุกคนไปว่าเธอจะลองพยายามดูอีกหน่อยว่าจะทำให้เมจิคัลโฟนทำงานได้ไหม และเดินออกจากวงที่พวกเธอกำลังสนทนากันออกมา เธอดึงเมจิคัลโฟนออกมา สร้างอีเมลปลอม และส่งเสียงประหลาดๆออกมาว่า “หวา! มีอีเมลส่งมาล่ะ!” เธอภาวนาว่าอย่าให้ใครรู้เลย จากนั้นเธอก็บอกข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากหัวหน้าของเธอออกมาให้ทุกคนฟัง
มานาขยี้ตาของเธอที่แดงเพราะการร้องไห้และกัดริมฝีปาก ท่าทางของเธอดูจริงจังมาก
ริปเปิลนั้นดูกังวลและพึมพำออกมาว่า “เธอนี่นา…”
เมื่อมานาได้ยินแบบนั้นจึงสงสัย เธอจึงหันไปหาริปเปิล
“อะไรน่ะ? คนรู้จักเหรอ?”
เมื่อริปเปิลพยักหน้า มานาจึงระเบิดอารมณ์ออกมา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?”
“เฟรเดริก้า……”
มานาจับคอเสื้อของริปเปิลแล้วก็ผลักตัวเธอ หลังของริปเปิลนั้นไปโดนกับรั้วเหล็กจนทำให้สนิมสีแดงร่วงลงมา
“นี่เธอเป็นเพื่อนกับอาชญากรหลบหนีนั่นงั้นเหรอ!?”
ริปเปิลปัดฝุ่นที่หลังของเธอออกไป
“…เป็นคนที่ชั้นกับเพื่อนจับตัวได้น่ะ” เธอพูดออกมาแค่นั้น
มานาพยายามเข้าไปใกล้ตัวริปเปิลอีก แต่ 7753 หยุดเธอไว้ ถ้าเธอปล่อยให้มานาทำแบบนี้ต่อไปตรงขอบดาดฟ้า คงต้องมีคนตกลงไปแน่
“มานาใจเย็นก่อนเถอะ เธอคนนั้นเป็นศัตรูมากกว่าคนรู้จัก ใช่ไหมล่ะ?”
“หุบปาก! แล้วก็เธอ! เธอน่ะเคยจับตัวเฟรเดริก้ามาก่อนใช่ไหม? งั้นคราวนี้ก็ไปจับตัวเธอด้วย! ถ้ามีฮานะอยู่ด้วยล่ะก็ เธอคงทำได้ง่ายๆใช่ไหมล่ะ!?”
7753 นั้นจับมือของมานาจากด้านหลังและกันตัวของเธอออกไปจากริปเปิล คุรุคุรุ ฮิเมะก็มองดูพวกเธออย่างหวาดกลัว 7753 คิดว่าคงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกกลัว ริปเปิลที่โดนใส่ความนั้นก็ก้มหน้าลงบนพื้น 7753 เองก็รู้สึกเสียใจกับเธอเหมือนกัน ตอนนี้มานาเป็นห่วงฮานะมากจนยากที่จะใจเย็นได้ เธอจึงเสียความสามารถในการควบคุมหน่วยไป 7753 ไม่รู้สึกแปลกใจเลย ถ้าเธอพยายามจะให้ทุกคนไปทำเรื่องอะไรบ้าๆขึ้นมา
จอมเวทนั้นก็เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ล คือดูอายุจากรูปร่างหน้าตาอย่างเดียวไม่ได้ แต่บางที่อายุของเธอก็อาจเหมือนกับที่มองเห็น มันไม่ดีกับเธอก็จริง แต่ 7753 นั้นจะปล่อยให้เธอบังคับทุกคนไปยังภารกิจฆ่าตัวตายไม่ได้ การเห็นใบหน้าของมานาเต็มไปด้วยน้ำตาและความโกรธแบบนี้ 7753 ก็คิดเช่นกันว่าจะปล่อยให้เธอตายไม่ได้
จากนั้นก็มีอีกข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนแว่นกันลมของเธอ
เฟรเดริก้าพาอาชญากรสองคนที่ถูกจับกุมเมื่อ 130 ปีก่อนออกมาด้วย
หนึ่งคนที่แต่งตัวด้วยชุดซ่อมซ่อคือ โซเนียบีน อีกหนึ่งคนแต่งกายแบบนักดาบคือพูคิน พวกเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลอาละวาดในอังกฤษเมื่อ 130 ปีก่อน พวกเธอนั้นถูกผนึกอยู่ในคุกเดียวกันกับเฟรเดริก้า เหยื่อของพวกเธอนั้นเมื่อนำมารวมกันมันก็เกินกว่า 1,000 คนไปแล้ว เป็นอาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของดินแดนเวทมนตร์ที่เคยพบเจอ แม้จะเทียบกับเมจิคัลเกิร์ลยุคปัจจุบัน ทักษะการต่อสู้ของพวกเธอนั้นก็ยังคงจัดอยู่ในระดับต้นๆ เวทมนตร์ของโซเนียบีนคือทำให้สิ่งที่ตัวเองสัมผัสแหลกสลายเป็นผุยผงได้ มันเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่ทำได้ทั้งการโจมตีและป้องกัน ในขณะที่ดาบเวทมนตร์ของพูคินนั้น จะเป็นการสร้างภาพลวงตาเมื่อแทงมันลงไป มันเป็นการควบคุมจิตใจในระดับที่สูงมากๆ
7753 อ่านข้อความทุกตัวอักษรที่อยู่บนแว่นกันลมของเธอออกมา ในตอนที่เธออธิบายนั้นเธอก็รู้สึกสิ้นหวัง พวกเธอดูเหมือนเป็นคู่ต่อสู่ที่เอาชนะไม่ได้เลย
“แล้วก็ท็อตป๊อปที่เป็นลูกศิษย์ของเฟรเดริก้า…แม้แต่ในหน่วยต่อต้านก็รู้กันดีว่าเธอแข็งแกร่ง เชื่อว่าทั้งสี่คนนี้เข้ามาในเมืองแล้ว”
“นี่พวกมันเข้ามาได้ยังไงเนี่ย!? บาเรียมันยังไม่พังซักหน่อย!”
“หากใช้เวทมนตร์ของเฟรเดริก้าล่ะก็จะสามารถฝ่าบาเรียเข้ามาได้…ใช่ไหม?”
ริปเปิลพยักหน้ารับ และ 7753 ก็อ่านข้อความจากแว่นกันลมต่อไป
“ปัญหาก็คือใครสำคัญกว่า พวกเฟรเดริก้าหรือนักฆ่า”
คุรุคุรุ ฮิเมะพยักหน้าและ 7753 ก็อ่านข้อความต่อไป
“การปล่อยให้พวกของเฟรเดริก้าวิ่งพล่านไปทั่ว มันคือการปล่อยให้เกิดความอันตรายมากกว่าที่นักฆ่าจะทำ พวกเราต้องรีบจับมันให้เร็วที่สุด ควรจะให้ความสำคัญกับพวกเธอมากกว่านักฆ่าด้วย”
“ห่าเอ๊ย! แล้วจะให้ทำยังไงกันแน่!?”
“พวกเราควรไปรวมตัวกับฮานะ เธอไม่รู้ว่ามีนักโทษหลบหนีเข้ามาในเมืองนี้ เธออยู่ในอันตราย”
“ฮานะ…… เวรล่ะ!”
มานาพูดออกมาแล้วก็จ้องมองลงไปที่พื้น แทนที่เธอนั้นจะใจเย็นแต่ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธมากกว่า
7753 ก็ยังคงอ่านข้อความจากหัวหน้าของเธอต่อไป
“เพราะพวกเรามีมาโอแพมที่เป็นอาวุธของกรมการต่างประเทศอยู่ ด้วยมาโอแพมแล้วพวกเราก็จะชนะได้ เพราะมาโอแพมนั้น…หือ?”
7753 รู้สึกลังเล เธอก็มองไปยังริปเปิลคนที่ยังคงมองลงไปที่พื้น แล้วก็พูดต่อ
“…เพราะมาโอแพมนั้นเป็น พี่เลี้ยง ของนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่”
เธอรู้ว่าริปเปิลนั้นเงยหน้าขึ้น เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา
“ฉันแน่ใจว่าพวกเราสู้กับพวกของเฟรเดริก้าทั้งสี่คนได้แน่”
มานาเงยหน้าขึ้นแล้วก็เปิดปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็กัดฟันและพ่นลมออกมาเท่านั้น 7753 อ่านข้อความต่อไป
“เหตุผลที่พวกเราเก็บพลังของมาโอแพมเอาไว้ เพราะกลัวว่ามันจะไปฆ่านักฆ่าเอาได้ หากพวกเราไม่ได้ใช้เธอเพื่อจับกุมคนร้าย แต่เป็นการปราบพวกเฟรเดริก้าแทน แบบนั้นมันก็ไม่มีปัญหา อย่างน้อยที่สุดถ้าเธอไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่รอบๆน่ะนะ”
มานาปิดตาลง คราบน้ำตาของเธอนั้นยังไม่แห้ง 7753 ปล่อยแขนของมานาออกอย่างแผ่วเบา คุรุคุรุ ฮิเมะก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง มานาและทุกคนนั้นไม่ได้ขยับตัวมาหลายนาทีแล้ว และเมื่อ 7753 คิดว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่าง ตอนนั้นมานาก็หยิบไม้เท้าของเธอออกมาแล้วพูดว่า
“ก่อนอื่นพวกเราต้องไปตามหาฮานะ และเมื่อเจอเธอแล้ว พวกเราก็จะไปหามาโอแพม”
ในที่สุดพวกเธอก็ฝ่าสถานการณ์ออกไปได้ 7753 รู้สึกขอบคุณหัวหน้าของเธอที่ส่งข้อมูลพวกนี้มาให้จริงๆ
☆ มาโอแพม (เหลือเวลาอีก 16 ชั่วโมง 35 นาที)
เมจิคัลเกิร์ลสองคนที่เธอจับตัวได้ในสวนสาธารณะนั้นเป็นมือใหม่ แต่ว่าลึกลงไปในแก่นของพวกเธอก็ไม่ได้ปรากฎความเป็นตัวร้ายออกมา พวกเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะควรสู้ด้วย แต่เด็กพวกนี้ควรได้รับการปกป้องมากกว่า
มาโอแพมไม่ได้อยู่ในจุดที่จะหัวเราะและบอกว่าคนอื่นคือมือใหม่ได้เหมือนกัน ตั้งแต่มาที่เมืองนี้เธอก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากสร้างความผิดพลาด เธอเป็นมือสมัครเล่นในการสืบสวนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แม้มาโอแพมจะสังกัดอยู่ในกรมการต่างประเทศ แต่เธอก็ไม่ได้ชอบวิธีการของพวกนั้นมากนัก พวกนั้นส่งคนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ไปเป็นกำลังเสริมภายนอก เพื่อให้สามารถควบคุมเรื่องราวต่างๆด้วยพลังได้ มันไม่เปลี่ยนไปซักนิดตั้งแต่เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
จากมุมมองของหน่วยสืบสวนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นเหมือนแค่เป็นกำลังเสริมที่เข้ามายุ่งอย่างไม่จำเป็นในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนามเท่านั้น มันไม่ใช่งานที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง แม้คราวนี้เธอจะสนใจในตัวของนักฆ่า ไม่ใช่ว่าอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมหรือจริยธรรม แต่เป็นเพราะเธออยากรู้ว่านักฆ่านักแข็งแกร่งมากแค่ไหน
เธอทำงานในฐานะเมจิคัลเกิร์ลมานานแล้ว ดังนั้นมาโอแพมจึงรู้จักตัวเองดีกว่าคนอื่น เธอนั้นสนใจในตัวของเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งอยู่ตลอด เธอทดสอบความอยากรู้นั้นแต่ก็ควบคุมเอาไว้ไม่ได้จึงเป็นปัญหา แม้จะเป็นตอนที่เป็นมือใหม่ แม้จะเป็นตอนที่เธอถูกเรียกว่าผู้มากประสบการณ์ เหมือนว่าเธอนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ในตอนที่เรื่องของแครนเบอร์รี่ถูกเปิดโปงออกมา สิ่งที่มาโอแพมแสดงออกมามีเพียง “อ่า งั้นเหรอ” มาโอแพมนั้นเข้าใจความรู้สึกของแครนเบอร์รี่ เธอคงแค่ต้องการสู้กับเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งเท่านั้น การที่บอกว่าต้องการปฎิรูปการทดสอบที่อ่อนแอมันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ตัวตนที่แท้จริงของปัญหาน่ะมันอยู่ที่อื่น
แครนเบอร์รี่ก้าวไปข้างหน้าอย่างสุดโต่งโดยไม่มีอะไรมาผูกมัด ในขณะที่มาโอแพมนั้นถูกจริยธรรมและความรู้สึกผูกมัดเอาไว้ เธอจึงทำอะไรแบบที่แครนเบอร์รี่ทำไม่ได้ นี่คือความแตกต่างของพวกเธอ
แม้มาโอแพมนั้นจะมีความปรารถนาแบบเดียวกับแครนเบอร์รี่ แต่เธอก็จะจำไว้เสมอว่าตัวเองจะไม่เหยียบย่ำผู้ที่อ่อนแอกว่าตน แต่ในหมู่ผู้เข้าร่วมของแครนเบอร์รี่นั้นมีคนที่อ่อนแออยู่มากและเธอก็เหยียบย่ำมันลงไป นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเธอเข้ากันไม่ได้
ถึงมาโอแพมนั้นจะไม่ได้บอกใครเรื่องความรู้สึกที่ซับซ้อนเหล่านี้ แต่การเป็นพี่เลี้ยงที่มอบชื่อ ‘นักดนตรีแห่งพงไพร’ ให้กับแครนเบอร์รี่ มันทำให้ตำแหน่งของเธอในองค์กรเกิดความไม่มั่นคง อีกอย่างเรื่องที่เธอเป็นพี่เลี้ยงของแครนเบอร์รี่มันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เธอจึงไม่ได้ถูกลดยศอะไร
ผลลัพธ์นั้น ทำให้เธอกลายเมจิคัลเกิร์ลที่มีประสบการณ์พร้อมด้วยตำแหน่ง เมื่อเธอถูกเรียกไปยังแนวหน้า ก็จะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่รับมือได้ยากอีกด้วย
เธอนั้นรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าควรจะสอนแครนเบอร์รี่ให้ต่างไปจากเดิม คนที่ปรารถนาที่จะต่อสู้กับทุกคนราวกันเป็นเพื่อนเล่น ไม่ว่าจะฆ่าหรือถูกฆ่าก็จะไม่เสียใจ แม้จะโศกเศร้าแต่ไม่นานก็จะหายไป แครนเบอร์รี่เองก็เป็นเช่นนั้น เธอเองก็เป็นเพื่อนเล่น มันเป็นความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือแครนเบอร์รี่นั้นไปลากคนที่ไม่ใช่เพื่อนเล่นเข้ามาในเกมของเธอด้วย มาโอแพมคิดว่าการทำแบบนั้นไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย
มาโอแพมมองย้อนกลับไป หากเธออยู่ในตำแหน่งเดียวกับแครนเบอร์รี่ เธอจะทำแบบเดียวกับแครนเบอร์รี่ไหมนะ? บางทีคงไม่ แต่เธอพูดแบบนั้นอย่างมั่นใจไม่ได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้มาโอแพมจึงไม่ได้ต่อต้านคำสั่งจากเบื้องบน หากเธอตัดสินเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง ตัวเธออาจจะบ้าคลั่งขึ้นมาได้ คนที่อยู่เหนือกว่าเธอจะนำตัวเธอไปยังทางที่ดีกว่าที่ตัวเธอทำเองได้แน่นอน เธอทำตามราวกับเครื่องจักรที่หลับหูหลับตาทำ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นเครื่องมือที่ไม่คิดถึงตัวเอง ทุกครั้งที่เธอนึกถึงเรื่องของแครนเบอร์รี่ขึ้นมา เธอก็จะนึกถึงความจำเป็นในเรื่องนี้
งานนี้เองก็เหมือนกัน เธอทำตามคำสั่งของเบื้องบน แม้เธอจะมองเห็นความตั้งใจจริงที่ซ่อนอยู่ใต้คำแนะนำ เธอก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น เธอจะไม่คิดถึงเรื่องแผนทางการเมืองหรือสิ่งที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าเธอตั้งใจทำก็ใช่ว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี
เด็กสาวนักเต้นที่เธอสู้ด้วยบนท้องฟ้า ในตอนที่เธอโจมตีอพาร์ทเมนท์นั้นออกห่างจากตัวเธอไปแล้ว
มาโอแพมลืมเรื่องบาเรียที่กางอยู่บนท้องฟ้าไปจนหมดสิ้นแล้ว เมื่อเธอมีโอกาสได้สู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง เธอก็จะทิ้งทุกอย่างเพื่อตั้งใจกับการต่อสู้ในสนามรบตรงหน้า นั่นคือสิ่งที่ทำให้อยู่รอดมานานขนาดนี้ แต่กับภารกิจประเภทนี้ นิสัยแบบนั้นก็กลายเป็นปัญหา
เธอไล่ล่าคู่ต่อสู้ไปโดยการตัดผ่านกลุ่มเมฆหนา และเมื่อขึ้นมาถึงด้านบนเธอก็นึกมันออก แม้จะมองไม่เห็นแต่เธอสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่เป็นอันตราย เมื่อสัมผัสได้ถึงบาเรียแล้วเธอนั้นก็หยุดตัวในทันที แล้วหันไปมองดูรอบๆแต่ก็ไม่เห็นตัวของเด็กสาวนักเต้นแล้ว บางทีเธออาจโดนบาเรียแล้วร่วงลงไปที่พื้นก็ได้ มาโอแพมยังค้นหาในพื้นที่บริเวณนั้นแต่ก็ไม่เจอตัว ดังนั้นเธอจึงบินลงไปที่โลกเบื้องล่างเพื่อทำงานของเธอต่อ
เมื่อมาโอแพมลงมาถึงพื้นแล้ว เธอก็เรียกปีกของตัวเองกลับมา หนึ่งในปีกของเธอมีขนนกสีขาวงอกออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง แล้วบินเข้ามาหาเธอด้วยความเร็วสูง เหมือนว่าปีกนี้โดนเวทมนตร์บางอย่างเข้าไป ส่วนปีกอีกข้างนั้นไม่กลับมา เห็นได้ชัดว่าถูกทำลายไปแล้ว ที่สนามรบแห่งนี้มันมีศัตรูที่ทรงพลังมากพอที่จะกำจัดปีกของมาโอแพมอยู่ด้วย แค่คิดถึงเรื่องนั้นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความดีใจ
เธอพยายามข่มความดีใจของตัวเองไว้ จากนั้นก็แบ่งหนึ่งปีกของเธอออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อให้จำนวนปีกทั้งหมดกลับไปเป็นสี่ สี่นั้นคือจำนวนปีกสูงสุดของเธอที่สามารถมีได้ และไม่ใช่ว่าปีกที่หายไปนั้นจะกลับมาไม่ได้ มาโอแพมสามารถควบคุมปีกของเธอได้อย่างอิสระตามที่ตัวเองต้องการ
มาโอแพมมอบความสามารถในการมองเห็น การได้ยิน และการสนทนาด้วยสติปัญญาอย่างง่ายๆให้กับแต่ละปีก อนุญาตให้สามารถทำเรื่องต่างๆได้ด้วยตัวเอง เธอสั่งพวกมันไปว่า “ถ้าเจอคนที่ดูเหมือนว่าเป็นศัตรูล่ะก็แจ้งให้ชั้นทราบ ถ้าพวกนั้นโจมตีเข้ามา ชั้นก็อนุญาตให้โจมตีกลับได้เลย”
ที่นี่คือสนามรบ ความประมาทนั้นคือหนทางนำไปสู่ความตาย เธอเปลี่ยนปีกหนึ่งข้างของเธอให้กลายเป็นเสื้อโค้ทสีดำแล้วห่อหุ้มร่างกายของเธอไว้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังอพาร์ทเมนท์ที่ศัตรูอาจจะอยู่ โดยที่ยังคงระวังทุกสิ่งรอบตัวไปด้วย เธออยากจะตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบฉุกเฉิน
ในตอนนั้นเองเธอก็เจอกับเมจิคัลเกิร์ลสองคน ที่อพาร์ทเมนท์นั้นเต็มไปด้วยนักข่าวและคนมุงดูเหตุการณ์ แต่ในบรรดาทั้งหมดนั้น มาโอแพมก็เห็นเด็กสาวสองคนที่มีการเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติ พวกเธอมองไปยังอพาร์ทเมนท์อย่างกระวนกระวาย แต่ก็ใช้หูของตัวเองรับฟังเสียงต่างๆรอบตัว แถมทั้งสองคนยังสวมชุดนักเรียนจึงทำให้พวกเธอดูเด่นกว่าคนอื่น ที่สำคัญที่สุดคือพวกเธอนั้นมีบรรยากาศของเมจิคัลเกิร์ลที่เพิ่งคลายการแปลงร่าง หลังจากที่เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มาโอแพมก็บินลงมาบนพื้น
มาโอแพมตั้งใจจะปกป้องเมจิคัลเกิร์ลสองคนนี้ แต่ทั้งสองคนนั้นอาจจะคิดต่างออกไป มาโอแพมนั้นโกรธ แต่เธอไม่ได้โกรธทั้งสองคน เธอโกรธโทโกะที่ทำให้พวกเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลโดยไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอะไรแม้แต่นิดเดียว จากนั้นก็โยนพวกเธอลงไปสู่สนามรบ โทโกะนั้นสร้างตัวเบี้ยใช้แล้วทิ้งเพื่อให้ตัวเองหลบหนีไปได้ นี่มันคิดว่าเมจิคัลเกิร์ลเป็นตัวอะไรกันแน่?
มันต่างกับในตอนที่มาโอแพมนั้นทำงานอยู่ในหน่วยฝึกสอนพิเศษ ในตอนนั้นมือใหม่ ไม่ว่าจะดีหรือแย่ เธอก็ล้วนปฎิบัติด้วยความใส่ใจและความรัก มันทำให้เธอหวนนึกถึงช่วงเวลานั้นจริงๆ มาโอแพมทั้งบอกเรื่องกฎของเมจิคัลเกิร์ล ทั้งเปล่งเสียงออกมาดังขึ้น ตบแก้มพวกเธอ สอนพวกเธออย่างละเอียดรอบคอบ และบอกว่าเมจิคัลเกิร์ลที่คลายการแปลงร่างนั่งแล้วเป็นเป้านิ่งแบบนี้มันอันตรายขนาดไหน
เธอมองดูเด็กสาวสองคนที่ยืนตรงด้วยความเคารพอยู่ตรงหน้า พวกเธอนั้นไม่เหมือนกับศัตรูที่พรรคพวกเธอเพิ่งสู้ด้วย ทั้งคู่นั้นตัวแข็งทื่อ พวกเธอดูกลัว เมื่อเธอถามคำถามอะไรบางอย่างออกไป พวกเธอก็ตอบกลับมาตรงๆ
ในตอนนี้เธอคิดว่าต้องติดต่อหัวหน้าหน่วยสืบสวนแล้ว มาโอแพมพยายามโทรหาด้วยเมจิคัลโฟน แต่เมื่อเอาไปแนบที่หูมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…เกิดอะไรขึ้นกันนะ
ในตอนนี้มันอันตรายที่จะให้มือใหม่คลายการแปลงร่าง แถมเหมือนว่าเกิดอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้นด้วย แต่เพราะอยู่ไกลจากศูนย์กลางที่เกิดสถานการณ์ มาโอแพมจึงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้าเธอพาสองคนนี่ในตอนแปลงร่างไปด้วย แบบนั้นก็จะถูกมองเห็นได้ง่าย
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ…… ซับบาธ”
มาโอแพมเปลี่ยนปีกทั้งสองของเธอกลายเป็นเสื้อโค้ท และเปลี่ยนสีของมันเป็นสีน้ำตาล เปลี่ยนผิวสัมผัสให้เป็นสัมผัสของเนื้อผ้า แถมยังเพิ่มกระดุมกับฮู๊ดและอื่นๆเข้าไปอีก
“สวมเจ้านี่ซะตอนอยู่ข้างนอก ดึงฮู๊ดลงมาบังสายตาด้วย”
การให้พวกเธอสวมเสื้อโค้ทเหล่านี้ที่ทำจากปีกของเธอไว้ หากมองดูแล้วมันก็จะทำให้พวกเธอดูไม่โดดเด่นมากนัก และเมื่อถึงเวลาต่อสู้เธอก็ใช้ปีกปกป้องเด็กสาวทั้งสองคนได้ เธอไม่อยากให้เด็กๆมีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่การละทิ้งพวกเธอไปมันจะทำให้อันตรายยิ่งกว่าลากพวกเธอเข้ามาเกี่ยวด้วย
เรนโปวมองดูเสื้อโค้ทอย่างสงสัยและลังเลที่จะสวม เพราะแบบนั้นมาโอแพมจึงตบเข้าไปที่แก้มของเธอ ในตอนนี้พวกเธอต้องเดินหน้าแล้ว เป้าหมายของเธอคือการไปรวมกลุ่มกับหน่วยสืบสวน
เธอตำหนิเรนโปวที่พูดกับโพสตาร์รี่ว่า “ยัยนี่มันใครเนี่ย?” ด้วยการตบเข้าไปที่แก้มอีกครั้ง หลังจากที่เตือนทั้งคู่ให้ระวังตัวแล้ว เธอก็เริ่มเดินออกไป
ในตอนที่เดินกันอยู่นั้น เธอก็ถามคำถามไปด้วย ทั้งสองถูกบอกว่าหน่วยสืบสวนคือ “แม่มดผู้ชั่วร้าย” และต้องสู้กับพวกนั้นด้วย ดูเหมือนพวกเธอทั้งหมดจะถูกโทโกะใช้งาน กลุ่มของพวกเธอนั้นโจมตีหน่วยสืบสวนบนถนนและเพื่อพวกเธออยู่ที่อพาร์ทเมนท์ก็ถูกโจมตี ในตอนนั้นทั้งสองคนถอนตัวออกมาจากอาคาร แต่เมื่อกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ว่าตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเองมาโอแพมก็จับพวกเธอได้
สุดท้ายแล้วมาโอแพมก็ยังคงไม่รู้ว่าริปเปิลกับฮานะปลอดภัยดีรึเปล่า และยังไม่รู้ว่าทำไมถึงติดต่อหัวหน้าหน่วยไม่ได้อีกด้วย เด็กสาวทั้งสองคนเองก็บอกว่าใช้เมจิคัลโฟนไม่ได้เช่นกัน จากนั้นเรนโปวก็พูดขึ้นมาว่า
“บางทีมันอาจบังเอิญพังพร้อมกันหมดก็ได้…”
เพราะเธอพูดแบบนั้น มาโอแพมจึงต่อยเธอไปอีกครั้ง
☆ เว็ดดิ้น (เหลือเวลาอีก 16 ชั่วโมง 41 นาที)
พวกเธอทำได้แค่หนี หนี หนีและหนีต่อไป แต่พวกเธอก็หนีไปไหนไม่ได้เลย
“นี่เธอเร่งความเร็วมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ?”
“เมย์ทำไม่ได้ เว็ดดิ้นตัวหนัก”
“ไม่ต้องพูดแบบนั้นออกมาก็ได้!”
พวกเธอทั้งเปลี่ยนทิศทางอย่างกระทันหัน วิ่งผ่านถนนบนภูเขาที่คดเคี้ยว และทางแยกที่ซับซ้อน เท็ปเซเคเมย์ล้มถังที่ตั้งอยู่ด้านหลังร้านราเม็งจนสิ่งที่อยู่ด้านในกระจายออกมา และยิงป้ายร้านปาจิงโกะจนร่วง แต่หูกระต่ายนั้นก็ยังคงไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด
การใช้ความเร็วเท่านี้เหมือนว่าจะทิ้งห่างไม่ได้ เว็ดดิ้นจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปด้านหลัง เธอมองเห็นท่าทางของหูกระต่ายนั้นยังคงนิ่งเหมือนเดิม ฝีเท้าเองก็คงที่ เธอไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหอบอะไรเลย
พวกเธอหวังพึ่งความอดทนไม่ได้ และความเร็วเองก็ไม่มากพอที่จะทิ้งห่างได้ด้วย แบบนี้พวกเธอควรจะทำยังไงดีล่ะ?
“อ๊ะ รู้แล้วล่ะ!”
“อะไรเหรอ เว็ดดิ้น?”
“เท็ปเซเคเมย์ เธอบินได้ใช่ไหม?”
“อื้อ เมย์บินได้”
เท็ปเซเคเมย์บอกว่าเธอบินสูงกว่านี้ไม่ได้เพราะเว็ดดิ้นตัวหนัก แต่เธอก็ยังคงลอยเหนือพื้นดินได้สิบเซ็นติเมตร พวกเธอไถลตัวเคลื่อนที่กันที่ความสูงเท่านี้มาซักระยะหนึ่งแล้ว
“เอาล่ะ มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือเลย!”
“ทำไมล่ะ?”
“เธอควรจะลงไปในทะเลนะ!”
“ทะเลคืออะไรเหรอ?”
“นี่ดิฉันต้องสอนด้วยเหรอเนี่ย? เอ่อ จะว่ายังไงดีนะ…? ที่ท่าเรือน่ะมันมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่อยู่”
“ทำไมต้องไปที่นั่นด้วยล่ะ?”
“เพราะเธอลอยเหนือน้ำได้ยังไงล่ะ แต่ยัยนั่นน่ะเดินไม่ได้ ถ้าจะตามมาล่ะก็ต้องว่ายน้ำ ดิฉันน่ะไม่คิดว่ายัยหูกระต่ายนั่นจะว่ายน้ำได้เร็วเท่ากับตอนวิ่ง ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ พวกเราจะถลกหนังของกระต่ายขาวแห่งอินาบะ*ได้”
*นิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น กล่าวถึงกระต่ายขาวตัวหนึ่งที่ต้องการข้ามฝั่งจากเกาะโอกินะไปยังเมืองอินาบะที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จึงไปท้าทายจระเข้ (บางครั้งก็เล่าว่าเป็นฉลาม) ว่าใครจะมีจำนวนมากกว่ากัน กระต่ายหรือจระเข้กันแน่ โดยกระต่ายนั้นหลอกล่อให้จระเข้เรียงแถวกันเพื่อให้นับจำนวนได้ง่าย แต่เมื่อพอกระต่ายกระโดดไปถึงจระเข้ตัวสุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมาใส่จระเข้ว่า ตัวกระต่ายนั้นต้องการแค่หลอกใช้จระเข้เพื่อข้ามฝั่งเท่านั้น และเมื่อกระต่ายกำลังจะกระโดดขึ้นไปบนชายหาด จระเข้ก็งับหางกระต่ายไว้ได้ แต่ด้วยแรงกระโดดของกระต่ายจึงทำให้หนังของกระต่ายนั้นถูกถลกออกมาทั้งตัว (เนื้อเรื่องมีต่อ อ่านต่อได้ในลิงค์ด้านล่าง)
https://mythology.wikia.org/wiki/Hare_of_Inaba
https://www.jitco.or.jp/webtomo/pdf/inabano_th.pdf
https://www.youtube.com/watch?v=M53mGySTDN4
เว็ดดิ้นชมตัวเองที่คิดไอเดียดีๆแบบนี้ขึ้นมาได้ แต่เท็ปเซเคเมย์นั้นก็ส่ายหัวของเธอ
“เมย์ทำไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ เมย์บินขึ้นไปสูง สูงมากๆ แต่เมย์ก็ไปสัมผัสโดนอะไรบางอย่างจนตกลงมาก”
“สัมผัสอะไรบางอย่าง…แล้วตกลงมา?”
“ที่นี่ถูกล้อมเอาไว้แล้ว พวกเราออกไปข้างนอกไม่ได้ ดังนั้นพวกเราก็ไปที่ทะเลไม่ได้”
“ถูกล้อม?”
“ตอนที่เมย์ไปโดน เมย์เจ็บมาก เมย์ไม่อยากโดนมันอีกแล้ว”
อ๊ะ ตอนนี้เว็ดดิ้นนึกออกแล้วว่าโทโกะเคยบอกว่าเมือง B นั้นถูกบาเรียล้อมรอบเอาไว้ ในอีกแง่หนึ่ง พื้นที่ของพวกเธอถูกจำกัดอยู่แค่ในเมืองเท่านั้น พวกเธอหนีไปที่ทะเลไม่ได้
แล้วถ้าเป็นแม่น้ำล่ะ? มันมีแม่น้ำสายใหญ่ๆไหลผ่านตัวเมืองอยู่… ไม่สิ ถึงฟ้าจะครึ้มแต่ฝนก็ไม่ได้ตกมาก และครั้งสุดท้ายที่เธอได้ยินว่าระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นก็คือฤดูร้อนปีที่แล้วอีกด้วย
พวกเธอควรจะทำยังไงดี? ทางออกถูกปิดหมดแล้ว แถมหูกระต่ายนั้นใช้อะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจจัดการคุรุคุรุ ฮิเมะจนหมดสติได้ง่ายๆอีก …บางทีอาจจะคือเวทมนตร์ก็ได้ แถมตอนนั้นหูกระต่ายก็ถูกพันธการแขนขาไว้อย่างสมบูรณ์ด้วย เว็ดดิ้นรู้ว่าเท็ปเซเคเมย์นั้นแข็งแกร่ง แต่ถ้าเกิดสู้กันขึ้นมาล่ะก็ เธอก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าจะชนะรึเปล่า แต่พวกเธอจะชนะได้ยังไงกันล่ะ? ขนาดศัตรูโจมตียังไงก็ยังไม่เข้าใจเลย
เธอควรจะให้เท็ปเซเคเมย์หยุดแล้วหันมาเจรจากันรึเปล่า? แต่ความน่าเชื่อถือของเธอนั้นหล่นลงมาจนต่ำเตี้ยติดดินมาก หูกระต่ายเองก็พูดว่า “ดิฉันไม่อยากฟังเรื่องที่คุณพูดอีกแล้ว” ออกมาด้วย ไม่ว่าเธอจะใช้คำพูดแบบไหน ไม่สิ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาหูกระต่ายคงไม่ฟังเธออยู่แล้ว
“เฮ้!”
จู่ๆก็มีเสียงพูดกับเธอใกล้ๆอย่างกระทันหันจนทำให้เธอตกใจ เว็ดดิ้นหันหน้าไปดัานหลังเพื่อระบุตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลที่พูดขึ้นมา
“กัปตันเกรซ!”
“โถ่เอ๊ย! คราวหน้าเนี่ย เธอควรทำตัวให้หาเจอง่ายๆหน่อย!”
เมจิคัลเกิร์ลชุดโจรสลัดยิ้มขึ้นมาอย่างกล้าหาญ ฟันนี่ทริคเองก็อยู่ด้านหลังเธอ เท็ปเซเคเมย์เองก็ด้วย
“หือ? เท็ปเซเคเมย์อีกคน? อะไรเนี่ย?”
“เมย์แยกร่างเป็นห้าร่าง เมย์อยากหาเพื่อนให้เจอ”
เท็ปเซเคเมย์ที่อยู่ด้านหลังฟันนี่ทริคนั้นส่งเสียงแหลมๆออกมา จากนั้นตัวของเธอก็หดเล็กลงเล็กลงจนในที่สุดก็หายไป ในตอนนี้เว็ดดิ้นรู้แล้วว่า เท็ปเซเคเมย์นั้นสามารถสร้างร่างแยกของตัวเองได้ เธอบอกว่าร่างแยกไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนกับร่างต้นก็จริง แต่มันก็สามารถใช้เป็นผู้ส่งสารได้ มันมีประโยชน์ในหลายๆด้านเลย
“เดี๋ยวสิ ถ้าเธอทำอะไรแบบนั้นได้ เธอก็ควรจะแยกร่างออกไปทางอื่นเพื่อซื้อเวลาสิ!”
“ก็เว็ดดิ้นบอกว่าไม่ให้สู้นี่”
เท็ปเซเคเมย์ค่อยๆลดความเร็วลง จนกัปตันเกรซและฟันนี่ทริคตามมาทัน พวกเธอนั้นหยุดอยู่ที่หน้าโรงงานร้างที่ปิดกิจการไปเพราะฟองสบู่แตก ในเมืองอันอ้างว้างแห่งนี้ ที่นี่คือพื้นที่ที่เสื่อมโทรมมากที่สุด ไฟตามถนนก็เสียหายโดยไร้การซ่อมแซม
กัปตันเกรซดึงดาบโค้งออกมาจากฝักแล้วชี้ไปที่หูกระต่ายที่ยิ้มอยู่อย่างขบขัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตั้งท่าเตรียมสู้
“แหม ตายจริง สู้สี่ต่อหนึ่ง นี่ทำเอาดิฉันอยากติดต่อหาหัวหน้าหน่วยขึ้นมาเลย”
“สี่ต่อหนึ่ง? พูดอะไรน่ะ? แค่ชั้นคนเดียวก็พอแล้ว”
“เดี๋ยวสิ อุมิ! มันอันตรายนะ!”
ฟันนี่ทริคตะโกนออกมา เว็ดดิ้นเองก็พยักหน้าเช่นกัน
“ยัยนั่นน่ะเก่งเกินไปที่จะให้เธอทำเป็นเท่แล้วสู้แบบตัวต่อตัวได้นะ ยัยนั่นล้มคุรุคุรุ ฮิเมะด้วยวิธีที่ดิฉันไม่เข้าใจ เพราะแบบนั้นพวกเราจึงควรจะรวมตัวกันสู้มากกว่า”
“หือ? คุรุคุรุ ฮิเมะ? นั่นเธอยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
“ยังหายใจอยู่ แต่ว่าหมดสติไปแล้ว”
“ดีล่ะ งั้นมาสู้กันตัวต่อตัว!”
ไหล่ของฟันนี่ทริคลู่ลงมา เว็ดดิ้นเองก็ถอนหายใจและเท็ปเซเคเมย์ก็วางตัวเธอลงบนพื้น กัปตันเกรซนี่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่สมองมีแต่กล้ามจริงๆ
“แหม ดิฉันล่ะดีใจจริงๆที่เธอพูดแบบนั้น”
รอยยิ้มขบขันของหูกระต่ายกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ กัปตันเกรซเองก็ยิ้มกว้างออกมาเช่นกัน
“คนอื่นอย่ามายุ่งนะ ชั้นจะจัดการเรื่องนี้เอง ดังนั้นพวกเธอก็แค่—”
กองขยะที่อยู่ด้านหน้าโรงงานเกิดสั่นและส่งเสียงร้องออกมา เว็ดดิ้นขมวดคิ้ว มันมีโพรงเปิดอยู่ที่ทางเข้าโรงงาน ที่ๆก่อนหน้านี้ถูกตอกปิดด้วยตะปูกับไม้กระดาน
โพรงนี้มันดูไม่เป็นธรรมชาติ ดูไม่เหมือนพังเพราะถูกต่อยหรือเตะอีกด้วย แถมเธอก็ไม่เห็นจักรกลหนักหรือเลื่อยปรากฏอยู่เลย ถ้ากัปตันเกรซใช้ดาบของเธอตัดเป็นโพรงมันก็ควรจะคมกว่านี้ ขนาดของโพรงเองก็ใหญ่กว่าตัวของมนุษย์ ขอบของมันนั้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนกับถ่าน ราวกับว่ามันเป็นสนิมไม่ก็ผุพัง
อีกฝั่งของโพรงนั้นดำมืด และมีบางสิ่งกำลังขยับอยู่ แม้จะใช้สายตาของเมจิคัลเกิร์ลแล้วเว็ดดิ้นก็มองไม่เห็น จากนั้นก็มีมือโผล่มาจากอีกฝั่งและจับขอบเอาไว้ ถ่านสีดำนั้นร่วงลงสู่พื้นและหายไป เมื่อมีรูปร่างของมนุษย์ปรากฏตัวออกมาจากภายในโรงงานอย่างช้าๆ เว็ดดิ้นก็เลิกขมวดคิ้วของตัวเอง
รูปร่างนั้นคือนักดาบหญิง เสื้อผ้าที่โดดเด่นและใบหน้าที่งดงามทำให้เห็นได้ชัดว่าเธอคือเมจิคัลเกิร์ล เว็ดดิ้นไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจึงมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย อีกฝ่ายนั้นก็ยิ้มจนมองเห็นฟันที่เรียงกันอยู่อย่างสวยงาม แล้วก็ชักดาบที่อยู่ที่เอวขึ้นมา หากสัตว์ป่าจะยิ้มให้ มันคงจะเป็นแบบนี้สินะ
เว็ดดิ้นกลั้นเสียงกรีดร้องของเธอเอาไว้
นักดาบหญิงที่ปรากฎตัวออกมานั้นพูดภาษาต่างประเทศ จากนั้นเมจิคัลเกิร์ลที่ถือคริสตัลบอลก็พูดตามมา
“เหมือนว่าเจ้าจะสนุกสนานกับเกมไล่จับสินะ พวกเราจะใช้โอกาสนี้เข้าร่วมในฐานะผู้ที่มาทีหลังด้วยแล้วกัน ทำไมพวกเราไม่สวมบทเป็นนักล่าซะล่ะ? พวกเราจะไล่ล่าเจ้า และเจ้าก็ควรหนีไปอย่างสุดกำลัง…. พลเอกพูคินพูดแบบนี้น่ะ เนื่องจากพวกเราจะไม่เมตตาต่อคนที่อยู่อีกฝั่ง ฉันแนะนำว่าพวกเธอไม่ควรจะต่อต้านดีกว่า พวกเธอไม่อยากเจ็บตัวใช่ไหมล่ะ?”
——— Magical Girl Raising Project Arc 3 : limited [จบภาคต้น] ——–
MANGA DISCUSSION