ตอนที่ 5:
เผชิญหน้า
☆ มาโอแพม (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 14 นาที)
ศัตรูนั้นประมาท พวกมันต้องชะล่าใจเมื่อขับไล่คนที่ไล่ล่าไปได้แค่ครั้งเดียวแน่ หรือพวกมันคิดว่าฝั่งตัวเองแข็งแกร่งกว่าเพราะจำนวนมากกว่ากันนะ? มาโอแพมเกลียดคนแบบนี้ยิ่งกว่าอะไรดี แม้การสู้ด้วยนั้นจะรู้สึกง่าย แต่เธอจะใส่พลังทั้งหมดลงไป เพราะในการต่อสู้นั้นมันไม่มีอะไรยืนยันว่าจะชนะ
รถนั้นเคลื่อนที่ไปตามไม้เท้าของมานา และด้านบนนั้น มีมาโอแพมคอยสอดส่องหาศัตรูอยู่รอบบริเวณ และเธอมองเห็นกลุ่มคนที่ดูคล้ายกับเมจิคัลเกิร์ลกำลังคุยกันอยู่บนดาดฟ้าของอพาร์ทเมนท์เก่าๆ
ในสนามรบนั้น ฝ่ายที่เจอศัตรูก่อนจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
มาโอแพมนั้นแจ้งข้อมูลที่เธอเห็นให้คนอื่นทราบในทันที จากนั้นพวกเธอก็สร้างแผนการ 7753 กับมานาจะรออยู่ในที่ปลอดภัย ฮานะนั้นจะบุกเข้าไปโจมตีอพาร์ทเมนท์จากทางเข้า ริปเปิลจะโจมตีจากชั้นดาดฟ้า ส่วนมาโอแพมนั้นจะโจมตีจากบนท้องฟ้า
เมจิคัลโฟนของมาโอแพมดังขึ้น นั่นคือสัญญานบ่งบอกว่าถึงเวลาโจมตีแล้ว เธอมองดูลงมาจากด้านบน ตัดสินใจเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อลงมือ ในตอนที่เธอคิดเช่นนั้น อีกฝ่ายก็โจมตีมาก่อน แม้ตัวมาโอแพมจะพุ่งความสนใจไปที่อื่น แต่เธอก็ไม่เคยประมาท เธอได้รับข้อมูลมาว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีหนึ่งคนที่สามารถบินได้ เธอหลบการโจมตีที่จากด้านล่างได้รวดเร็วราวกับสายลม และเปลี่ยนปีกข้างหนึ่งกลายเป็นหมัดขนาดยักษ์เพื่อโจมตีสวนกลับไปเพื่อหยุดยั้ง เธอไม่ได้พยายามจะฆ่าอีกฝ่าย
แต่หมัดของเธอนั้นก็ทะลุผ่านใบหน้าของศัตรูไป มาโอแพมขมวดคิ้วแล้วถอยกลับออกมา หมัดของเธอนั้นสัมผัสไม่ได้ถึงแรงต้านอะไรเลย ใบหน้าของศัตรูที่ถูกหมัดของเธอก็เริ่มฟื้นฟูต่อหน้า
รูปร่างของเธอนั้นคือนักเต้นอาหรับ แถมยังมองเห็นร่างกายที่โปร่งใสของอีกฝ่ายด้วย
… เด็กคนนี้แข็งแกร่ง
ความรู้สึกดีใจผุดขึ้นมาภายในใจของเธอ แต่เธอก็สลัดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาดีใจ
ศัตรูนั้นขว้างอะไรบางอย่างเข้ามาหา มาโอแพมเปลี่ยนปีกข้างนึงของเธอให้กลายเป็นโล่ และกางรอเอาไว้ในมุมที่อีกฝ่ายโจมตีมา สิ่งที่บินเข้ามาเธอนั้นเหมือนจะเป็นลูกบอลอัดอากาศที่มีพลังไม่มาก ถึงจะโดนไปก็ฆ่าเธอไม่ได้ บางทีศัตรูนั้นกำลังประมาทเธออยู่ มาโอแพมคิดเช่นนั้นพร้อมความความรู้สึกดีใจที่ผุดขึ้นมาในตัวอีกครั้ง
ลูกบอลในอากาศที่พุ่งมาที่เธอนั้น มีจำนวนมากขึ้นและรุนแรงขึ้น มาโอแพมตอบโต้โดยการเสริมกำลังโล่ของเธอแล้วบินวนไปรอบๆพื้นที่ ศัตรูเองก็ขยับตามเช่นกัน เธอบินตามมาโอแพมมาด้วยการเคลื่อนไหวที่แปลกๆ อย่างการยืดตัว ไม่ก็ถอดแขน
เวทมนตร์มาโอแพมคือ ควบคุมปีกทั้งสี่ของเธอได้อย่างอิสระ ปีกของมาโอแพมนั้นไม่ได้เอาไว้บินอย่างเดียว ทั้งขนาด สี รูปร่าง ความเร็ว ความแข็ง ทุกๆอย่างเธอสามารถควบคุมได้แบบอิสระ สามารถทำได้แม้กระทั่งปล่อยปีกออกมาจากตัวของเธอ และปีกนั้นก็ทำสิ่งต่างๆได้อย่างอิสระอีกด้วย
ในตอนที่มาโอแพมสู้กับศัตรู เธอก็ปล่อยปีกสองข้างออกมา ปีกอันหนึ่งพุ่งลงไปที่อพาร์ทเมนท์ที่อยู่ด้านล่าง เธอสั่งให้มันเข้าไปเพื่อปกป้องพวกพ้องและโจมตีใส่ศัตรู แม้จะเป็นเพียงหนึ่งจากในสี่ปีก แต่พลังในการต่อสู้ก็ยังคงสูง แม้จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่ความเร็วและความแม่นยำนั้นจะลดลงเมื่อเทียบกับการที่มาโอแพมควบคุมด้วยตัวเอง แม้เมจิคัลเกิร์ลธรรมดาจะรวมกลุ่มกันปีกนั้นก็ยังจัดการได้ แถมมันยังปกป้องริปเปิลกับฮานะได้ด้วย
ปีกข้างหนึ่งของเธอแปลงเป็นดวงตาขนาดยักษ์เพื่อเอาไว้สอดส่องศัตรูรอบบริเวณ ระดับสายตานั้นเป็นระดับเดียวกับกล้องโทรทัศน์จึงสามารถสังเกตสิ่งต่างๆได้อย่างละเอียด เธอจัดลำดับว่าให้ความสำคัญกับการป้องกันพวกของตัวเอง จึงสั่งมันให้ตรวจดูรถที่ 7753 และมานาอยู่ และให้ทำการโจมตีในทันทีหากพบศัตรู เธอคิดจะทิ้งมันไว้ที่รถตั้งแต่เริ่ม ปีกนั้นขยับได้อย่างอิสระก็จริงแต่มันไม่ได้ฉลาดอะไรมาก เธอจะไม่รู้เลยว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นเธอจึงให้ปีกอยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในขณะที่ปีกสองข้างของมาโอแพมแยกกันไปคนละทาง เธอก็ยังคงโจมตีศัตรูอย่างต่อเนื่อง เธอพยายามเปลี่ยนปีกสองข้างที่เหลืออยู่เป็นใบดาบเพื่อตัดศัตรูเหมือนกับเป็นใบพัด เธอพยายามเพิ่มความหนาของปีกตัวเองด้วย แต่ทุกครั้งที่ศัตรูเหมือนกับว่าทรุดตัวลง มันก็จะฟื้นฟูตัวเองกลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว การโจมตีของเธอไม่ได้ผล
ศัตรูของเธอนั้นแข็งแกร่ง มาโอแพมจึงเริ่มยิ้มออกมา
เธอขยายปีกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นทรงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบเมตร และใช้ทุบเข้าไปที่ศัตรู
เธอทำให้มันเปล่งแสงเพื่อที่จะให้ศัตรูมองไม่เห็น
มันไม่ได้ผล การโจมตีนั้นผ่านตัวของศัตรูไปทุกครั้ง ในขณะที่อากาศเป็นก้อนจากศัตรูที่เข้ามาหาเธอนั้นมันแหลมคมราวกับใบดาบ การเคลื่อนไหวเองก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ฝ่าเข้ามาท่ามกลางใบดาบอากาศของตัวเอง พยายามเข้าใกล้เพื่อจะจับมาโอแพม
มาโอแพมค่อยๆเข้าใจว่าตัวของศัตรูนั้นก็คืออากาศ ไม่ว่ามาโอแพมจะตัดหรือทุบมันก็ไม่ได้ผล ศัตรูนั้นบินได้อย่างรวดเร็วและอิสระบนท้องฟ้าเหมือนกับลม ไม่มีใครจับเธอได้
ท่าทางของเด็กสาวนักเต้นไม่ได้เปลี่ยนไป เธอไม่ได้ทั้งสนุกสนานหรือตกใจกลัว เธอสวนกลับการโจมตีของมาโอแพมมาอย่างเฉยเมย ท่าทีแบบนี้เป็นสิ่งที่มาโอแพมนั้นชื่นชอบ
เธอนั้นแข็งแกร่งจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ไร้เทียมทานหรอก
มาโอแพมกางปีกที่ใช้เป็นโล่ออก และคลุมตัวเองไว้ทั่วทั้งตัว ในตอนนี้ตัวเธอดูเหมือนเงาของมนุษย์ที่ดำสนิท เธอสยายปีกอีกข้างที่เหลือด้านบนหัว จนมันครอบคลุมพื้นที่ราวๆ 50 เมตร ปีกนี้มันไม่มีความสามารถในการโจมตีแต่อย่างใด
ในตอนนี้ศัตรูโจมตีมาอย่างรุนแรงขึ้น ไม่มีอะไรป้องกันใบดาบอากาศอีกแล้ว ใบดาบนั้นตัดปีกที่ห่อหุ้มมาโอแพมออกเป็นชิ้นๆ มาโอแพมโดนโจมตีก็จริงแต่เธอก็ฟื้นฟูชุดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะจัดการสิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงแค่การอดทนเท่านั้น ชุดนี้มีเป้าหมายสองอย่าง เพื่อซื้อเวลาจากการป้องการโจมตี แล้วก็ป้องกันตัวเธอ ภายในชุดนั้นมาโอแพมก็พึมพำออกมา
“โคไซตัส”
การโจมตีของศัตรูเริ่มช้าลง ในที่สุดท่าทางนิ่งเฉยก็เปลี่ยนไป มันยังไม่ใช่ใบหน้าที่ดูเจ็บปวด แต่เป็นใบหน้าที่รู้ว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกไป เธอบินได้ช้าลงและใบดาบที่เคยคมกลับกลายเป็นทื่อ และเมื่อชุดของมาโอแพมถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ศัตรูนั้นก็หยุดโจมตีแล้วก็บินขึ้นไปในอากาศทันที
…ในที่สุดก็รู้แล้วงั้นเหรอ? แต่ก็สายไปแล้วล่ะ
ศัตรูของเธอนั้นใช้อากาศ สิ่งที่มาโอแพมต้องทำก็เพียงแค่ทำให้อากาศนั้นไม่เสถียร ด้วยการลดความหนาแน่นของปีกข้างหนึ่งแล้วสยายมันออกด้านบนตัวเธอ แล้วก็ทำการลดอุณหภูมิของพื้นผิวลงอย่างรุนแรง และค่อยๆลดอุณหภูมิของพื้นที่ทั้งหมดลง แก๊สน่ะจะยังคงสภาพของแก๊สไม่ได้หากนำความร้อนออกไป
มาโอแพมไล่ตามศัตรูที่หนีขึ้นไปสูงบนท้องฟ้า
☆ โทโกะ (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 13 นาที)
โทโกะคิดแล้วว่ามันอาจจะกลายเป็นแบบนี้ตอนที่โต้เถียงกัน
เหล่าเด็กสาวนั้นพูดถึงสิ่งที่มีเหตุมีผลที่จำเป็นในการเตรียมตัวให้พร้อม และเรื่องการเพิ่มความร่วมมือกันอะไรแบบนั้น แต่ในความจริงแล้ว พวกเธอนั้นแค่รู้สึกสนุกกันนิดๆ และพยายามให้ได้มีความสนุกสนานมากขึ้นจากการได้รับพลังอันเหลือล้นมา หลังจากที่พวกเธอไล่ศัตรูกลับไปได้ด้วยการต่อสู้เพียงครั้งเดียว พวกเธอก็คิดว่าได้รู้จักความสามารถศัตรูทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนั้นพวกเธอจึงประมาท
แต่ตอนนี้โทโกะเองก็ประมาทเช่นกัน เธอรู้ว่าศัตรูนั้นเสียความสามารถในการค้นหาพวกเธอไปแล้ว และตั้งแต่บาเรียถูกกางเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาก็ไม่มีใครเข้ามาเลย บางทีเธอก็รู้สึกว่าการซ่อนตัวอย่างนิ่งเงียบมันก็ดีกว่าทำอะไรบางอย่าง ซึ่งมันเองก็ทำให้เธอลังเลที่จะยุยงให้เมจิคัลเกิร์ลกระทำการต่างๆด้วย
เธอได้ยินเสียงร้องมาจากทางดาดฟ้าและเสียงการปะทะกันจากชั้นล่าง ศัตรูนั้นโจมตีมาจากสองทิศทาง ในกรณีนี้เธอก็แค่ต้องหนีไปตามถนน ห้องนี้คือห้องที่อยู่บนชั้นสองจากอพาร์ทเมนท์สามชั้น มันมีหน้าต่างอยู่ด้วยเช่นกัน โทโกะนั้นใช้น้ำหนักตัวของเธอเพื่อเปิดล็อครูปจันทร์เสี้ยวจากนั้นก็เลื่อนเปิดหน้าต่าง สนิมขึ้นก็จริงแต่เธอก็เปิดมันได้ เธอคิดเรื่องเส้นทางหลบหนีเอาไว้ตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่ในตอนแรกแล้ว
ในตอนที่โทโกะยื่นตัวออกนอกหน้าต่าง เธอก็คิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง
นี่เธอควรติดต่อคู่หูไหมนะ? แต่ตอนนี้เสียงมันก็อึกทึกมาก คู่หูของเธอคงจะรู้ว่าถูกโจมตีแล้วแน่ๆ แล้วเธอจะมีเวลาตอบรับหากโทโกะติดต่อไปรึเปล่า? ถ้าเธอจะมีเวลาแบบนั้น เธอก็ควรเอามันไปทำอย่างอื่น โทโกะรู้สึกไม่สบายใจเรื่องการที่เธอจะหนีไปเองเลย แต่ถ้าเธอยังคงอยู่ในสนามรบ กรณีเลวร้ายที่สุดเธออาจจะรั้งคู่หูเอาไว้ และนั่นก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายขึ้นมา คู่หูของเธอรู้ว่าควรเอาตัวรอดยังไง ถ้าใช้พวกตัวเบี้ยอย่างถูกต้องล่ะก็มันได้ผลแน่
โทโกะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ติดต่อคู่หู บาเรียนั้นเหลือเวลาน้อยกว่ายี่สิบชั่วโมงแล้ว ก่อนอื่นโทโกะต้องตั้งสมาธิในเรื่องการหนี หากเธอบินหนีไป มันก็มีเมจิคัลเกิร์ลเพียงไม่กี่คนที่จะตามเธอมาได้
โทโกะกระโดดออกไปจากหน้าต่าง เธอพุ่งขึ้นไปหาท้องฟ้าด้านบน แต่เธอก็ไปสบตาเข้ากับนินจาที่กระโดดลงมาจากดาดฟ้าอพาร์ทเมนท์
เมื่อเห็นอีกฝ่ายดวงตาของโทโกะก็เบิกกว้าง เด็กสาวนั้นมีแขนข้างเดียว แถมที่ใบหน้าของเธอนั้นยังมีบาดแผลที่ตาซ้าย มันทำให้ตาซ้ายปิด รูปร่างของเธอนั้นดูโดดเด่น เมื่อเห็นใบหน้าของเธอไปครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่มีทางลืมมันลง แต่โทโกะนั้นไม่คุ้นหน้าเธอตอนที่สู้กันบนถนน นี่เธอเป็นกองหนุนของพวกนั้นรึไงนะ?
ใบหน้าของนินจานั้นแสดงออกมาตรงข้ามกับการแสดงออกของโทโกะ เธอมีใบหน้าที่ดูเรียบเฉย โทโกะบิดตัวเพื่อหลบเลี่ยง แต่เล็บสีชมพูของนินจานั้นจับกระโปรงของเธอได้จนโทโกะเสียการทรงตัวในอากาศ นินจานั้นหมุนข้อมือและใช้นิ้วของเธอจับรอบๆที่ลำตัวของโทโกะ แต่ก่อนที่เธอจะกำให้แน่นได้นั้น ก็มีบางคนเข้ามาจากด้านข้างเอาตัวโทโกะไป
สายรุ้งที่อยู่ที่หลังของเมจิคัลเกิร์ลคนนั้นมันส่องประกายระยิบระยับแม้จะอยู่ในความมืด เธอเข้ามาจับตัวโทโกะและพุ่งข้ามสะพานสายรุ้งไปอีกฝั่ง
“เรนโปว!” โทโกะร้องออกมา
☆ เรนโปว (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 12 นาที)
เวทมนตร์ของเรนโปวนั้นคือการสร้างสายรุ้งเหมือนกับการที่เธอปรากฎตัวออกมา แต่สายรุ้งนั้นไม่ใช่สายรุ้งธรรมดา ทุกคนนั้นคงเคยเห็นสมุดสภาพหรือรายการของเด็กที่มีสะพานสายรุ้งให้ตัวละครเดิมข้ามได้ เวทมนตร์ของเรนโปวนั้นสร้างสายรุ้งที่แข็งแกร่งพอที่จะเดินบนนั้นได้ มันเป็นพลังที่เรียกได้ว่าดูสมเป็นเวทมนตร์มาก
ในค่ำคืนที่ไร้ดวงดาวและดวงจันทร์เช่นนี้ สะพานสายรุ้งนั้นสองประกายออกมาอ่อนๆขัดกับความงามที่เป็นของคู่กันในช่วงเวลากลางวัน ความงามนั้นลึกลับ ดูอันตราย และมหัศจรรย์ มันไม่ได้ยืดหยุ่นแต่กลับแข็งแกร่งและหนักแน่น แม้จะโดนเมจิคัลเกิร์ลกระทืบลงไปอย่างรุนแรงก็ไม่ขยับเขยื้อน ความกว้างนั้นประมาณหนึ่งเมตรเพียงพอที่จะให้เมจิคัลเกิร์ลวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้ ไม่ว่าจะอยู่สูงแค่ไหนก็ตาม
เมือง B นั้นเรียกว่าเมืองใหญ่ก็ไม่ได้ นอกเหนือจากย่านบันเทิงแล้ว แสงไฟมันมีอยู่เพียงไม่กี่ที่ มันจึงไม่ได้ดูเตะตาอะไร ที่สะพานสายรุ้งมันแผ่ออกไปเหนือหลังคาบ้านที่เรียงรายกัน แต่ก็หลีกเลี่ยงสถานีวิทยุด้วย
เรนโปวสร้างสะพานสายรุ้งขึ้นมา และมุ่งหน้าตรงไปยังสุดขอบที่ยังคงแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ
โพสตาร์รี่นั้นกำลังวิ่งตามเธอมา มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่โพสตาร์รี่ต้องฝืนตัวเองตามไปเลย แต่ทั้งสองนั้นอยู่ด้วยกันเมื่อการโจมตีเริ่มขึ้น และกลัวที่เพื่อนจะทิ้งไป โพสตาร์รี่จึงลงเอยด้วยการทำเป็นผู้คุ้มกันอยู่ข้างๆ แน่นอนว่านินจานั้นกำลังไล่หลังพวกเธอมาอยู่ มันสายไปแล้วที่โพสตาร์รี่จะเปลี่ยนใจ ดังนั้นเธอจึงมุ่งหน้าต่อไปอย่างสิ้นหวัง
“เรวโปว! เธอนี่วิ่งช้าจัง! เร็วกว่านี้อีกสิ! เร็วกว่านี้! เร็วกว่านี้!”
“หุบปากไปเลย โทโกะ! เธอนี่มันน่ารำคาญจริง!”
เรนโปวใส่โทโกะลงไปในกระเป๋าหน้าอก เธอได้ยินเสียงพึมพำออกมาจากบริเวณนั้นด้วย บางทีอาจเป็นเพราะเธอยัดส่วนหัวของแฟร์รี่ลงก่อน แม้โทโกะจะรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ในตอนนี้ให้เธออยู่ในนี้ดีกว่า
นินจานั้นกำลังไล่ตามเธอมาโดยไม่ถอยไปแม้แต่ก้าวเดียว ความจริงแล้วเธอนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้พวกเธออยู่ห่างกันยี่สิบเมตร แต่ในตอนนี้มันเหลือแค่สิบห้าเมตรแล้ว เห็นได้ชัดว่านินจานั้นรวดเร็ว หรือโพสตาร์รี่ช้ากันนะ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าโพสตาร์รี่นั้นวิ่งเร็วกว่า เธอทำดีที่สุดของเธอแล้ว เรนโปวเองก็ได้ยินเสียงหอบอย่างหนักอยู่ด้านหลังเธอ
ในตอนที่ความสนใจของเรนโปวนั้นอยู่ที่โพสตาร์รี่ มันก็มีบางอย่างพุ่งตรงเข้ามาหาเธอจากด้านหน้า เรนโปวประหลาดใจและหลบมันไม่ได้ แถมยังลดความเร็วลงไม่ได้อีกด้วย ดังนั้นเธอจึงเตะเข้าไปยังสื่งที่พุ่งเข้ามาหาเธอจากด้านหน้า จากแรงกระแทกที่รองเท้าของเธอและเสียงที่ดังขึ้น มันบ่งบอกว่าสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเธอนั้นเป็นโลหะ
จากนั้นก็มีอันที่สองและอันที่สามพุ่งเข้ามาหาเธอ เรนโปวเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร มันคือคุไนอาวุธของนินจานั่นเอง ในขณะที่นินจาไล่ตามเธอมาจากด้านหลัง เธอก็ขว้างคุไนออกมาทะลุผ่านทั้งตัวเรนโปวและโพสตาร์รี่ไป จากนั้นคุไนก็หมุนเป็นวงขนาดใหญ่ มันเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้ามาหาเธอทางด้านหน้า
เรนโปวเตะอันที่สองทิ้งเหมือนกับอันแรกและพยายามหลบอันที่สาม แต่อาวุธนั้นก็เปลี่ยนวิถีอย่างฉับพลัน มันเฉือนผิวหนังและปักลงไปที่เท้าของเรนโปว เรนโปวโงนเงน แต่เธอจะล้มหรือช้าลงไม่ได้ เธอกัดฟันและวิ่งบนสายรุ้งต่อไป
“ปะ-เป็นอะไรไหม?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก!”
คุไนนั้นยังคงปามาที่เธอเรื่อยๆ เพราะหลบมันไม่ได้ เรนโปวไม่มีตัวเลือกนอกจากต้องโจมตีเพื่อหยุดมัน คุไนทุกอันพุ่งตรงมายังขาของเธอ เธอจึงปัดมันไปด้านข้างด้วยมือไม่ได้ เธอถูกบังคับให้ต้องเตะมันไปทีละอันทีละอัน ในตอนนี้คุไนมันพุ่งมาที่เธอเร็วและแรงมากยิ่งขึ้น
คุไนทั้งหมดพุ่งเป้ามายังเรนโปว ศัตรูนั้นไม่ได้พยายามจะฆ่าเธอ เธอกำลังประเมินความแข็งแกร่งของเรนโปวและพยายามจะกันเรนโปวออกไป การไล่ล่าแบบนี้เป็นเรื่องที่นินจาทำได้ง่ายๆ
เรนโปวมองลงไปที่พื้นและไฟถนน มันไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอื่นนอกจากไฟที่อยู่สองข้างถนนด้านล่าง แต่มีรถที่สัญจรผ่านไปมาไม่มาก จากสายรุ้งจนถึงพื้นนั้นห่างกันสามสิบเมตร หากเป็นความสามารถทางกายภาพของเมจิคัลเกิร์ลล่ะก็ การตกลงไปในระยะเท่านี้มันก็จะไม่ถึงชีวิต ศัตรูเองคงคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
เธอควรยกเลิกสะพายสายรุ้งแล้วกระโดดลงไปรึเปล่า? ที่ถนนด้านล่างนั้นก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงเหมือนกับสายรุ้งด้วย มันคงจะมีกำบังและหลบการโจมตีได้ง่าย…ไม่สิ การโจมตีของศัตรูนั้นพุ่งเข้ามาหาเธอ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคุไนก็จะพุ่งออกมาจากจุดบอด นอกจากนั้นเรนโปวต้องคิดเรื่องปลายทางอีกด้วย หากเป็นไปได้เธอก็อยากไปจากทางบนฟ้า เส้นทางบนพื้นนั้นมันคงต้องอ้อมและทำให้ตัวเธอตกเป็นเป้าได้ หากพวกเธอผ่านช่องว่างระหว่างอาคารได้มันก็จะไม่ยากเลย เธอใกล้ถึงสถานที่ที่จะไปแล้ว จึงต้องการเวลาอีกแค่ไม่นาน
“ทาจัง! เหมือนก่อนหน้านี้ โอเคนะ!”
“อะ-อะ-อื้อ!”
เธอพูดคำว่า “อื้อ” ออกมาพร้อมกับกดฟันไปด้วย แต่การเคลื่อนไหวของโพสตาร์รี่นั้นก็ไม่ได้ช้าลง เมื่อเธอถอดหมวกออกก็มีค้อนร่วงลงมา
เวทมนตร์ของโพสตาร์รี่คือการส่งพัสดุ เมื่อเธอเอาบางอย่างไว้บนมือและร่ายเวทมนตร์ลงไป มันก็จะมีปีกงอกขึ้นมา ปีกนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์คล้ายกับนกน้ำ มันดูเรียบง่ายและงดงามทำให้นึกถึงนางฟ้าในภาพวาดทางศาสนา ขนาดของปีกนั้นมันขึ้นอยู่กับสัดส่วนของวัตถุ ปีกนั้นจะกระพือขึ้นอย่างรวดเร็วและบินตรงไปเจ้าของวัตถุ เมื่อมันไปถึงแล้ว ปีกก็จะกระจายตัวออกแล้วก็หายไป โพสตาร์รี่นั้นสามารถปรับความเร็วในการส่งพัสดุได้สองแบบว่าต้องการส่งธรรมดาหรือส่งด่วนได้ด้วย
การส่งธรรมดานั้นจะเป็นการส่งสิ่งของที่มีน้ำหนักเบาไปในอากาศ ความเร็วนั้นอยู่ในระดับที่มนุษย์ธรรมดาสามารถวิ่งไปจับได้ มันจึงเหมาะกับการส่งของที่แตกหักง่าย ขวด หรือวัตถุที่อันตรายไปถึงมือได้อย่างปลอดภัย ส่วนการส่งด่วนนั้นจะรวดเร็วจนขนาดที่เมจิคัลเกิร์ลก็ไล่ตามไม่ทัน และไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลยว่าไม่มีทางจะตามความเร็วขนาดนี้ทันได้ พัสดุที่ส่งด่วนนั้นจะไปถึงมือเจ้าของอย่างรวดเร็วและแน่นอน ไม่มีการส่งช้าหรือส่งผิด ไม่จำกัดน้ำหนัก หรือจำนวนที่สามารถส่งได้ด้วยเช่นกัน
ค้อนแต่ละอันที่ร่วงลงมาจากหมวกของโพสตาร์รี่มีปีกงอกออกมา กัปตันเกรซนั้นซื้อมันมาจากร้านของอุปกรณ์และให้โพสตาร์รี่ถือมันเอาไว้ นั่นหมายถึงเมื่อโพสตาร์รี่ร่ายเวทมนตร์ลงไป มันจะบินไปหาเจ้าของซึ่งก็คือกัปตันเกรซ เพราะพวกเธอวิ่งตรงมาบนสายรุ้ง ดังนั้นแน่นอนว่าค้อนมันจะบินตรงกลับไปด้านหลังเรนโปว เวทมนตร์ของโพสตาร์รี่นั้นไม่ได้มีความสามารถหลบหลีกวัตถุที่ขวางทางอยู่
เรนโปวได้ยินเสียงโลหะปะทะกันกับโลหะดังมาจากด้านหลัง นินจานั้นกำลังปะทะกับค้อนที่บินมาหาเธออยู่ ซึ่งมันหมายความว่าคุไนจะหยุดปามา จากเสียงที่เรนโปวได้ยินสามารถบอกได้ว่า คนที่ไล่ล่าเธอนั้นถอยหลังกลับไปไม่มาก หากเธอจะทำมันล่ะก็ควรเป็นตอนนี้ไม่งั้นก็จะไม่ได้ทำอีกเลย เรนโปวนั้นกลับมายกตัวของโพสตาร์รี่ขึ้นในท่าแบกเจ้าสาว และวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้บนสายรุ้ง แบบนี้มันจะเร็วกว่าการที่ปล่อยให้โพสตาร์รี่วิ่งเอง
เธอวิ่งอย่างเต็มกำลังบนสายรุ้งจนเหลืออีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก่อนที่จะถึงเป้าหมาย และเมื่อมาถึงดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างที่เป็นเป้าหมายแล้ว เธอก็ยกเลิกสะพานสายรุ้ง แล้วก็เตะคุไนอันสุดท้ายที่นินจาปามาตอนที่นินจาร่วงลงไปบนพื้น จากนั้นเรนโปวก็ฉีกผ้าใบสีฟ้าที่คลุมอยู่บนดาดฟ้าออกในครั้งเดียว
ที่นี่คือดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างเก่าๆซึ่งถูกทิ้งร้างมานานแล้ว คนที่มาที่นี่มีเพียงพนักงานซ่อมบำรุงและอีกา มันเป็นที่ๆสะดวกในการซ่อนสิ่งของ
หลังจากการต่อสู้ในครั้งแรก เรนโปวกับโพสตาร์รี่นั้นร่วมมือกันเพื่อซ่อนรถตู้ของศัตรูที่ถูกทิ้งเอาในการต่อสู้ไว้บนดาดฟ้าแห่งนี้ ในตอนนี้หากโพสตาร์รี่ร่ายเวทมนตร์ของตัวเองลงไป รถตู้คนนี้ก็จะบินกลับไปหาเจ้าของ
มันเป็นการพนันอย่างหนึ่งว่าเจ้าของรถตู้นั้นคือใคร แต่โอกาสที่เจ้าของนั้นจะเป็นนักสู้เหมือนกับเด็กสาวที่มาโจมตีพวกเธอก็ต่ำเช่นกัน ในตอนนี้หากพวกเธอหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่รุนแรงได้ มันก็ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากโชคดีพวกเธอก็อาจจะทำให้ศัตรูเผลอตัวแล้วก็ลอบโจมตีได้
เรนโปวนั้นจับกันชนด้านหลังของรถตู้ในขณะที่แบกโพสตาร์รี่เอาไว้อย่างแนบแน่น
“เอาเลย ทาจัง!”
“อะ-อื้อ!”
โพสตาร์รี่ใช้เวทมนตร์ของเธอกับรถตู้ รถตู้ที่พังไปแล้วครึ่งคันทั้งหน้าต่างแตกและมีรอยเท้าอยู่บนหลังคารถนั้นก็มีปีกงอกออกมาจากแต่ละด้านของตัวรถ แล้วก็บินขึ้นไปในอากาศ
☆ คุรุคุรุ ฮิเมะ (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 10 นาที)
คุรุคุรุ ฮิเมะปล่อยริบบิ้นออกมา แต่หูกระต่ายนั้นหลบเลี่ยงได้ด้วยการหมุนตัวบนอากาศ คุรุคุรุ ฮิเมะปล่อยริบบิ้นออกไปอีก แต่ทั้งหมดนี้มันคือการเบี่ยงเบนความสนใจ เธอไม่ได้มีแผนที่จะสู้ด้วย แถมยังดูเหมือนว่าเธอนั้นจะเอาชนะศัตรูแบบตัวต่อตัวไม่ได้อีก ก่อนหน้านี้ที่เอาชนะได้ก็เพราะพวกเธอนั้นรวมกลุ่มกันสู้
“ใจเย็นก่อน! ถ้าเธอไม่ขัดขืนล่ะก็จะไม่ถูกเตะหรือต่อยนะ!”
การพูดว่าจะไม่เตะหรือต่อยกับหูกระต่ายนั้น มันฟังดูเหมือนการขู่มากกว่าโน้มน้าวใจเธอซะอีก คุรุคุรุ ฮิเมะวิ่งออกไป อย่างน้อยหากมีพวกอยู่ด้วยล่ะก็ เธอก็อาจรับมือได้
เธอเอาริบบิ้นไปพันรอบเสาโทรศัพท์ แล้วก็เตะพื้นพร้อมกับดึงริบบิ้นไปด้วย จากนั้นก็ใช้ริบบิ้นไปพันที่บันไดหนีไฟที่ติดตั้งเอาไว้ด้านหลังอพาร์ทเมนท์ เมื่อเธอดึงริบบิ้นที่อยู่ฝั่งบันไดหนีไฟแล้ว เธอก็ปล่อยฝั่งของเสาโทรศัพท์ออกไป มันเป็นการผสานกันระหว่างความแข็งแกร่งของขาและริบบิ้น เธอนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วและอิสระมากกว่าปกติ แต่ว่า…
“เลิกหนีได้แล้ว! ยอมแพ้ซะ!”
หูกระต่ายตามเธอมาได้โดยที่ไม่ได้ใช้ริบบิ้นเลย การเคลื่อนไหวและการตอบสนองของเธอนั้นอยู่เหนือว่าตัวคุรุคุรุ ฮิเมะขึ้นไปอีก หากเป็นแบบนี้เธอจะหนีไม่ได้แน่
ในตอนนี้คุรุคุรุ ฮิเมะนั้นต้องไปรวมตัวกับใครบางคน จะเป็นใครก็ได้ เธอเคลื่อนตัวจากบันไดหนีไฟไปที่เสาโทรศัพท์ จากเสาโทรศัพท์ไปยังกำแพงของอพาร์ทเมนท์ จากกำแพงไปยังดาดฟ้าบ้านของใครบางคน จากดาดฟ้าบ้านของใครบางคนไปยังดาดฟ้าของอพาร์ทเมนท์ เธอพยายามจับศัตรูด้วยการขึงริบบิ้นระหว่างเสาโทรศัพท์สองเสา แต่ว่าหูกระต่ายนั้นก็หมุนตัวกลางอากาศ หลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองคนนั้นประจันหน้ากันบนดาดฟ้าของอพาร์เมนท์ พื้นที่โดยรอบนั้นมีขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตร สภาพนั้นขาดการบำรุงรักษาจนอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด มีรอยชำรุดทรุดโทรมอยู่ทั่วบริเวณ แถมยังมีวัชพืชงอกออกมาจากรอยแตกด้วย
ที่นี่มีพวกเดียวกันที่เธอตามหาอยู่ แต่เธอนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่คุรุคุรุ ฮิเมะจะหวังอะไรได้ เว็ดดิ้นนอนแผ่อยู่กับพื้น ดูเหมือนว่าชุดของเธอนั้นถูกเสียบตรึงเอาไว้หลายจุด ทั้งชายเสื้อ กระโปรง ผ้าคลุมหน้า ทั่วทั้งชุดของเธอถูกเสียบตรึงเอาไว้อยู่ในรูปไม้กางเขน
“คุรุคุรุ ฮิเมะ! ดีใจจริงๆที่มา! ดิฉันสู้สุดความสามารถแล้วนะ! แต่ไอ้นินจาเวรนั่น! ดันใช้ทริคฉลาดๆ ทำให้ขยับไม่ได้ด้วยคุไนซะได้! ขอร้องล่ะ ช่วยดิฉันออกไปก่อนที! “
โชคดีที่เธอไม่ได้บาดเจ็บ แต่อย่างไรแบบนี้ก็ช่วยอะไรคุรุคุรุ ฮิเมะไม่ได้ ความจริงแล้วกลายเป็นถ่วงให้ช้าลงด้วยซ้ำ
หูกระต่ายมองมาที่เว็ดดิ้น เธอยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร แล้วก็พูดว่า
“ดิฉันจะช่วยเองค่ะ ดังนั้นช่วยยอมแพ้ด้วย”
“หือ? ใครน่ะ? มีใครมาด้วยงั้นเหรอ? ศัตรูรึเปล่า?”
“เธอเองก็ด้วยเด็กสาวริบบิ้น แค่ยอมจำนน ทั้งสองคนไม่มีใครอยากเจ็บตัวใช่ไหมล่ะ?”
กัปตันเกรซนั้นยืนกรานว่าเมื่อเธอเข้าใกล้หูกระต่าย แผลของเธอก็รู้สึกเป็นปวดอย่างแปลกประหลาด แต่พวกเธอนั้นก็ยังไม่รู้ว่าหูกระต่ายนั้นใช้เวทมนตร์ประเภทไหน โดยเฉพาะตัวของคุรุคุรุ ฮิเมะนั้นจะสามารถเอาชนะศัตรูแบบนี้ได้ด้วยตัวเองไหมนะ?
“หากเธออยากให้พวกเรายอมแพ้ พวกเราเองก็มีเงื่อนไขเช่นกัน!” เว็ดดิ้นพูดขึ้นมาขณะที่ยังคงถูกตรึงอยู่กับพื้น
“การยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขก็มีอยู่เหมือนกันนะคะ”
“จะรับประกันชีวิตพวกเรารึเปล่า?”
“ดิฉันไม่ได้จะฆ่าอะไรพวกคุณหรอกค่ะ”
“พวกเราจะยังคงเป็นเมจิคัลเกิร์ลอยู่รึเปล่า?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณเองไม่ใช่เหรอคะ?”
“ถ้าเธอไม่ยืนยันให้มันชัดเจนล่ะก็ พวกเราก็ไม่ยอมแพ้หรอก!”
“ทั้งๆที่ถูกมัดจนขยับไม่ได้ แต่เหมือนว่าจะยังคงพูดแบบนั้นได้สินะคะ น่าประทับใจจัง”
การพูดคุยของเว็ดดิ้นกับหูกระต่ายนั้นดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น ตอนนั้นคุรุคุรุ ฮิเมะก็นึกขึ้นมาได้ว่า เว็ดดิ้น หรือมิเนะ มุสุบิยะนั้นไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ เธอมีนิสัยแบบโอตาคุที่จะพูดพล่ามในเรื่องที่เธอชอบหรือเรื่องความเห็นส่วนตัว แต่กระนั้นเธอชอบบทสนทนาที่สั้นๆมากกว่าบทสนทนายาวๆ
“สถานะปัจจุบันเนี่ยมันเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขการยอมแพ้ด้วยเหรอ? แม้จะเป็นแบบนี้ แต่พวกพ้องที่เหลือก็ทำอะไรได้ดี”
“นี่พวกเราพูดถึงเงื่อนไขการยอมแพ้ของ คุณ อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะผู้นำจึงมีหน้าที่และสิทธิในการพูดคุยเรื่องสถานะของพวกพ้องทั้งหมดยังไงล่ะ”
“ไม่ใช่คิดไปเองว่าเป็นผู้นำหรอกเหรอ?”
“หยาบคายที่สุด! ดิฉันน่ะเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ ถูกเลือกมาด้วยวิธีการทางประชาธิปไตยนะ!”
หูกระต่ายยักไหล่ด้วยความโกรธเคือง เสียงของเว็ดดิ้นนั้นเริ่มใส่อารมณ์ลงไปตอนพูดด้วย เธอพยายามจะยืดการพูดคุยนี้ให้นานขึ้น
เมื่อสัมผัสถึงความตั้งใจของเว็ดดิ้นได้แล้ว คุรุคุรุ ฮิเมะจึงทำงานของตัวเอง เธอคลายริบบิ้นบางๆที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของเธออย่างช้าๆ และต่อมันให้ยาวขึ้นด้วยการเชื่อมต่อริบบิ้นหลายๆเส้นเข้าด้วยกัน เธอพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ตัว ปล่อยริบบิ้นลงมาตามพื้น ที่ด้านบนดาดฟ้านี้มันมีรอยแตกร้าวอยู่ทั่ว เธอขยับริบบิ้นให้ลงไปยังหนึ่งในรอยแตกนั้น และให้มันเลื้อยไปทางใต้พื้นดาดฟ้ามุ่งหน้าไปทางหูกระต่าย
“หากดิฉันยอมแพ้ นั่นหมายถึงพวกเราทุกคนยอมแพ้ ดังนั้นช่วยเพิ่มพยายามเพื่อเอาชนะเข้าไปอีกนิดสิ อย่างเช่น แม้เธอจะขโมยสิทธิ์ในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลของพวกเราไป แต่ถ้าเสนอน้ำใจอย่างเช่นค่าตอบแทนเป็นเงินมา แบบนั้นก็จะทำให้พวกเรารู้สึกดีได้แม้จะยอมแพ้ใช่ไหมล่ะ?”
“คุณน่ะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะได้รับค่าตอบแทนอะไรหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอติดต่อคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าไม่ได้เหรอ? การคุยกันเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างน่ะมันสำคัญจึงควรให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบมาคุย ใช่ไหมล่ะ?”
“เอ่อ แต่ รู้ไหมคะ…”
“แน่ใจว่าพวกเราจะมีข้อตกลงที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจได้แน่”
ริบบิ้นนั้นลอดผ่านไปใต้คอนกรีต มุ่งยังเท้าของหูกระต่าย มันพุ่งออกมาจากรอยแตกเพื่อเข้าไปจับเท้าของเธอ คุรุคุรุ ฮิเมะจับเอาไว้ไม่ได้ แต่หูกระต่ายนั้นเหมือนจะเสียการทรงตัว คุรุคุรุ ฮิเมะจึงปล่อยริบบิ้นทั้งหมดของเธอออกไปทางหูกระต่ายในคราวเดียว หูกระต่ายปัดริบบิ้นอันแรกไปด้านข้าง และหลบริบบิ้นอันที่สอง แต่คุรุคุรุ ฮิเมะนั้นยังคงปล่อยริบบิ้นออกมาเรื่อยๆ อันที่สาม อันที่สี่ พันแขนขา แย่งชิงเอาอิสระมาจากศัตรูทีละเล็กละน้อย คุรุคุรุ ฮิเมะนั้นมัดแขน ขา และลำตัวของหูกระต่ายเอาไว้ด้วยริบบิ้น แต่หูกระต่ายกระชากริบบิ้นอย่างแรง จนคุรุคุรุ ฮิเมะโดนดึงเข้าไปใกล้ตัวของอีกฝ่าย
เวทมนตร์ของหูกระต่ายนั้นอาจจะเป็นการเพิ่มความเจ็บปวด หากคุรุคุรุ ฮิเมะเกิดบาดเจ็บขึ้นมาเพียงเล็กน้อย มันก็เท่ากับว่าเธอแพ้แล้ว แน่นอนว่าเธอไม่มั่นใจที่จะทนกับความเจ็บปวดแบบผิดปกติไหว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแน่ใจว่าป้องกันการโจมตีของศัตรูได้
คุรุคุรุ ฮิเมะคลายชุดของเธอออก แม้มันจะดูไม่เหมือนแต่ว่าชุดของเธอทั้งหมดนั้นสร้างมาจากริบบิ้น เธอถอดรองเท้า pointe* ตูตู* มงกุฏของเธอก็เช่นกัน
*รองเท้าบัลเล่ต์ชนิดหัวแข็งใช้สำหรับการยืนปลายเท้า
*กระโปรงที่มีลักษณะฟูฟ่องแบบที่นักบัลเล่ต์ใช้
คุรุคุรุ ฮิเมะขยับริบบิ้นของเธอไปรอบๆ พร้อมกับรู้สึกถึงลมหนาวของเดือนพฤศจิกายนที่สัมผัสผิวหนังที่เปลือยเปล่าของเธอไปด้วย เธอนั้นยังคงปล่อยริบบิ้นออกไปเพื่อโจมตีและยังเตรียมการป้องกันเอาไว้ เธอสร้างริบบิ้นเป็นกำแพงระหว่างศัตรูและตัวเธอเอง ปล่อยริบบิ้นไปผูกไว้กับรั้วเหล็กของอพาร์ทเมนท์เพิ่มเพื่อรักษาตำแหน่งของเธอมั่นคง
หูกระต่ายนั้นยังคงกระชากริบบิ้นอีกครั้งโดยไม่สนใจกำแพง ริบบิ้นที่พันอยู่รอบรั้วเหล็กฉีกขาด คุรุคุรุ ฮิเมะยันขาของเธอเอาไว้กับพื้น แต่ก็ไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้ ตัวของเธอเข้าใกล้หูกระต่ายเข้าไปทุกที แต่ว่ายังคงมีกำแพงอยู่ กำแพงนั้นยึดกับดาดฟ้าเอาไว้อย่างแน่นหนา คุรุคุรุ ฮิเมะยังคงถูกหูกระต่ายลากไป แต่อีกฝ่ายนั้นก็กระชากเธอในคราวเดียวไม่ได้
คุรุคุรุ ฮิเมะยังคงปล่อยริบบิ้นออกไปแม้ว่าหูกระต่ายนั้นจะลากตัวเธออยู่ แต่เมื่อริบบิ้นพันรอบตัวของศัตรูเพื่อหยุดยั้งแล้ว มันก็มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น กลิ่นควันไอเสียพุ่งเข้ามาในจมูกจนทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนอย่างมาก สายตาของเธอก็มองอะไรไม่เห็นเลย สิ่งต่างๆถอยห่างและพุ่งเข้ามาเธออีกครั้งและอีกครั้ง เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แก้วหูของเธอเองก็สั่นสะเทือนไปด้วยเสียง จนทำให้สมองของเธอสั่นสะเทือนตามไปด้วย
คุรุคุรุ ฮิเมะคุกเข่าลงกับพื้น ความรุนแรงนั้นจะมากเกินกว่าที่เธอรับได้ เธอกรีดร้องออกมาและทรุดตัวลง เข่าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความทรมาณนั้นเสียดแทงเข้ามาหาเธอในคราวเดียว ตั้งแต่หัวจนจรดปลายเท้า
“แย่หน่อยนะ คุณเข้ามาในอาณาเขตของดิฉันแล้วล่ะ…” มันคือคำที่เธอได้ยินก่อนที่จะหมดสติไป
☆ กัปตันเกรซ (เหลือเวลาอีก 18 ชั่วโมง 10 นาที)
มีเสียงดังอึกทึกดังมาจากดาดฟ้าและชั้นหนึ่ง และหลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เธอควรจะขึ้นไปบนดาดฟ้ารึลงมาชั้นล่างกันนะ? กัปตันเกรซนั้นเลือกลงมาที่ชั้นหนึ่งและรีบลงมาทางบันได เสียงฝีเท้าของฟันนี่ทริคก็ไล่หลังเธอมา
เธอกระโดดลงมาสิบก้าวมุ่งหน้าไปยังทางเข้าอาคาร แต่ที่ๆเธอหยุดอยู่นั้นมันกลับไม่มีใครอยู่เลย
“นี่ คาโยะ”
“อะไรเหรอ?”
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย มันหมายความว่ายังไงเหรอ?”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะยะ?”
กัปตันเกรซเอาฝ่ามือมาป้องหูทั้งสองข้างของตัวเอง เธอตั้งใจฟังเสียงและยังคงได้ยินเสียงของการต่อสู้อยู่
“เอาล่ะ ไปที่ดาดฟ้ากัน-”
เธอพูดเช่นนั้นและเงยหน้ามอง ท่ามกลางเสียงอึกทึกนั้น เธอนั้นได้ยินเสียงเบาๆของปีกที่กระพืออยู่ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเธอ
กัปตันเกรซมองเข้าไปในความมืดแล้วก็เห็นสิ่งแปลกประหลาดบินมาทางพวกเธออย่างช้าๆ เธอสงสัยว่านี่คือเมจิคัลเกิร์ลแบบใหม่งั้นเหรอ? แต่มันไม่ใช่ มันเป็นวัตถุทรงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร ทั่วทั้งร่างเป็นสีดำล้วนเหมือนกับวัสดุที่ทำมาจากยาง มันกระพือปีกที่ดูเหมือนค้างคาวอยู่ในอากาศ
“……อะไรล่ะนั่น?”
“……ฉันเองก็ไม่รู้”
มันไม่ใช่สิ่งที่เธอรู้จัก แม้จะขยับได้แต่ก็น่าสัยว่ามันคือสิ่งมีชีวิตรึเปล่า ทรงกลมสีดำนั้นยังคงหยุดนิ่งอยู่ในอากาศด้านบนไปราวห้าเมตร กัปตันเกรซสังเกตดูการเคลื่อนไหวของทรงกลมนั้น มันแค่ลอยอยู่นิ่งๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นเวทมนตร์บางอย่าง
หลังจากเวลาผ่านไปทรงกลมนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว มันลอยขึ้นไป จะไปที่ดาดฟ้างั้นเหรอ? กัปตันเกรซรู้สึกหงุดหงิด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าโดนเมิน
“เฮ้! อย่าเมินชั้นเซ่!”
เธอหยิบเศษคอนกรีตที่อยู่ที่เท้าขึ้นมาแล้วปาเข้าไปที่ทรงกลมนั่น ทรงกลมมันหลบได้ราวกับเป็นบอลลูนที่ถูกลมพัด การเคลื่อนอย่างรวดเร็วแบบนี้ขัดกันกับรูปร่างที่ดูเชื่องช้าของมัน
คอนกรีตที่ปาไปนั้นกลิ้งลงไปตามถนน ทรงกลมกำลังจะขึ้นไปเกิดหยุดชะงักและเปลี่ยนรูปร่าง ฟันนี่ทริคส่งเสียงร้องออกมา แต่ภายในใจของกัปตันเกรซนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มีดวงตาโผล่ออกมาจากทรงกลมหรือจะบอกว่าเปลือกตามันเปิดออกคงจะถูกกว่า ดวงตาขนาดยักษ์กำลังจ้องมองมาที่พวกเธอ
ดวงตานั้นมองมาราวกับจะถามพวกเธอว่า นี่เธอเป็นศัตรูงั้นเหรอ?
เพราะแบบนั้นเองกัปตันเกรซจึงตอบกลับไปว่า “รีบๆเข้ามาโจมตีชั้นได้แล้ว!”
ตาขนาดยักษ์ที่ทรงกลมนั้นปิดลง ร่องรอยที่เคยบอกว่ามีตาอยู่นั้นหายไป ปีกสีดำเองก็หยุดกระพือแล้ว จากนั้นมันก็ตกลงมาด้านล่างพร้อมกับปีกที่หดตัวเล็กลง เมื่อลงมาถึงพื้นรูปร่างของมันก็กลายเป็นมนุษย์ มันไม่ได้แค่เปลี่ยนรูปร่าง เธอบอกได้เลยว่ามวลของมันเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ตัวของมันดูราบเรียบไม่ได้มีอะไรให้พูดถึงเป็นพิเศษ
กัปตันเกรซดึงดาบออกมา ภาพเงาสีดำนั้นวิ่งเข้ามาหาเธอ
เธอเหวี่ยงดาบผ่านการ์ดของคู่ต่อสู้เพื่อเฉือนส่วนลำตัว ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้ เธอไม่ได้ฟันมันเลย ที่ส่วนลำตัวนั้นมีปากขนาดใหญ่เปิดขึ้นมา ฟันด้านบนและล่างกัดใบดาบของเธอเอาไว้ เธอนั้นจะดันเข้าไปหรือดึงออกมาก็ไม่ได้ แรงกัดนั้นมีพลังมากกว่ากล้ามเนื้อของกัปตันเกรซซะอีก
เธอปล่อยดาบไว้เช่นนั้นและพยายามจะหนีเมื่อศัตรูโจมตี เธอป้องกันการเตะต่ำของมันด้วยหน้าแข้ง แต่ขาของมันงอได้เหมือนกับยาง แถมยังพยายามโอบหน้าแข้งของเธอไว้อีกด้วย เธอเห็นแบบนั้นจึงตกใจและพยายามสลัดมันออกไป การโจมตีทุกอย่างของมันนั้นต่างไปจากธรรมดา หมัดของมันเมื่อโดนตัวก็จะงอเหมือนกับแส้แล้วฟาดลงไปที่หลัง การเตะเข้ามาของมันตรงหน้าที่เธอพยายามจะกันไว้ด้วยไหล่กลับกลายเป็นใบมีดเฉือนตัวเธอจนเลือดไหล แขนและขาของมันที่ดูเหมือนระยางค์หมึกยักษ์นั้นยังคงงอกออกมาจากร่างกายสีดำเรื่อยๆและโจมตีเข้ามาที่เธอ
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตั้งใจหลบ และสุดท้ายการหลบก็กลายเป็นการหนี กัปตันเกรซนั้นวิ่งไปตามท้องถนนในขณะที่รับมือการโจมตีจากศัตรูไปด้วยอย่างเต็มที่
แผนของเธอคือจัดการเรื่องนี้ให้จบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปที่หูกระต่ายอยู่แล้วจัดการเธอซะ แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งเกินไปที่กัปตันเกรซจะรับมือได้
เพราะแบบนั้นแผนของเธอจึงพังทลายจนหมด
เธอหลบ ป้องกัน และปัดการโจมตีเหล่านั้นไปด้านข้าง และเมื่อเธอพยายามปัดมันลงอีกครั้ง วิถีการโจมตีก็เปลี่ยนไป
ระยางค์นั้นหลบดาบของกัปตันเกรซและพุ่งตรงเข้ามาหาเธอ แม้ว่าเธอจะเอี้ยวตัวหลบ แต่มันก็โจมตีตามมาอีกจนทำให้เท้าของเธอบาดเจ็บ
ฟันนี่ทริคที่วิ่งตามมาพร้อมกับยกไม้เท้าที่อยู่ในมือ แต่ว่ากัปตันเกรซนั้นก็ตะโกนให้เธอหยุด
“กลับไปซะ! เธอมีงานอื่นที่ต้องทำอยู่นะ!”
เจ้าสีดำที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์นั้นพุ่งเป้ามาที่กัปตันเกรซคนเดียว มันโจมตีอย่างรวดเร็วมาที่เธอคนเดียวโดยที่ไม่สนใจฟันนี่ทริคเลย กัปตันเกรซสัมผัสได้ว่าในการกระทำของมันนั้นไม่มีอารมณ์ปะปนอยู่ แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งก็จริงแต่เธอคิดว่ามันเป็นการโจมตีแบบอัติโนมัติ เธออยากสู้แบบตัวต่อตัวแต่อะไรแบบนี้มันไม่โรแมนติกเอาซะเลย แถมยังสัมผัสความรู้สึกของคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในการบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ด้วย
กัปตันเกรซคิดว่าบางทีเจ้าสิ่งนี้จะเห็นคนที่ทำร้ายมันเป็นศัตรูเท่านั้น ซึ่งมันหมายความว่าในตอนนี้กัปตันเกรซคือศัตรู แต่มันไม่ได้นับฟันนี่ทริคเป็นศัตรู ดังนั้นฟันนี่ทริคจึงสามารถไปที่ไหนก็ได้ตามที่เธอต้องการ ในขณะที่กัปตันเกรซกำลังจัดการกับการโจมตีของศัตรู ฟันนี่ทริคก็จะทำงานอื่นให้เธอได้
นี่ฟันนี่ทริคเดาความตั้งใจของกัปตันเกรซได้ใช่ไหมนะ? เธอถึงหันกลับแล้ววิ่งไปทางอพาร์ทเมนท์ แบบนี้ดีแล้วล่ะ กัปตันเกรซพูดกับตัวเอง
พวกเธอนั้นต่อสู้กับบางสิ่งที่แข็งแกร่ง ศัตรูทั้งหมดที่กัปตันเกรซ หรืออุมิ ชิฮาบาระเคยสู้มานั้น สิ่งนี้แข็งแกร่งและรวดเร็วที่สุด อ่านการโจมตีไม่ได้แถมยังไม่มีจุดอ่อนด้วย
เธอหลบ บล็อก และหยุดยั้งการโจมตีของศัตรู แต่มันก็กลับทำให้เธอป้องกันตัวเองไม่ได้ และยิ่งได้รับบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีของเธอนั้นแทบไม่มีผลอะไรเลย ความรุนแรงและจำนวนในการโจมตีของมันต่างกันมาก เธอจึงต้องตั้งใจหลบมิเช่นนั้นจะโดนโจมตีแน่นอน ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะโจมตีกลับไปไม่ได้ แน่นอนว่าศัตรูมันโหดเหี้ยมและน่ารังเกียจ ศัตรูนั้นโจมตีมาที่ต้นแขนขวา และเมื่อเธอก้มตัวลงไป ก็มีระยางค์มาพันรอบน่องซ้าย มันมีหนามแหลมและเงี่ยงเหมือนกับเบ็ดตกปลาแตกตัวออกมาจากระยางค์ และชอนไชเข้าไปในขาของเธอ
กัปตันเกรซถอยออกมาพร้อมกับส่งเสียงคราง ตอนนี้ขาของเธอเลือดออกมากแต่เธอก็ยังคงเคลื่อนตัวไปรอบๆได้ นี่คือสิ่งที่เธอสามารถทำได้มากที่สุดในตอนนี้ จากนี้ไป เธอต้องสู้โดยมีขาข้างหนึ่งที่บาดเจ็บ
ความรู้สึกที่เธอไม่เคยสัมผัสมันมาก่อนเอ่อล้นออกมาจากภายในท้องของเธอ
…ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนงั้นเหรอ?
ไม่สิ เธอเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน แค่มันเป็นความรู้สึกเก่าๆที่ลืมเลือนมันไปแล้ว สมองของกัปตันเกรซนั้นจดจำเรื่องที่ตัวเองเผชิญหน้ากับสุนัขป่าบนภูเขาตอนอายุสามขวบได้
ใช่แล้ว นี่คือความกลัว กัปตันเกรซไม่ได้คิดว่าการค้นพบครั้งนี้อัปยศ แต่มันเป็นความดีใจ
กัปตันเกรซไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็เป็นแชมป์เสมอ หูกระต่ายนั้นก็เป็นเพียงเหยื่อโง่ๆที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วเท่านั้น แม้จะศัตรูที่จัดการได้ยาก แต่ท้ายที่สุดเหยื่อก็เหยื่อวันยังค่ำ หนีจากกัปตันเกรซไปได้โดยใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แต่เธอก็เป็นได้เพียงผู้ท้าชิงกับแชมป์เท่านั้น
แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้ท้าชิง ความจริงตัวของกัปตันเกรซเองนั่นแหละคือผู้ท้าชิง ความรู้สึกกลัวแบบนี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี และจากนั้นทั่วทั้งร่างกายของกัปตันเกรซเต็มไปด้วยความตื่นเต้น กัปตันเกรซดึงมีดสั้นของเธอออกมา
ในตอนนี้เธออยู่ท่ามกลางความอันตราย สามารถตายได้ตลอดเวลา
การโจมตีของศัตรูนั้นรวดเร็ว เร็วยิ่งเสียของหูกระต่ายซะอีก กัปตันเกรซเค้นเอาความแข็งแกร่ง ความรู้สึก สัมผัสทั้งหมดออกมาแล้วตรงเข้าสู่การต่อสู้
เธอปัดการแทงของมันลง อ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูและก้าวเข้าไปหา เมื่อเข้าไปใกล้ตัวมันมากขึ้นแล้ว เธอก็ตอบโต้ด้วยการเอาหัวโขก ภาพเงาดำนั้นบิดคอแล้วหัวของเธอนั้นก็จมอยู่ที่ไหล่ของมัน เธอพยายามที่จะกัดคอแต่ศัตรูไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้นจึงทำให้เธอดันตัวเข้าไปแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อศัตรูโจมตีเข้ามาที่ขาเธอก็เตะมันออกไปโดยใช้ส้นรองเท้าและใช้มีดสั้นโจมตีเข้าไปในทางนั้น แต่หนึ่งในระยางค์มันแปลงร่างเป็นใบดาบแบนๆและปัดป้องเอาไว้
ในตอนที่ต่อสู้กันอยู่นั้น กัปตันเกรซก็เข้าใจศัตรูอย่างช้าๆ มันเป็นเหมือนกับจักรกล มันไม่ได้ทำแค่ตอบสนองกับสิ่งที่เธอทำ แต่มันยังคาดคะแนการโจมตีของเธอในระดับหนึ่งก่อนที่จะเคลื่อนไหวด้วย ในอีกแง่หนึ่ง กัปตันเกรซสามารถเอาชนะด้วยสติปัญญาได้
สายตาของกัปตันเกรซหันไปทางอพาร์ทเมนท์ หน้าต่างบานที่สามบนชั้นสองที่หันหน้าเข้าถนนเปิดอยู่ และฟันนี่ทริคก็ปรากฏตัวอยู่ตรงนั้น ได้จังหวะมาก
กัปตันเกรซตะโกนออกมาว่า “ฟันนี่ทริค!” เธอดึงเอาตะขอที่ห้อยอยู่ที่เอวออกมาด้วยมือซ้าย และขว้างมันไปที่อกของคู่ต่อสู้ จากนั้นก็ใช้ผ้าคลุมมาปิดมีดสั้นที่อยู่ในมือขวาแล้วชี้ไปที่ศัตรู อีกฝ่ายนั้นกำลังยุ่งกับการใช้ระยางค์กับตะขอที่อก และเมื่อมันให้ความสนใจมีดสั้น มันก็หยุดนิ่งลงครู่หนึ่ง
ที่ด้านในผ้าคลุมที่กัปตันเกรซถืออยู่นั้นจู่ๆก็มีน้ำหนักมากขึ้น เธอก้าวไปด้านหน้าอย่างมั่นคง มีดสั้นที่อยู่ในมือขวาเปลี่ยนไปเป็นปืนใหญ่ จังหวะแบบนี้เรียกได้ว่ามันลงตัวพอดี นี่คือไพ่ตายของเธอ
ศัตรูของเธอคือแชมป์เปี้ยน ส่วนเธอนั้นคือผู้ท้าชิง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องงัดทุกอย่างที่ใช้ได้ออกมา ซึ่งรวมถึงฟันนี่ทริคคู่หูของเธอที่มีอุปกรณ์บนเรือด้วย
เธอมั่นใจว่าตัวเองนั้นรู้สึกพูดไม่ออกที่ศัตรูเกิดรู้สึกประหลาดใจ เธอยิงปืนใหญ่เวทมนตร์ออกมาในขณะที่ยังคงคลุมผ้าเอาไว้ แรงถีบของปืนนั้นทำให้เธอกระเด็นไปด้านหลัง เธอดึงตะขอออกมาอีกอันและปักมันลงไปบนพื้นดิน ตะขอนั้นลากยางมะตอยจนเป็นทางยาว และเมื่อส้นรองเท้าของกัปตันเกรซกระแทกเข้ากับราวกั้น ตอนนั้นตัวของเธอก็หยุดลง
เรือของกัปตันเกรซนั้นเป็นเรือโจรสลัด ในตอนที่เธอทดสอบเรียกมันออกมาในสนามโรงเรียน เธอก็ตรวจสอบรายการอุปกรณ์ที่มีและเอาอุปกรณ์ที่มีประโยชน์จำนวนหนึ่งออกมา ปืนใหญ่ก็คือหนึ่งในนั้น เธอเอามันออกมาแล้วซ่อนเอาไว้ในอพาร์ทเมนท์ แล้วให้ฟันนี่ทริคทำการสลับมันกับมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมของกัปตันเกรซ
เนื่องจากว่ามันเป็นปืนใหญ่เวทมนตร์ แรงถีบของมันนั้นรุนแรงมาก แต่แก้วหูของกัปตันยังอยู่อย่างปกติดี ไม่มีรอยช้ำและกระดูกหักอีกด้วย แขนขวาของเธอรู้สึกปวดเล็กน้อย แต่ถ้าเธอจบเรื่องนี้ลงที่นี่ได้แบบนั้นก็ไม่เป็นอะไร
ควันลอยตัวขึ้นและมีบางอย่างปรากฏตัวออกมาจากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน ร่างกายท่อนบนของเจ้าสีดำที่รูปร่างเป็นมนุษย์นั้นหายไปแล้ว ตัวของเอนไปมาขณะที่พยายามเข้าหาเธอ แม้ร่างกายท่อนบนจะไม่มีแล้วแต่มันก็ยังคงขยับได้ พวกชิ้นส่วนต่างๆที่ถูกทำลายไปต่างก็ขยับอย่างเชื่องช้า มันพยายามจะกลับมาสู่รูปร่างเดิม
แม้ว่ากัปตันเกรซจะไม่เคยลองใช้มันมาก่อน แต่เธอนั้นก็สัมผัสถึงพลังของลูกกระสุนปืนใหญ่ได้ แม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ลหากโดนสิ่งนั้นเข้าไปล่ะก็ร่างจะแหลกเป็นชิ้นๆ ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นอยู่เหนือกว่าเมจิคัลเกิร์ลขึ้นไปอีก แต่ว่ากัปตันเกรซก็ยังคงสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงได้
แต่มันก็ยังไม่รุนแรงเพียงพอที่จะจัดการ ความสามารถในการเปลี่ยนร่างของศัตรูนั้นทำให้มันเป็นอมตะแถมมันยังจะฟื้นฟูใหม่อีกด้วย หากมันฟื้นฟูจนสำเร็จได้ล่ะก็กัปตันเกรซรู้สึกว่าคงจะเอาชนะไม่ได้แน่ ถ้าจะทำล่ะก็ต้องทำมันตอนนี้เท่านั้น ดังนั้นเธอจึงใช้ตะขอทำลายระยางค์ที่พันอยู่รอบขาเธอออกเป็นชิ้นๆ
เธอถีบตัวกับพื้นแล้วพุ่งตัวออกไปยังป้ายจราจรที่อยู่ห่างออกไปห้าเมตร หากเธอใช้มันในระยะประชิดแบบนี้ตัวเธอเองก็จะเป็นอันตรายเช่นกัน
พลังของกัปตันเกรซคือ การเรียกเรือเวทมนตร์ที่แล่นด้วยความเร็วสูงบนผิวน้ำออกมาได้ ตัวเรือนั้นยาวประมานสิบเมตร รูปร่างเหมือนกับเรือใบแต่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังลม ในการที่จะใช้มันได้ตามธรรมชาตินั้น อย่างน้อยเธอจำเป็นต้องมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่
หากจะใช้แบบปกติน่ะนะ
กัปตันเกรซนั้นเรียกเรือของเธอออกมาเข้าปะทะกับศัตรูที่เดินโซเซเข้ามาหา การที่มีมวลขนาดใหญ่ปรากฏตัวออกมาอย่างฉับพลันแบบนี้ มันกลบศัตรูและทุกสิ่งที่อยู่รอบๆไปหมดในคราวเดียว แถมยังสร้างแรงสั่นสะเทือนและเสียงดังที่คล้ายกับระเบิดออกมาอีก กับตันเกรซนั้นจับหมวกกัปตันของเธอเอาไว้ไม่ให้ปลิวออกไป
มันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะหากเธอเรียกเรือออกมาในสถานที่ที่มีคนอยู่? เธอคิดไม่ออกเลยว่าตัวคนจะเข้าไปด้านในเรือ กระเด็นออกไป หรือถูกบดขยี้อยู่ข้างใต้กันแน่ แต่ในตอนนี้เธอรู้แล้ว เมื่อเธอเรียกเรือโจรสลัดออกมาในสถานที่ที่มีอะไรบางอย่างขนาดเท่าตัวมนุษย์อยู่ เรือก็จะบดขยี้สิ่งนั้น
เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ใช้วิธีการแทงด้วยดาบหรือต่อยด้วยหมัด เธอก็ยังคงรู้สึกว่าเธอนั้นจัดการศัตรูได้อยู่ดี
เมื่อเธอยกเลิกการใช้เรือเวทมนตร์ เจ้าสีดำนั้นก็ไม่อยู่อีกแล้ว
☆ 7753 (เหลือเวลาอีก 17 ชั่วโมง 50 นาที)
7753 ยืนอยู่ข้างรถที่จอดอยู่บนถนน
การใช้เวลาอยู่กับคนที่ฉุนเฉียวนั้นน่าอึดอัดเสมอ และมันจะอึกอัดมากขึ้นเป็นสองเท้าเมื่อคนๆนั้นมีตำแหน่งสูงกว่า 7753 ไม่เคยเห็นมานาอารมณ์ดีเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่พบกัน หากเทียบกับเธอก่อนหน้านี้แล้ว ความฉุนเฉียวของเธอในตอนนี้ดูรุนแรงมาก เธอนั้นนั่งอยู่ที่เบาะหลังขยับเข่าอย่างรุนแรงพอที่จะทำให้รถสั่นได้
7753 ออกมาจากรถโดยอ้างว่าจะออกมาสังเกตการณ์ แต่การสัมผัสความหงุดหงิดอย่างรุนแรงของมานาได้ มันก็ทำให้การอยู่ข้างนอกนั้นน่ากลัวขึ้นแล้ว
ริปเปิล ฮานะ และมาโอแพมนั้นโจมตีจากสามทิศทางในขณะที่ศัตรูกำลังประมาท จะมีใครที่ฟังคำพูดของมานาที่บอกว่าไม่ต้องฆ่าให้แต่จับกุมแทนไหมนะ? ตอนนี้เองก็ไม่มีการติดต่อมาเลย
มานานั้นคงต้องหงุดหงิดอยู่แล้ว ทั้งต้องคอยกังวลว่าพวกเธอจะจับอาชญากรได้รึเปล่า แถมยังรำคาญที่ 7753 ไม่ต่อสู้ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลอีก 7753 รู้สึกว่ามานานั้นมีความรู้สึกที่รุนแรงเกินไปในเรื่องนี้ เมจิคัลเกิร์ลบางคนเหมาะกับการต่อสู้แต่บางคนก็ไม่ใช่ 7753 นั้นเป็นอย่างหลัง ในแง่ของความสามารถ เวทมนตร์ และทักษะทางกายภาพแล้ว เธอนั้นเทียบกับเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นสายต่อสู้ไม่ได้ แต่กระนั้นมันก็ยังคงมีสิ่งที่เธอทำได้อยู่ การป้องกันฐานเมื่อคนที่เป็นสายต่อสู้ออกไปกันหมดแล้วก็เป็นงานสำคัญเช่นกัน เป็นบางสิ่งที่เธอสามารถภูมิใจได้
การพยายามหว่านล้อมมานาด้วยวิธีการใดๆมันก็จะกลายเป็นข้อแก้ตัวของคนที่อ่อนแอแทน และสิ่งที่เธอได้รับกลับมามากที่สุดคือการตะโกนใส่ การดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยาม ดังนั้น 7753 จึงไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยังคงรู้สึกอึดอัดที่ต้องปกป้องมานา
เธอหวังว่างานนี้จะจบลงได้อย่างปลอดภัย เธอภาวนาเช่นนั้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนฟ้า เมฆหนาๆลอยอยู่บนฟ้า พรุ่งนี้เองก็คงมีเมฆแบบนี้เหมือนกัน ฝนอาจจะตกลงมา หรือร้ายที่สุดอาจจะเป็นหิมะก็ได้
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงดังแหวกอากาศที่ทำลายความเงียบสงบของค่ำคืนนี้ขึ้นมา มันดังขึ้นมาจากทางที่อพาร์ทเมนท์ที่ศัตรูซ่อนตัวอยู่ ราวกับว่าเป็นระเบิด
มานาเปิดประตูรถแล้วออกมาด้านนอก
“นั่นเสียงอะไรน่ะ!?”
“ฉะ…ฉันไม่รู้หรอก”
“โธ่เว้ย…เวทมนตร์ของใครล่ะนั้น?”
เวทมนตร์ของริปเปิลไม่ได้มีวัตถุที่ระเบิดได้ ฮานะเองก็ด้วย หากจะมีใครซักคนที่มีความสามารถแบบนั้น มันก็คงเป็นมาโอแพม หรือไม่ก็เป็นเวทมนตร์ของศัตรูงั้นเหรอ? ถนนที่รถจอดอยู่ตรงนี้เองก็ห่างจากตัวอพาร์ทเมนท์ค่อนข้างมาก แบบนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมันต้องมีเสียงดังพอสมควรถึงจะมายังจุดนี้ได้ หากเป็นเช่นนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้อาจตื่นขึ้นมา และตำรวจกับนักดับเพลิงคงจะมายังที่นี่ในเวลาไม่นาน
มานามองไปยังอพาร์ทเมนท์ 7753 เองก็มองตามเธอไปด้วย มันมีนกตัวใหญ่บินอยู่ในท้องฟ้า ใหญ่อย่างเหลือเชื่อ นั่นเป็นเพราะมุมมองรึเปล่านะ? มันดูใหญ่กว่านกกระจอกเทศซะอีก
“……หือ? นั่นมัน…?”
“อะไร? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
บางทีมันอาจจะไม่ใช่นกก็ได้? เมื่อ 7753 คิดเช่นนั้น รถตู้ติดปีกก็มาอยู่ตรงหน้าของพวกเธอแล้ว 7753 อุ้มมานาหนีไปด้านข้าง แล้วรถตู้นั้นก็พุ่งไปชนเข้ากับจุดที่มานาอยู่ก่อนหน้านี้ จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าเมื่อซักครู่
☆ เรนโปว (เหลือเวลาอีก 17 ชั่วโมง 45 นาที)
เรนโปวกับโพสตาร์รี่นั้นปีนขึ้นไปด้านหลังรถตู้ และกระโดดลงมาก่อนที่จะพุ่งชนพื้น เป็นเพราะมันบินเร็วมากแรงลมจึงทำให้ใบหน้าของเรนโปนสั่นไหว หากมนุษย์กระโดดลงไปแบบนี้คงต้องบาดเจ็บหนักแน่ ถึงจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลก็สามารถบาดเจ็บได้เช่นกัน
เรนโปวสร้างสะพานสายรุ้งกลางอากาศและกระโดดลงมา เธอยังคงอุ้มโพสตาร์รี่ไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งนั้นอยู่บนสะพานสายรุ้ง เธอลงมาบนพื้นพร้อมกับเสียงดังโครมของรถตู้ ทั้งมวล ความเร็ว และระยะทางนั้นเป็นตัวเลขที่พวกเธอต้องคำนวนเอาไว้ พลังงานที่เกิดขึ้นสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่ เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้คนที่ขี้ตกใจสลบได้ ฝุ่นและควันยางมะตอยลอยอยู่ทั่ว มันดูเหมือนกับฉากระเบิดไม่มีผิด
“ทาจังโอเคไหม?”
“……อื้อ”
เธอดูไม่โอเคเลย ตาของเธอเหม่อลอย ปากของเธอก็อ้าออกครึ่งหนึ่ง ดูตื่นตระหนกมากกว่างุนงงอีก
โพสตาร์รี่นั้นไม่ได้เป็นคนที่มีบุคลิกเข้มแข็ง ความจริงแล้วเธอขี้อายด้วยซ้ำ เรนโปวได้ยินว่าการกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้น แต่ว่าจิตใจก่อนการแปลงร่างไปไม่ได้เข้มแข็งตามไปด้วย โทโกะนั้นบอกว่า “มันคือความกล้าที่จะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับศัตรู” ซึ่งมันเกินจริงไปมาก บางที่อาจจะเป็น “คนธรรมดาที่ไม่เคยใฝ่ฝันถึงการต่อสู้มาก่อนจนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้จะไม่ไร้ประโยชน์เพราะความกังวลของตัวเอง” มากกว่า
พวกเธอถูกศัตรูโจมตีและถูกนินจาไล่ล่า หนีขึ้นไปบนสายรุ้งแถมยังขี่รถตู้ที่บินอยู่อีก มันก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่จะกรีดร้องออกมาดังเป็นสิบเท่าได้แล้ว
ในตอนนี้ สิ่งที่เรนโปวต้องทำเป็นอย่างแรกคือต้องทำให้โพสตาร์รี่ร่าเริงขึ้น จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงที่ออกมาจากกระเป๋าหน้าอกของเธอ
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน!”
“หืม? อะไรเหรอ?”
“ดูนั่นสิ!”
โทโกะชะโงกร่างกายส่วนบนออกมาจากคอเสื้อของเรนโปว แล้วก็ชี้นิ้วไปยังภาพเงาที่เคลื่อนไหวอยู่ในม่านฝุ่นหนา ชี้ให้เห็นภาพเงาสองสองภาพที่กำลังลุกขึ้น หนึ่งในนั้นใช้แขนโอบไหล่ของอีกคนแล้วยกตัวขึ้นไว้บนหลัง และวิ่งออกไป
“จะปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้นะ!”
เรนโปวพยายามไล่ตามไป แต่ก็หยุดในทันที มันมีบางอย่างขวางทางเธออยู่ ฝุ่นหายไปจนหมดจนเธอสามารถเห็นรูปร่างนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เธอก็เรียกมันได้แค่ว่า “อะไรบางอย่าง” เท่านั้น วัตถุนั้นมีรูปร่างทรงกลมสีดำ ลอยอยู่ในอากาศด้วยการกระพือปีกที่เหมือนค้างคาว
“…อะไรน่ะ? มาสค็อทเหมือนเธองั้นเหรอ โทโกะ?”
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ! เราไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน มันดูไม่เหมือนเมจิคัลเกิร์ลเลยด้วย”
“สิ่งมีชีวิตรึเปล่า?”
“เราไม่รู้หรอก”
โทโกะจ้องไปที่ทรงกลมสีดำแล้วก็สบถสาบแช่งออกมา
“ไม่ว่ามันจะคืออะไร มันก็หมายความว่าเธอก็จะต้องเอาชนะมันให้ได้ ไม่งั้นพวกเราก็จะไล่ตามคนที่หนีไปไม่ได้ จริงไหมล่ะ? หากจับตัวพวกนั้นได้ล่ะก็ พวกเราก็สามารถใช้มันในการต่อรองได้ และตราบใดที่พวกเราสามารถต่อรองได้มันคือเรื่องดี”
เรนโปวดึงกันชนของรถตู้ออกมา เธอขว้างมันไปที่ทรงกลมสีดำ แต่มันก็หลบได้อย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย
“หวา เจ้านี่เร็วแหะ นี่ โทโกะ เจ้านี่น่ะไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลจริงๆเหรอ?”
“มันจะมีเมจิคัลเกิร์ลแบบนั้นได้ยังไงล่ะ!”
ทรงกลมสีดำเปลี่ยนรูปร่าง ราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างได้หลากหลาย เรนโปวเหวี่ยงกันชนอีกครั้ง และมันเร็วกว่าครั้งก่อนทำให้ศัตรูหลบอีกครั้ง เรนโปวคาดการณ์การเคลื่อนไหว คราวนี้เธอมันไปตรงๆ กันชนนั้นแทงทะลุเข้าไปในสิ่งสีดำบางอย่าง ไม่สิ ร่างกายของสิ่งสีดำนั้นเปลี่ยนไปและจับกันชนเอาไว้ในรูโหว่ มันกัดและบีบกันชนจนบิดเบี้ยว
เธอไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้คืออะไร มันรวดเร็วแถมยังแข็งแกร่งอีกด้วย ร่างกายของมันอ่อนนุ่มอย่างผิดปกติและยังเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระ มันปิดถนนเอาไว้ไม่ให้พวกเธอไล่ตามทั้งสองคนนั้นไปอีกด้วย แบบนี้แสดงว่าเป็นหนึ่งในศัตรูสินะ ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ารำคาญจริงๆ
“ถ้ามันไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลหรือมาสค็อท……ก็แสดงว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตน่ะสิ?”
“แค่มองมันเราก็ไม่รู้หรอก อาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็ได้ แต่บางทีเราแน่ใจว่ามันมีเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่”
ร่างกายของโทโกะที่โผล่ออกมานั้นหดตัวลงไปอยู่แค่ระดับไหล่ โทโกะเองก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งเช่นกัน
เรนโปวหันกลับไปมองช้าๆ เธอคิดว่าถ้าตัวเองเคลื่อนไหวเร็วอย่างรวดเร็วมันจะทำให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าสับสนได้ โพสตาร์รี่อยู่ข้างหลังเธอ เธอมองมาอย่างหวาดกลัว หากเธอรู้สึกแบบนั้น เรนโปวก็ต้องทำให้ดีกว่าก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายความว่าเธอได้พลังในการตัดสินเรื่องต่างๆคืนมาแล้ว
“ถ้าเราอยากให้ทาจังทำอะไรอย่างนึงให้ ทาจังจะว่าอะไรไหม?”
“เอ๋…? อะ-อะไรเหรอ?”
“ฟังนะ……”
โพสตาร์รี่แสดงท่าทีว่าไม่อยากทำตามคำขอของเรนโปวเลย เธอพูดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเธอกลัวและไม่อยากทำ เธอร้องไห้และขอร้องว่า “อย่าให้ฉันทำแบบนี้เลยนะ” แต่เมื่อโทโกะพูดกับเธอว่า “หากเธอไม่ทำอะไรเลยแบบนั้นเธอน่ะต้องถูกฆ่าแน่!” จนในที่สุดเธอก็พยักหน้า
เธอเดินเข้าไปหาเจ้าสีดำนั้นอย่างช้าๆ โพสตาร์รี่ในตอนนี้ดูน่าสงสารมาก เธอร้องไห้ออกมาไม่หยุด เรนโปวบอกว่าให้เธอสัมผัสมันอย่างเบาและนุ่มนวล ซึ่งการทำแบบนั้นมันตีความเป็นศัตรูไม่ได้แน่ โพสตาร์รี่เข้ามาเจ้าสีดำนั่นและสัมผัสมันด้วยมือสั่นๆ
ปีกนกสีขาวโผล่ออกมาจากตัวของมันและบินออกไปราวกับเป็นจรวดในทันที มันไม่สนใจแรงต้านจากปีกค้างคาวเลย เหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่มีเจ้าของอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด
เรนโปวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และที่หน้าอกของเธอนั้น เธอรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่หายไปของโทโกะเช่นกัน โพสตาร์รี่หันกลับมาหาพวกเธอพร้อมกับปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อ
“นี่…ตอนนี้เราอยากพักหน่อยน่ะ”
“อื้อ ทางนี้ก็รู้สึกเหมือนกัน”
โทโกะไม่ได้ค้านความเห็นจากเธอ ทั้งสองคนนั้นหนีไปแล้ว แถมเรนโปวกับโพสตาร์รี่ก็ไล่ตามไปไม่ได้ด้วย
☆ 7753 (เหลือเวลาอีก 16 ชั่วโมง 15 นาที)
7753 ที่แบกมานาอยู่บนหลังนั้นเหมือนว่าจะหนีมาได้ พวกเธอหลบรถตู้ได้ง่ายๆเหมือนกับเป็นปาฏิหาริย์เลย แต่การหนีหลังจากนี้อาจจะไม่ใช่ปาฏิหาริย์แล้ว 7753 ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกบนดาดฟ้าอพาร์ทเมนท์
แต่คนที่เธอช่วยเอาไว้กลับไม่ได้ขอบคุณอะไรเธอเลย มานานั้นยังคงโมโห แม้เธอจะโกรธก็ไม่เป็นไร 7753 นึกไม่ออกว่าอายุจริงของจอมเวทคนนี้คือเท่าไหร่ แต่เธอดูเหมือนกับคนในช่วงวัยรุ่นตอนกลาง ซึ่งเด็กในวัยนั้นรู้กันดีว่าคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ แถมตอนโกรธเธอก็ดูค่อนข้างน่ากลัวด้วย
“นี่เธอคิดว่าความแข็งแกร่งของเมจิคัลเกิร์ลมีไว้ทำบ้าอะไรเนี่ย? แล้วเธอน่ะเป็นคนคุ้มกันชั้นไม่ใช่รึไง! คนคุ้มกันโลกไหนมันวิ่งหนีเนี่ยกันเนี่ย! ยัยบ้าเอ๊ย!? หากชั้นจะวิ่งล่ะก็ ชั้นวิ่งเองได้ย่ะ! เธอน่ะต้องไปรวมตัวกับกับพวกที่เหลือเพื่อโจมตีต่างหากเล่า!”
มานาทั้งตะโกนและตะคอกออกมา ราวกับจะระบายอารมณ์ใส่ 7753 และเหมือนว่าเธอจะทุบตีตัว 7753 ด้วยเช่นกัน แต่ 7753 นั้นก็จัดการปลอบเธอได้
7753 บอกมานาไปว่าการหลบหนีคือแผนที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น แถมพวกเธอทั้งสองคนก็ไม่ได้ต่อสู้เก่ง แม้ว่าจะอยู่สู้ที่นั่นสุดท้ายก็จะกลายเป็นตัวประกันที่เป็นภาระของทุกคนไป สิ่งที่เธอพูดออกไปไม่ได้คือคำพูดที่หัวหน้าพูดกับเธอว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าเป็นการบังคับรึเปล่า แค่พามานาวิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก็พอ” เธอติดอยู่ในความลำบากใจและความยากลำบาก จากนั้นเธอก็ก้มหัวลงและพูดออกไปว่า “ฉันขอโทษนะ ฉันขอโทษ ฉันไม่มีทางเลือก นั่นคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่แล้ว”
การปล่อยให้มานาระบายความโกรธออกมานั้นมันช่วยให้เธอสงบลงได้ แม้เธอจะยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตะโกนหรือส่งเสียงอะไรออกมาแล้ว เธอมองลงไปที่พื้นด้านล่างพร้อมถุยน้ำลายออกมา “แม่งเอ๊ยบ้านนอกฉิบหายเลย”
พวกเธอเลือกอพาร์ทเมนท์แห่งนี้เป็นจุดนัดพบฉุกเฉินหากเมื่อเกิดความจำเป็น เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างสูงไม่กี่แห่งที่อยู่ในเมือง จึงสามารถมองเหตุการณ์ทุกอย่างทั่วเมืองได้จากดาดฟ้าแห่งนี้ แม้อพาร์ทเมนท์จะมีป้ายห้องว่างให้เช่าติดอยู่ แต่ภาพวิวที่เห็นนั้นก็ไม่ได้แย่เลย
แต่มันก็น่าเศร้าที่เธอถูกบังคับให้เห็นด้วยกับมานาที่บอกว่าที่นี่คือ “แม่งเอ๊ยบ้านนอกฉิบหายเลย” เมื่อ 7753 มาถึงที่นี่ เธอก็ถูกบังคับให้ทำสิ่งต่างๆอยู่ตลอด ยิ่งอยู่ในเมืองที่ดูเป็นชนบทในภาวะถดถอยแบบนี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกหดหู่ มานาจ้องมองที่ไปเมืองแล้วเอาเมจิคัลโฟนออกมาเปิดมันเพื่อใช้งาน
“ไม่มีสัญญาน”
“…เอ๋?”
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ชั้นติดต่อไปที่เมจิคัลโฟนของฮานะไม่ได้เลย”
“เอ่อ…บางทีเธออาจจะกำลังสู้อยู่ เลยตอบกลับมาไม่ได้ก็ได้นะ”
“หรืออาจจะถูกศัตรูจับตัวไปแล้ว”
ในตอนที่มานามองมาที่ 7753 ท่าทีของเธอนั้นราวกับจะบอกว่า ฮานะอาจจะถูกศัตรูจับตัวไปแล้วแถมเธอยังมาหนีอีกเนี่ยนะ
“เอ่อ ถ้าเป็นฮานะแล้วล่ะก็…”
“อย่างเธอนี่รู้เรื่องอะไรของฮานะด้วยงั้นเหรอ!?”
7753 รู้สึกว่าหากเธอพูดอะไรออกไปคงไม่พ้นจะโดนด่าอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงหุบปากไม่ได้พูดอะไรออกไป
“โธ่เอ๊ย…ยัยบ้าฮานะ ไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่เนี่ย?” มานาเดินไปเดินมาอยู่บนดาดฟ้า เธอไม่ได้ใจเย็นเลย
7753 พยายามติดต่อไปหาริปเปิล แต่ผลมันก็เหมือนกับฮานะ เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ดังนั้นเธอจึงส่งข้อความแทน และก็รู้สึกตัวว่านิ้วของตัวเองนั้นสั่นในตอนที่พิมพ์ข้อความบอกว่ากำลังรออยู่ที่จุดนัดพบ
ทั้งริปเปิลแล้วก็ฮานะไม่ตอบกลับมาเลย 7753 พยายามติดต่อไปหามาโอแพมเหมือนกัน แต่ผลนั้นก็เหมือนเดิม ไม่มีใครมาที่จุดนัดพบ ไม่มีแม้กระทั่งการส่งข้อความมาซักข้อความเดียว เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกอย่างช้าๆที่แล่นลงผ่านกระดูกสันหลัง
7753 ส่งข้อความไปหาริปเปิลแล้วก็ถือเมจิคัลโฟนเอาไว้
ยังคงไม่มีคำตอบใดๆมา มานายังคงเดินไปเดินมาอยู่ หนึ่งรอบ สอบรอบ แล้วก็สามรอบ 7753 นั้นนับรอบที่มานาเดินอย่างไม่ตั้งใจ และเมื่อมันเกินร้อยรอบเธอก็ยอมแพ้
หลังจากที่เธอหยุดนับ มานาก็ยังคงเดินต่อแต่ในที่สุดเธอก็หยุดเดิน
“ทำไมพวกนั้นไม่กลับมาล่ะ?”
“หือ?”
“ทำไมพวกเธอถึงไม่กลับมาล่ะ? ไม่ติดต่อมาด้วย ทำไมถึงไม่ติดต่อมาล่ะ!”
มานาเดินเข้ามาหา 7753 แล้วคว้าคอเสื้อของเธอ 7753 นั้นตัวสูงกว่ามานา มันจึงกลายเป็นว่ามานานั้นผลักเธอขึ้นมาจากด้านล่างแทน ที่รอบๆนั้นมันไม่มีกำแพงหรือรั้ว แถมตัวเธอก็ยืนอยู่ใกล้ขอบดาดฟ้า มันจึงทำให้เธอตกใจและรีบรั้งขาตัวเองเอาไว้ มานานั้นผลักเธออย่างแรกจนไม่ใช่แค่ตัว 7753 จะตกลงไปแต่ตัวมานาเองก็จะตกลงไปพร้อมกันด้วย เพราะแบบนั้น 7753 จึงจับมือเธอไว้
“ถ้าเธอตายแล้วล่ะ?”
“ตายเหรอ? แบบนั้นน่ะ—”
“แล้วทำไมพวกเธอถึงไม่กลับมาล่ะ?! ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ล่ะ?!”
“บางทีอาจจะมีความผิดพลาดบางอย่าง—”
“ผิดพลาดอะไรกันล่ะ?!”
ฮานะนั้นเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีประสบการณ์เรื่องการต่อสู้มากมาย เธอแข็งแกร่งมากพอที่จะได้รับมอบหมายให้จับฆาตกรด้วยตัวเธอเอง แม้จะไม่มีมานาหรือคนอื่นที่ไม่ใช่สายต่อสู้อยู่ก็ตาม
“ไม่ ฉันหมายถึง—”
“นี่เธอพูดบ้าอะไรออกมา!”
“แต่—”
7753 ไม่อยากเถียงอีกแล้ว มานาจึงผลักตัวเธอแรงขึ้น
“แต่ อะไรห๊ะ!?”
7753 สะบัดเธอออกไปทันที แม้ว่าเธอจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลจากฝ่ายบุคคล 7753 ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่ามานา มานาถูกผลักไปด้านหลังแค่เบาๆ แต่ก็ลอยไปกระแทกกับประตูทางเข้าดาดฟ้าจนบุบเป็นรูปตัวเธอ แต่เธอก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ขะ-ขอโทษ ก็เธอผลักฉันอยู่ตลอด ก็เลย…”
“แม่งเอ๊ย……แม่งเอ๊ย!”
ที่ขอบตาของมานาเริ่มมีน้ำตาเอ่อขึ้นมา แม้เธอจะฝืนกลั้นมันเอาไว้ แต่หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาราวกับเขื่อนแตก มานาร้องไห้แล้วตะโกนคำสาบแช่งที่ทำความเข้าใจไม่ได้ออกมา 7753 ไม่รู้จะทำยังไง มานาร้องไห้ครวญครางแล้วก็ชี้นิ้วมาที่ 7753
“แล้วเธอจะร้องไห้ด้วยทำไมเนี่ย?”
7753 ยกแว่นกันลมขึ้นไปบนหน้าผาก จากนั้นก็ปาดที่ใต้ตาที่เปียกชุ่มของตัวเองเบาๆ
“อย่างเธอน่ะมันไม่สิทธิ์ที่จะมาร้องไห้!”
มานาวิ่งเข้ามาหาเธออีกครั้ง แล้วก็ตบแก้มทั้งสองข้างของ 7753 ด้วยหลังมือ 7753 เองก็ตอบสนองด้วยการตบมานากลับไปเช่นกัน จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำ มานาลอยกลับไปกระแทกกับประตูอีกครั้ง
มานายืนขึ้นมาแล้วสบถอย่างไม่หยุดหย่อน ก่อนที่ 7753 จะขอโทษเธอได้ มานาก็พุ่งเข้ามาหาเธอแล้ว และในคราวนี้มานาต่อยเธอด้วยหมัดเข้าที่โหนกแก้มแล้วก็กราม 7753 ล้มเธอลงไปได้ด้วยหมัดจากด้านบน ครั้งนี้ชัดเจนว่าเป็นการโจมตีต่างกับสองครั้งแรกที่มือของเธอเผลอไปฝาด
หน้าของมานาที่คว่ำอยู่กับพื้นนั้นสั่นเทาราวกับเป็นกบก่อนที่จะถูกชำแหละร่าง มานาตั่วสั่นและส่งเสียงออกมาราวกับสัตว์ร้าย 7753 ใช้แว่นกันลมเวทมนตร์ตรวจดูให้แน่ใจว่าเธอนั้นไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง ไม่เหมือนว่าเธอล้มลงเพราะ 7753 ต่อยเธอในจุดที่ไม่ดีเช่นกัน
7753 หายใจออกมาอย่างยาวๆ และเมื่อเธอทำแบบนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมา
ฮานะ ริปเปิล และมาโอแพมนั้นยังคงไม่กลับมา ติดต่อหากันก็ไม่ได้ ไม่ว่า 7753 กับมานาจะลองกี่ครั้งก็ยังติดต่อไม่ได้ นั่นพวกเธอถูกจับตัวไปแล้วงั้นเหรอ? หรือ…จะถูกฆ่าไปแล้ว? ทำไมล่ะ? ทำไม? เธอถามตัวเองเช่นนั้นอย่างไม่รู้จบ เมื่อ 7753 สูดลมหายใจเข้า มานาก็เงยหน้าขึ้นมา
“ชั้นบอกแล้วว่าเธอน่ะไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องไห้!”
ตอนที่มานาลุกขึ้นยืนเธอก็เตะแล้วเอาหัวโขกเข้าไปที่ 7753 และเมื่อตัว 7753 โอนเอน มานาก็ต่อยเข้าไปที่ช่องท้อง แม้การโจมตีจะไม่มีพลังแต่ก็เลือกจุดเป้าหมายที่ค่อนข้างอ่อนไหว เธอเคลื่อนไหวเหมือนกับเด็กที่กำลังโมโห แต่ก็ดูเก่งเรื่องนี้แบบแปลกๆเหมือนกัน 7753 สงสัยว่าเธอนั้นควรจะกดมานาลงกับพื้นรึเปล่า แต่เมื่อมองดูใบหน้าของมานา ที่ทั้งน้ำตาไหลแล้วก็มีเลือดออกมาจากจมูก เธอก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้น ได้แต่ป้องกันการโจมตีที่เข้ามาที่หัวตัวเอง แล้วก็อดทนจนกว่าจะหยุดโจมตี
7753 ลดการ์ดของตัวเองลงแล้วก็เงยหน้าขึ้น
“……ทั้งสองคนทำอะไรกันเนี่ย?”
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา 7753 จึงหันหน้าไปทางนั้น ริปเปิลจับรั้วเหล็กแล้วก็กระโดดขึ้นมาบนดาดฟ้า เมื่อตัวของเธอลงมาบนพื้นคอนกรีต เธอก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสนิมสีแดงบนฝ่ามือตัวเอง
ตอนนี้มานามีเป้าหมายใหม่ในการระบายความโกรธแล้ว เธอตะโกนไปที่ริปเปิลว่า “ไปทำบ้าที่ไหนมา—?!”แต่ก่อนที่จะพูดจบประโยคเธอก็เงียบไป ที่ด้านหลังของริปเปิลมีใครบางคนโผล่ออกมา เธอคือเมจิคัลเกิร์ลนักเต้นบัลเล่ต์ที่เต็มไปด้วยริบบิ้น
MANGA DISCUSSION