Long Live The Hokage - ตอนที่ 14 : เซ็ทสึดำ
“การล่มสลายของ ตระกูลคางูยะ (1/2) ?”
“หมายความว่ายังไง?” มาซาฮิโกะ คิด
“ขีดจำกัดสายเลือดของ ตระกูลคางูยะ ทำให้พวกเขามีโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกถูกทำลาย และทำให้พวกเขาล้มตายเป็นจำนวนมาก”
“ว่ากันว่าใน แคว้นแห่งน้ำ มีความชื้นมากเกินไป…ทำให้ หญ้ากระดูกน้ำแข็ง ไม่สามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ต่อให้พวกที่เหลือหนีรอดไปยัง แคว้นแห่งน้ำ ได้และสร้างครอบครัวใหม่ขึ้นมา ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็ต้องตายหมดอยู่ดี แล้วทำไม…”
“1/2 งั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าในอนาคตเราคงต้องไปที่ แคว้นแห่งน้ำ เพื่อเป็นพยานในการล่มสลายของ ตระกูลคางูยะ อีกครั้งละมั้ง แสดงว่าเราก็จะได้แต้มการเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอีกสินะเนี่ย”
“50 แต้มที่เราได้มา ต้องใช้ให้คุ้มที่สุด เพราะดูจากอัตราการพัฒนาของ มาดาระ กับ ฮาชิรามะ อีกไม่นาน การต่อสู้ระหว่าง 2 เทพเจ้าแห่งนินจา ก็คงจะเริ่มต้นขึ้น”
ในขณะที่เขาคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ทันใดนั้น ด้วยสัมผัสพิเศษของ มาซาฮิโกะ ก็สามารถตรวจจับจักระดำมืดบางอย่างได้จากสนามรบ
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?!” มาซาฮิโกะ หันไปยังทิศทางที่เขาสัมผัสจักระนั้นได้และตะโกนออกไปทันที
ผู้อาวุโสตระกูลเซนจู และ ผู้อาวุโสตระกูลอุจิฮะ ที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บก็ถึงกับสะดุ้งตกใจจนแทบจะหัวใจวายเมื่อได้ยินเสียงของ มาซาฮิโกะ แต่เมื่อพวกเขามองไปยังทิศทางที่ มาซาฮิโกะ มอง แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย
“ขอโทษ ขอโทษ สงสัยฉันตาฝาดไป…” มาซาฮิโกะ พูดขณะยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสตระกูลอุซึมากิ รู้สึกอายแทนเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าตอนนี้ มาซาฮิโกะ ได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาจึงไม่คิดว่า มาซาฮิโกะ จะทำเรื่องน่าอายแบบนี้ออกมา โดยเฉพาะในตอนที่สถานการณ์ยังตึงเครียดอยู่
“ไม่ผิดแน่…มันคือจักระของ เซ็ทสึดำ” มาซาฮิโกะ ยังคงครุ่นคิดถึงจักระนั้น แม้ว่าเขาจะขอโทษที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นไปแล้วก็ตาม
มาซาฮิโกะ ที่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ในโลกของ นารูโตะ ทำให้เขารู้อยู่แล้วว่า เซ็ทสึดำ อยู่เบื้องหลังความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในโลกนี้ และเขาก็วางแผนทั้งหมดเพื่อคลายผนึกให้ คางูยะ แม่ของเขา
มาซาฮิโกะ สนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาคิดว่า เซ็ทสึดำ คงเริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ก่อนสงครามครั้งนี้แล้ว
เมื่อเขายังเด็ก เขาค้นพบบางสิ่งที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงในเรื่อง นารูโตะ นั่นก็คือเรื่องของ ตลอดมืดใต้ดิน
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูล ตลาดมืดเหล่านี้มีมาอยู่ก่อนที่พวกเขาจะเกิดมา
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนผู้ก่อตั้งตลาดมืดเหล่านี้ขึ้นมา
ตลาดมืดเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญในการรวบรวมข่าวกรองจากทั่วทั้งโลกนินจา ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นสินค้าหลักของตลาดเหล่านี้ มาซาฮิโกะ คิดว่าตลาดมืดเหล่านี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย เซ็ทสึดำ เพื่อช่วยในการดำเนินแผนการของเขา
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ได้เป็นอย่างดี หลายสิ่งหลายอย่างดูจะแปลก ๆ ไป อย่างเช่น ทำไม ตระกูลฮิวงะ ถึงบุกรุกเข้าไปในสนามฝึกซ้อมส่วนที่ 4 ของตระกูลอุจิฮะ และ ตระกูลคางูยะ ค้นพบ หญ้ากระดูกน้ำแข็ง ที่ขึ้นในเขตของ หมู่บ้านตระกูลอุซึมากิ ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แค่อาจมีคนจงใจให้มันเกิดขึ้น
มาซาฮิโกะ รู้ว่าสักวันหนึ่ง เซ็ทสึดำ ต้องปรากฏตัวออกมา จนกระทั่งเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงจักระของ เซ็ทสึดำ ในสนามรบ เขาก็รู้ทันทีว่ามันคือ เซ็ทสึดำ อย่างแน่นอน เพราะจักระแบบนี้ มันไม่ใช่จักระของ นินจา หรือ ซามูไร แต่มันเป็นอย่างอื่น
และ มาซาฮิโกะ ก็มั่นใจมาตลอดว่าความขัดแย้งของแต่ละตระกูลที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องเกี่ยวข้องกับใครบางคน และตอนนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่ามันก็คือ เซ็ทสึดำ นั่นเอง
“แน่ใจได้เลยว่าแกต้องเป็นหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้…เซ็ทสึดำ…”
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เขาคิดไปถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น คาถาสัมภเวสีคืนชีพ , 9 หาง และแม้แต่การคืนชีพของ โอซึซึกิ คางูยะ และ มาซาฮิโกะ ก็รู้ว่าเขาต้องเริ่มทำในสิ่งที่เขาควรจะทำมาตั้งนานแล้ว
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องฝึกวิชาผนึกที่สืบทอดกันมาของตระกูลอุซึมากิ…”
…
ในขณะนั้นบางแห่งในที่มืดก็มีเงาดำปรากฏขึ้น
ในขณะเดียวกัน
ในที่มืดบางแห่ง
มีเงาดำปรากฏขึ้น
“สัมผัสการตรวจจับของเขาดีมาก เราเกือบถูกจับได้แล้ว!” เซ็ทสึดำ พูดกับตัวเอง จากนั้นเขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “เขารู้ได้ยังไงกัน? ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของฉันมาก่อน!”
เซ็ทสึดำ รู้สึกสับสน เขาไม่คิดว่าจะมีใครที่สัมผัสถึงเขาได้ แต่เมื่อเขานึกภาพตอนที่เขาได้พบกับ คางูยะ อีกครั้ง เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ท่านแม่ รอฉันก่อนนะ ฉันจะต้องชุบชีวิตท่านขึ้นมาให้ได้! พวกคนทรยศ…เจ้าอาชูร่า กับ เจ้าอินดรา ฉันจะลงโทษพวกมัน!…เซนจู และ อุจิฮะ…ไม่ช้าก็เร็ว…ลูกหลานของพวกมันจะต้องตกอยู่ในมือของฉัน…”
“แต่พวก อุซึมากิ…พวกมันทำให้เรื่องยากขึ้นไปอีก”
หลังจากพูดจบ เซ็ทสึดำ ก็เดินเข้าไปในความมืดและหายไป
…
หลังจากจบการต่อสู้ ตระกูลอุซึมากิ , ตระกูลอุจิฮะ และ ตระกูลเซนจู ต่างก็ช่วยกันรวบรวมทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เคยเป็นของ ตระกูลคางูยะ
มาซาฮิโกะ รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อพวกเขารวบรวมทรัพย์สินเสร็จแล้วพบว่ามันมีจำนวนมากกว่าที่คิดสิ่งแรกที่พวกเขาทำหลังจากรวบรวมทรัพย์สินเสร็จก็คือกำหนดส่วนแบ่ง
พวกเขาตกลงกันว่า ตระกูลอุซึมากิ จะได้รับส่วนแบ่ง 20% ของทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่ง ผู้อาวุโสตระกูลอุซึมากิ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะถึงอย่างไร ตระกูลอุซึมากิ ก็ยังคงเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในบรรดา 3 ตระกูลอยู่ดี และพวกเขาก็พอใจแล้วที่ได้รับส่วนแบ่งถึง 20%
อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีข้อโต้แย้งขึ้นระหว่างอีก 2 ตระกูล
เมื่อ ตระกูลอุจิฮะ ยืนยันว่าทรัพย์สินที่เหลือจะต้องแบ่งให้ ตระกูลเซนจู 50% และอีก 50% ให้กับ ตระกูลของพวกเขา แต่ ตระกูลเซนจู คัดค้านและโต้แย้งว่า ตระกูลเซนจู ได้เริ่มสงครามมาก่อนที่ ตระกูลอุจิฮะ จะเข้าร่วม ดังนั้น ตระกูลเซนจู จึงสมควรได้ทรัพย์สินส่วนแบ่งไป 60% ของทรัพย์สินที่เหลือหลังจากหักให้ ตระกูลอุซึมากิ ไป แน่นอนว่า ตระกูลอุจิฮะ ไม่ยอม
มาดาระ พูดออกมาด้วยเสียงที่ดังว่า “เราต้องได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง! ถ้าใครมีปัญหาก็เลือกเอา…ว่าจะยอมรับข้อเสนอ…หรือจะเลือกสงคราม?!”
มาซาฮิโกะ ตกตะลึงกับวิธีเจรจาของ มาดาระ หลังจากนั้นการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดก็เริ่มขึ้น แต่ก่อนที่ มาซาฮิโกะ จะหยุดเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง ฮาชิรามะ ก็หยุด มาดาระ เอาไว้
ถ้าให้เลือกระหว่างเพื่อนและครอบครัว กับ สมบัติ แน่นอนว่า ฮาชิรามะ จะเลือกอย่างแรก
ฮาชิรามะ พูดกับ มิซูโกะ ว่า “ท่านผู้อาวุโส แค่แบ่งให้พวกเขาครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง ตระกูลอุจิฮะ ก็สูญเสียเป็นจำนวนมากเช่นกัน และที่สำคัญคนของเราก็เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ครั้งที่ผ่านมา มันจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าเราจะต่อสู้กับ ตระกูลอุติฮะ ในตอนนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จากผู้ที่จะกลายเป็น ผู้นำตระกูลเซนจู ในอนาคต มิซูโกะ ก็ยอมเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก
ในที่สุด ทรัพย์สินอีก 80% ก็ถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกันให้กับ ตระกูลอุจิฮะ และ ตระกูลเซนจู จากนั้นการประชุมก็จบลง และทุกคนก็แยกย้ายกลับหมู่บ้านของตนเอง
ตระกูลอุซึมากิ ก็เตรียมตัวออกเดินทางกลับหมู่บ้านเช่นกัน พร้อมกับทรัพย์สินจำนวนมากที่พวกเขาได้ส่วนแบ่งมา
แต่ถึงอย่างนั้น ตระกูลอุซึมากิ ก็ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน ก่อนการต่อสู้ มาซาฮิโกะ จำได้ว่าพวกเขามี โจนินระดับสูง อยู่มากกว่า 1 โหล แต่ตอนนี้ โจนินระดับสูง เหลืออยู่เพียง 8 คนเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึง โจนินธรรมดา และ จูนิน มีแต่ยมทูตเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาสูญเสียไปมากแค่ไหน
“แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ตระกูลของเรากลับสูญเสียมากมายขนาดนี้ ผู้นำตระกูลกับพวกผู้อาวุโสคงจะไม่เห็นด้วยที่จะให้ความช่วยเหลือ ตระกูลเซนจู ถ้าพวกเขามีแผนที่จะต่อสู้กับ ตระกูลอุจิฮะ อย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยก็จนกว่านินจาของเราจะฟื้นกำลังมาเหมือนเดิม…นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ฝึกวิชาผนึกได้อย่างเต็มที่สะที” มาซาฮิโกะ คิด
…
กองทัพตระกูลอุซึมากิ และ มาซาฮิโกะ เดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านในตอนเย็น
เมื่อเห็นว่า กองทัพกลับมาแล้ว ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโส ก็ออกมาต้อนรับพวกเขาที่ประตูหมู่บ้าน
แต่ผู้นำตระกูลก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้เลย แต่เขากลับจัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของพวกเขาแทน
มาซาฮิโกะ เพียงแค่ทานอาหารเย็นของเขา เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของผู้นำตระกูลในวงสนทนาที่พูดเกี่ยวกับ ความรุ่งโรจน์ , การเสียสละ , เกียรติยศ และเรื่องอื่น ๆ
เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จ มาซาฮิโกะ ก็กล่าวขอตัวอย่างอ่อนน้อมตกับผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโส จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านของเขาเพื่อพักผ่อน เขาทาสมุนไพรตรงแขนที่เจ็บแล้วนอนหลับไป
นี่เป็นวันสุดท้ายของเดือน มกราคม และเขาก็เหนื่อยมากกับเดือนนี้