Long Live The Hokage - ตอนที่ 10 : ศึกแรก
ในตอนเย็นของวันเดียวกันนั้นเอง ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลอุซึมากิ ก็เดินทางกลับมาจาก หมู่บ้านตระกูลฮิวงะ
“พวกเขาปฏิเสธเหรอ?…ฉันว่าแล้ว” ผู้นำตระกูลถอนหายใจ เพราะการขอความช่วยเหลือจาก ตระกูลฮิวงะ ล้มเหว
“ดูเหมือนว่าความขัดแย้งของพวกเขากับ ตระกูลอุจิฮะ ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก” มาซาฮิโกะ พูด
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น” ผู้นำตระกูล หมดหนทาง “คงจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บไม่ได้สินะ…”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ชายแก่คนนี้จะปกป้องคนของเราเอง” มาซาฮิโกะ พูดออกมาอย่างมั่นใจขณะที่ยกนิ้วโป้งขึ้นมา เพื่อพยายามปลอบใจผู้นำตระกูล
จากนั้นเขาก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องโถง ในขณะเดียวกันเขาก็พูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่ใช่ มาซาฮิโกะ คนเดียวกับเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนอีกต่อไป…การต่อสู้ในครั้งนี้จะทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างแน่นอน”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เขารับประทานอาหารเช้าเสร็จ มาซาฮิโกะ ก็รีบวิ่งตรงไปที่ห้องโถงกลางเพื่อเข้าร่วมการประชุมในทันที
ขณะนี้ในห้องโถงมีกลุ่มจากตระกูลสาขามาเข้าร่วมการประชุมอยู่หลายกลุ่ม นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อร่วมเข้าประชุมอีกหลายคน
1 ชั่วโมงต่อมา ผู้นำตระกูลก็เดินเข้ามา ตามมาด้วย ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 และ 3
ผู้นำตระกูล เข้านั่งในตำแหน่งเก้าอี้ที่หัวโต๊ะและมองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็พูดว่า “เมื่อทุกคนมากันเกือบจะครบแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะพูดมากกว่าขอให้ทุกคนปลอดภัย”
“ฉันขอมอบอำนาจบัญชาการกองทัพในสงครามครั้งนี้ทั้งหมดให้กับ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2” ผู้นำตระกูลพูดขณะที่เขามองไปที่ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2
“ไว้ใจได้เลย ท่านผู้นำ” ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ตอบพร้อมกับโค้งคำนับ
หลังจาก ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 และ ผู้นำตระกูล คุยกันอีก 2 – 3 ประโยค ทั้งคู่ก็หันกลับมาหาทุกคนแล้ว ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ก็ตะโกนออกมาว่า “ถ้าพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ!”
“รับทราบ” กองทัพนินจาตะโกนตอบกลับมาอย่างพร้อมเพียงกัน จากนั้นพวกเขาก็เดินออกไปยังที่ตั่งค่ายของ ตระกูลเซนจู มาซาฮิโกะ ก็เดินทางออกไปด้วยเช่นกัน
มาซาฮิโกะ ทำการตรวจสอบกองทัพของเขาในศึกครั้งนี้ แล้วเขาก็พบว่าพวกเขามี นินจาระดับสูงอยู่อย่างน้อย 10 คน โจนินขั้นสูง และ โจนิน รวมกันอย่างน้อยอีกราว ๆ 100 คน
“นี้คือกองกำลังเกือบครึ่งหนึ่งของเราเลยนะเนี่ย ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลคิดที่จะสั่งสอน ตระกูลคางูยะ จริง ๆ สินะ” มาซาฮิโกะ คิด
…
กองทัพทั้งหมดเริ่มออกเดินทาง
พวกเขาใช้เวลาเดินทาง 1 วันเต็ม ๆ ในการเดินทางไปถึงจุดตั้งค่าย
ในระหว่างทาง มาซาฮิโกะ สัมผัสได้ถึง หน่วยสอดแนมของตระกูลเซนจู และ หน่วยสอดแนมของตระกูลคางูยะ เป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะในช่วงสงครามแบบนี้ แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือพันธมิตร ก็ต้องส่งหน่วยสอดแนมมาดูสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ตระกูลใหญ่อย่าง ตระกูลอุซึมากิ ส่งนินจานับ 100 คน เข้าสู่สนามรบ เรื่องนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
เมื่อกองทัพอุซึมากิ เดินทางมาจนถึงค่ายของ ตระกูลเซนจู ฮาชิรามะ และ โทบิรามะ ก็ออกมาต้อนรับพวกเขาทันที
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือจากพวกท่านในครั้งนี้ บุญคุณครั้งนี้เราจะไม่มีวันลืม เชิญกองทัพของท่านตั้งค่ายและพักผ่อนเถอะ หลังจากอาหารเย็น เราจะมีประชุมยุทธการกับเหล่าผู้อาวุโส เชิญท่านเข้าร่วมการประชุมเพื่อพร้อมกับสถานการณ์ด้วยนะครับ”
…
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ การประชุมยุทธการก็เริ่มต้นขึ้น โดยที่ มาซาฮิโกะ และ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 เป็นตัวแทนของตระกูลอุซึมากิ แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องประชุม พวกเขาก็พบเข้ากับ โทบุ ผู้อาวุโสจากหมู่บ้านเซนจูตะวันออก ที่ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับบาดแผลจำนวนมากบนตัวของเขา
“เฮ้อ…ดูเหมือนว่าฉันจะแก่เกินไปที่จะรับมือกับการต่อสู้ที่รุนแรงแบบนี้ได้แล้วสินะ” ผู้อาวุโสเซนจูตะวันออก พูดออกมาอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
เมื่อเช้านี้ ตระกูลเซนจู ได้เผชิญหน้ากับ ตระกูลคางูยะ…เกิดการสูญเสียขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย มันเป็นการต่อสู้ของนินจาระดับสูง และการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเหล่าผู้อาวุโสของ ตระกูลคางูยะ
การต่อสู้ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น
ฮาชิรามะ และ โทบิรามะ แทบจะจัดการกับ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของศัตรูไม่ได้ แต่ โทบุ ก็พ่ายแพ้ต่อ ผู้อาวุโสคนอื่นของ ตระกูลคางูยะ เช่นกัน
“เจ้าพวกคางูยะ…ถ้าไม่ใช่เพราะเด็ก 2 คนนี้ ฉันคงไม่มีชีวิตอยู่จนได้คุยกับพวกท่านในวันนี้อย่างแน่นอน…เหมือนว่าพวกเด็ก ๆ จะแข็งแกร่งกว่าฉันไปแล้วสินะ…” โทบุ ใช้กำลังทั้งหมดในการพูดออกมา แม้ว่าเขาจะอ่อนแอ แต่เขาก็ดูเหมือนว่าจะมองเห็นอนาคตที่รุ่งเรืองของ เซนจู รุ่นต่อไป
“แต่ถึงพวกเขาทั้ง 2 จะแข็งแกร่ง แต่เมื่อตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้แล้ว ฉันกลัวว่า พวกคางูยะ อาจจะเข้าโจมตีพวกเราในคืนนี้…” โทบุ พูดกับ ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลอุซึมากิ โดยไม่สนใจ มาซาฮิโกะ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
แต่ไม่ว่า โทบุ จะคิดยังไง แต่ โทบิรามะ ก็รู้ดีว่า มาซาฮิโกะ เป็นคนแบบไหน
ในแง่ของการต่อสู้ มาซาฮิโกะ ได้แสดงประสบการณ์ที่เขามีให้ได้เห็นแล้วในการต่อสู้ระหว่างเขากับ มาดาระ และการที่ มาซาฮิโกะ ช่วย โทบิรามะ ในการพัฒนาวิชา เทพอัสนีเวหา ก็ทำให้ โทบิรามะ รู้ว่า มาซาฮิโกะ ไม่ใช่แค่ชายแก่ธรรมดา ๆ
“การต่อสู้ครั้งต่อไปจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของสงคราม ถ้าเราร่วมมือกับ เซนจู เราต้องได้เปรียบ พวกคางูยะ อย่างแน่นอน แต่…” มาซาฮิโกะ คิดกับตัวเอง
เขาไม่คิดว่า ผู้อาวุโสเซนจูตะวันออก จะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ มันจะทำให้ฝ่ายเราเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น
…
ในคืนนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจนทำให้ มาซาฮิโกะ ตื่นขึ้นมากลางดึก
เสียงนั้นดังมาจากด้านนอกค่าย “ข้าศึกโจมตี! เตรียมตัวต่อสู้!”
มาซาฮิโกะ รู้สึกประหลาดใจจนต้องกระโดดลุกจากเตียงทันที แน่นอนว่า ตระกูลคางูยะ รู้อยู่แล้วว่า ตระกูลเซนจู เป็นพันธมิตรกับ ตระกูลอุซึมากิ แล้วทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะเข้าโจมตีในเวลาที่ 2 กองทัพอยู่รวมกันแบบนี้ละ?
มาซาฮิโกะ คิดว่าพวกเขาต้องมีแผนการอะไรบ้างอย่างที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
เมื่อเขาออกมาจากห้องเขาก็พบว่า ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ตระกูลอุซึมากิ ได้เรียกรวมกองทัพเรียบร้อยแล้ว
ขณะนั้น ผู้อาวุโสจากหมู่บ้านเซนจูตะวันออก ก็เดินออกมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังพยุงเขาอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพของตระกูลคางูยะ ก็บุกมาจนถึงหน้าค่ายของพันธมิตร
“ไอ่พวกคางูยะ กล้าดียังไงถึงบุกมาหาถึงที่นี่ อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ?!” ผู้อาวุโสหมู่บ้านเซนจูตะวันออก ตะโกนออกไป
ผู้นำตระกูลคางูยะ , คางูยะ ฮิราคิ ยืนอยู่ในแถวที่ 3 ของกองทัพ และทันใดนั้นเขาก็สั่งให้กองทัพของเขาเข้าโจมตี กองทัพพันธมิตรในทันที
“คราวนี้แกตายแน่ ไอ่หมาแก่!” คางูยะ ทาเคะโทริ หนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ ตะโกนเสียงดังใส่ โทบุ ด้วยความแค้น
เมื่อ โทบุ ได้ยินดังนั้นเขาก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะต่อสู้กับ ทาเคะโทริ ได้ เพราะ ทาเคะโทริ นั้นแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้เกิน 5 นาทีอย่างแน่นอน
เมื่อ ผู้อาวุโสตระกูลอุซึมากิ ต่างมองหน้ากันและกัน ขณะที่เห็นว่า กองทัพคางูยะ พุ่งเข้ามาโจมตี พวกเขาก็ต่างรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก “ไอ่พวกบ้า พวกมันส่งกองทัพทั้งหมดบุกมาที่นี่! แล้วมันไม่ห่วงหมู่บ้านจะถูกลอบโจมตีบ้างเลยเหรอ?!”
“ฮาชิรามะ หยุดหัวหน้าพวกมันเอาไว้ แล้วเราจะจัดการพวกที่เหลือเอง!” ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลเซนจู พูดกับ ฮาชิรามะ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮาชิรามะ ก็พยักหน้าให้เขา จากนั้น ฮาชิรามะ ก็ประสานอินขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
“คาถาไม้ : กำแพงม่านไม้!” ทันใดนั้น ท่อนไม้จำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงเพื่อหยุดไม่ให้ ตระกูลคางูยะ เข้ามาได้มากกว่านี้
ทันใดนั้น นินจาระดับสูง 4 คนของตระกูลอุซึมากิ ก็พุ่งออกไปยังทั้ง 4 ทิศของสมรภูมิ และยกมือขึ้นมาประสานอิน
“คาถานินจา : กำแพงควัน 4 ทิศ!” ทันใดนั้นม่านพลังสีม่วงก็ปรากฏออกมาล้อมลอบ และแยก นินจาคางูยะ ออกจากหน่วยสนับสนุนของพวกเขา
“ดีมาก!” โทบุ ตะโกนออกมาพร้อมกับสะบัดแขนออกจากคนที่พยุงเขาอยู่
“ฮาชิรามะ โจมตี หัวหน้าพวกมัน ฉันจะฆ่าผู้อาสุโสคนอื่นด้วยตัวฉันเอง ฉันจะต้องไม่ตายเหมือนชายแก่ที่ไรประโยชน์ วันนี้ฉันจะตายแบบวีรบุรุษนินจา และหยุดยังพวกมันเอาไว้ให้ได้ พวกเรา ฆ่ามันให้หมด!” โทบุ ตะโกนออกมาอย่างดุดันที่ขับเคลื่อนด้วยความต้องการที่จะแก้แค้น
“เดี๋ยวก่อน!” โทบิรามะ ขัดจังหวะ โทบุ ขึ้นมา จากนั้นเขาก็มองไปที่ มาซาฮิโกะ และพูดว่า “ท่านปู่ ท่านช่วยจัดการกับผู้อาวุโสของศัตรูได้ไหม?”
มาซาฮิโกะ พยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่า อุซึมากิ อีกต่อไป ถ้าฉันทำให้พวกมันเลือดออกไม่ได้!”
โทบุ ดูสับสนเป็นอย่างมากเมื่อ โทบิรามะ พูดขัดเขาขึ้นมา และไม่ยอมให้เขาไปต่อสู้กับ ผู้อาวุโสของตระกูลคางูยะ ด้วยตัวเขาเอง
แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ มาซาฮิโกะ ทำ เขาก็เข้าใจในที่สุด…
มาซาฮิโกะ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปและมุ่งหน้าตรงไปยัง ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลคางูยะ จากนั้นเขาก็ใช้คาถาแปลงร่างดาวกระจายเหมือนครั้งที่สู้กับ มาดาระ แล้วขว้างออกไปทาง ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ
เมื่อ ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ เห็นดังนั้น เขาจึงยืดกระดูกออกมาจากแขนของพวกเขา มันแข็งแรงและแหลมคมมาก และนี้คือขีดจำกัดสายเลือดของพวกเขา
เมื่อดาวกระจายเข้าใกล้ ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ ทันใดนั้นดาวกระจายก็กลายเป็น มาซาฮิโกะ ที่ถือมีดคุไน อยู่ในมือ จากนั้นมีดคุไนของ มาซาฮิโกะ ก็ปะทะเข้ากับ มีดกระดูกของ ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ ทำให้เกิดเป็นเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งสนามรบ พวกเขาปะดาบกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็กระโดดถอยออกมาแล้วใช้ กระสุนวงจักระ ใส่เขา แต่ กระสุนวงจักระ ก็ไม่เร็วพอที่จะตามความเร็วของ ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ ได้ทันและมันก็ไม่รุนแรงพอที่จะเอาชนะ ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ ได้
สิ่งที่ มาซาฮิโกะ ทำ ทำให้ โทบุ ตกใจจนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตั้งสติกลับมาได้และสั่งให้กองทัพที่เหลือของเขาโจมตี นินจาคางูยะ ที่เหลือ
หลังจากการต่อสู้ผ่านไปครู่หนึ่ง กองทัพคางูยะ ก็เริ่มเสียเปรียบ เพราะพวกเขาสูญเสียนินจาไปเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากกำลังพลที่ลดลงทำให้พวกเขากำลังจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
“บ้าเอ้ย ม่านพลังกระจอก ๆ พวกนั้น คิดว่าจะจับฉันได้งั้นเหรอ?!” ด้วยความโกรธที่กำลังจะพ่ายแพ้ ทาเคะโทริ จึงกดมือทั้ง 2 ข้างลงบนพื้น จากนั้นกระดูกแหลมหายร้อยแท่งก็พุ่งขึ้นมาจากดินและแทง นินจาตระกูลอุซึมากิ ที่ใช้คาถาม่านพลัง จนสามารถทำลายม่านพลังนั้นลงได้ในที่สุด
ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น ร่างคนตายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั่งสนามรบ
ผู้อาวุโสตระกูลคางูยะ ตะโกนบอก ผู้นำตระกูลคางูยะ ว่า “ท่านผู้นำ เราสูญเสียนินจามากเกินไปแล้ว เราต้องล่าถอยก่อน!” เขาตะโกนออกไปเสียงดังมาก แต่มันก็ยังเบาเมื่อเทียบกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสนามรบ
“บ้าเอ้ย…ถอยทัพ!” ฮิราคิ ตะโกนออกคำสั่งด้วยเสียงที่ดัง
เมื่อได้ยินดังนั้น กองทัพคางูยะ ทั้งหมดที่ยังเหลือรอดก็พากันถอยหลับไปอย่างรวดเร็ว
…
หลังจาก กองทัพคางูยะ ออกไปจากสนามรบจนหมด อุซึมากิ และ เซนจู ก็เก็บอาวุธและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
มาซาฮิโกะ ก็ถอนหายใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองไปที่ขอบฟ้า
“การต่อสู้ของวันนี้สิ้นสุดลงแล้วสินะ”
“วันนี้เราต้องสูญเสียมิตรสหายไปกี่คนกัน…”
“คงจะมากจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว…”
นี่สินะ…สงคราม…