Long Live The Hokage - ตอนที่ 39 : ปิดผนึกซากอสูร บ้านของมาซาฮิโกะ
Long Live The Hokage Chapter 39 : ปิดผนึกซากอสูร
บ้านของมาซาฮิโกะ
มาซาฮิโกะ ถือหน้ากากชินิกามิไว้ในมือและตรวจสอบอย่าง ระมัดระวังเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
“อาจารย์คะ! อาจารย์กําลังหาอะไรอยู่เหรอคะ? ถึงมันจะน่ากลัว แต่มันก็เป็นแค่หน้ากากธรรมดา ๆ นิคะ”
ลูกศิษย์ 2 คนยังคงยืนรออยู่อย่างอดทน ยูริโกะ ดูโอเค แต่นานาโกะ กําลังจะแปลงเป็นร่างโกรธของเธอ
“ฉันกลัวว่าจะมีบางอย่างซ้อนอยู่ในหน้ากากนี้” มาซาฮิโกะพูดพึมพําออกมา
หลังจากการตรวจสอบอย่างรอบคอบ ในที่สุดความสามารถในการรับรู้ของ มาซาฮิโกะ ก็พบบางสิ่ง
“มันคือวิญญาณ! วิญญาณใครกัน?” มาซาฮิโกะพึมพํากับตัวเองอีกครั้ง
ในยุคนี้เรื่องของจิตวิญญาณยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนยังไม่คุ้นเคยกัน ตั้งแต่ที่ มาซาฮิโกะ มาอยู่ในโลกนี้ เขายังไม่เคยได้ยินนินจาคนไหนพูดเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณเลยแม้แต่ครั้งเดียวในโลกนีวิญญาณสามารถแสดงตัวตนออกมาให้เห็นได้และแม้กระทั่งจัดการกับจิตวิญญาณดวงอื่น ๆ ได้เช่นกัน
มาซาฮิโกะ มองลึกลงไปที่หน้ากากและทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
“มันเป็นผนึกที่น่ากลัวมาก ไม่คิดเลยว่าบรรพบุรุษของ ตระกูลอุซึมากิ จะสามารถสร้างผนึกที่อันตรายแบบนี้ขึ้นมาได้”
หลังจากสังเกตหน้ากากได้ระยะหนึ่ง มาซาฮิโกะก็เดาได้ว่ามันมาจากไหน
หน้ากากนี้อาจเป็นที่กักเก็บพลังบางอย่าง มาซาฮิโกะคาดการณ์ว่า เมื่อราว ๆ 100 ปีก่อน บรรพบุรุษของ ตระกูลอุซีมากต้องเผชิญกับศัตรูที่บุกเข้ามาในอาณาเขตเพื่อแย่งชิงพื้นที่ดังนั้น อุซึมากิ จึงใช้วิชาที่ทรงพลังในการต่อสู้กับผู้บุกรุกซึ่งพลังนั้นต้องแลกมาด้วยการเสียสละ นั้นก็คือการผนึกวิญญาณของบรรพบุรุษของอุซึมากิ เข้าไปในหน้ากาก และเมื่อพวกเขาจัดการกับศัตรูได้แล้ว พวกเขาก็จะผนึกวิญญาณของศัตรูเข้าไปในหน้ากากด้วยเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น วิญญาณที่ถูกผนึกก็มากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุด หน้ากากก็ไม่สามารถผนึกวิญญาณเข้าไปได้อีกต่อไป วิญญาณเหล่านั้นถูกผนึกอยู่ในหน้ากากเป็นเวลานานกว่า 100 ปี และด้วยความมุ่งมั่น ความรู้สึกสูญเสีย และความ โกรธแค้นจึงทําให้วิญญาณ เหล่านั้นหลอมรวมกันจนกลายเป็นเทพเจ้าแห่งความตาย ที่กินวิญญาณของผู้อื่นเป็นอาหาร
ค่าสถานะ วิชาสะกด ของ มาซาฮิโกะ อยู่ที่ LV 6 แล้วแต่เขาก็คิดว่ามันยังไม่เพียงพอที่จะใช้วิชาสะกดที่ทรงพลังเช่นเดียวกับหน้ากากนี้ได้ เขาคิดว่าบรรพบุรุษที่ใช้วิชาสะกดนี้น่าจะมีระดับของวิชาสะกดอย่างน้อยก็ LV 8
ตัวตนของวิญญาณของศัตรูที่ติดอยู่ในหน้ากากนี้ยังไม่ชัดเจน แม้ว่าในยุคสงครามจะเกิดความขัดแย้งขึ้นหลายครั้งแต่มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะทุ่มกําลังทั้งหมดเพื่อล้มอีก
ฝ่าย
เพราะพวกเขากลัวว่าหากพวกเขาแพ้พวกเขาจะถูกอีกฝ่ายโจมตีกลับจนสิ้นเผ่าพันธุ์ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกดดันอีกฝ่ายจนจนมุมได้แล้ว พวกเขาจะพยายามเจรจาสงบศึกเพื่อลดการสูญเสีย แม้ว่าพวกเขาจะต้องจ่ายเป็นบรรณาการก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของ อุซึมากิจะต่างออกไป พวกเขายอมสูญเสียมากกว่าการยอมจํานนกับศัตรูคนนี้ซึ่งบ่งบอกว่าศัตรูน่าจะเป็นกองทัพจากต่างแคว้น!
จากเนื้อเรื่อในการ์ตูนที่ มาซาฮิโกะ เคยเห็นมาก่อน เขาประเมินว่าศัตรูน่าจะเป็นบรรพบุรุษของพี่น้อง คินคาคุและกินคาคุแห่ง หมู่บ้านคุโมะ
“ พี่น้อง คินคาคุ และ กินคาคุน่าสนใจมาก พวกเขาสามารถกินเนื้อของ 9 หางได้ และเป็นผู้ครอบครอง 5 อาวุธนิน จาซึ่งเป็นสมบัติของ เซียน 6 วิถีคิชิโมโตะ (คนเขียนมังงะ เรื่อง นารูโตะ)นี้คุณมีสมองแบบไหนกันถึงเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้เนี่ย!”
“อาจารย์คะ ใครเป็นพี่น้องกันนะคะ? แล้วคิชิโมโตะคือใครคะ?” นานาโกะถามด้วยความสงสัย
ใบหน้าของ มาซาฮิโกะ แข็งที่อด้วยความตกใจแล้วเขาก็มองไปที่เธอแล้วตอบงง ๆ ไปว่า “ฉันพูดอะไรไปเหรอ?”
เธอพยักหน้า
มาซาฮิโกะ ตบหน้าผากของเธอเบา ๆ
“โอ้ เด็กน้อย ไม่มีอะไร ฉันแค่เธอก็รู้นิว่าบางทีฉันก็ชอบพึมพําอะไรออกมาอย่างไม่มีเหตุผล เธอไม่ต้องสนใจหรอก”มาซาฮิโกะ ตอบอย่างไม่อยากอธิบาย
“อ้า นานาโกะ เธอช่วยไปจับไก่มาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
นานาโกะ ดูสับสน แต่เธอก็เต็มใจวิ่งออกไปเพื่อที่จะไปจับไก่มาให้เขา
“อาจารย์ อาจารย์จะเอาไก่มาทําอะไรเหรอคะ?” ยูริโกะถามมาซาฮิโกะด้วยความสับสน
“ฉันจะฆ่าไก่ให้ดูไงละ”
ยูริโกะ ดูสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีที่จะได้ดูเพราะถึงอย่างไรเด็กก็ยังคงเป็นแค่เด็ก
หลังจากนั้นไม่นาน นานาโกะ ก็กลับมาพร้อมกับอุ้มไก่ไว้ในมือ
ปี 60
“ถือไก่ไว้นิ่ง ๆ นะมะเร็ง » กุน + มะแม > เถาะ – จอ : วิชาสะกด!” หลังจากที่เขาปะสานอินเสร็จ ทันใดนั้น หน้ากากชินิกามิก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นหน้ากากที่แสดงรอยยิ้ม ที่น่าขนลุกออกมา “วิชาสะกด : คาถาผนึกไก่!”
วิญญาณของไก่ลอยออกจากร่างทันที ไก่ที่เคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ตอนนี้มันหยุดนิ่งไม่ไหวติง นานาโกะ ที่ถือไก่อยู่รู้สึกเวียนหัวจากนั้นเธอก็ล้มลงทันที
เมื่อเห็นแบบนั้น มาซาฮิโกะ ก็รีบประสานอินและวางมือลงไปบนหน้ากาก “ผนึก 4 วิถี!” เขาปิดผนึกหน้ากากทับไปอีกครั้งจากนั้นเขาก็จับ นานาโกะ โดยใช้มืออีกข้างหนึ่ง
“หน้ากากชินิกามิ ได้เกิดใหม่อีกครั้ง! แต่ด้วยความหิวกระหายของมัน ทําให้มันยังคงอ่อนพลังอยู่มาก มันเลยผนึกได้แค่วิญญาณที่อ่อนแออย่างไก่เท่านั้น มันอาจทําให้ นานาโกะเวียนหัวได้ แต่สําหรับผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าอย่างฉัน หน้ากากชินกามิ จึงไม่มีผลกับฉัน”
“อาจารย์ท่านทําอะไรคะ ?” นานาโกะ ค่อย ๆ ฟื้นพลังงานของเธอ เมื่อเธอเห็นไก่ที่ไร้ชีวิตอยู่ในมือของเธอเธอก็โยนมันทิ้งอย่างรวดเร็ว ไจากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่มาซาฮิโกะ
“ไม่มีอะไร ไม่เป็นไร เธอไม่เป็นไรแล้ว” มาซาฮิโกะส่าย หัวซ้ําแล้วซ้ําอีกเขารู้สึกผิดเล็กน้อย
“เอาหน้ากากหนูคืนมาได้แล้วค่ะ!” นานาโกะ ชี้นิ้วไปที่หน้ากากที่อยู่ในมือของ มาซาฮิโกะ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“อาจารย์เพิ่งฆ่าไก่ที่น่าสงสารตัวนี้ใช่ไหมค่ะ?!” นานาโกะตะโกนด้วยความโกรธ
“เอ๊ะใช่” มาซาฮิโกะ ยิ้มอย่างหมดหนทาง
“นานาโกะ อาจารย์ได้ปิดผนึกหน้ากากนั้นกลับไปแล้วล่ะเธอไม่ต้องกังวล” ยูริโกะ พยายามช่วยพูดให้ นานาโกะใจเย็นลง
ใบหน้าของ นานาโกะ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธจัดและเธอก็กําลังจะระเบิดออกมา
มาซาฮิโกะ ใช้เวลาปลอบโยน นานาโกะ นานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าเธอจะสงบลง
“นานาโกะ เธอต้องเก็บรักษาหน้ากากนี้ให้ปลอดภัย เมื่อถึงเวลา ฉันจะผนึกมันทับเข้าไปอีก เพื่อกันไม่ให้มีใครใช้มันได้อีก” มาซาฮิโกะ อธิบาย
จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็อธิบายที่มาของหน้ากากนี้ให้กับเด็ก 2 คนฟัง และทั้งคู่ก็ฟังอย่างตั้งใจ
“หน้ากากนี้มีวิญญาณของศัตรูทําไมไม่ทําลายมันไปสะเลยละคะ?” นานาโกะ ถามหลังจากที่เธอเข้าใจเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังและเริ่มสงสัย
มาซาฮิโกะ ไม่เคยคิดที่จะทําลายมันเลย เพราะเขารู้ว่าหน้ากากนี้คือต้นกําเนิดของ คาถาสะกด ปิดผนึกซากอสูร ซึ่งเป็นคาถาที่สําคัญมาก เพราะตัวละครหลายตัวจะใช้มันในอนาคตและเขาก็ไม่ต้องการเปลี่ยนเนื้อเรื่องของมัน
ในที่สุดเขาก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง มาซาฮิโกะ คิดในใจว่า “ หรือว่าเราควรทําลายมันตั้งแต่ตอนนี้”
เขายังคงกลัวผลที่จะตามมา แต่อย่างไรก็ตามด้วย กระสุนวงจักร เขาก็ทําลายหน้ากากนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ในเวลานั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และเมื่อเขากําลังทําใจกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นและขัดจังหวะของเขา
“อะ อาจารย์ หน้ากากของหนู” นานาโกะ กําลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้ง
“นี่คือสิ่งที่เธอขอให้ฉันทํา ” มาซาฮิโกะ พูดกับ นานาโกะเมื่อเห็นเธอกําลังจะโวยวาย หลังจากนั้น มาซาฮิโกะก็หันหลังและเดินออกไปจากงาน “ฉันจะไปดู เคนชิโร่ ฝึกซ้อมสะหน่อยพวกเธอทั้ง 2 คนไปเที่ยวงานกันต่อให้สนุก เถอะวันนี้พวกเธอไม่จําเป็นต้องฝึกอะไรแล้ว!”
มาซาฮิโกะ เดินไปที่สนามฝึกส่วนที่ 3 ขณะที่พึมพํากับตัวเอง “เด็กพวกนั้นไม่มีเคารพอาจารย์ในอาจารย์เอาสะเลย…”
เขามองเห็น เคนชิโร่ ฝึกฝนได้จากระยะไกล และเขาก็รู้สึกสบายใจที่อย่างน้อยก็มีลูกศิษย์ 1 คน ที่ฝากความหวังได้
ทันที่ที่ เคนชิโร่ เห็น มาซาฮิโกะ เดินเข้ามาเขาก็กระเด้งตัวขึ้นและพูดด้วยน้ําเสียงที่ตื่นเต้นทันที “โอ้!เวลาฝึกต่อสู้!”
ใบหน้าของ มาซาฮิโกะ เปลี่ยนสีทันที “ไม่มีทาง!ลืมไปเลยฉันจะกลับบ้าน ฉันแค่แวะมาดูเฉย ๆ”
เมื่อ มาซาฮิโกะ กลับมาถึงบ้าน ประโยคหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาทันที
“เข้าร่วมและเป็นพยานในเหตุการณ์สําคัญของโลก นารูโตะ : ปิดผนึกซากอสูร!”
“รางวัล : คุณได้รับแต้มการเข้าร่วม 2 (X10) แต้ม!”